มาเฟียร่ายรัก(รลิสา)
มีสินค้าในสต็อค
ประหยัด: 209.25 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
มาเฟีย ร่ายรัก
อุณหภูมิเย็นเฉียบราวสามองศาที่มาพร้อมสายลมมขณะเรือ
แล่นฉิวฝ่าลมหนาวทำให้สาวน้อยคนหนึ่งต้องซุกมือเข้าเสื้อโค้ตตัวหนา
ของตนมากขึ้น แต่แม้อากาศจะหนาวยะเยือกสักแค่ไหน หล่อนก็อดสูด
ลมหายใจลูก ๆ เพื่อเสพกลิ่นผิวน้ำบริสุทธิ์จากทะเลสาบบลูเซิร์นให้ชื่นใจ
ไม่ได้ ปลายจมูกขาวใส่จึงกลายเป็นสีแดงก่ำคล้ายกวางเรนเดียร์เสียอย่างนั้น
ทิวเขาสีเขียวทั้งสองฝั่งทอดยาวสุดลูกหูลูกตาสลับแซมด้วย
อาคารบ้านเรือนทรงสวยเป็นระยะ เรียกรอยยิ้มสดใสให้ปรากฏบนหน้านวล
ได้ไม่ยาก หล่อนเท้าแขนบนราวเรือพลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี นี่สินะ...
สวรรค์ของยุโรป มิน่า ใคร ๆ ถึงอยากมาเหยียบสวิตเซอร์แลนนัก
ขณะที่กำลังหยีตาสู้แสงอาทิตย์เพื่อซึมซับความสงบและปล่อยใจ
ไปกับความสวยงามลึกล้ำของธรรมชาติ หญิงสาวก็ต้องพ่นลมหายใจออกมา
แรง ๆ เมื่อได้ยินเสียงเรียกแหบแหลมที่ทำลายบรรยากาศการล่องเรือ
ของหล่อนไปเสียฉิบ
“หนูตะวัน มานี่ ๆ มาถ่ายรูปกับป้า”
‘ม่านตะวัน’ ถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้งเพราะเดินหนีไม่ทัน ทำได้
แค่หมุนตัวมาประจันหน้าด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนเต็มที
“มีอะไรเหรอคะคุณป้า”
นี่ถ้าไม่ใช่เพราะอยากประหยัดเงิน หล่อนจะจ้างไกด์ส่วนตัว
แล้วเที่ยวคนเดียวให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่โลกนี้ไม่ใจดีอย่างนั้น ลำพัง
แค่มาเที่ยวต่างประเทศคนเดียวได้ หล่อนได้ต้องสู้กับบิดาที่หวงลูกสาว
คนเดียวสุดกู่จนเหนื่อยแล้ว ไหนจะเม็ดเงิดที่อยากประหยัดไว้ขยายสาขา
ร้านอาหารอันเป็นธุรกิจส่วนตัวในอนาคตอันใกล้นี้อีก แต่เพราะเหนื่อยกับ
งานผสมกับอยากมาเห็นยอดเขาบนเปลือกช็อกโกแลตด้วยตาตัวเองสักครั้ง
ก่อนตาย ท้ายที่สุดเลยต้องพึ่งพาทัวร์ราคาสมเหตุสมผลซึ่งมีเพื่อนสนิท
มารดาเป็นเจ้าของและผู้นำเที่ยวนี่ละ
เรื่องแย่ไม่ใช่แค่หล่อนต้องอยู่ในสายตาของไกด์ทัวร์ซึ่งสนิทสนม
กับแม่บังเกิดเกล้าตลอดเวลา แต่ลามไปถึงการผจญกับเพื่อร่วมทัวร์ดีกรี
มนุษย์ป้าระดับเลขาฯ บอสอย่างรุจี ที่ออกปากแนะนำตัวกับคนทั้งกรุ๊ปว่า
ตามมาดูแลลูกชายซึ่งมาดื่มน้ำผึ่งพระจันทร์กับเจ้าสาวป้ายแดง
ตามมาดูแลลูกชาย! ม่านตะวันทั้งขำทั้งอึ้ง แต่ที่ทึ่งมากกว่าสิ่งใด
คือป้ารุจีเกาะติดหล่อนยิ่งกว่าปลิง ไม่รู้ว่ามาถูกชะตาผูกดวงกับหล่อน
ตอนไหน สาววัยยี่สิบห้าจึงต้องดูแลคนแก่อายุห้าสิบกว่า ๆ แทนลูกชาย
ที่หนีลอยลำสวัตหวานกับภรรยาหน้าตาเฉย
“ป้าอยากถ่ายรูปกับหนู หูตึงเหรอลูก” รุจีถามตาปริบ ๆ แสดง
ให้เห็นว่าใสซื่อตามคำพูดจริง ๆ ไม่ได้จิกกัดแต่อย่างใด จนม่านตะวันได้แต่
อ้าปากค้าง กลอกตามองกลุ่มเมฆสีขาวบนฟากฟ้าหวังผ่อนอารมณ์ฉุกกึก
ของตนเองลง
“ขอโทษทีค่ะ ตะวันเหม่อไปหน่อย” ม่านตะวันย่อตัวลงเล็กน้อย
เพื่อให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับรุจี ใบหน้าสวยหวานส่งยิ้มเหยแกให้
กล้องคอมแพคเครื่องพอดีมือ คุณป้าจอมเฮ้วกดรัวไปทีเดียวราวสิบรูป
แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ออกปากชมความงามของม่านตะวันไม่ขาด
“แหม หนูนี่น่ารักจริง ๆ ผิวของอมชมพู ตาโต๊โต แต่ปากนิด
จมูกหน่อย แก้มหรือก็ยุ้งอย่างกับเด็กเล็ก ๆ เฮ้อ ป้าละอยากมีลูกสาว
หน้าตาเหมือนหนูจัง”
แต่หนูไม่อยากเป็นลูกป้าค่ะ
ม่านตะวันรีบประนมมืออธิฐานในใจว่าให้เจอกันแค่ครั้งนี้
ครั้งเดียว ขนาดเพิ่งเจอกันแค่วันแรกยังทำให้หล่อนสยองได้ป่านนี้
ไม่อยากนึงถึงอีกหกวันที่เหลือเลย
“ตะวันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ คุณป้าหาที่นั่งเถอะค่ะ
เรือโคลงออกอย่างนี้เดี๋ยวจะล้ม”
หล่อนบอกรุจีเช่นนั้นเพื่อหาทางหนี แต่พอหันหลังเตรียมชิ่ง
กลับกลายเป็นม่านตะวันเสียเองที่ชนคนข้างหลังเข้าเต็มรักอั้กใหญ่
“อุ้ย!ขอโทษค่ะ”
ม่านตะวันเผลอยกมือไหว้ขอลุแก่โทษตามธรรมเนียมไทย
พอดีสติว่าตอนนี้อย่างต่างแดนก็ลดมือลง แต่ใบหน้าดุดันของชายฉกรรจ์
ที่หล่อนถอยรถชนกลับทำให้หญิงสาวต้องยกมือที่ลดลงไปแล้วกลับขึ้นมาอยู่
ระดับอกดังเดิม
“เอ่อ...คนไทยหรื...”
พูดไม่ทันจบประโยค ชายร่างใหญ่ท่าทางนักเลงดูไม่น่าเป็น
นักท่องเที่ยวทั่วไปก็เดินหนีไปอีกฟากของเรือ รุจีรีบปรี่เข้ามาจับแขน
ม่านตะวันพลางบ่น
“หน้าตาน่ากลัวอย่างกับโจร ไปกันเถอะหนูตะวัน ป้ากลัวมัน
จะมาตัดตับตัดไตเราไปขาย โอ๊ย สมัยนี้นะน่ากลัว เพราะแบบนี้แหละ
ป้าถึงไม่กล้าปล่อยตาวัชมากับเมียมันตามลำพัง โง่ ๆ เซ่อ ๆ ประเดี๋ยวได้
โดยคนทำร้ายเอา แล้วนี่นะ...”
“ขอตัวก่อนนะคะ”
ใจหายใจคว่ำก็มากพอแล้ว ม่านตะวันไม่เหลือใจจะฟังคำพูด
พล่านไปมาไร้สาระของรุจีอีก หล่อนตัดบทขอตัวแล้วรีบสาวเท้าหนีไป
ยืนแทรกตัวระหว่างนักท่องเที่ยวคนอื่น เพื่อไม่ให้รุจีเจ้าประชิดตัวได้อีก
เฮ้อ มีแต่เรื่องน่าหงุดหงิดรำคาญใจ
หลังจากการเดินทางมาลูเซิร์นโดยเรือล่องทะเลสาบผ่านไป
ความรื่นเริงและสงบสุขของม่านตะวันก็ดูจะหายวับตามไปด้วย เพราะ
พอลงเหยียบฝั่งได้ปุ๊บ รุจีก็ตามเกาะแขนหล่อนแจจนเหญิงสาวแทบขยับตัว
ไม่ได้ พอจะเดินไปทางนั้นรุจีก็รั้งตัว พอจะเดินไปทางโน้นรุจีก็ยื้อแขน
ม่านตะวันส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากลูกชายและลูกสะใภ้ของรุจี แต่
สองคนนั้นกลับทำเมินไม่สนใจได้น่าบ้องหูที่สุดในสายตาหล่อน
ให้ตาย! นี่แม่ใครกันแน่ยะ หมดกัน สะพานชาเพลเก่าแก่ที่สุด
ในโลกเป็นร้อยปีเรอะ แค่หล่อนสาวเท้าข้ามมาได้โดยไม่วีนแตกก่อนนี่
ก็นับว่าเก่งแล้ว
หมดกัน ประเทศในฝันของหล่อน กลายเป็นฝันร้ายไปเสียฉิบ
“ตะวันจะพักกับอาไหมจ๊ะ” ณอรไกด์ทัวร์ของคณะหันมาถาม
ม่านตันที่ยืนเหม่อทำหน้าหงิกงออยู่ไม่ไกล “เหนื่อยเหรอเรา ทำไม
ทำหน้าแบบนั้นฮึ”
“ตะวันสบายดีค่ะ” ม่านตะวันถอนใจ พยักพเยิดไปทางลูกทัวร์
คนอื่น ๆ เน้นหนักที่ครอบครัวรุจี “ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ อาอรดูแลลูกทัวร์
คนอื่นเถอะ เรื่อยเยอะทั้งนั้น”
“งั้นอยากได้อะไรก็บอกอานะ ห้องข้าง ๆ ตะวันนี่ละ”
ณอรพยักหน้าอย่างเข้าใจ ถึงหล่อนจะแต่งงานย้ายมาอยู่
สวิตเซอร์แลนด์เป็นสิบปีแล้ว แต่ก็รู้จักม่านตะวันและเคยเลี้ยงดูอยู่
บ่อยๆ เพราะเป็นลูกสาวคนเดียวของเพื่อนสนิท มีหรือจะไม่รู้ว่าหญิงสาว
ขี้รำคาญแค่ไหน นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องดูแลลูกทัวร์คนอื่น ๆ แล้วละก็ หล่อน
คงช่วยกันคุณรุจีให้ออกห่างจากหลานรักได้
“ขอบคุณค่ะ” ม่านตะวันพยักหน้า กอดตอบณอรที่บอกให้
เข้าห้องไปพักผ่อนก่อนลากกระเป๋าเข้าห้องพักอย่างเหนื่อยล้า
ช่างเถอะ เก็บของแล้วรีบออกไปเดินเล่น คงไม่มีใครตามทัน
จะได้อยู่คนเดียวสงบ ๆ เสียที
สะพานชาเพลที่ประดับประดาด้วยดอกไม้สีแดงสดแซมสลับกับ
ใบไม้เขียวไล่โทนเข้มไปถึงอ่อนยิ่มเสริมให้ทัวทัศน์ทะเลสาบยิ่งงดงามมากขึ้น
ไปอีก แสงแดดอ่อน ๆ ทอประกายระยิบล้อกับผิวน้ำเหมือนมีเพชรระยับ
นับร้อยอยู่เบื้องล่าง ทั้งหมดทั้งมวลช่วยผลักความเหนื่อยล้าออกจาก
จิตใจคนมองไปจนหมดสิ้น
“สวยจัง...” ม่านตะวันยิ้มอ่อน ครางแผ่วกับบรรยากาศเงียบสงบ
สวยงามตรงหน้า
นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้สัมผัสคำว่าเงียบสงบแบบนี้ นับตั้งแต่
หล่อนตัดสินใจย้ายจากเชียงใหม่มาอยู่ที่กรุงเทพฯ เมืองหลวงที่สุดแสน
จะวุ่นวาย อุทิศเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตให้กับการทำงาน งาน งาน แล้วก็งาน
กระทั่งตัวเลขในบัญชีมียอดสูงจนน่าตกใจ แต่เรื่องอื่นกลับแห้งแล้งเสีย
เหลือเกิน
ก็...อย่างเช่นเรื่องความรักนั่นแหละ
พอใจวนกลับมาคิดเรื่องเนื้อคู่เนื้อคี่อะไรนี่ ม่านตะวันก็กลอกตา
ไปมา หมดอารมณ์เคลิ้มฝันไปทันใด ขณะที่กำลึกนึกเบื่อตัวเองที่หลุดมาด
สาวเก่งเกาะคานได้ไม่อายใครมาโหยหาอ้อมกอดผู้ชายสักคน หล่อนก็ได้
ท่องพุทโธยาว ๆ อีกสาวจบเมื่อรุจีปรี่เข้ามาทักเอาดื้อ ๆ
“หนูตะวัน”
โผล่มาตอนไหน ไวอย่างกับผี เฮ้อ หนีไม่ทันเลย...ม่านตะวัน
ถอนใจก่อนฉีกยิ้มฝืดเฝื่อนใหเ
“คนอื่นไปไหนหมดล่ะคะ”
“อยู่บนสะพานดอกไม้โน่นแน่ะจ้ะ ป้าไม่อยากรบกวนเขา เลย
มาหาหนู”
“อ้อ...”
รอยยิ้มซื่อ ๆ กับสีหน้าใส ๆ ของหญิงวัยกลางคนทำให้ม่านตะวัน
พูดไม่ออก จำต้องพยักหน้ารับรู้และยอมรับการเกาะติดของรุจีอีกครั้ง ทั้งยัง
แน่ใจอีกว่านี่ไม่ใช่การตามติดเป็นเงาครั้งสุดท้ายแน่นอน
“ปะ เราไปถ่ายรูปด้านนู้นกันดีกว่า หนูน่ะถ่ายสวย นะ ไปถ่ายให้
ป้าหน่อย”
ร่างบางขืนตัวเล็กน้อยเพื่อแสดงว่าไม่เต็มใจ แต่รุจียังคงไม่รู้สึก
รู้สาอะไร หล่อนกระตุกแขนม่านตะวันแรง ๆ ให้เดินตาม
บ้านเมืองของสวิตเซอร์แลนด์นับว่าจัดวางผังได้ดีตามแบบเมือง
ที่เจริญด้านอารยธรรม แต่กระนั้น...การเดินเข้าบล็อกนี้ เลี้ยวออกบล็อกนั้น
ก็ทำให้ม่านตะวันเวียนหัวแทบอาเจียนได้ไม่ยาก หล่อนแทบจะทิ้งตัวลงนั่ง
กลางถนนประท้วนรุจีที่สนุกสนานอยู่คนเดียว
แล้วความอดทนของหล่อนก็หมดลง เมื่อรุจีตั้งท่าจะเดินเข้า
ร้านเสื้อแห่งที่สิบ
“คุณป้าคะ ตะวันว่าคุณป้าซื้อของมาเยอะแล้ว เอากลับไปเก็บ
ที่โรงแรมก่อนดีไหมคะ”
“ไม่เห็นต้องกลับไปเลย อะ หนูก็ถือให้ป้าอีกสักสองสามถุงสิ
ขอบใจนะจ๊ะ” ไม่รอให้ตอบ คนแก่วัยกว่ารีบยัดถุงหนัก ๆ ใส่มือม่านตะวัน
ทันที เปลี่ยนเรื่องพูดหน้าตาเฉย “นี่ หิวไหมหนูตะวัน ป้าเอาขนมปังฟรี
จากโรงแรมมาเพียบเลย เสียดายนะ ขนมปังมันไม่มีไส้ แต่เขามีแยม
ตั้งหลายแบบแน่ะ อะ นี่จ้ะ”
ยังคงวนเวียนกับการอวดของที่หยิบฉวยมา...ม่านตะวันได้แต่
ยื่นมือไปรับมาแบบไม่เต็มใจนัก พึมพำขอบคุณเบาจนแทบไม่ได้ยินเสียง
แต่หล่อนไม่สนละ นาทีนี้หน้าชาแทนลูกชายของรุจีจริง ๆ
รับขนมปันไม่มีไส้ที่รุจีบ่นนักหนามาแล้ว หล่อนก็ตั้งใจว่าจะรีบ
กินรีบกลับ พินิจแล้วว่าเดินต่อไปก็ไม่สนุก รอจังหวะให้รุจีเผลอแล้ว
หล่อนค่อยแวบออกมาใหม่ดีกว่า
ทว่าจังหวะหมุนตัวที่เร่งไปหน่อยบวกกับข้าวของพะรุงพะรังเต็ม
สองมือทำให้ม่านตะวันเสียศูนย์ รองเท้าสันเข็มแสนสวยหักเป๊าะจากฐาน
พาเจ้าของร่างวูบไปวัดรังพื้นในทันที
“โอ๊ย!”
“ตาเถร!เป็นอะไรหรือเปล่าหนูตะวัน ว้าย! ส้นรองเท้าหักเลยนี่
คิดได้ยังไงนะสาวสมัยนี้ ใส่รองเท้าส้นสูงมาเดินช็อปปิ้งเนี่ย”
รุจีอุทานวี้ดว้าย ดึงสาวรุ่นลูกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลพลางบ่นพึมพำ
“ช่างเถอะค่ะ ตะวันขอตัวไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่ก่อนนะคะ คุณป้า
ไปเดินเล่นกับลูกชายเถอะค่ะ” หญิงสาวพยายามลุกขึ้นยืนด้วยแรงพยุง
ของรุจี โชคดีที่ข้อเท้าไม่พลิก แต่ส้นเท้ากลับหักสะบั้นอย่างน่าเสียดาย
คู่นี้เพิ่งซื้อก่อนมาซะด้วยสิ แย่จัง
“โหย!จะซื้อใหม่ทำไมล่ะจ๊ะ ไม่ต้อง ๆ เอาที่ป้านี่ละ”รุจีกุลีกุจอ
ค้นกระเป๋าถือตัวเองก่อนจะหยิบสลิปเปอร์สีครีมตีแบรนด์โรงแรมออกมา
ส่งให้ “ป้าหยิบมาจากโรงแรม ตอนบ่ายพอแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาด
แล้วไม่เห็น เขาก็จะวางคู่ใหม่ไว้ให้ วันนี้วันเดียวป้าจะได้สลิปเปอร์สองคู่
เลย อะ ใส่ซะสิ บางไปหน่อย แต่แก้ขัดได้นะ แล้วหนูค่อยกลับไปใส่รองเท้า
ที่เอามาจากไทย ไม่ต้องซื้อใหม่ให้เปลือง”
สายตาบ้องแบ๊วราวกับเด็กสี่ขวบไม่รู้ความกับแววตาหวังดี
เต็มเปี่ยมขัดกับการกระทำที่น่าอาย ทำให้ม่านตะวันได้แต่อ้าปากค้าง มอง
สีหน้าภาคภูมิใจเหลือแสนของรุจีอย่างหมดคำพูด กระนั้นก็ยอมเอื้อมมือ
ไปรับสลิปเปอร์มาสวม
คิดในแง่ดีไปซะว่าไม่ต้องเปลืองเงินซื้อรองเท้าคู่ใหม่โดยไม่จำเป็น
รองเท้าหล่อนก็เป็นพะเรอเกวียนแล้ว ไว้กลับโรงแรมไปเปลี่ยนเป็นผ้าใบ
ที่ห้องพักทีหลังแล้วกัน
หล่อนก้มมองสลิปเปอร์ แล้วก็ถอนใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน
เฮ้อ!
บริษัทเอลิต ประเทศไทย
นักวิทยาศาสตร์ในชุดกราวน์เดินสวนกันไปมาขวักไขว่อยู่
ด้านนอก มุมหนึ่งของชั้นเป็นห้องประชุมกรุกระจกขุ่นครึ่งบาน ภายใน
ห้องกอปรด้วยผู้บริหารระดับสูงของบริษัทวิจัยยาเอลิตราวสี่ห้าคน หัวโต๊ะ
อันเป็นตำแหน่งประธานถูกจับจองด้วยชายภูมิฐานคนหนึ่งซึ่งกำลัง
ระบายยิ้มจาง ๆ รับคำชื่นชม
“คุณภพนี่เก่งจริง ๆ เลยนะครับ ไม่ว่าจะเกิดโรคระบาดกี่ครั้ง ๆ
องค์กรเราก็ผลิตเซรุ่มแก้ไขได้ทุกรอบ ชื่อเสียงนักวิจัยไทยเนี่ยดังไปทั่วโลก
แล้ว”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ สำหรับเอลิต...ถ้าไม่ได้พี่ภาคย์เริ่มไว้
ผมคงกลับมาสานต่อไม่ได้”
“อย่าพูดถึงเรื่องสะเทือนใจเลยครับ”
หนึ่งในสองหุ้นส่วนเอ่ยปลอบ
ใคร ๆ ก็รู้เรื่องฆาตกรรมยกครัวพี่ชายของปภพ คุณปภาคย์...
ประธานบริษัทเอลิต ผู้ที่ก่อตั้งบริษัทวิจัยและผลิตยาเพื่อช่วยเหลือผู้คน
มาช้านาน แต่เคราะห์ร้ายที่สามารถผลิตเซรุ่มรักษาโรคร้ายที่ถูกปล่อย
จากบริษัทค้าอาวุธทางสวิตเซอร์แลนด์ได้จึงถูกเก็บ ไม่มีใครสามารถ
สาวตัวการได้ เพราะฝ่ายนั้นมีอิทธิพลมากพอตัว สุดท้ายคดีจึงถูกปิดไป
พร้อม ๆ กับการหายตัวไปของเกล้ากมล ทายาทเพียงคนเดียวของเอลิต
ที่หุ้นส่วนต่างรับรู้ว้าปภพกำลังตามหาตัวให้วุ่นเพื่อให้กลับมารับตำแหน่ง
“ผมคงหยุดคิดถึงมันไม่ได้ จนกว่าจะเอาตัวฆาตกรมาลงโทษ
เสียก่อน” ปภพหน้าหม่นลงเมื่อนึงถึงเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ติดในใจ
จนถึงทุกวันนี้ ก่อนจะปรับสีหน้าให้แช่มชื่นขึ้นเล็กน้อยเพื่อไม่ให้บรรยากาศ
หม่นหมองจนเกินไป “ไว้เจอกันในห้องประชุมตอนบ่ายแล้วกันนะครับ”
รักษาการประธานบริษัทเอลิตส่งยิ้มให้หุ้นส่วนทั้งหลายเป็นการจบ
บนสนทนา แล้วรีบมุ่งกลับห้องทำงานของตน ทันทีที่ปิดประตูห้องทำงาน
ส่วนตัวลง ใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อครู่ก็พลันเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง ความเย็นชา
สาดเข้ามาแทนที่แววอ่อนโยนในนัยน์ตา
โง่สิ้นดี...
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)