มาเฟียร่ายรัก(รลิสา)

มาเฟียร่ายรัก(รลิสา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786167947020.
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 279.00 บาท 69.75 บาท
ประหยัด: 209.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

มาเฟีย ร่ายรัก

               

                อุณหภูมิเย็นเฉียบราวสามองศาที่มาพร้อมสายลมมขณะเรือ

แล่นฉิวฝ่าลมหนาวทำให้สาวน้อยคนหนึ่งต้องซุกมือเข้าเสื้อโค้ตตัวหนา

ของตนมากขึ้น แต่แม้อากาศจะหนาวยะเยือกสักแค่ไหน หล่อนก็อดสูด

ลมหายใจลูก ๆ เพื่อเสพกลิ่นผิวน้ำบริสุทธิ์จากทะเลสาบบลูเซิร์นให้ชื่นใจ

ไม่ได้ ปลายจมูกขาวใส่จึงกลายเป็นสีแดงก่ำคล้ายกวางเรนเดียร์เสียอย่างนั้น

                ทิวเขาสีเขียวทั้งสองฝั่งทอดยาวสุดลูกหูลูกตาสลับแซมด้วย

อาคารบ้านเรือนทรงสวยเป็นระยะ เรียกรอยยิ้มสดใสให้ปรากฏบนหน้านวล

ได้ไม่ยาก หล่อนเท้าแขนบนราวเรือพลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี นี่สินะ...

สวรรค์ของยุโรป มิน่า ใคร ๆ ถึงอยากมาเหยียบสวิตเซอร์แลนนัก

                ขณะที่กำลังหยีตาสู้แสงอาทิตย์เพื่อซึมซับความสงบและปล่อยใจ

ไปกับความสวยงามลึกล้ำของธรรมชาติ หญิงสาวก็ต้องพ่นลมหายใจออกมา

แรง ๆ เมื่อได้ยินเสียงเรียกแหบแหลมที่ทำลายบรรยากาศการล่องเรือ

ของหล่อนไปเสียฉิบ

                “หนูตะวัน มานี่ ๆ มาถ่ายรูปกับป้า”

                ‘ม่านตะวัน’ ถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้งเพราะเดินหนีไม่ทัน ทำได้

แค่หมุนตัวมาประจันหน้าด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนเต็มที

                “มีอะไรเหรอคะคุณป้า”

                นี่ถ้าไม่ใช่เพราะอยากประหยัดเงิน หล่อนจะจ้างไกด์ส่วนตัว

แล้วเที่ยวคนเดียวให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่โลกนี้ไม่ใจดีอย่างนั้น ลำพัง

แค่มาเที่ยวต่างประเทศคนเดียวได้ หล่อนได้ต้องสู้กับบิดาที่หวงลูกสาว

คนเดียวสุดกู่จนเหนื่อยแล้ว ไหนจะเม็ดเงิดที่อยากประหยัดไว้ขยายสาขา

ร้านอาหารอันเป็นธุรกิจส่วนตัวในอนาคตอันใกล้นี้อีก แต่เพราะเหนื่อยกับ

งานผสมกับอยากมาเห็นยอดเขาบนเปลือกช็อกโกแลตด้วยตาตัวเองสักครั้ง

ก่อนตาย ท้ายที่สุดเลยต้องพึ่งพาทัวร์ราคาสมเหตุสมผลซึ่งมีเพื่อนสนิท

มารดาเป็นเจ้าของและผู้นำเที่ยวนี่ละ

                เรื่องแย่ไม่ใช่แค่หล่อนต้องอยู่ในสายตาของไกด์ทัวร์ซึ่งสนิทสนม

กับแม่บังเกิดเกล้าตลอดเวลา แต่ลามไปถึงการผจญกับเพื่อร่วมทัวร์ดีกรี

มนุษย์ป้าระดับเลขาฯ บอสอย่างรุจี ที่ออกปากแนะนำตัวกับคนทั้งกรุ๊ปว่า

ตามมาดูแลลูกชายซึ่งมาดื่มน้ำผึ่งพระจันทร์กับเจ้าสาวป้ายแดง

                ตามมาดูแลลูกชาย! ม่านตะวันทั้งขำทั้งอึ้ง แต่ที่ทึ่งมากกว่าสิ่งใด

คือป้ารุจีเกาะติดหล่อนยิ่งกว่าปลิง ไม่รู้ว่ามาถูกชะตาผูกดวงกับหล่อน

ตอนไหน สาววัยยี่สิบห้าจึงต้องดูแลคนแก่อายุห้าสิบกว่า ๆ แทนลูกชาย

ที่หนีลอยลำสวัตหวานกับภรรยาหน้าตาเฉย

                “ป้าอยากถ่ายรูปกับหนู หูตึงเหรอลูก” รุจีถามตาปริบ ๆ แสดง

ให้เห็นว่าใสซื่อตามคำพูดจริง ๆ ไม่ได้จิกกัดแต่อย่างใด จนม่านตะวันได้แต่

อ้าปากค้าง กลอกตามองกลุ่มเมฆสีขาวบนฟากฟ้าหวังผ่อนอารมณ์ฉุกกึก

ของตนเองลง

                “ขอโทษทีค่ะ ตะวันเหม่อไปหน่อย” ม่านตะวันย่อตัวลงเล็กน้อย

เพื่อให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับรุจี ใบหน้าสวยหวานส่งยิ้มเหยแกให้

กล้องคอมแพคเครื่องพอดีมือ คุณป้าจอมเฮ้วกดรัวไปทีเดียวราวสิบรูป

แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ออกปากชมความงามของม่านตะวันไม่ขาด

                “แหม หนูนี่น่ารักจริง ๆ ผิวของอมชมพู ตาโต๊โต แต่ปากนิด

จมูกหน่อย แก้มหรือก็ยุ้งอย่างกับเด็กเล็ก ๆ เฮ้อ ป้าละอยากมีลูกสาว

หน้าตาเหมือนหนูจัง”

                แต่หนูไม่อยากเป็นลูกป้าค่ะ

                ม่านตะวันรีบประนมมืออธิฐานในใจว่าให้เจอกันแค่ครั้งนี้

ครั้งเดียว ขนาดเพิ่งเจอกันแค่วันแรกยังทำให้หล่อนสยองได้ป่านนี้

ไม่อยากนึงถึงอีกหกวันที่เหลือเลย

                “ตะวันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ คุณป้าหาที่นั่งเถอะค่ะ

เรือโคลงออกอย่างนี้เดี๋ยวจะล้ม”

                หล่อนบอกรุจีเช่นนั้นเพื่อหาทางหนี แต่พอหันหลังเตรียมชิ่ง

กลับกลายเป็นม่านตะวันเสียเองที่ชนคนข้างหลังเข้าเต็มรักอั้กใหญ่

                “อุ้ย!ขอโทษค่ะ”

                ม่านตะวันเผลอยกมือไหว้ขอลุแก่โทษตามธรรมเนียมไทย

พอดีสติว่าตอนนี้อย่างต่างแดนก็ลดมือลง แต่ใบหน้าดุดันของชายฉกรรจ์

ที่หล่อนถอยรถชนกลับทำให้หญิงสาวต้องยกมือที่ลดลงไปแล้วกลับขึ้นมาอยู่

ระดับอกดังเดิม

                “เอ่อ...คนไทยหรื...”

                พูดไม่ทันจบประโยค ชายร่างใหญ่ท่าทางนักเลงดูไม่น่าเป็น

นักท่องเที่ยวทั่วไปก็เดินหนีไปอีกฟากของเรือ รุจีรีบปรี่เข้ามาจับแขน

ม่านตะวันพลางบ่น

                “หน้าตาน่ากลัวอย่างกับโจร ไปกันเถอะหนูตะวัน ป้ากลัวมัน

จะมาตัดตับตัดไตเราไปขาย โอ๊ย สมัยนี้นะน่ากลัว เพราะแบบนี้แหละ

ป้าถึงไม่กล้าปล่อยตาวัชมากับเมียมันตามลำพัง โง่ ๆ เซ่อ ๆ ประเดี๋ยวได้

โดยคนทำร้ายเอา แล้วนี่นะ...”

                “ขอตัวก่อนนะคะ”

                ใจหายใจคว่ำก็มากพอแล้ว ม่านตะวันไม่เหลือใจจะฟังคำพูด

พล่านไปมาไร้สาระของรุจีอีก หล่อนตัดบทขอตัวแล้วรีบสาวเท้าหนีไป

ยืนแทรกตัวระหว่างนักท่องเที่ยวคนอื่น เพื่อไม่ให้รุจีเจ้าประชิดตัวได้อีก

                เฮ้อ มีแต่เรื่องน่าหงุดหงิดรำคาญใจ

                หลังจากการเดินทางมาลูเซิร์นโดยเรือล่องทะเลสาบผ่านไป

ความรื่นเริงและสงบสุขของม่านตะวันก็ดูจะหายวับตามไปด้วย เพราะ

พอลงเหยียบฝั่งได้ปุ๊บ รุจีก็ตามเกาะแขนหล่อนแจจนเหญิงสาวแทบขยับตัว

ไม่ได้ พอจะเดินไปทางนั้นรุจีก็รั้งตัว พอจะเดินไปทางโน้นรุจีก็ยื้อแขน

ม่านตะวันส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากลูกชายและลูกสะใภ้ของรุจี แต่

สองคนนั้นกลับทำเมินไม่สนใจได้น่าบ้องหูที่สุดในสายตาหล่อน

                ให้ตาย! นี่แม่ใครกันแน่ยะ หมดกัน สะพานชาเพลเก่าแก่ที่สุด

ในโลกเป็นร้อยปีเรอะ แค่หล่อนสาวเท้าข้ามมาได้โดยไม่วีนแตกก่อนนี่

ก็นับว่าเก่งแล้ว

                หมดกัน ประเทศในฝันของหล่อน กลายเป็นฝันร้ายไปเสียฉิบ

                “ตะวันจะพักกับอาไหมจ๊ะ” ณอรไกด์ทัวร์ของคณะหันมาถาม

ม่านตันที่ยืนเหม่อทำหน้าหงิกงออยู่ไม่ไกล “เหนื่อยเหรอเรา ทำไม

ทำหน้าแบบนั้นฮึ”

                “ตะวันสบายดีค่ะ” ม่านตะวันถอนใจ พยักพเยิดไปทางลูกทัวร์

คนอื่น ๆ เน้นหนักที่ครอบครัวรุจี “ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ อาอรดูแลลูกทัวร์

คนอื่นเถอะ เรื่อยเยอะทั้งนั้น”

                “งั้นอยากได้อะไรก็บอกอานะ ห้องข้าง ๆ ตะวันนี่ละ”

                ณอรพยักหน้าอย่างเข้าใจ ถึงหล่อนจะแต่งงานย้ายมาอยู่

สวิตเซอร์แลนด์เป็นสิบปีแล้ว แต่ก็รู้จักม่านตะวันและเคยเลี้ยงดูอยู่

บ่อยๆ  เพราะเป็นลูกสาวคนเดียวของเพื่อนสนิท มีหรือจะไม่รู้ว่าหญิงสาว

ขี้รำคาญแค่ไหน นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องดูแลลูกทัวร์คนอื่น ๆ แล้วละก็ หล่อน

คงช่วยกันคุณรุจีให้ออกห่างจากหลานรักได้

“ขอบคุณค่ะ” ม่านตะวันพยักหน้า กอดตอบณอรที่บอกให้

เข้าห้องไปพักผ่อนก่อนลากกระเป๋าเข้าห้องพักอย่างเหนื่อยล้า

                ช่างเถอะ เก็บของแล้วรีบออกไปเดินเล่น คงไม่มีใครตามทัน

จะได้อยู่คนเดียวสงบ ๆ เสียที

                สะพานชาเพลที่ประดับประดาด้วยดอกไม้สีแดงสดแซมสลับกับ

ใบไม้เขียวไล่โทนเข้มไปถึงอ่อนยิ่มเสริมให้ทัวทัศน์ทะเลสาบยิ่งงดงามมากขึ้น

ไปอีก แสงแดดอ่อน ๆ ทอประกายระยิบล้อกับผิวน้ำเหมือนมีเพชรระยับ

นับร้อยอยู่เบื้องล่าง ทั้งหมดทั้งมวลช่วยผลักความเหนื่อยล้าออกจาก

จิตใจคนมองไปจนหมดสิ้น

                “สวยจัง...” ม่านตะวันยิ้มอ่อน ครางแผ่วกับบรรยากาศเงียบสงบ

สวยงามตรงหน้า

                นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้สัมผัสคำว่าเงียบสงบแบบนี้ นับตั้งแต่

หล่อนตัดสินใจย้ายจากเชียงใหม่มาอยู่ที่กรุงเทพฯ เมืองหลวงที่สุดแสน

จะวุ่นวาย อุทิศเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตให้กับการทำงาน งาน งาน แล้วก็งาน

กระทั่งตัวเลขในบัญชีมียอดสูงจนน่าตกใจ แต่เรื่องอื่นกลับแห้งแล้งเสีย

เหลือเกิน

                ก็...อย่างเช่นเรื่องความรักนั่นแหละ

                พอใจวนกลับมาคิดเรื่องเนื้อคู่เนื้อคี่อะไรนี่ ม่านตะวันก็กลอกตา

ไปมา หมดอารมณ์เคลิ้มฝันไปทันใด ขณะที่กำลึกนึกเบื่อตัวเองที่หลุดมาด

สาวเก่งเกาะคานได้ไม่อายใครมาโหยหาอ้อมกอดผู้ชายสักคน หล่อนก็ได้

ท่องพุทโธยาว ๆ อีกสาวจบเมื่อรุจีปรี่เข้ามาทักเอาดื้อ ๆ

                “หนูตะวัน”

                โผล่มาตอนไหน ไวอย่างกับผี เฮ้อ หนีไม่ทันเลย...ม่านตะวัน

ถอนใจก่อนฉีกยิ้มฝืดเฝื่อนใหเ

                “คนอื่นไปไหนหมดล่ะคะ”

                “อยู่บนสะพานดอกไม้โน่นแน่ะจ้ะ ป้าไม่อยากรบกวนเขา เลย

มาหาหนู”

                “อ้อ...”

                รอยยิ้มซื่อ ๆ กับสีหน้าใส ๆ ของหญิงวัยกลางคนทำให้ม่านตะวัน

พูดไม่ออก จำต้องพยักหน้ารับรู้และยอมรับการเกาะติดของรุจีอีกครั้ง ทั้งยัง

แน่ใจอีกว่านี่ไม่ใช่การตามติดเป็นเงาครั้งสุดท้ายแน่นอน

                “ปะ เราไปถ่ายรูปด้านนู้นกันดีกว่า หนูน่ะถ่ายสวย นะ ไปถ่ายให้

ป้าหน่อย”

                ร่างบางขืนตัวเล็กน้อยเพื่อแสดงว่าไม่เต็มใจ แต่รุจียังคงไม่รู้สึก

รู้สาอะไร หล่อนกระตุกแขนม่านตะวันแรง ๆ ให้เดินตาม

                บ้านเมืองของสวิตเซอร์แลนด์นับว่าจัดวางผังได้ดีตามแบบเมือง

ที่เจริญด้านอารยธรรม แต่กระนั้น...การเดินเข้าบล็อกนี้ เลี้ยวออกบล็อกนั้น

ก็ทำให้ม่านตะวันเวียนหัวแทบอาเจียนได้ไม่ยาก หล่อนแทบจะทิ้งตัวลงนั่ง

กลางถนนประท้วนรุจีที่สนุกสนานอยู่คนเดียว

                แล้วความอดทนของหล่อนก็หมดลง เมื่อรุจีตั้งท่าจะเดินเข้า

ร้านเสื้อแห่งที่สิบ

                “คุณป้าคะ ตะวันว่าคุณป้าซื้อของมาเยอะแล้ว เอากลับไปเก็บ

ที่โรงแรมก่อนดีไหมคะ”

                “ไม่เห็นต้องกลับไปเลย อะ หนูก็ถือให้ป้าอีกสักสองสามถุงสิ

ขอบใจนะจ๊ะ” ไม่รอให้ตอบ คนแก่วัยกว่ารีบยัดถุงหนัก ๆ ใส่มือม่านตะวัน

ทันที เปลี่ยนเรื่องพูดหน้าตาเฉย “นี่ หิวไหมหนูตะวัน ป้าเอาขนมปังฟรี

จากโรงแรมมาเพียบเลย เสียดายนะ ขนมปังมันไม่มีไส้  แต่เขามีแยม

ตั้งหลายแบบแน่ะ อะ นี่จ้ะ”

                ยังคงวนเวียนกับการอวดของที่หยิบฉวยมา...ม่านตะวันได้แต่

ยื่นมือไปรับมาแบบไม่เต็มใจนัก พึมพำขอบคุณเบาจนแทบไม่ได้ยินเสียง

แต่หล่อนไม่สนละ นาทีนี้หน้าชาแทนลูกชายของรุจีจริง ๆ

                รับขนมปันไม่มีไส้ที่รุจีบ่นนักหนามาแล้ว หล่อนก็ตั้งใจว่าจะรีบ

กินรีบกลับ พินิจแล้วว่าเดินต่อไปก็ไม่สนุก รอจังหวะให้รุจีเผลอแล้ว

หล่อนค่อยแวบออกมาใหม่ดีกว่า

                ทว่าจังหวะหมุนตัวที่เร่งไปหน่อยบวกกับข้าวของพะรุงพะรังเต็ม

สองมือทำให้ม่านตะวันเสียศูนย์ รองเท้าสันเข็มแสนสวยหักเป๊าะจากฐาน

พาเจ้าของร่างวูบไปวัดรังพื้นในทันที

                “โอ๊ย!”

                “ตาเถร!เป็นอะไรหรือเปล่าหนูตะวัน ว้าย! ส้นรองเท้าหักเลยนี่

คิดได้ยังไงนะสาวสมัยนี้ ใส่รองเท้าส้นสูงมาเดินช็อปปิ้งเนี่ย”

                รุจีอุทานวี้ดว้าย ดึงสาวรุ่นลูกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลพลางบ่นพึมพำ

                “ช่างเถอะค่ะ ตะวันขอตัวไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่ก่อนนะคะ คุณป้า

ไปเดินเล่นกับลูกชายเถอะค่ะ” หญิงสาวพยายามลุกขึ้นยืนด้วยแรงพยุง

ของรุจี โชคดีที่ข้อเท้าไม่พลิก แต่ส้นเท้ากลับหักสะบั้นอย่างน่าเสียดาย

                คู่นี้เพิ่งซื้อก่อนมาซะด้วยสิ แย่จัง

                “โหย!จะซื้อใหม่ทำไมล่ะจ๊ะ ไม่ต้อง ๆ เอาที่ป้านี่ละ”รุจีกุลีกุจอ

ค้นกระเป๋าถือตัวเองก่อนจะหยิบสลิปเปอร์สีครีมตีแบรนด์โรงแรมออกมา

ส่งให้ “ป้าหยิบมาจากโรงแรม ตอนบ่ายพอแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาด

แล้วไม่เห็น เขาก็จะวางคู่ใหม่ไว้ให้ วันนี้วันเดียวป้าจะได้สลิปเปอร์สองคู่

เลย อะ ใส่ซะสิ บางไปหน่อย แต่แก้ขัดได้นะ แล้วหนูค่อยกลับไปใส่รองเท้า

ที่เอามาจากไทย ไม่ต้องซื้อใหม่ให้เปลือง”

                สายตาบ้องแบ๊วราวกับเด็กสี่ขวบไม่รู้ความกับแววตาหวังดี

เต็มเปี่ยมขัดกับการกระทำที่น่าอาย ทำให้ม่านตะวันได้แต่อ้าปากค้าง มอง

สีหน้าภาคภูมิใจเหลือแสนของรุจีอย่างหมดคำพูด กระนั้นก็ยอมเอื้อมมือ

ไปรับสลิปเปอร์มาสวม

                คิดในแง่ดีไปซะว่าไม่ต้องเปลืองเงินซื้อรองเท้าคู่ใหม่โดยไม่จำเป็น

รองเท้าหล่อนก็เป็นพะเรอเกวียนแล้ว ไว้กลับโรงแรมไปเปลี่ยนเป็นผ้าใบ

ที่ห้องพักทีหลังแล้วกัน

                หล่อนก้มมองสลิปเปอร์ แล้วก็ถอนใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน

                เฮ้อ!

                บริษัทเอลิต ประเทศไทย

                นักวิทยาศาสตร์ในชุดกราวน์เดินสวนกันไปมาขวักไขว่อยู่

ด้านนอก มุมหนึ่งของชั้นเป็นห้องประชุมกรุกระจกขุ่นครึ่งบาน ภายใน

ห้องกอปรด้วยผู้บริหารระดับสูงของบริษัทวิจัยยาเอลิตราวสี่ห้าคน หัวโต๊ะ

อันเป็นตำแหน่งประธานถูกจับจองด้วยชายภูมิฐานคนหนึ่งซึ่งกำลัง

ระบายยิ้มจาง ๆ รับคำชื่นชม

                “คุณภพนี่เก่งจริง ๆ เลยนะครับ ไม่ว่าจะเกิดโรคระบาดกี่ครั้ง ๆ

องค์กรเราก็ผลิตเซรุ่มแก้ไขได้ทุกรอบ ชื่อเสียงนักวิจัยไทยเนี่ยดังไปทั่วโลก

แล้ว”

                “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ สำหรับเอลิต...ถ้าไม่ได้พี่ภาคย์เริ่มไว้

ผมคงกลับมาสานต่อไม่ได้”

                “อย่าพูดถึงเรื่องสะเทือนใจเลยครับ”

                หนึ่งในสองหุ้นส่วนเอ่ยปลอบ

                ใคร ๆ ก็รู้เรื่องฆาตกรรมยกครัวพี่ชายของปภพ คุณปภาคย์...

ประธานบริษัทเอลิต ผู้ที่ก่อตั้งบริษัทวิจัยและผลิตยาเพื่อช่วยเหลือผู้คน

มาช้านาน แต่เคราะห์ร้ายที่สามารถผลิตเซรุ่มรักษาโรคร้ายที่ถูกปล่อย

จากบริษัทค้าอาวุธทางสวิตเซอร์แลนด์ได้จึงถูกเก็บ ไม่มีใครสามารถ

สาวตัวการได้ เพราะฝ่ายนั้นมีอิทธิพลมากพอตัว สุดท้ายคดีจึงถูกปิดไป

พร้อม ๆ กับการหายตัวไปของเกล้ากมล ทายาทเพียงคนเดียวของเอลิต

ที่หุ้นส่วนต่างรับรู้ว้าปภพกำลังตามหาตัวให้วุ่นเพื่อให้กลับมารับตำแหน่ง

                “ผมคงหยุดคิดถึงมันไม่ได้ จนกว่าจะเอาตัวฆาตกรมาลงโทษ

เสียก่อน” ปภพหน้าหม่นลงเมื่อนึงถึงเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ติดในใจ

จนถึงทุกวันนี้ ก่อนจะปรับสีหน้าให้แช่มชื่นขึ้นเล็กน้อยเพื่อไม่ให้บรรยากาศ

หม่นหมองจนเกินไป “ไว้เจอกันในห้องประชุมตอนบ่ายแล้วกันนะครับ”

                รักษาการประธานบริษัทเอลิตส่งยิ้มให้หุ้นส่วนทั้งหลายเป็นการจบ

บนสนทนา แล้วรีบมุ่งกลับห้องทำงานของตน ทันทีที่ปิดประตูห้องทำงาน

ส่วนตัวลง ใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อครู่ก็พลันเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง ความเย็นชา

สาดเข้ามาแทนที่แววอ่อนโยนในนัยน์ตา

                โง่สิ้นดี...

(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (23 รายการ)

www.batorastore.com © 2024