ดวงใจโรม (แก้วชวาลา) (ชุดหนึ่งนางกลางใจ)

ดวงใจโรม (แก้วชวาลา) (ชุดหนึ่งนางกลางใจ)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786169077176
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 279.00 บาท 181.35 บาท
ประหยัด: 97.65 บาท ( 35.00% )

เนื้อหาบางส่วน

“บทเรียนก่อนวิวาห์”

“หือ?”

“ฉันจะสอนภาคปฏิบัติให้เธอรุ้ว่าแฟนจริงๆ รักแบบเด็กๆ มันเป็น

แบบไหน เธอจะได้แยกแยะถูก และลืมเรื่องเจ้าดราโกจอมแหยไปจากหัวสมองซะ”

ธวาธิตบอกท้ายประโยคเช่นเขี้ยวนิดหนึ่ง แล้ว เขาก็แทมบหลุดขำเมื่อเห็น

ชุดหล่อน โอ้! ไม่นะ เขาจะไม่นอนกับสโนว์ไวท์กระทั่งเช้าแน่ คิดได้เท่านั้นก็รีบ

แกะชุดบ้า ๆ นั่น ออกทันที และพอมันหลุดพ้นตัวเท่านั้น คนใต้ร่างก็ห่อไหล่

“หนาว”

สิ้นคำนั้น รค่างสูงก็โน้มลงมาคลอเคลีย ใช้จมูกโด่งซุกไซ้ตามลำคออ่อนนุ่ม

“หนาวก็กอดฉันสิ”

เอ่ยเสียงต่ำพร่ำ แล้วคนที่เสียตัวตนเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็ทำตามคำสั่ง

ของเขาโดยพลัน

“เธอน่ารักและหอมมากเลยรู้ไหมพลอย ฉันชอบตงนี้ ตรงนี้ และก็ตรงนี้

ของเธอ”

ธวาธิตเอ่ยแล้วใช้นิ้วไล้ไปตามสัดส่วนต่าง ๆ ของร่ายกาย ก่อนจะไถลไปที่

ทรวงอกเต่งตูมขนาดพอมือน่าหลงใหลไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป

“คุณธวาธิต คุณจะทำอะไร ฮือๆ คุณจะทำกับฉันเหมือนผู้หญิงที่ผ่านมา

ของคุณใช่ไหม พอได้ตัวก็ให้เงิน พอเบื่อก็เดินหนี คนอย่างฉันมันแย่มากจนต้อง

เจอผู้ชายไม่จริงใจซ้ำแล้วกซ้ำเล่าเลยหรือไง”
“อย่าคิดมาก ทำตัวให้สบาย ฉันไม่ใช่พวกเห็นแก่ตัวคิดจะตักตวงความสุข

อยู่ฝ่ายเดียวหรอกนะ

ฉันหลงคิดว่า ลึกๆ แล้วคุณจะเป็นคนดี บางเวลาก็แอบคิดบ้าๆ ว่าคุณ

อาจรักฉันทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้เลย

แล้วถ้ามันเป็นแบบที่เธอคิดล่ะ ฉันรักเธอ

“คุณโกหก! ถึงฉันจะเมาจนหมดแรง แต่ฉันยังสติดีไม่โง่เง่าจนไม่รู้อะไร

เลยว่า ผู้ชายเวลาอยู่บนเตียงกับผู้หญิงน่ะ มักพูดว่ารักได้คล่องปากนัก”

“งั้นฉันไม่พูดละ แสดงอย่างเดียวดีกว่า”

ธวาธิตเอ่ยแล้วเลื่อนเข้าไปจ้องคนที่หลับตาปี๋โต้เถียง แถมยังสะบัดศีรษะ

ประท้วงอีก

“ฉันเหนื่อยใจกับคุณเหลือเกิน ซินญอร์ธวาธิต...”

“เมาก็หลับไปเถอะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว แต่ถ้ายังไม่ยอมหลับ ฉันจะช่วย

เธอเอง”

นตัวอาคารสูงนำสมัยในมิลาน1 โรมหรือธวาธิต ลาร์นาโด

นักการเงินชื่อดังและบุตรชายคนโตของคุณเพ็ญแข ลาร์นาโดกับสามี

นักธุรกิจชาวอิตาเลียนนามว่ามอนซา ลาร์นาโด กำลังยืนเด่นเป็นสง่าอยู่

ในชุดสูทเนื้อดีสีดำสนิท เขาดูดีเนี้ยบเฉียบขาดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

ดวงตาคมกริบที่ล้อมรอบด้วยขนตาดกหนาดำขลับมองสำรวจไปรอบๆ

อาณาจักรของตัวเอง ดุจสายตาของพญาเหยี่ยวเจ้าเวหา แต่ทว่าธวาธิต

มิใช่เหยี่ยวเวหาหรอก แต่เขาคือตัวอันตรายในเชิงธุรกิจทางการเงินเสีย

มากกว่า โดยระหว่างที่เขากุมบังเหียนอยู่นี้ ก็มีบรรดานักธุรกิจน้อยใหญ่

 

 

ต่างพากันวิ่งวุ่นมาสวามิภักดิ์กับเขา

มอนซา ลาร์นาโด บิดาของธวาธิต เป็นนักธุรกิจที่จับอะไรก็

มือขึ้น เขามีทั้งกิจการเดินเรือและสถาบันการเงินที่มั่นคง อีกทั้งยังมีไร่ใหญ่

อยู่ที่ทีโรลใต้2 ซึ่งสิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดนั้นก็ได้ยกให้แก่บุตรชายทั้งสามคน

ดูแลอย่างเป็นส่วนสัดแล้ว และคนที่เขาไว้ใจและมั่นใจให้กุมกิจการ

ทางการเงินมากที่สุดก็คือบุตรชายคนโต นั่นก็คือโรมหรือธวาธิต ลาร์นาโด

นั่นเอง

ในบรรดาบุตรชายทั้งสามคนของมอนซา โรมจัดว่าเป็นคนสุขุม

และเยือกเย็นมากที่สุด ความคิด สายตา ใบหน้า ทุกอย่างที่เป็นเขานั้นนิ่งสนิท

เกินกว่าที่ใครจะคาดเดาได้ และสำหรับโลกธุรกิจแล้วนั้น รู้จักแค่หน้าแต่

ไม่ต้องมารู้จักใจกันมากนักก็จะดี เพราะฉะนั้นธุรกิจทางการเงินอันทำ

กำไรมหาศาลนี้จึงตกเป็นของธวาธิต ลาร์นาโดโดยที่ไม่มีใครคิดคัดค้าน

แม้แต่คนเดียว

มอนซา ลาร์นาโดรักและตามใจภรรยาชาวไทยของเขามาก

เขายอมแม้กระทั่งไม่ตั้งชื่อลูกทั้งสามของตัวเองเป็นภาษาอิตาเลียน

เหตุเพราะภรรยาของเขานั้นปรารถนาให้บุตรชายทั้งสามคนใช้ชื่อไทย

มากกว่า และแน่นอนพนักงานในเครือลาร์นาโดนั้นไม่จำเป็นต้องหัดพูด

ภาษาไทยเหมือนลูกๆ และภรรยาเขา และแม้แต่ตัวของเขาเองก็ตามเถอะ

ไม่ต้องดิ้นรน ฝึกฝน แต่ว่ามีกฎอย่างหนึ่งที่ทุกคนต้องทำ นั่นก็คือการ

เรียกชื่อบุตรชายทั้งสามคนของเขาและภรรยาสุดที่รักด้วยภาษาไทย

อย่างชัดเจนและถูกต้อง

และนี่คือกฎของลาร์นาโด ห้ามเหยียดหยามดูหมิ่นว่าเขามี

ภรรยาเป็นชาวเอเชีย หรือทำอะไรให้ภรรยาชาวไทยของเขาเจ็บชํ้านํ้าใจ

 

 

ด้วยเรื่องเชื้อชาติเป็นอันขาด และมันอาจจะเป็นกฎเกณฑ์ที่บ้าบอ

ไปเสียหน่อย แต่มอนซา ลาร์นาโดก็อ้างว่าชีวิตของเขาเริ่มต้นจาก

ครอบครัวก่อน ซึ่งจริงๆ แล้วเขาจะอ้างยังไงก็ได้ทั้งนั้น เพราะไม่มีใคร

สามารถทำอะไรเขาได้อยู่แล้ว เนื่องจากอำนาจเงินและอิทธิพลในมือ

ที่มีอยู่จนล้นหลามนั่นเอง ทำให้ไม่ว่าพวกลาร์นาโดจะทำอะไร มันก็ดู

ถูกต้องและดีงามไปเสียหมด

ณะนี้บุตรชายคนโตของมอนซานั่นก็คือ ธวาธิต ลาร์นาโด

หรือโรมกำลังยืนหน้าเครง่ ขรึมดว้ ยมาดของนักการเงินผูท้ รงประสิทธิภาพ

และการเป็นคนที่พูดน้อยแต่คิดหนักนี่เอง ทำให้ธนาธรและธนากร หรือ

จะเรียกเล่นๆ ว่ากรุงและกร ซึ่งเป็นน้องชายของเขานั้น มักตั้งฉายาให้

ธวาธิตซึ่งเป็นพี่ชายใหญ่ว่ าเสือยิ้มยากแต่จะเรียกอะไรก็ช่างเถอะ เพราะ

ถึงยังไงธวาธิตก็ไม่ชอบยิ้มอยู่ดี เขาคิดว่าชีวิตที่ตลกเฮฮานั้นเป็นเรื่อง

ไร้สาระ เขาอยู่อย่างไม่ยิ้มและไม่มีไมตรีให้ใคร ก็ไม่เห็นจะเดือดร้อน

ตรงไหน ตรงกันข้ามกลับมีทั้งเศรษฐีใหม่และเก่าวิ่งมาให้เขาช่วยเหลือ

ไม่เว้นแต่ละวัน เขาไม่เคยยิ้มให้คนพวกนั้นเลย สาบานได้ ธวาธิตเพียงแต่

ฟังข้อเสนอ พยักหน้า และส่ายศีรษะเท่านั้นเอง แต่คนที่มาเจรจากับเขานั้น

ก็ไม่มีใครอยากให้เขาส่ายหัวให้สักคนหรอก

ธวาธิตเริ่มคิดเตลิดไปไกล และพอรู้ตัวว่าได้เสียเวลากับการ

เหม่อลอยมามากพอแล้ว ชายหนุ่มก็รีบดึงสมาธิของตัวเองกลับมา

อย่างว่องไว นักธุรกิจที่ทรงประสิทธิภาพสูงสุดไม่ควรเลื่อนลอยปล่อย

สมองไปเรื่อยเปื่อยให้เสียเวล่ำเวลา เขาบอกกับตัวเองอย่างนั้น ธวาธิต

ก็เป็นอย่างนี้ เขาฝึกฝนสมาธิและตื่นตัวอยู่เสมอ ดวงตาคมกริบประดุจ

เหยี่ยวเวหาของธวาธิตเริ่มสำรวจทุกอย่างรอบกายอีกครั้ง เขาพึงพอใจ

กับงานเลี้ยงเล็กๆ น้อยๆ นี้ใช่ย่อยเลย ริมฝีปากหยักลึกได้รูปงามค่อยๆ

 

 

กดลึกที่มุมปาก ยากจะคาดเดาได้จริงๆ ว่า เขายิ้มหรือหยันกับทุกอย่าง

รอบกายกันแน่ งานเลี้ยงเอาใจคู่ค้าเพื่อผลกำไรในภายภาคหน้ามันคือ

ธุรกิจ น้ำแข็ง หน้ากาก และการแลกเปลี่ยนที่ไม่ไดสู้ญเสียอะไรมากมาย

ธวาธิตคิดอย่างไม่ใส่ใจนัก ไม่มีสัจจะในหมู่โจรฉันใดก็ไม่มีมิตรแท้และ

ศัตรูถาวรในแวดวงธุรกิจฉันนั้น เงินเท่านั้นคือรางวัลของคนฉลาดและ

มือที่ยืดยาว

ชายหนุ่มกระตุกมุมปากเยาะหยันให้กับความคิดของตัวเอง

อีกครั้ง แล้วมองสำรวจรอบๆ ห้องจัดเลี้ยงอันกว้างขวางในอาณาบริเวณ

ของเครือลาร์นาโดเพื่อดูความเรียบร้อยของงานให้ถ้วนถี่ เขาชอบความ

เนี้ยบและมีระเบียบ และเกลียดคำว่าจุดบกพร่อง ช่องโหว่ ข้อตำหนิ

ต่างๆ ทันใดนั้นดวงตาคมปานพญาเหยี่ยวก็ไปสะดุดเข้ากับวัตถุอัน

ไม่พึงประสงค์บางอย่างเข้า อ้อ! ไม่ใช่สิ มันไม่ใช่วัตถุที่ไม่พึงประสงค์

แต่มันเป็นคนต่างหากละ ภัตตาคารแสนบัดซบที่เขาเสียเงินจ้างมานี่

ดันทะลึ่งเอาเด็กเล็กๆ มาเดินเสิร์ฟอาหารให้กับลูกค้าระดับสูงของเขา

ได้ยังไงกัน แม่เด็กหญิงคนนั้นมันอายุเท่าไรกัน ดูจากสรีระและความสูง

แล้ว แม่หนูนั่นน่าจะอายุสัก 14-15 ปีเท่านั้น ผมหล่อนยาวดำขลับแบบ

คนเอเชียเหมือนอย่างมารดาเขา แต่ธวาธิตไม่คิดที่จะเดินไปดูเด็กคนนั้น

ให้ชัดๆ หรอก เพราะว่าเขากำลังอารมณ์เสีย และบอดี้การ์ดคนสนิทของ

เขาคงจะรู้ดีแล้ว จึงถามมาหน้าขรึมเคร่งไม่แพ้เจ้านาย

“มีอะไรหรือเปล่าครับนาย?”

เสียงผู้ติดตามร่างใหญ่ถามขึ้น แต่ธวาธิตไม่ตอบ ดวงตาคม

ยังจ้องไปที่เด็กสาวคนนั้นนิ่ง แต่ก็ไม่เห็นอะไรนัก นอกจากหน้าขาวๆ

และผมดำยาวสลวยเป็นมันดำขลับของอีกฝ่าย ทำไมภัตตาคารนี้จึงเอา

เด็กเล็กขนาดนี้มาใช้แรงงานในตอนกลางคืน เห็นทีเขาจะต้องเรียก

มาเตือนเสียแล้ว ว่าอย่าเอาเด็กขนาดนี้ขึ้นมาทำงานที่ตึกลาร์นาโดอีก

เป็นอันขาด เขาไม่อยากให้พวกคู่ค้าของเขามองว่า เขาใช้แรงงานเด็ก

 

 

หรือขี้เหนียวว่าจ้างเด็กมาทำงานเพราะต้องการจ่ายค่าจ้างถูกๆ

ให้ตายเถอะ พวกลาร์นาโดไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน ลาร์นาโด

ไม่ใช่ตัวอะไรต่ออะไรที่มุดอยู่ในรู แต่เป็นอินทรีผงาดฟ้า ทั้งภาพพจน์

และภาพจริงต้องเนี้ยบ เฉียบ และดูดีเสมอ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ภัตตาคาร

ที่เขาเป็นลูกค้ามานานไม่น่าขาดความรอบคอบ ทำงานเหมือนไม่รู้ใจกัน

แบบนี้ เพราะสำหรับเขาแล้วนั้น การทำงานที่ดีคือไม่มีช่องโหว่ให้ใคร

เอาไปตำหนิหรือติฉินนินทาได้ มันสบประมาทกันชัดๆ แม้ใครจะมองว่า

เป็นเรื่องเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ชอบอยู่ดี

ไม่รู้ละ เขาจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปอย่างแน่นอน เพราะ

หากมีเด็กหนีพ่อแม่มาทำงานตอนกลางคืนคนหนึ่งแล้วละก็ พอเห็นว่า

เขาไม่ติติงอะไรไปเลย ก็อาจจะมีเพิ่มมาอีกคนสองคนก็ได้ แล้วถ้าหาก

พ่อแม่เด็กมาโวยวาย เอาบริษัทเขาไปวิพากษ์วิจารณ์ให้เสื่อมเสียจน

เป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โต จะทำยังไงล่ะ เขาไม่เอาด้วยหรอก ธวาธิตชอบ

ตัดไฟเสียแต่ต้นลม ไม่ชอบอะไรที่มันสายเกินแก้ คิดได้เท่านั้นก็

หันกลับไปทางคนสนิทของตนทันที ขณะที่เสียงของฝ่ายนั้นดังขึ้นมา

ด้วยภาษาอิตาเลียนอีกหน

“เจ้านายชอบเด็กผู้หญิงคนนั้นหรือครับ?”

สิ้นคำถามนั้น ธวาธิตก็มองคนของตัวเองนัยน์ตาดุดัน แล้วถาม

ไปเสียงเยียบเย็น

“แล้วนายคิดว่าเด็กคนนั้นมันกี่ขวบกันล่ะเปรโก?”

เขาย้อนถามคนสนิทไป เห็นอีกฝ่ายหน้าเจื่อน แล้วมองไปยัง

เด็กร่างเล็กๆ ตัวขาวๆ ที่เห็นกันอยู่ไกลๆ จากนั้นก็ตอบกลับมาแบบ

ไม่กล้าสบตาอีก

“ผมเห็นไม่ชัดครับ แต่น่าจะประมาณ 13-14 ปี”

“ใช่เด็กเล็กๆ และดูเหมือนเพิ่งจะหย่านมได้ไม่กี่วันเอง นายก็รู้

ว่าฉันไม่ชอบเด็ก! ฉันไม่ชอบเด็กพอๆ กับไม่ใช้แรงงานเด็ก เพราะฉะนั้น

 

 

นายไปดูเบอร์พนักงานของเด็กคนนั้น แล้วแจ้งไปทางภัตตาคารทันทีว่า

อย่าได้เอาเด็กคนนั้นมาเหยียบที่ลาร์นาโดอีกเป็นอันขาด เพราะฉัน

ไม่ชอบ และถ้ามีการฝ่าฝืนคำสั่ง ฉันจะหันไปใช้บริการภัตตาคารอื่นที่

พร้อมจะตอบสนองความต้องการของฉันมากกว่านี้”

ธวาธิตกล่าวไปเสียงดุเด็ดขาด ทำให้บอดี้การด์ พยักหน้าเล็กน้อย

แล้วตอบกลับมาสั้นๆ

“ครับเจ้านาย”

บอดี้การ์ดรับคำเท่านั้นก็ไหว้วานคนให้ไปทำตามคำสั่งของ

เจ้านายทันที อะไรที่ธวาธิตต้องการนั้นจะต้องรีบเร่งทำการโดยด่วน

เพราะทายาทหมายเลขหนึ่งของลาร์นาโดนั้นเกลียดคำว่าเฉื่อยชาและ

การทำงานอย่างไร้ประสิทธิภาพเป็นที่สุด

 

 

นถนนริมทางเท้าเบื้องล่างของอาคารลาร์นาโดที่แสนจะ

หรูหราและโอ่อ่านั้น บัดนี้มีสตรีร่างเล็กบาง ผิวขาว ผมยาวดำขลับ

กำลังยืนชะเง้อคอมองอาคารสูงด้วยสายตาโกรธๆ ดวงตาที่ล้อมรอบ

ด้วยขนตายาวงอนเป็นประกายวาววับอย่างคับแค้นใจ ส่วนใบหน้า

นวลขาวนั้นก็เลอะเทอะมอมแมมไปด้วยคราบนํ้าตา ใครมองก็รู้เลยว่า

หล่อนเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหยกๆ เพราะขอบตากลมโตคู่นั้นมันยัง

แดงๆ อยู่เลย หน้าก็แดง ปากก็แดง จมูกก็แดง เรียกสายตาของใคร

ต่อใครให้มองมาที่เจ้าหล่อนเป็นจุดเดียว ผู้คนที่ผ่านไปมานั้นล้วนแล้ว

แต่สงสัยว่า สตรีร่างเล็กหน้าตาราวตุ๊กตาญี่ปุ่นคลุกฝุ่นผู้นี้มาทำอะไร

ที่หน้าตึกใหญ่โตของลาร์นาโดกันหนอ เพราะดูจากการแต่งตัวด้วย

 

 

เสื้อโคตสีมอๆ แล้วละก็ มั่นใจได้เลยว่าคงไม่ได้มาติดต่อด้านธุรกิจ

อย่างแน่นอน

ด้วยความที่เป็นคนตัวเล็กมาก เล็กราวกับลูกจิงโจ้น้อยที่ซุก

อยู่ในกระเป๋าหน้าท้องของมารดา ต่างจากคนยุโรปโดยส่วนใหญ่อย่าง

สิ้นเชิง และกิริยาที่ชะเง้อชะแง้คอมองขึ้นไปยังตึกสูงจนคอตั้งบ่านั้น

ทำให้ผู้คนส่งสายตาเวทนามาให้เธอเป็นระยะๆ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้สัก

นิดเดียว หลายคนที่ผ่านไปผ่านมานั้นไม่เข้าใจว่า เหตุใดแม่สาวเอเชีย

ร่างเล็กจึงมายืนร้องไห้ฟูมฟายอยู่หน้าตึกใหญ่โตอย่างลาร์นาโดนี้ได้

พลอยใสไม่รู้ตัวเองหรอกว่าสภาพของเธอนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เพราะ

เธอกำลังโกรธและโกรธ แล้วก็โกรธอีตาโรมหรือธวาธิต ลาร์นาโด

นักการเงินใจร้ายแสนเหี้ยมโหดคนนั้นนักหนา เขาคือบุรุษที่ใคร

ต่อใครลือกันเหลือเกินว่าหน้าเลือด พลอยใสคิดถึงบุรุษที่ชื่อธวาธิต

อย่างเดือดดาล เพราะเพียงค่ำคืนเดียวที่เพิ่งผ่านมาแค่หมาดๆ เท่านั้น

คืนที่เธอมีโอกาสได้มาเยือนที่ตึกอันใหญ่โตหรูหราของเขา แต่ก็ไม่ได้มา

อย่างทรงเกียรติอะไรนักหนาหรอก

พลอยใสมาที่นี่เพื่อทำงานเสิร์ฟอาหารนอกสถานที่ เหมือน

อย่างที่เธอเคยทำอยู่บ่อยๆ แต่แล้วนายธวาธิตนั่นก็ทำเอาเธอแทบ

กระอักเลือดตาย เธอมาทำงานของเธอดีๆ แท้ๆ แต่สุดท้ายกลับต้อง

ถูกไล่ออกเพราะเขา แล้วทีนี้หญิงสาวจะเอาอะไรกินเข้าไปล่ะ พลอยใส

คิดอย่างแค้นใจผู้ชายที่ชื่อโรมหรือธวาธิต ลาร์นาโดจับขั้วหัวใจ

พลอยใสเห็นเขาเมื่อคืนวานนี้แล้ว เห็นกันในระยะไม่ห่างนัก

แต่สาบานได้เลยว่าพลอยใสไม่เคยเฉียดกรายเข้าไปใกล้เขาแม้แต่น้อย

เลย และเธอก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาด้วยซํ้าไป ธวาธิต ลาร์นาโดเป็น

ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้มหล่อเหลาเอาการเลยทีเดียวละ

และที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าเขามีสองสายเลือดผสมกันอยู่ในตัวนั่นเอง

แต่ถึงจะดูหล่อเหลาจนตาพลิกตากลับขนาดไหน พลอยใสก็พอจะมอง

 

 

ออกว่าเขาเป็นผู้ชายที่ใจร้ายมาก

บุคลิกเขานิ่งและดูเย็นชามาก มันดูเย็นชาจนพลอยใสรู้สึกหนาว

แม้จะไม่ได้เฉียดกรายเข้าไปอยู่ใกล้ๆ รัศมีของอีกฝ่ายเลย ดวงตาคมเฉี่ยว

คู่นั้นมันบ่งบอกชัดเลยว่าเขาเป็นคนเลือดเย็น แล้วเขาก็เลือดเย็นจริงๆ

ด้วย เพียงแค่เห็นเธอเกะกะอยู่บนที่ทำงานของเขาเท่านั้น จู่ๆ เขาก็เกิด

ไม่ชอบใจเธอขึ้นมาโดยไมมี่สาเหตุ และคงจะไม่ชอบมากๆ ถึงได้ร้องเรียน

ไปยังภัตตาคารสาขาใหญ่ โดยสั่งเพียงสั้นๆ ว่าอย่าได้ให้เธอขึ้นไป

เสนอหน้าอยู่บนออฟฟิศของเขาอีก จนผู้จัดการสาขาที่เธอทำประจำ

อยู่โกรธจัด กล่าวหาว่าเธอทำให้เสื่อมเสีย และไล่เธอออกด้วยเหตุผล

ง่ายๆ ว่าทำให้ลูกค้าคนพิเศษอย่างเขาไม่ชอบใจ คนใจร้าย! คอยดูสิ

เขาจะต้องรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตเธอ คิดแล้วก็พา

ร่างอันเล็กบางซึ่งสวมชุดแสนจะเก่าปอนนั้นเข้าไปในอาคารหรูหรา

ใจกลางเมืองมิลานของตระกูลลาร์นาโด โดยไม่ได้หยุดคิดสักนิดเลยว่า

มันดูไม่เข้ากันกับความหรูหราของอาคารลาร์นาโดเลย

มาหาใคร?”

เสียงถามพร้อมกับบุรุษร่างสูงใหญ่สวมชุดสูทสากลหรูหรา

ซึ่งกำลังทำหน้าที่ยืนเฝ้าประตูทางเข้าตัวอาคารของลาร์นาโดดังขึ้น

ดวงตาสีเขียวคู่นั้นมองมาที่พลอยใสเขม็ง ทำราวกับว่าหญิงสาวเป็น

ตัวเม่นมีพิษ หรือกำลังจะบุกเข้าไปก่อการร้ายที่สถาบันการเงินลาร์นาโด

อย่างนั้นแหละ

“ฉันมาหาซินญอเร ธวาธิต ลาร์นาโด”

พลอยใสเชิดหน้าตอบเป็นภาษาอิตาเลียนกลับไป เพราะคิดว่า

เขาจงใจถามเธอภาษานี้ เหมือนกับจะดูถูกกันนิดๆ ว่า เธอฟังไม่ออก

 

 

อย่างแน่นอน แต่พอตอบกลับไปแล้ว ก็ต้องโกรธเอง เมื่อฝ่ายตรงข้าม

กวาดตามองมานิ่ง แล้วกล่าวเสียงหยามหยัน ทำราวกับเธอเป็นพวก

สัตว์เลื้อยคลานข้างถนน ทั้งๆ ที่อีตาคนเฝ้าประตูนี้มันก็ชนชั้นเดียว

กับเธอนี่แหละ แหมๆ เพียงแค่ได้มาทำงานที่ตึกลาร์นาโดเข้าหน่อย

ทำเป็นยืด เชอะ! หญิงสาวหน้าตึง เมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธตนกลับมาอย่าง

ไม่ลังเลสักนิดเลย

“เสียใจด้วย ซินญอร์ธวาธิต ลาร์นาโดไม่ออกมาพบคนเก็บขยะ

อย่างเธอหรอก มาทางไหนก็ไปทางนั้นเลยไป๊! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ใครจะมา

เดินเล่นได้ง่ายๆ มันเป็นที่ที่เขามาติดต่อเรื่องงานกัน อย่ามาทำตลก

แบบนี้ ไม่มีธุระอะไรก็อย่าได้เข้าไปวุ่นวาย!”

โอ๊ย! ปล่อยนะ อะไรกันนี่ ไอ้บ้า ไอ้หมูยักษ์ บอกให้ปล่อย”

หญิงสาวตะโกนออกไปอย่างโกรธๆ ทั้งดิ้นทั้งสะบัดตัวหนีเป็น

พัลวัน เมื่อคนเฝ้าประตูของลาร์นาโดหิ้วปีกตนออกมาอย่างไม่เกรงใจ

หลังจากนั้นเขาก็จับเธอโยนลงไปที่ริมฟุตปาท ทำราวกับเธอเป็นถุงขยะ

อย่างนั้นแหละ หญิงสาวจุกจนร้องไม่ออกเลยทีเดียว เมื่อตัวเองไปนั่งแหมะ

อยู่ที่ริมฟุตปาท พลอยใสโกรธจัดรีบเงยหน้าขึ้นหมายจะด่ามันให้หาย

แค้นใจ แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าถมึงทึงใส่เธอ แล้วด่าสวนขึ้นมาเสียก่อน

“กลับไปได้เลย เจ้านายฉันไม่สนใจเธอหรอก นังผู้หญิงขายตัว!”

หญิงสาวอ้าปากค้างไปเลย เมื่อถูกด่าว่าแรงๆ แบบนั้น

หลังจากนั้นไอ้คนที่มันด่าเธอก็เดินกลับไปยืนทำหน้าที่ของตัวเองต่อ

ที่หน้าประตู และด้วยความโมโหนี่เอง หญิงสาวจึงตะโกนโต้กลับไปบ้าง

“ไอ้หมูเฝ้าตึก ทุเรศที่สุด รังแกผู้หญิง”

แต่พอตะโกนไปแล้วก็ต้องคอย่น เมื่อมันมองมาตาลุก ท่าทาง

มันบอกชัดเลยว่าถ้าเธอพูดจาไม่ถูกหูอีกครั้งเดียว เป็นได้เจ็บตัวมากกว่านี้

แน่ๆ เมื่อทำอะไรไม่ได้จึงขึงตาใส่ แต่แล้วก็ต้องหน้าเจื่อน เมื่อมันตะโกน

กลับมาหวังประจานให้เธอได้อับอายบรรดาฝรั่งที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่

 

 

บริเวณนั้น

“นังโสเภณีปากมาก กลับที่ของแกไปซะ ก่อนที่ฉันจะหั่นแก

ออกมาเป็นชิ้นๆ วันๆ พวกแกคอยแต่เดินเข้ามาขอพบเจ้านายของฉัน

กี่คนต่อกี่คนแล้วก็ไม่รู้ มาทีไรก็ถูกจับโยนออกไปเหมือนเศษขยะเน่าๆ

เหม็นๆ ทุกที”

“ไอ้บ้า!” พลอยใสผรุสวาทออกมาอย่างคลั่งๆ มองอีกฝ่าย

ตาเขียวปั้ด แต่ก็เถียงอะไรไม่ทัน เมื่ออีกฝ่ายตะโกนกลับมาด้วยเสียง

ห้าวราวหมีเมาเหล็กในของผึ้ง

“โดนกันกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่รู้จักเข็ดจักจำกันซะที คอยดูนะ

วันหลังฉันจะจับแกและพรรคพวกของแกยัดเข้าตะรางเสียให้มันรู้แล้ว

รู้รอดไป จะได้ไม่มายอกย้อนทำให้ฉันเสียอารมณ์แบบนี้อีก นังผู้หญิง

หิวเงิน!”

นายหมียักษ์เมาเหล็กในของผึ้งเน้นเสียง แล้วจ้องมาที่พลอยใส

ที่ทำตาเหลือกเม้มปากใส่อย่างเอาเรื่อง

“ซินญอร์ธวาธิตเขาไม่กินอาหารเน่าเหม็น เชื้อโรคเยอะอย่าง

พวกแกหรอก ในเมื่อเขามีอาหารดีๆ มาเสนอให้กินถึงที่ไม่เว้นแต่ละวัน

เขาจะยื่นมือมาแตะต้องนังหนูผีแสนสกปรกแบบพวกแกทำไมกัน!”

เสียงคนเฝ้าประตูกล่าวมาอย่างเดือดดาล และมองเธอตาขวางๆ

พลอยใสก็เชิดหน้าต่อตาไม่ยอมแพ้ สักพักมันก็หรี่ตาลงมองเธอด้วย

สายตาดูแคลน แล้วกล่าวออกมานํ้าเสียงเย้ยหยันแกมรู้ทัน

“หน้าโง่! คิดหรือว่าฉันจะรู้ไม่ทันพวกแก นังโสเภณีชั้นต่ำ!

อย่ามาเสียเวลาหาเงินแถวนี้เลย ไป๊! ไปขายตัวให้พวกวัยรุ่นที่ชอบ

ขับรถซิ่งตามตรอกซอกซอยโน่นไป๊! ถึงพวกนั้นจะมีเงินน้อย แต่ถ้า

วันหนึ่งแกขยันรับทีละหลายๆ คน เงินมันก็จะเยอะไปเองนั่นแหละ”

“ไอ้หมูสกปรก! ไอ้หมียักษ์หัวเน่า เก็บคำๆ นี้ไปแนะนำเมีย

ของแกเองเถอะไป๊! ฉันไม่สนใจเสียงเห่าหอนของแกหรอกนะ”

 

 

หญิงสาวตะโกนด่ามันอีกหน โมโหที่มันหาว่าเธอเป็นโสเภณี

แต่คราวนี้มันไม่สนใจเธออีกแล้ว มันยืนนิ่งทำหน้าที่ของตนต่อไปเหมือน

ไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น พลอยใสหน้างํ้า ค้อนให้มันปะหลับปะเหลือก

และพอสำนึกได้ว่าตัวเองเป็นเหมือนอากาศธาตุเข้าไปทุกที จึงค่อยๆ

ลุกขึ้นยืนปัดเนื้อปัดตัวอย่างโกรธๆ หญิงสาวหน้าเหยปวดแปลบที่บริเวณ

สะโพก มันยอกๆ ขัดพิกล แหม! ก็เธอถูกเหวี่ยงออกมาใช่เบาๆ เสีย

เมื่อไรกันล่ะ หญิงสาวทรงกายลุกขึ้นอย่างลำบากยากเย็น พอยืนได้ที่แล้ว

ก็ก้มลงสำรวจดูสารรูปของตัวเองอีกครั้ง ว่าเธอนั้นแต่งกายยังไงกันแน่

ตรงส่วนไหนที่มันดูเหมือนโสเภณีบ้าง

ทุกอย่างก็มิดชิดเรียบร้อยดี กางเกงยีนเก่าปอนขายาว เสื้อยืด

ค่อนข้างใช้งานอย่างหนัก แล้วสวมทับด้วยเสื้อโคตสีมอๆ ตัวโปรด ก็

แหงละ มันจะไม่โปรดได้ยังไง ก็ตอนนี้เธอมีเสื้อโคตรแค่สามตัวผลัดเปลี่ยน

หมุนเวียนใช้มันไป แต่ดูให้ตายยังไงก็ไม่เห็นมีส่วนไหนที่มันจะโชว์เนื้อหนัง

มังสาเลยสักนิดเดียว อีตายักษ์เฝ้าประตูบ้านี่มันแยกไม่ออกจริงๆ หรือไง

ระหว่างความจนและคำว่าโสเภณี! คิดแล้วก็เม้มปากแน่น เจ็บใจนัก

โดนไล่ออกจากงานอย่างไม่มีเหตุผล แล้วยังต้องมาเจ็บตัวแต่เช้าอีก

นายธวาธิตนี่มันตัวซวยชะมัด หญิงสาวคิดแล้วมองไปทางคนเฝ้าประตู

คู่แค้นของตนอีกครั้ง หลังจากนั้นจึงบ่นออกมาอย่างผู้แพ้ ที่ทำอะไรใคร

ไม่ได้

“เชอะ! อีตาคนเฝ้าประตูจิตลามก คิดอกุศล คนมาขายตัว

เขาซอมซ่อแบบฉันกันหรือยังไงยะ มีแต่จะทำให้สวยๆ แต่งหน้าเยอะๆ

ใส่นํ้าหอมแพงๆ ให้ผู้ชายเขาสนใจกันทั้งนั้น”

หญิงสาวบ่นออกมาเป็นภาษาไทยหน้าตึง ที่หญิงสาวคิดแบบนี้นั้น

ก็เพราะเธอไม่รู้มาก่อนเลยว่า ผู้หญิงที่เข้ามาหาธวาธิตนั้นมีร้อยแปดวิธี

จนคนของเขาเอือมระอาที่จะสกัดกั้นกันแล้ว พอเบื่อขึ้นมาก็หิ้วปีกจับโยน

ออกมาจากลาร์นาโดเสียเลย เหมือนอย่างที่เธอโดนอยู่นี่แหละ พอพลอยใส

 

 

ค่อนอีตานั่นเสร็จก็ถอนใจอย่างท้อแท้ ปากก็บ่นกระปอดกระแปด ค้อนลม

ค้อนแล้งไปตามเรื่อง

“โธ่เอ๊ย! คนหาเช้ากินค่ำเหมือนกันแท้ๆ กลับไม่เห็นใจถามไถ่กัน

สักนิดเลย อ้าปากพูดไปได้ไม่กี่คำก็จับโยนออกมาเสียแล้ว อู๊ย! เจ็บ

สะโพกชะมัดยาดเลย”

หญิงสาวกล่าวพร้อมทำหน้านิ่ว แต่สมองก็ยังไม่หยุดคิดว่าตน

จะเข้าพบธวาธิตได้อย่างไร เธอต้องการคำอธิบายจากธวาธิตว่าเธอทำ

อะไรผิดกันแน่ และพลอยใสได้ไปล่วงเกินหรือทำอะไรที่ขัดหูขัดตาเขา

นักหนากัน ธวาธิตจึงได้ร้องเรียนไปยังสาขาใหญ่ จนหญิงสาวต้องถูก

ไล่ออกแบบนี้ พลอยใสคิดอย่างกลุ้มๆ นี่ถ้าเธอไม่ได้งานภายในอาทิตย์นี้

วินซาโตพ่อเลี้ยงที่หอบหิ้วเธอและมารดามาอยู่ถึงอิตาลีคงต้องบ่นกัน

จนหูจมแน่ เผลอๆ ก็จะพาลกับมารดาเธออีกว่า สอนลูกสาวยังไงถึงได้

ทำงานไม่ทน

คิดแล้วก็ยิ่งกลุ้มใครว่าคนไทยได้สามีฝรั่งดี วินซาโตบิดาเลี้ยง

ของเธอนี่มันแมงดาชัดๆ ตอนไปเที่ยวเมืองไทยก็ทำตัวหรูหรา ใช้เงิน

เป็นว่าเล่น ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ เอาใจสารพัด จนแม่เธอหลงกลยอม

แต่งงานด้วย แต่พอเขาพาเธอและมารดามาอยู่อิตาลีเท่านั้น ก็เริ่มปฏิบัติ

กับเธอและมารดาเยี่ยงทาสแม่เธอต้องไปทำงานโรงงานผลิตของชำร่วย

ไม่ค่อยได้มีเวลาพักผ่อน ต่อมาอีกสองปีหลังจากนั้น พลอยใสก็ต้องมา

ทำงานที่ห้องอาหาร ทั้งที่มันเป็นวัยเรียนของเธอแท้ๆ

ส่วนวินซาโตนะหรือ เขาก็ใช้เงินที่เธอและมารดาช่วยกันหามา

นั่งจิบไวน์เล่นอยู่ที่บ้าน เขาสบายจะตายไปตั้งแต่ที่มีเธอและมารดามา

อยู่ด้วย วินซาโตให้เธอและมารดาหาเลี้ยงตัวเอง แล้วไอ้โรงงานผลิต

ของเล่นอะไรๆ ที่เขาคุยเอาไว้ตอนไปเที่ยวเมืองไทยน่ะก็โม้ทั้งนั้น

หญิงสาวคิดอย่างแค้นๆ บิดาเลี้ยง เพราะนอกจากเขาจะใช้งานเธอแล้ว

หลังๆ มายังชอบมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ ยิ่งเวลาไหนที่มารดาไป

 

 

ทำงานด้วยแล้ว บิดาเลี้ยงมักมองเธอด้วยสายตาโลมลูบ หาทางเข้าใกล้

เธอเสมอ

หนักเข้าพลอยใสก็ออกมาอยู่อพาร์ตเมนต์กับเพื่อนเสียเลย

เพื่อตัดปัญหาพ่อเลี้ยงจ้องจะเอาลูกเลี้ยงทำเมียอีกคน พลอยใสคิด

แล้วถอนใจ ครั้นจะบอกมารดาก็เกรงว่าท่านจะไม่สบายใจ จึงจำต้อง

กัดฟันทนเอาคิดแล้วเจ็บใจผู้ชายพวกนี้นัก วินซาโตก็เลว ธวาธิตก็ใจร้าย

เธอขอสาปส่งสองคนนี้ให้ลงนรกไปเลย โดยเฉพาะธวาธิต รู้จักกันก็

ไม่รู้จัก แต่เขาก็ยังกลั่นแกล้งเธอ ใช้สิทธิ์ของลูกค้ารายใหญ่ให้เจ้านาย

ไล่เธอออก ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ พลอยใสมองตึกใหญ่โตอีกครั้งแล้วกัดฟัน

กรอด

“อย่าให้เจอนะนายธวาธิต ฉันไม่กลัวนายหรอก คนบ้า! คิดว่า

มีเงินแล้วก็จะรังแกใครก็ได้อย่างนั้นหรือ”

หญิงสาวบ่นไปเดินไปตามริมทางเท้า ต่อมาสายตาก็เหลือบ

ไปเห็นรถลีมูซีนสีดำมันปลาบวิ่งผ่านสายตาไป แต่บุคคลที่นั่งอยู่ด้านหลัง

นี่สิ ธวาธิต ลาร์นาโด เธอจำเขาได้ บุรุษที่มีบุคลิกเย่อหยิ่งยโส มองคนอื่น

ด้วยหางตา พอรถเขาแล่นเลยผ่านไป และวิ่งเข้าตัวตึก ซึ่งแน่นอนว่า

เป็นลานจอดรถอย่างไม่ต้องสงสัย เท้าของพลอยใสก็ไวเท่าความคิด

หญิงสาวรีบวิ่งตามไปทันที เธอต้องพบเขาให้ได้ อย่างน้อย

เธอต้องรู้ว่าเหตุใดตัวเองถึงถูกไล่ออกจากงาน เธอทำผิดอะไร เขาจึง

ไม่พอใจแบบนี้ แล้วถ้าเขายังมีความเมตตาบ้าง หญิงสาวก็จะขอให้เขา

บอกเจ้านายของเธอให้รับตนเองเข้าทำงานอีกครั้ง อย่างน้อยเขาก็น่าจะ

คิดได้บ้าง เพราะตัวเองก็มีสายเลือดไทยอยู่ในตัวเหมือนๆ กันกับเธอ

ตั้งครึ่งหนึ่ง พลอยใสจะต้องเจรจากับเขาให้ได้ งานเดี๋ยวนี้ใช่หาได้ง่ายๆ

ที่ไหนกัน

 

 

ณะที่พลอยใสกำลังหาทางเล็ดลอดเข้าไปยังลานจอดรถ

ของตึกลาร์นาโดอยู่นั้น ร่างสูงสมาร์ตในชุดสูทสากลสีดำหรูก็กำลัง

ก้าวออกมาจากลีมูซีนด้วยท่วงท่าที่สง่างาม เขาดูหล่อเนี้ยบและเฉียบขาด

ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเลยทีเดียว และพอเขายืดกายเต็มความสูง

ได้เท่านั้น ธวาธิต ลาร์นาโดก็กวาดตามองทุกๆ อย่างรอบกายด้วยสายตา

เรียบสงบและเยียบเย็น ซึ่งใบหน้าและท่าทางแบบนี้อยู่คู่กับเขามาตั้งแต่เกิด

และดูเหมือนมันจะเพิ่มระดับความกร้าวกระด้างและเย็นชาปานหน้ากาก

นํ้าแข็งมากขึ้นทุกที ดวงตาคมกริบที่กวาดมองไปรอบๆ ตัวอาคารอย่าง

สำรวจตรวจตรานั้น มันยากเกินกว่าที่ผู้คนจะคาดเดาใจได้ว่า เขากำลัง

อยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่

หลังจากที่ธวาธิตได้ทำการสำรวจทุกอย่างภายในลานจอดรถ

ด้วยสายตาจนถ้วนทั่วแล้ว ร่างสูงก็เดินไปยังลิฟต์ด้วยท่วงท่าสง่างาม

ไร้ที่ติ ตลอดทางที่เขาเดินผ่านคนของตนนั้น ธวาธิตรู้สึกดีและสบายตา

อย่างถึงที่สุด เพราะแม้แต่คนเฝ้าลานจอดรถของบริษัทเขาเองก็ยัง

แต่งกายด้วยชุดสูทหรูหรา สำหรับธวาธิตแล้ว ทุกอย่างต้องดูดีเสมอ

พนักงานคนแล้วคนเล่าโค้งให้เขาอย่างสุภาพ แต่ผู้เป็นนายก็หาได้

สนใจไม่ เดินนิ่งเหมือนมองไม่เห็นหัวใครทั้งสิ้น และนี่แหละคือนิสัย

ของเขา โรมมองไปรอบๆ สถาบันการเงินที่เขากุมบังเหียนอยู่อย่างพอใจ

ทุกอย่างสะอาด ดูดี เนี้ยบ สมกับเป็นสถาบันการเงินอันดับหนึ่ง ใคร

เข้ามาติดต่อก็ไม่อาย พนักงานของเขาทุกคนแต่งตัวโก้หรูตามที่เขา

ต้องการ ไม่มีพวกหนูสกปรกที่อยู่ตามท่อนํ้ารั่วมาวิ่งพล่านให้เกะกะตา

ที่อาคารลาร์นาโดเลย

ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะทุกคนที่เข้ามาขอกู้เงินนั้นต่างดูดีมีระดับ

มีกิจการใหญ่โตทั้งสิ้น บริษัทของเขาไม่อนุญาตให้ใครมาเดินเล่นง่ายๆ

โรมคิดแล้วเดินบ่าตั้งหลังตรงไปยังลิฟต์เฉพาะส่วนของผู้บริหาร พนักงาน

หน้าลิฟต์ที่แต่งสูทหรูไม่แพ้คนอื่นๆ โค้งให้เขาอย่างสวยงาม สมกับที่ถูก

 

 

อบรมมาเป็นแรมเดือนก่อนให้เข้าทำงานกันจริงๆ ทุกอย่างสำหรับเช้าวันนี้

ราบรื่นเป็นปกติดี แต่พอลิฟต์เปิด และเขากำลังก้าวขาไปเท่านั้นเอง

ธวาธิตก็ต้องชะงัก เริ่มได้กลิ่นไม่ดีแล้ว

“หยุดก่อน!”

เสียงนั้นทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันมุ่น โรมยืนนิ่งอยู่หน้าลิฟต์

แปลกใจว่าผู้หญิงที่ไหนมาตะโกนเป็นภาษาไทยดังลั่นลานจอดรถของ

เขาแบบนี้ แถมสำเนียงไทยนั้นฟังชัดเจนทีเดียวว่านั่นคือคำสั่ง ไม่ใช่

การขอร้องวิงวอน และคนอย่างนายโรมหรือธวาธิตนั้นก็ไม่ชอบให้ใคร

มาสั่งเสียด้วยสิ คิดได้เท่านั้นก็กัดฟันกรอด

ดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวเวหานั้นลุกวาวอย่างไม่พอใจ หันไปยัง

ที่มาของเสียงโดยเร็ว แล้วก็เห็นสตรีนางหนึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ร่างหล่อน

เล็กบางต่างจากสาวๆ แถบนี้ลิบลับ ริมฝีปากได้รูปเม้มเข้าหากันสนิท

นึกตำหนิในใจว่าใครปล่อยให้แม่หนูสกปรกคนนี้มาวิ่งเพ่นพ่านในสถาบัน

การเงินเขากัน หล่อนวิ่งผ่านพนักงานเขามาได้ยังไง จะมาเสนอขายตัว

ให้เขาแบบที่ผ่านมาอีกแล้วหรือ แต่จะมาเสนอตัวทั้งที ทำไมถึงได้ไม่รู้จัก

ล้างคราบโคลนจากท่อนํ้าเน่าออกเสียล่ะ

ให้ตายสิ! พวกโสเภณีนี่น่ารำคาญที่สุด มาปั่นป่วนเขาให้เสีย

อารมณ์แต่เช้าเลย พวกนี้ขยันสังเกตดีจริงๆ ว่าเขาจะเข้าจะออกเวลา

ไหน

เมื่อรู้ว่าจะมีผู้หญิงมาเสนอตัวให้แต่เช้า ธวาธิตเลยไม่สนใจ

รีบก้าวเข้าไปในลิฟต์อย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็ต้องเม้มปากแน่นเมื่อหล่อน

ออกคำสั่งส่งมาอีกหน

“อย่าเพิ่งไป หยุดเดี๋ยวนี้นะนายธวาธิต”

เสียงหล่อนยังดังขึ้น พร้อมกับอาการวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา

หาเขา อวดดี! โรมคิดอย่างไม่ชอบใจ แม่หนูสกปรกนี่กำลังสั่งใครอยู่กันแน่

เพราะว่ามันมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่สามารถฟังภาษาไทยได้ จริง

 

 

สินะ หล่อนเสี่ยงตายเพื่อมาขายตัวให้เขา อย่างน้อยก็คงจะรู้มาก่อนว่า

เขาเข้าใจภาษาไทยและพูดไทยได้ราวกับคนอยู่เมืองไทยมาตั้งแต่เล็ก

เชียวละ และหล่อนก็จงใจสั่งเขาด้วยภาษาไทย เพื่อจะให้เขาสะดุดใจ

และหันหลังกลับไปเหลียวแล ซึ่งมันก็เป็นความคิดที่ใช้ได้ซะด้วย โรม

คิดและบอกตัวเองเสร็จสรรพ ดวงหน้าคมคายบาดจิตเพิ่มความดุกระด้าง

และบึ้งตึงมากขึ้น เขาหันกลับไปมองเจ้าหน้าที่กดลิฟต์ แล้วเอ่ยไปเสียง

แข็งๆ

“ลากแม่หนูจากท่อนํ้ารั่วที่ตะโกนเอะอะโวยวายอยู่นั่นให้ตาม

ขึ้นไปพบฉันด้วย”

กล่าวเท่านั้นธวาธิตก็เดินเข้าไปภายในลิฟต์ โดยมีพนักงาน

อำนวยความสะดวกคอยกดลิฟต์ปิดให้ และขณะที่ประตูลิฟต์กำลัง

จะปิดลงนั้นเอง หน้าคมเข้มของหนุ่มลูกผสมก็ต้องบึ้งตึงอีกครั้ง เมื่อ

แม่หนูที่โผล่ออกมาจากท่อนํ้ารั่วร้องวี้ดใส่เขา อย่างไม่มีความเกรงใจ

เลยว่า ใครกันแน่คือเจ้าของตึกแห่งนี้

“อย่านะนายธวาธิต ไอ้คนเฮงซวย! จะหนีไปไหน ฉันมีเรื่อง

สำคัญมากนะ ไอ้...

ก่อนที่เขาจะได้ยินวาจาแสบสันของพวกชนชั้นท่อนํ้ารั่ว

มากไปกว่านี้ ประตูก็ปิดลงเสียก่อน ร่างสูงที่อยู่ในลิฟต์กำหมัดแน่น

เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าด่าเขาเลยสักคน แต่ผู้หญิงขายตัวคนนั้น

ถึงกับขึ้นไอ้กับเขาเชียวหรือ บังอาจมากไปแล้ว ตัวเองมีอะไรดีนักหนา

กันเชียว นุ่งผ้าราวกับผ้าขี้ริ้ววิ่งเข้ามาในสถาบันการเงินชั้นนำของเขา

แล้วก็ยังมาขึ้นไอ้นั่นไอ้นี่กับเขาอีก

คิดว่าเขาไม่สันทัดภาษาไทยนักหรือยังไงล่ะ นึกอยากจะพ่น

อะไรออกมาก็พ่น เดี๋ยวจะรู้สึก! เป็นผู้หญิงไทยแล้วยังไง เขาจะเลือก

หล่อนหรือ ในเมื่อมีผู้หญิงเข้ามามากหน้าหลายตาไม่เคยขาด อยู่ที่นี่

ใช่จะอดสตรีไทยที่ไหนกัน สาวเอเชียเพียงแค่ออกปาก คนของเขาก็

 

 

เอาไปประเคนให้ถึงอพาร์ตเมนต์หรูที่เขาซื้อไว้สำหรับใช้ทำกิจกรรม

แบบนี้โดยเฉพาะแล้ว คนอย่างธวาธิตไม่มีออกเที่ยวไปเพ่นพ่านตาม

โรงแรมให้ใครครหาหรือเอาไปลือกันสนุกปากแน่

เขาทำทุกอย่างระวังเสมอ ไม่อย่างนั้นคงไม่อยู่ด้วยภาพพจน์

เลิศหรูแบบทุกวันนี้หรอก ไม่ใช่น้องชายสองคนของเขาที่ขยันเป็นข่าว

จนบิดามารดาปวดหัว เขาเป็นพี่ชายใหญ่จะทำอะไรแบบนั้นไม่ได้ ภาพพจน์

ของนักการเงินต้องดูดีน่าศรัทธาเสมอ ธวาธิตคิดแล้วเดินบ่าตั้งหลังตรง

ไว้สง่าอีกครั้ง เมื่อถึงชั้นของตน ชายหนุ่มจึงก้าวออกไปยังพื้นพรมหรู

ท่ามกลางสายตาของเจ้าหน้าที่ระดับผู้บริหาร และเพียงเขาตวัดสายตาคม

ไปมองเท่านั้น ทุกคนก็ก้มหน้าหัวหดกันเป็นรายๆ ไป

อ้คนบ้า! อย่าหนีสิ ทำกับฉันถึงขนาดนี้แล้วหนีกันง่ายๆ ได้

ยังไง บัดซบจริงๆ เลยนายธวาธิต ไอ้คนเฮงซวย ฉันไม่ใช่พวกสัตว์เลื้อยคลาน

ที่อยู่ตามพื้นดินนะ ถึงมองกันด้วยหางตา แล้วก็เดินหนีไปแบบนี้ ฉันก็

เป็นคนเหมือนนายนั่นแหละ หรือนายคิดว่าตัวเองเป็นเทวดาไปแล้ว ถึงได้

มามองฉันด้วยสายตาแบบนี้ นายธวาธิต”

พลอยใสตะโกนกระฟัดกระเฟียด มองลิฟต์ที่ปิดลงกระหืด

กระหอบ รู้ว่าด่าไปก็ไร้ประโยชน์เพราะเขาไปแล้ว แต่เธอก็ยังอยากด่า

“นายธวาธิต ฉันรู้นะว่านายฟังภาษาไทยออก ไอ้คนเฮงซวย

คงจะชอบคุยแต่เรื่องเงินทองอย่างเดียวสินะ เรื่องอื่นไม่สนใจเลย โธ่!

แล้วทีนี้ฉันจะทำยังไงล่ะ ไอ้คนบ้า!”

พลอยใสบ่นออกไปอย่างแค้นๆ เท้าสะเอวมองไปยังลิฟต์

ตาขวางอีกครั้ง เมื่อคนบ้าหัวหดนั่นเดินหายลับไปในลิฟต์หน้าตาเฉย

เขาไม่สนใจเสียงเรียกของเธอเลยแม้แต่น้อย เธอรู้ดีว่าเขาฟังภาษาไทย

ออก พวกลาร์นาโดทั้งสามคนมีมารดาเป็นคนไทย และเรียนรู้ภาษาแม่

 

 

ของตัวเองหมดทั้งสามคน เรื่องนี้ใครเขาก็รู้กันทั้งนั้น แต่หมอนี่กลับทำ

เหมือนฟังเธอพูดไม่ออก หญิงสาวคิดแล้วกระทืบเท้าไปมาอย่างขัดใจ

แต่ก็เอะอะโวยวายได้ไม่นาน พลอยใสก็ต้องตกใจ เมื่อมีบุรุษแต่งสูทหรู

เดินเข้ามาแล้วคว้าต้นแขนเธอเอาไว้

“มานี่เลยแม่โสเภณีจอมโวยวาย คงได้สนุกแน่ๆ แม่หนูท่อนํ้า

รั่ว เจ้านายฉันบอกให้ลากคอเธอขึ้นไปหา แต่ฉันขอแนะนำนะว่า อย่า

ได้ไปเอะอะโวยวายอะไรต่อหน้าเจ้านายของฉันอีก เพราะว่าซินญอร์ธวาธิต

น่ะเขาเป็นคนขี้รำคาญ”

“เจ้านาย?”

พลอยใสทวนคำคนพูดงงๆ สักพักดวงตากลมโตก็สว่างวาบ

ขึ้น เจ้านายของนายคนกดลิฟต์ที่แต่งตัวราวกับนักธุรกิจใหญ่นี้ก็คือ

นายธวาธิต ลาร์นาโดน่ะสิ และเจ้านายของเขาก็ให้นายคนนี้ลากเธอ

ขึ้นไปหาซะด้วย แหม! ดีเลย คราวนี้ละโอกาสเป็นของเธอแล้ว เธอจะได้

คุยกับเขาให้รู้เรื่องไปเลย หญิงสาวคิดอย่างพอใจ รีบสะบัดแขนให้หลุด

จากการเกาะกุมของอีกฝ่าย จากนั้นก็เชิดหน้าขึ้น กล่าวไปด้วยสุ้มเสียง

ไม่ชอบใจนัก แถมยังมองอีกฝ่ายด้วยหางตา เลียนแบบสายตาของ

นายธวาธิตที่มองเธอเมื่อครู่นี้ด้วย

“ไม่ต้องถึงกับลากคอกันหรอก ฉันไปดีๆ ก็ได้”

กล่าวจบพลอยใสก็เดินเชิดหน้านำอีกฝ่ายไปเสียเอง ถึงเธอ

จะจนแต่ก็หยิ่ง! ใครมันจะมีปัญหากับความอวดดีของเธอก็ช่างหัวสิ!

คิดแล้วก็เดินเข้าไปในลิฟต์ โดยมีอีตาพนักงานนั่นเดินตามมาไม่ห่าง

เรียกว่าอยู่ในสายตากันตลอด สงสัยคงกลัวว่าเธอมีแผนจะมางัดตู้เซฟ

ของที่นี่ล่ะมั้ง พลอยใสคิดแล้วก็หน้าตึง เชิดหน้าขึ้นสูง ทำเป็นไม่สนใจ

สายตาที่มองมาหมิ่นๆ ของพนักงานกดลิฟต์

โธ่! พนักงานเสิร์ฟกับคนกดลิฟต์นี่มันแตกต่างสูงส่งกว่ากัน

ขนาดไหนเชียว ลูกน้องยังเท่านี้ แล้วเจ้านายจะขนาดไหน เฮ้อ!’

 

 

คิดแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองดูว่าลิฟต์ถึงชั้นไหนแล้ว อดตื่นเต้นนิดๆ

ไม่ได้ ที่จะต้องเผชิญหน้ากับนักการเงินมากความสามารถแห่งปี คิดแล้ว

เหมือนตัวเองเป็นหนูสกปรกที่เที่ยวมาวิ่งเพ่นพ่านตามปราสาทราชวัง

ไม่มีผิด

ายในตัวอาคารสูง พนักงานกดลิฟต์พาพลอยใสขึ้นมายัง

ห้องที่ติดฮีตเตอร์แสนจะอุ่นสบาย มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของลาเวนเดอร์

รวยระรินออกมาเป็นระยะๆ หญิงสาวถึงกับอดใจไม่ไหว ต้องสูดลมหายใจ

เข้าไปจนเต็มปอด แต่ก็รู้สึกสดชื่นดื่มด่ำกับสิ่งดีๆ ได้ไม่นาน เมื่อมี

เสียงหนึ่งแทรกขึ้นทำลายบรรยากาศซะก่อน

“พาใครขึ้นมา?”

เสียงถามห้วนจัดของบุรุษที่นั่งอยู่หน้าประตูห้องนั้นทำให้

พนักงานกดลิฟต์ที่เดินนำพลอยใสเข้ามาภายในห้องถึงกับชะงักไป

หญิงสาวรู้สึกว่าเขาออกอาการตัวลีบเล็กลงในทันใด เมื่อเผชิญหน้ากับ

บุรุษที่มองปราดเดียวก็รู้ว่านั่นคือเลขาฯ หน้าห้อง

“อ...เอ่อ...”

เสียงอีตาพนักงานกดลิฟต์อึกๆ อักๆ ท่าทางหนาวๆ ร้อนๆ กับ

สายตาเยียบเย็นของเลขาฯ หน้าห้อง ตรงกันข้ามกับพลอยใสที่เบ้ปาก

นิดๆ ไม่สนใจ หญิงสาวมองทุกอย่างรอบกายอย่างตื่นตา โอ้โฮ! พวก

ลาร์นาโดนี่คงรวยใช่ย่อยเลยแฮะ ของตกแต่งออฟฟิศแต่ละอย่างนี้

ล้วนสวยๆ แล้วก็คงจะแพงๆ ทั้งนั้น หญิงสาวไปสะดุดตาเข้ากับภาพวาด

อัศวินขี่ม้าขาวตรงผนังห้อง เธอมองมันอย่างชื่นชม แต่แล้วก็อารมณ์ดี

ได้ไม่นาน ชักเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง กับเสียงเลขาฯ ที่ดังขึ้น

“สกปรก! เหมือนพวกหนูที่เพิ่งวิ่งขึ้นมาจากท่อนํ้าเน่า เสื้อผ้านี่ก็

ไปขุดมาจากไหนก็ไม่รู้ เก่าเหมือนกับผ้าขี้ริ้ว คนแบบนี้ไม่ได้มาติดต่อ

 

 

ธุรกิจหรอก จะพาขึ้นมาทำไมกัน พวกโสเภณีข้างถนนอยากได้เศษเงิน

ของซินญอร์ธวาธิตอีกน่ะสิ ไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของโสเภณีชั้นต่ำ

พวกนี้อีกแล้ว ขนาดพวกดารานางแบบมาเสนอตัว เจ้านายของฉันยัง

ไม่เอาเลย กลับไปซะ แล้วก็ลากนังหนูเหม็นนี่ออกไปด้วย”

พลอยใสได้ยินดังนั้นก็เม้มปากแน่น ลองแบบนี้จะว่าใครล่ะ

นอกจากเธอ มันหลายครั้งแล้วนะ ที่คนพวกนี้ยัดเยียดอาชีพโสเภณี

ให้เธอ หญิงสาวหน้าตึงหันขวับไปต่อตาเยียบเย็น หยามหยันของอีกฝ่าย

อย่างโกรธๆ สักพักก็โวยวายอย่างหัวเสีย

“อ้าว! พูดจาให้สวยๆ หน่อยสิ ใครกันที่เป็นโสเภณี แล้วใคร

กันที่มันเป็นหนูเหม็น”

หญิงสาวกล่าวถามฉุนๆ ถึงจะเล็กแต่ก็เล็กพริกขี้หนู เธอ

ไม่ยอมให้ใครมาดูถูกง่ายๆ เหมือนกัน พอย้อนไปก็เห็นอีตาเลขาฯ

หน้าห้องมองมาโกรธๆ จึงต่อตาไม่หวั่น แต่ก่อนที่ศึกจะบานปลาย

มากไปกว่านี้ เสียงอีตาคนกดลิฟต์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

“เอ่อ...นายสั่งให้พาขึ้นมาครับ”

เสียงเจ้าคนกดลิฟต์รีบบอกไป พร้อมหันมาถลึงตาใส่เธอที่

กำลังทำท่าจะเถียงกลับ หญิงสาวหน้างอ เห็นเลขาฯ ผมทองหน้าห้อง

ประธานใหญ่หรี่ตามองเธออีกครั้ง

“ซินญอร์ธวาธิตอนุญาตให้เข้าพบจริงๆ หรือ แกแน่ใจนะ”

เลขาฯ ถามยํ้า แล้วกวาดตามองพลอยใสปราดๆ ราวกับกลัวว่า

หากมองนานกว่านั้นจะเสียสายตา

“มอมแมมเหมือนกับพวกเด็กกวาดถนน หน้าตาก็ซีดๆ เหลืองๆ

แก้มก็เลอะเทอะ มีรอยยาวเป็นทางเกรอะกรังยังกับคราบนํ้านมเน่า!

เจ้านายเราจะเรียกขึ้นมาทำไม แกเข้าใจผิดหรือเปล่า ไม่เห็นนายบอก

อะไรกับฉันเลยสักคำเดียว!”

“จริงๆ ครับ ซินญอร์ธวาธิตสั่ง ผมได้ยินเต็มสองหู ไม่อย่างนั้น

 

 

คงไม่กล้าพาขึ้นมาเหยียบถึงชั้นนี้หรอก พวกเราก็รู้ดีว่าซินญอร์ธวาธิต

ไม่ชอบเรื่องตลก ผมคงไม่กล้าเสี่ยงกับการถูกไล่ออกหรอกถ้าไม่มีคำสั่ง”

เสียงพนักงานกดลิฟต์กล่าวยืนยัน เห็นหมอนั่นมองเธออย่าง

ลังเลสักพัก แล้วก็กระแทกเสียงใส่เธอ โดยสายตายังมองกันหยามหยัน

ไม่แปลงเปลี่ยน

“นั่งลงก่อน! เดี๋ยวฉันจะไปถามเจ้านายเอง ถ้าท่านไม่สั่ง แก

สองคนโดนจับโยนออกไปอย่างแน่นอน แล้วแกคนที่พาหล่อนขึ้นมา

ก็จะต้องถูกไล่ออกไปอย่างไม่มีข้อแม้”

เสียงท้ายประโยคนั้น เลขาฯ เจาะจงพูดกับคนกดลิฟต์โดยเฉพาะ

ทำเอาอีกฝ่ายหน้าเจื่อนรีบก้มหน้าก้มตา แต่พลอยใสไม่สนใจหรอก

เชอะ! ว่าเธอมอมแมม ไม่มอมได้ยังไง พอรู้ข่าวว่าโดนไล่ออก เธอ

ก็ร้องไห้ตั้งแต่ที่ทำงานยันตึกลาร์นาโด คิดแล้วก็มองไปยังเก้าอี้หรู

ตรงกันข้ามกับโต๊ะของเลขาฯ ปากเสีย หย่อนกายลงไปทำท่าจะนั่งให้

สบายเสียหน่อย แต่ก้นยังไม่ทันถึงเก้าอี้ด้วยซํ้าไป อีตาเลขาฯ นั่นก็

ร้องโวยวายเอะอะดังลั่น ทำราวกับว่าเธอกำลังลงมือวางเพลิงบนตึก

ลาร์นาโดอย่างนั้นแหละ

“หยุด! อย่านั่งตรงนี้เชียวแม่นํ้านมเน่า เก้าอี้นี้เขามีไว้คุยเรื่อง

การเงินกันเท่านั้น โน่น! เธอไปนั่งรอตรงโน้น ไม่ได้มาติดต่อธุรกิจแถมยัง

มอมแมมขนาดนี้ อย่ามานั่งเก้าอี้ตรงนี้ ใครผ่านไปผ่านมาเห็นเข้า

เสียภาพพจน์หมด”

เสียงกล่าวพร้อมกับกิริยาโบกมือไล่ ทำให้พลอยใสถอนใจ

หญิงสาวหน้าบูดขึ้นมาอย่างเปิดเผย มองตามมือที่ชี้ไปด้านนอก ก็ถึงกับ

เม้มปากแน่น เขาไล่ให้เธอไปนั่งเก้าอี้ยาวที่เรียงกันเป็นแถวสำหรับรับแขก

ทั่วๆ ไป ซึ่งอยู่นอกห้องโน่น อีตาบ้า! เห็นคนด้อยกว่าตัวเข้าหน่อย ก็

เลือกปฏิบัติเชียว หญิงสาวคิดอย่างโกรธๆ แล้วหันไปมองเขาหน้าตึง

จากนั้นก็กระแทกเสียงใส่อย่างจำยอม นี่ถ้าไม่หวังเจรจากับนายธวาธิต

 

 

ละก็ แม่จะวีนให้ออฟฟิศพังเชียว

“ไปก็ได้ เชอะ!”

พลอยใสกล่าวกระแทกกระทั้นแล้ว มองคนพวกนี้อย่างอาฆาต

จากนั้นก็กล่าวไปตามภาษาคนขุ่นเคือง แต่ในใจไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น

“คอยดูสิ! ถ้าฉันได้เป็นซินญอรา ลาร์นาโดเมื่อไร จะบอก

เจ้านายของพวกแกให้ไล่ออกไปให้หมดเลย”

กล่าวไปก็รู้ว่าคิดผิดถนัด หญิงสาวต้องอับอายเป็นร้อยเท่า

เมื่อทั้งสองคนหัวเราะใส่ตนอย่างขบขันแกมสมเพชในถ้อยคำของเธอ

สักพักไอ้เลขาฯ ตัวแสบก็เอ่ยขึ้น

“อย่างเธอเจ้านายฉันคงกลืนเข้าไปลงหรอกนะแม่นํ้านมบูด

ฝันเอาก็แล้วกันนะกับตำแหน่งซินญอราลาร์นาโด ออกไปได้แล้ว ไปอยู่

ที่ของเธอตรงโน้น แม่หนูสกปรกที่โผล่ออกมาจากท่อนํ้ารั่ว แถมช่างฝัน

อีกด้วย เป็นซินญอราลาร์นาโดหรือ คงจะมีวันของเธอหรอกนะ”

พอถูกเหยียดหยามอีกรอบ หญิงสาวจึงมองสองคนสลับกัน

ไปมาตาเขียวปั้ด แต่ก็ยอมเดินจากไปดีๆ ได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยมาก็

เจ็บใจ นี่ถ้าได้เป็นอย่างที่เผลอพูดไปจริงๆ ละก็ เธอจะดีดไอ้สองคนนี้

ออกไปเป็นอันดับแรกเลยเชียว หญิงสาวคิดแค้นๆ แล้วมองคนทั้งสอง

อย่างโกรธๆ ก่อนจะเห็นไอ้เลขาฯ ปากเน่านั่นเดินเข้าไปในห้องทำงาน

ของเขา

“ไอ้อ้วนจอมเบ่ง”

หญิงสาวนินทามันระยะไกลๆ อย่างโกรธๆ เห็นมันหันมาถลึงตา

แยกเขี้ยวเหมือนจะฆ่าเธอ ริมฝีปากเล็กบางจึงยื่นตูม แล้วแสร้ง

ลอยหน้าลอยตาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

แหม! ก็มันอ้วนจริงๆ นี่นา

คิดได้เท่านั้นก็กระหยิ่ม อีกไม่กี่นาทีหรอกเธอจะฉะนายธวาธิต

 

 

ผู้ยิ่งใหญ่ให้เละไปเลย ยิ่งคิดหาถ้อยคำมาต่อว่าเขา ใจก็ยิ่งระทึก จากนั้น

พลอยใสก็รอคอยอย่างใจจดจ่อ

 

 

ลังจากที่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบธวาธิตได้ พลอยใสก็มี

อันต้องมานั่งชะเง้อคอมองไปทางเลขาฯ ปากเสียของเขาเป็นหลายสิบๆ

รอบแล้ว เพราะจู่ๆ นายธวาธิตนั่นก็ดันมีลูกค้ารายใหญ่มาขอพบด่วน

นายเลขาฯ นั่นก็เลยแทรกคิวกันอย่างเห็นๆ แถมทำท่าราวกับจะ

คลานเข้าไปกราบลูกค้าของเจ้านายอีกด้วย มันช่างแตกต่างจากยาม

ที่ปฏิบัติกับเธอราวฟากฟ้ากับหุบเหวเลยทีเดียว

อย่างน้อยหมอนี่น่าจะคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงบ้าง จะพูดจะจา

อะไรกับเธอก็น่าจะสุภาพมากกว่านี้เสียหน่อยก็ยังดี พลอยใสแอบนั่ง

นินทาเลขาฯ ของธวาธิตในใจแล้วก็ชะเง้อคอมองไปอีกรอบ ทุกอย่าง

เหมือนเดิมคือไม่เห็นมีใครออกมาสักคนเดียว หญิงสาวถอนใจออกมา

 

 

อย่างเซ็งๆ ท้องก็เริ่มจะร้องโครกครากแล้ว เพราะเมื่อเช้าหญิงสาวยังไม่ได้

กินอะไรเข้าไปสักอย่างเลย

“ทำไมนานจัง”

หญิงสาวบ่นแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง เพราะนั่ง

นานๆ เธอก็ชักเมื่อยเหมือนกัน และนั่นเองทำให้เลขาฯ หน้าห้องของเขา

มองมาที่เธอตาเขียวปั้ด จ้องตาไม่กะพริบ ราวกับจะคอยจับผิดว่า

พลอยใสจะขโมยอะไรของที่นี่ไปหรือเปล่า

“ฉันไม่มีนิสัยทรามๆ อย่างนั้นหรอกย่ะ นี่ถ้าไม่มีธุระจริงๆ ละก็

จ้างให้ก็ไม่เอาขี้ดินอันทรงคุณค่าที่ติดรองเท้ามา เหยียบลงบนนี้ให้

พวกชอบดูถูกมนุษย์ด้วยกันเองได้สัมผัสถึงดินอันมีค่ามากมายมหาศาล

หรอกนะยะ เชอะ!”

หญิงสาวหน้าตึงบ่นพึมเป็นภาษาไทยออกไป ยิ่งทำให้อีตาเลขาฯ นั่น

มองมาอย่างไม่พอใจมากขึ้น แต่พลอยใสก็ไม่สนใจหรอก ยังคงลอยหน้า

ลอยตาใส่อีกฝ่ายเฉย พอเบื่อที่จะยืนเป็นเป้าสายตาของใครต่อใคร ก็

เลยถอนใจแล้วนั่งลงไปตามเดิม พวกบ้านี่ขี้ดูถูกกันชะมัดเลย เลขาฯ

หน้าห้องของเขายังขนาดนี้ แล้วนิสัยของพี่ตัวเป้งเจ้านายใหญ่จะแย่

ขนาดไหน เฮ้อ! ไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเลย คงชอบดูถูกคนอื่นมันทั้งตึก

นั่นแหละ หญิงสาวบอกกับตัวเองแล้วมองไปรอบๆ จากนั้นก็ย่นจมูก

ออกมา

“เฮ้อ! สมควรแล้วที่พนักงานบนนี้จะหน้าตาเหมือนผีดิบกัน

ทุกคน ไม่ใช่ผีดิบธรรมดาเสียด้วยสิ แต่เป็นผีดิบท้องผูก!”

เสียงเปรยลอยๆ ของพลอยใสได้ผล เพราะมันทำให้หลายคน

ที่กำลังสนอกสนใจทำงานเริ่มหยุดและออกท่าทางตะแคงหูฟังด้วยสีหน้า

งุนงงไม่เข้าใจ พอรู้ว่าตนกำลังได้รับความสนใจ ก็เลยแสร้งถอนใจอีกสักเฮือก

“แหม! ถ้ารู้ว่าบรรยากาศจะเป็นแบบนี้ ฉันคงหิ้วยาถ่ายมาฝาก

พวกนาย เผื่อว่าหน้าตาพวกนายจะได้รับแขกมากกว่านี้หน่อย คนเรา

 

 

น่ะนะถ้าระบบขับถ่ายดี จิตใจก็พลอยดีไปด้วย ไอ้ที่นั่งหน้าตาบอกบุญ

ไม่รับนี่ ก็เพราะว่าท้องผูกกันอยู่ใช่ไหม สงสัยว่าพี่เป้งของพวกนายคงจะ

เลี้ยงลูกน้องด้วยเนื้อสัตว์มากไปหน่อยล่ะสิ นี่ละน่าไม่เคยเอาผักเอาหญ้า

มาให้กินบ้าง ระบบการย่อยของพนักงานเลยไม่ค่อยดี”

หญิงสาวกล่าวนินทาด้วยภาษาไทยอย่างสนุกสนาน แล้วก็

ยิ้มขันอยู่คนเดียว ทำให้เลขาฯ หน้าห้องยิ่งหน้าตึงเข้าไปใหญ่ เพราะคิดว่า

เธอนินทาเขาอยู่นั่นเอง แต่พลอยใสไม่สนใจหรอก กลับยิ้มกวนอารมณ์

ส่งไปให้มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้คู่อริของเธอมองมานัยน์ตาเข้ม แล้วกระแทก

แฟ้มประชดโครมๆ พลอยใสเห็นแล้วก็ยักไหล่ไม่สะทกสะท้าน จากนั้น

ก็หันไปมองทางอื่นที่มันเจริญตาเจริญใจมากกว่าการมองหน้านายเลขาฯ

ปากเสียจอมดูถูกคน ที่นั่งทำหน้าเหมือนหมูอ้วนพันธุ์ลาร์จไวท์อยู่หน้า

ประตูห้องของนายธวาธิต

ลอยใสนั่งเซ็งไปอีกประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ แล้วดวงตา

กลมโตก็สว่างวาบขึ้นมาทันใด เมื่อได้ยินเสียงประตูห้องทำงานของ

ธวาธิตเปิดออก จากนั้นก็มีกลุ่มนักธุรกิจก้าวมาจากห้องของเขาโดยไร้เงา

ของนายธวาธิต ส่วนนายเลขาฯ หน้าห้องนั้นก็รีบลุกขึ้นไปโค้งให้แขก

ของเจ้านายอย่างแสนสุภาพอ่อนน้อมเป็นพิเศษ จนศีรษะของตัวเอง

แทบจะทิ่มลงไปกับพื้นพรมเลยทีเดียว

เห็นแบบนั้นปากเล็กๆ ของพลอยใสก็บิดขึ้นอย่างสมเพช

แหม! มันช่างต่างจากยามที่เขาปฏิบัติกับเธอลิบลับเลยทีเดียว ทำเป็น

หน้าตึง มองกันด้วยหางตา คิดแล้วก็หน้าบึ้ง มองกลุ่มนักธุรกิจที่เดินผ่าน

เธอไปจนลับสายตา จากนั้นก็ก้าวเข้าไปยืนเบื้องหน้าเลขาฯ อีกครั้ง

พลอยใสจ้องไปที่อีกฝ่ายเขม็ง จนฝ่ายนั้นรู้ตัวแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา

จ้องตอบ สักพักก็ถอนใจออกมาให้เห็นเลยว่ารำคาญกัน

 

 

“ถึงคิวของฉันแล้ว!”

หญิงสาวกล่าวเสียงห้วนกัดฟันเน้นๆ ไม่อยากจะคุยด้วย

สักเท่าไรหรอก ได้ยินอีกฝ่ายถอนใจออกมาแล้วชะโงกหน้าไปมองทาง

ด้านหลังเธอแทน จนพลอยใสต้องหันหลังไปมองตามอีกคน แล้วดวงตา

กลมโตก็เบิ่งกว้างขึ้น อ้าปากหวออย่างตื่นเต้นสุดๆ เมื่อเห็นว่าเป็นใคร

ที่กำลังก้าวเข้ามา

ลีเบียนา อาเนลโล? หล่อนมาทำอะไรที่นี่ โอ้โฮ! ตัวจริง

สวยกว่าในทีวีตั้งเยอะหญิงสาวคิดแล้วจ้องอีกฝ่ายเขม็ง สักครู่ร่างสูง

ของนางแบบคนดังก็มายืนอยู่ตรงเบื้องหน้าเธอ จากที่หมองอยู่แล้ว ก็

ยิ่งทำให้พลอยใสดูหมองเข้าไปใหญ่ หญิงสาวเม้มปากแน่นชักไม่ชอบใจ

เมื่อนางแบบสาวคนสวยกลิ่นกายหอมฟุ้งผู้นั้นมองตนด้วยหางตา ชนิด

ที่ว่าเรียกเอาคะแนนนิยมที่มีให้เจ้าหล่อนเป็นทุนเดิมอยู่นั้นหายวับไป

กับตา เหลือไว้เพียงแต่ความรู้สึกไม่ถูกชะตาและไม่ชอบขี้หน้าขึ้นมาแทน

“โรมอยู่คนเดียวใช่ไหม?”

“ครับ”

เสียงนายเลขาฯ นั่นตอบนางแบบคนดังอย่างแจ่มใส พร้อมทั้ง

ส่งยิ้มไปให้อีกฝ่ายอย่างมีไมตรี แต่นางแบบกลับกระตุกยิ้มเพียงนิด

มองไม่ออกเลยว่าเยาะหรือหยันกันแน่ แววตาที่ตกแต่งมาอย่างดีเริ่ม

ไหวระริกอย่างเริงร่า แต่พลอยใสดูแล้วขนหัวลุก เพราะมันเหมือน

จิ้งจอกขาวจอมล่าเนื้อยังไงก็ไม่รู้ เมื่อเจ้าหล่อนเบนสายตาไปทางห้อง

ของธวาธิตอย่างหมายมั่นปั้นมือ ท่าทางของสาวสวยในยามนี้มันทำให้

พลอยใสนึกถึงผีปอบหยิบยังไงก็ไม่รู้สิ

“ดีเลย ฉันจะช่วยทำให้เขาผ่อนคลาย ก่อนที่จะพาไปพักเบรก

กินอาหารด้วยกันลำพังสองคน”

เสียงนางแบบสาวคนสวยจอมหยิ่งกล่าวเท่านั้น แล้วก็ชำเลือง

มาทางพลอยใสด้วยหางตา ทำทีไม่เห็นหัวไม่สนใจกัน จากนั้นเจ้าหล่อน

 

 

ก็เดินนวยนาดเข้าไปในห้องของธวาธิต โดยลัดคิวของพลอยใสซึ่งมา

ก่อนไปหน้าตาเฉย และกว่าที่หญิงสาวจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร อีกฝ่ายก็

หายวับเข้าไปในนั้นเสียแล้ว เธอจึงก้าวขาเดินตามไปบ้าง แล้วก็แทบ

หัวทิ่ม เมื่อนายเลขาฯ นั่นมาขวางหน้าเอาไว้

“จะไปไหน?”

เสียงถามอย่างคุกคาม ทำให้พลอยใสมองอีกฝ่ายตาขวาง

แล้วแหวกลับไปบ้าง

“ก็เข้าไปข้างในบ้างน่ะสิ! ยัยนางแบบนั่นมาทีหลังฉันอีกนะ

ทำไมเขาถึงได้เข้าไปก่อนฉันล่ะ”

หญิงสาวโวยวายอย่างไม่พอใจ แล้วก็ต้องเม้มริมฝีปากแน่น

เมื่อนายเลขาฯ นั่นตะคอกลั่น ใช้เสียงดังเข้าข่มขวัญเธอ

“หยุดพูดมาก! ไม่อย่างนั้นก็นั่งรอมันทั้งวันนี่แหละ ฉันยัง

ไม่อนุญาตให้เธอเข้าพบเจ้านายของฉัน กลับไปนั่งรอข้างนอกเดี๋ยวนี้

ไม่ต้องเสนอหน้ามาที่โต๊ะนี้อีก ถ้าฉันไม่เรียกเธอ เข้าใจไหม!”

นายเลขาฯ ปากเสียชะโงกหน้ามาตะคอกใส่เธอบ้าง พลอยใส

จึงถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้ จากนั้นจึงเหลียวซ้ายแลขวา สักพัก

ก็ผลักอีกฝ่ายออกไป แล้วก็วิ่งปรู๊ดไปที่หน้าห้องของธวาธิตทันที ท่ามกลาง

เสียงด่าภาษาอิตาเลียนดังมาไฟแลบ แต่มีหรือที่เธอจะสนใจ พอเปิด

ประตูพรวดเข้าไปได้ หญิงสาวก็ต้องยืนตะลึงเบิ่งตากว้างอยู่ตรงนั้น เมื่อ

เห็นสองหนุ่มสาวแลกจูบกันอย่างดูดดื่มนัวเนียร้อนแรงแก่วิชาพอกัน

ทั้งคู่ แถมลีเบียนานั้นยังอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยเท่าใดนัก ทั้งๆ ที่หล่อน

เพิ่งเข้ามาแท้ๆ

บัดสีบัดเถลิง! พวกตัณหาจัด ไม่รู้เวล่ำเวลา ไม่ดูสถานที่

หญิงสาวคิดแล้วมองสองคนสลับกันไปมาอย่างโกรธๆ โดยที่สองคนนั้น

ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่า บัดนี้ได้มีคนบุกรุกเข้ามาดูฉากเลิฟซีนของทั้งคู่

เสียแล้ว พลอยใสยืนเท้าสะเอวหน้าขึง ไม่ชอบใจกับภาพเบื้องหน้านัก

 

 

ก็เธอไม่ได้แวะมาดูหนังเอ็กซ์นี่นา เธอมาธุระเรื่องงาน เรื่องปากและท้อง

ของตัวเองต่างหากเล่า เมื่อเห็นสองคนไม่มีทีท่าว่าจะแยกออกจากกัน

ง่ายๆ พลอยใสจึงใช้เสียงของตนแยกคนทั้งคู่ออกจากกันเสียเลย

“นายธวาธิต!”

หญิงสาวเรียกชื่อเขาเสียงดังคับห้อง ทำให้สองร่างที่นัวเนียกัน

อยู่นั้นแยกออกจากกันแทบไม่ทัน ต่อมาสตรีที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง

อยู่ในขณะนี้ก็ลุกขึ้นมาจากที่เท้าแขนเก้าอี้ แล้วเจ้าหล่อนก็หันมามอง

เธอตาเขียวปั้ด ไม่สนใจแม้แต่จะจัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่เข้าทาง

“จะเข้ามาทำไม! ใครเชิญเธอมาไม่ทราบ โรมกำลังอยู่กับฉัน

และเขาไม่ต้องการให้ใครเข้ามาขัดจังหวะของเราทั้งนั้น อีกอย่าง...

ลีเบียนากล่าวพร้อมทิ้งค้างเอาไว้ มองพลอยใสตั้งแต่ศีรษะ

จรดปลายเท้าด้วยสายตาเยาะหยัน ต่อมาก็กล่าวสุ้มเสียงดูแคลน

“อีกอย่างตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาทำความสะอาด เราสองคน หมายถึง

ฉันและโรมยังไม่ต้องการเธอ ทางที่ดีอย่าเข้ามายุ่งกับเราจะดีกว่านะ”

พอโดนกล่าวพร้อมสายตาที่มองมาหมิ่นๆ แบบนั้น ความนิยม

ในตัวนางแบบคนสวยก็ถูกพลอยใสโยนทิ้งลงตึกไปทันที แล้วหญิงสาว

ก็มองอีกฝ่ายกลับไปด้วยสายตาชนิดเดียวกันบ้าง เห็นอีกฝ่ายกัดฟัน

กรอด แทบเต้นกับสายตาของเธอ หญิงสาวยิ้มเยาะนางแบบสาวผมทอง

แล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี คนเรามีดีหรือไม่มันอยู่ที่ใจ เธอเท่านั้นที่รู้

ใจตัวเองดี ใครก็จะมาวัดใจเธอไม่ได้ทั้งนั้น หญิงสาวคิดแล้วส่งสายตา

เยาะๆ ไปให้นางแบบหุ่นสูงชะลูดอีกหน ฮึ! ถึงตัวเธอจะเล็กกว่าใคร

ทั้งหมดในห้องนี้ แต่ใจเธอก็ใช่จะเล็กตามตัวที่ไหนกัน พลอยใสคิด

อย่างใจสู้ เชิดหน้าขึ้นอีกครั้ง จากนั้นจึงกล่าวออกไปด้วยเสียงชัดถ้อย

ชัดคำ

“ฉันมีธุระจะคุยกับซินญอร์ธวาธิต และมันก็ถึงคิวของฉันแล้วด้วย

หลังจากที่ถูกแซงมาหนึ่งคิวแล้ว เธอมาทีหลัง และเป็นคนที่สมควร

 

 

จะออกไปจากห้องนี้มากที่สุด!”

หญิงสาวเอ่ยไปแล้วมองอีกฝ่ายด้วยหางตาบ้าง เห็นอีกฝ่าย

เม้มริมฝีปากแน่น มองเธอด้วยสายตาจะกินเลือดกินเนื้อ ส่วนนายธวาธิต

นั้นนั่งนิ่งมาก แววตาไม่ฉายความรู้สึกใดๆ ออกมาให้เห็นเลยสักนิดเดียว

แต่ถึงแววตาของเขาจะดูเฉยชาอย่างไรก็ตาม พอหญิงสาวได้เห็นเขา

ใกล้ๆ และชัดๆ แบบนี้แล้ว พลอยใสก็อดใจสั่นไม่ได้ ต้องยอมรับว่าเขา

เป็นบุรุษที่หน้าตาดีมากทีเดียว แต่ก่อนที่เธอจะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

มากกว่านี้ เสียงของลีเบียนาก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ไม่ได้ดูสารรูปตัวเองเลยนะ โรมเขาไม่คุยกับคนที่ใส่ผ้าขี้ริ้ว

มาเจรจากับเขาอย่างเธอหรอกนะ จะมาพบเขาทั้งที ก็ไม่รู้จักทำตัวให้

ดูดีกว่านี้ แต่งตัวไม่รู้จักให้เกียรติเจ้าของสถานที่ ใครเขาอยากจะคุย

ด้วยกันล่ะ ออกไปได้แล้ว เพราะฉันเองก็มีธุระจะคุยกับโรมเหมือนกัน

เรากำลังนัดกันว่าคืนนี้จะไปเจอกันที่ไหนดี จริงไหมคะโรม”

ท้ายประโยคหญิงสาวเห็นแม่ลีเบียนาหันไปขอเสียงสนับสนุน

จากเขา แวบหนึ่งหญิงสาวใจกระตุกขึ้นมาอย่างประหลาด รู้สึกแปลบปลาบ

ในใจทันใด เพียงแค่ได้สบตาเขาชั่ววินาทีเดียว สักพักพลอยใสก็เห็น

คิ้วเข้มกดลึกลงอย่างเครียดๆ แล้วเสียงห้าวก็ดังมาจากริมฝีปากหยักลึก

ได้รูปของเขา

“ออกไปได้แล้ว”

เสียงที่ดังขึ้นมานั้นทำให้ทั้งสามคนต้องหันไปมองเจ้าของเสียง

พลอยใสจ้องตาเขาเขม็งและอีกฝ่ายก็จ้องตาเธอด้วยเช่นกัน ดวงตา

สีเหล็กออกเทาๆ นั้นน่าเกรงขามยิ่งนัก แต่เธอไม่กลัวเขาหรอก หญิงสาว

เหนื่อยแทบตาย ทุ่มเทตะเกียกตะกายขนาดไหนกว่าจะพบเขาได้ แล้วนี่

อะไรกัน เธอยังไม่ทันได้เจรจากับเขาสักคำเดียว สุดท้ายเขาก็จะมาไล่กัน

ไปง่ายๆ ถ้าไม่ให้พบตั้งแต่แรก แล้วมาบอกคนของตัวเองให้ลากเธอ

ขึ้นมาถึงบนนี้ทำไมกัน หญิงสาวคิดเท่านั้นก็มองเขาหน้าตึงอีกหน ส่ง

 

 

สายตาโกรธๆ ไปให้ แล้วกล่าวออกไปอย่างดื้อรั้น

“ไม่! คุณให้คนของคุณลากฉันขึ้นมาเองนะ ฉันรอคุณอยู่ตั้ง

3-4 ชั่วโมง หิวก็หิว เหนื่อยก็เหนื่อย นั่งรอจนก้นชาไปหมดแล้ว ฝันไป

เถอะ! ว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันจะยอมกลับลงไปง่ายๆ คนเฮงซวย! ไหน

ใครว่าเป็นนักการเงินที่ดียังไงล่ะ แต่ทำไมพูดอะไรกลับไปกลับมา ไม่อยู่

กับร่องกับรอย ทุกนาทีของคุณมันก็มีค่าพอๆ กับทุกนาทีของฉันนั่นแหละ

นี่ถ้าฉันไม่เดือดร้อนเพราะคนเฮงซวยอย่างคุณละก็ จ้างให้ฉันก็ไม่มาที่นี่

หรอกนะ วังเวงบรรลัย นี่มันตึกลาร์นาโดหรือปราสาทผีดูดเลือดกันแน่

พนักงานไปจนถึงเจ้านายดูแล้วคบไม่ได้กันสักคน!”

“ฉันบอกว่าให้ออกไปยังไงละ”

เสียงคำรามนั้นทำให้คนที่พูดเป็นนํ้าไหลไฟดับชะงักไป แต่

ไม่นานหญิงสาวก็ตาลุกวาบ เพราะคิดว่าเขาไล่เธออีกรอบ

“ไอ้...” พลอยใสกล่าวได้เท่านั้น ไอ้เลขาฯ ปากเสียของเขา

ที่เข้ามาพร้อมๆ กันก็รี่เข้ามาลากเธอออกไปทันที ท่าทางมันลนลาน

สุดฤทธิ์กับสายตาดุเข้มของเจ้านาย แถมแม่นางแบบลีเบียนาโสเภณีชั้นสูง

ยังมองเธอด้วยสายตาเยาะหยันแกมสะใจอีกต่างหาก

“ไม่! แกจะทำอะไรฉันน่ะไอ้หมูอ้วน ปล่อยนะ ไม่งั้นเจอดีแน่”

พลอยใสโวยวายใส่เลขาฯ เป็นภาษาอังกฤษ

“ไอ้บ้า! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ก็เจ้านายแกให้นายคนกดลิฟต์นั่น

ลากฉันขึ้นมาเองแท้ๆ ไอ้พวกคนทุเรศ ฉันไม่ใช่ตัวตลกนะ นึกจะให้มา

ก็มา พอไม่ชอบหน้าก็จะให้ไป นี่! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ! ไอ้หมูสกปรก

ไอ้อ้วน ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ ปล่อยฉันนะไอ้เลขาฯ หมูเน่า

กรี๊ดดดดดดดด

หญิงสาวคำรามลั่น ทั้งดิ้นทั้งสะบัดตัวหนี ขาก็ถีบมัน พอสู้

ไม่ได้จริงๆ คนตัวเล็กก็ใช้เสียงข่ม กรีดร้องดังคับห้องทำงานของธวาธิต

สุดท้ายก็เลยถูกมันยกขึ้นจนตัวลอย แล้วหมุนตัวจะพาเธอออกไป

 

 

ข้างนอกห้อง ด้วยความโมโหจัดเธอเลยด่าภาษาไทยออกไปบ้าง


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (23 รายการ)

www.batorastore.com © 2025