ขอโทษนะ เผลอกัดคุณเข้าแล้ว (Cookie)
ประหยัด: 104.25 บาท ( 75.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 2 รายการราคา 70.00 บาท - 83.40 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
บทที่ 1
“แม่จ๋า...แม่จ๋า...”
ในคืนที่เมฆดำบดบังดวงจันทร์ เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงตัวน้อยสะท้อนก้องกลางป่าทึบสลัว
“...แม่จ๋า...”
สายลมเย็นยะเยือกพัดมา พาให้เสียงร่ำไห้เหมือนดั่งวิญญาณอาฆาตลอยละล่องอยู่ในพงไพรที่รกร้างวังเวง...
ก๊า...ก๊า...
เสียงแหลมของนกร้องดังแหวกอากาศยามดึกเข้ามาบาดหู
เทียนา หลัน เด็กน้อยวัยหกขวบหยุดสะอื้น พลางชะลอฝีเท้าที่กำลังก้าวไปตามทางเดินเล็กๆ กลางพงหญ้ารกชัฏ
เธอเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงแค่ความมืดมิดแผ่คลุมเหนือคบไม้ มองอะไรไม่ชัดเจนสักอย่าง แต่พอน้ำมูกกำลังจะไหลลงมาอีก เด็กน้อยก็รีบก้มหัวลงสูดลมหายใจเข้ายาวๆ
ในเวลานี้เองพระจันทร์ค่อยๆ เยี่ยมหน้าออกมาครึ่งดวง ส่งผลให้ลูกตาวาววับนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนคบไม้...
อีกาซึ่งกัดแทะซากสัตว์เป็นอาหารยืนเกาะตามกิ่งไม้อยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ จ้องอาหารเย็นของพวกมันที่หยุดเดินอยู่จนตาเป็นมัน
เทียนาย่ำเท้าผ่านใบไม้แห้งอย่างกะปลกกะเปลี้ย ท้องส่งเสียงร้องโครกครากออกมา
เธออยากกินบะหมี่ที่แม่ต้มให้เหลือเกิน แต่พ่อบอกว่าแม่ขึ้นไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์และกลับมาไม่ได้แล้ว
เด็กหญิงไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรแม่ต้องขึ้นสวรรค์ไปเป็นนางฟ้าคนเดียว แม่บอกว่าเธอเป็นนางฟ้าตัวน้อยไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงไม่พาเธอไปด้วยล่ะ
“แม่จ๋า แม่รีบๆ กลับมาได้มั้ยจ๊ะ” เทียนาเอ่ยเสียงแผ่วๆ พร้อมน้ำตาที่ไหลพรากเป็นทางออกมาจากขอบตาอีกครั้ง
พ่อบอกว่าแม่คนใหม่จะดูและเธอ แต่ว่าแม่คนใหม่เอาแต่ตีเธอ ไม่ให้เธอกินข้าว เวลาที่พ่อไม่กลับบ้านก็ไม่ให้เธอเข้าห้องไปนอนด้วย
แต่เธอก็เป็นเด็กดีแล้วนะ น้องชายคนใหม่ต่างหากที่ร้องไห้เอง เธอไม่ได้แกล้งน้องสักหน่อย...
เทียนาร้องไห้สะอึกสะอื้นและเดินมุ่งหน้าต่อไป โดยที่ไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองเดินมาถึงใจกลางป่าลึกแล้ว
“โอ๊ย!”
เท้าของเธอเกี่ยวโดนเถาวัลย์เข้าจนล้มคะมำลงตรงด้านหน้าบันไดหิน
อีกาหลายตัวบินมาเหนือศีรษะเธอทันทีทันควัน ลูกตาสีดำจับจ้องเธออย่างไม่วางตา
“โอ้โห!” เทียนาไม่ได้สังเกตเลยว่าด้านบนเกิดอะไรขึ้น เพราะทุกสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าดึงดูดสายตาของเธอเอาไว้จนหมดสิ้น
เหนือบันไดหินขึ้นไปมีบ้านขนาดใหญ่สวยงามมากอยู่หลังหนึ่ง
บ้านมีซุ้มประตูสูงลิบ หอคอยยอดแหลม หน้าต่างบานใหญ่ แล้วยังมีระเบียงโค้งราวกับปราสาทในหนังสือนิทาน
โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!
เสียงหมาเห่าดังเป็นทอดๆ เรียกสติของเทียนากลับมา เธอหันหน้าไปดู...
หมาป่าหลายตัวกำลังวิ่งตะบึงตรงเข้ามาหาเธอ
เธอเคยโดนหมาป่ากัดมาหลายครั้งแล้ว เลยตกใจจนรีบตะเกียกตะกายขึ้นบันไดหิน จากนั้นเปิดประตูพรวดพราดเข้าไปในบ้านโดยไม่ทันคิด
อีกาตัวหนึ่งซึ่งเดิมทีเกาะอยู่บนระเบียงชั้นสองเห็นดังนั้นก็บินตามเข้าไปในบ้าน
ทันทีที่อีกากระพือปีก ประตูใหญ่ก็งับปิดเสียงดังปัง
โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!
หลังจากหมาป่าเห่าอยู่ด้านนอกครู่หนึ่งก็เงียบเสียงลงในที่สุด ส่วนอีกาก็บินไปอยู่บนโคมไฟระย้าในบ้าน ก้มลงมองเธออย่างสำรวจตรวจตรา
เทียนายืนอยู่ในบ้านด้วยความรู้สึกที่สุดแสนจะผิดหวังอย่างยิ่งยวด
บ้านหลังนี้รกเสียยิ่งกว่าบ้านเธออีก มีข้าวของวางเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด แถมยังคลุมปิดเอาไว้ด้วยกองผ้าสีขาว
“รกชะมัดเลย...”
เทียนานั่งลงที่มุมห้องพลางพึมพำ และตัดสินใจว่าจะหลบอยู่ที่นี่จนฟ้าสาง
หลังฟ้าสางพ่อก็จะกลับบ้าน จากนั้นก็จะมาตามหาเธอ เวลาที่พ่ออยู่บ้าน อย่างน้อยแม่คนใหม่จะให้เธอกินข้าว
แต่ว่าตอนนี้เธอยังหิวเหลือเกินอยู่ดี!
“แม่จ๋า...แม่จ๋า...หนูหิวจังเลย” เทียนาเอามือกุมท้องไว้พลางร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในบ้าน
ชั้นสองมีของกิน เสียงเสียงหนึ่งพูดกับเธอ
“ใครพูดอยู่น่ะ” เทียนาทำตาโตขณะเอ่ยถามเสียงเบาๆ
ชั้นสองมีของกิน
เสียงเสียงนั้นพูดกับเธออีกครั้ง
จะต้องเป็นนางฟ้าแน่ๆ เลย! นางฟ้าในนิทานล้วนช่วยเหลือเด็กดีทั้งนั้น เทียนาคิดอย่างตื่นเต้นดีใจจนใบหน้าสีเหลืองนวลเล็กๆ แดงเรื่อขึ้น
ชั้นสองมีของกิน
เธอแยกแยะทิศทางของเสียงไม่ออก เลยได้แต่ตรงขึ้นไปชั้นสองอย่างช้าๆ
“หนูถูบ้าน ล้างจาน เช็ดโต๊ะทุกวัน เป็นเด็กดีมากๆ เลยนะคะ” เธอขึ้นบันไดไปพลางแนะนำตัวเอง
เด็กดี
นางฟ้าชมว่าเธอเป็นเด็กดีด้วยล่ะ! เทียนายิ้มแก้มปริ และเดินขึ้นบันไดวนสีขาวต่อไปด้วยความปลาบปลื้มเต็มหัวใจ เท้าเล็กๆ ทิ้งรอยเป็นทางไปตามบันไดที่มีฝุ่นจับเต็มไปหมด
“นางฟ้าคะ พื้นบ้านของพวกท่านไม่สะอาดเลย หนูกินอิ่มแล้วจะช่วยถูให้นะคะ...” เธอพูดเสียงเบาพลางเดินเลี้ยวไปตามทางของบันได
“เธอคิดจะทำอะไรของเธอน่ะ!”
เทียนาเงยหน้าขึ้นทันที...
ตรงหน้ามีคนสวมชุดสีดำล้วนปรากฏขึ้น ผมของคนคนนั้นยาวจรดเอว นัยน์ตาเป็นประกายเหมือนเพชร ดวงหน้าขาวกระจ่างใสยิ่งกว่าเครื่องกระเบื้องที่พ่อทำ และหน้าตาสวยเสียยิ่งกว่าตุ๊กตาบาร์บี้
“นางฟ้า!” เทียนาโผเข้าไปหานางฟ้า
พอไทรอนยกมือขวา ร่างของเด็กหญิงก็ลอยละลิ่วตกลงไปกระแทกพื้นชั้นล่างอย่างแรง เกิดเสียงดัง ‘ปัง’ ใหญ่
เทียนาเจ็บจนหน้าเบ้ไปหมด
ไทรอนยืนอยู่กลางบันได มองเด็กตัวน้อยที่กระแทกพื้นจนเขียวช้ำไปทั้งตัวคนนั้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“ขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจล้มลงไปนะคะ!” เทียนาเงยหน้ามองนางฟ้าแล้วตั้งท่าขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
“ไปซะ” ไทรอนอ้าปากเอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแส
“นางฟ้าคะ หนูหิวมากเลย” เทียนาพูด เธอหิวจนหน้ามืดตาลายเลยไม่ทันสนใจว่าทำไมเสียงพูดของนางฟ้าถึงเหมือนผู้ชาย
“ฉันไม่ใช่นางฟ้า” ไทรอนพูดเสียงเย็นเยียบ
“ท่านต้องเป็นนางฟ้าสิ! หน้าตาสวยออกขนาดนี้ แล้วท่านยังเรียกหนูให้ขึ้นไปชั้นสองด้วยนะ บอกว่าที่นั่นมีข้าวให้กิน”
“ออกไป”
“นางฟ้าคะ หนูไม่ได้ทำอะไรผิด...”
พอสายตาเฉยชาของไทรอนเหลือบมองไปที่ประตูใหญ่ชั้นล่างก็พลันเกิดลมแรงพัดประตูเปิดออกทันที
“ท่านเป็นคนบอกเองนะว่าจะให้ของกินหนู นางฟ้าพูดโกหกไม่ได้...” เทียนาบ่นพึมพำกับตัวเอง เธอหมดแรงจนลุกไม่ขึ้นแล้ว
“ตรงประตูใหญ่ชั้นล่างมีของที่กินได้อยู่ทางขวามือ” ไทรอนพูดจบก็หมุนตัวหายไปเหมือนสายลม
เมื่อเทียนาเห็นนางฟ้าหายไปกับตาก็ทำตาโต อ้าปากค้าง อุทานได้เพียงแค่ “โอ้โห!” นางฟ้าเก่งจังเลย!
เธอเดินไปที่ประตูใหญ่ โดยยังคงไม่สังเกตเห็นอีกาซึ่งเกาะอยู่บนโคมไฟระย้า จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องรอยยิ้มแปลกประหลาดของมัน
เด็กน้อยเก็บผลไม้ถุงหนึ่งขึ้นมาด้วยความดีอกดีใจโดยไม่สนใจธูปเทียนบูชาที่อยู่ข้างๆ เลยสักนิด จากนั้นหยิบผลไม้กินอย่างตะกรุมตะกราม
“ขอบคุณค่ะนางฟ้า!” เธอกลับเข้าไปในบ้านแล้วพูดเสียงดังทั้งๆ ที่มีของกินอยู่ในปาก
กินก็กินไปสิ ยังจะพูดมากอยู่ได้!
ในเวลานี้ไทรอนกำลังนั่งในห้องใต้หลังคาดูภาพออกแบบอยู่ พอได้ยินเสียงรบกวนจากข้างล่างก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน
บางครั้งเขาอยากสาปส่งประสาทสัมผัสที่ไวเกินไปนี่จริงๆ แม้แต่อยากจะอยู่อย่างสงบๆ ก็ทำไม่ได้
ก็เพราะว่าเขาไม่ชอบเสียงดังหนวกหู ถึงได้เลือกมาปักหลักอยู่ในบ้านผีสิงหลังนี้ที่เคยเกิดคดีปล้นฆ่านองเลือดจนไม่มีชาวบ้านที่ไหนกล้าเข้ามาข้างใน
ตลอดหลายสิบปีมานี้ นอกจากทุกเดือนจะมีคนเอาผลไม้ธูปเทียนมาเซ่นไหว้บูชาแล้ว ก็ไม่เคยมีใครมาวุ่นวายอีกเลย นึกไม่ถึงว่ายัยเด็กนี่ดันบุกมารังควานถึงที่ เห็นทีเขาคงจะต้องร่ายคาถากำบังเขตไว้ซะแล้ว เพื่อว่าทันทีที่มนุษย์เข้ามาใกล้ป่าก็จะรู้สึกขนหัวลุกจนไม่กล้ามุ่งหน้าต่อ
ไทรอนเงยหน้าขึ้น มีอีกาตัวหนึ่งบินจากนอกหน้าต่างเข้ามา
“แค่เนี้ย? นายจะไล่เธอไปง่ายๆ แบบนี้เหรอ” อีกาใช้กระแสจิตคุยกับเขา
“แล้วจะให้ฉันดูดเลือดเธอเหรอไง สกปรกอย่างกับผี” เขาตอบผ่านทางกระแสจิตเช่นกัน
“พูดแบบนั้นไม่ดีนะ พวกเราก็เป็นผี สกปรกที่ไหนกันเล่า” อีกาส่งเสียงก๊าๆ
“ชอบคุยนักก็ไปอยู่กับเพื่อนเธอซะเลยสิ” ไทรอนเม้มปากแน่น ดวงตาแวววาวราวกับแก้วฉายแววหงุดหงิดขึ้นมาแวบหนึ่ง
“หน้าตาฉันไม่เหมือนนางฟ้าสักหน่อย คิกๆๆ”
เขาถลึงตาใส่อีกา
“ฮา หลายร้อยปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งหนึ่งที่นายตอบโต้แบบมีอารมณ์มากที่สุดเท่าที่ฉันเห็นมาเลย น่าจะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกจริงๆ” อีกาพูดกลั้วเสียงหัวเราะ
“นางฟ้า ขอบคุณนะคะ” เทียนาที่ชั้นล่างพูด
“ช่างเป็นเด็กที่น่ารักและรู้จักคิดซะจริงๆ” อีกาพูด
ไทรอนคร้านจะใส่ใจ นัยน์ตาแสนงามดุจตาหงส์บนใบหน้าเย็นชากระด้างจะเป็นประกายมีชีวิตชีวิตแต่เฉพาะในเวลาที่ก้มหน้ามองแบบร่างถ้วยกระเบื้องในมือเท่านั้น
“ฉันว่านะ ทำไมนายต้องอยู่อย่างซังกะตายด้วย พวกเราร้อยปีถึงเปลี่ยนที่อยู่สักครั้งหนึ่ง อุตส่าห์หลุดพ้นจากเมืองในหมอกอย่างประเทศอังกฤษ แล้วเพิ่งมาอยู่ไต้หวันได้แค่สิบกว่าปีเอง ยังเหลือเวลาอีกตั้งแปดสิบกว่าปี นายก็หมกตัวอยู่ที่นี่...”
“ไปที่ไหนก็เหมือนกันหมด” ไทรอนตัดบท
“เหมือนกันที่ไหน นายกลับมาไต้หวันก็ค้นคว้าเรื่องเครื่องกระเบื้องตลอดเลยไม่ใช่เหรอ แถมถึงขั้นแอบเข้าไปในพิพิธภัณฑ์กู้กงด้วย นี่แสดงว่านายยังมีไฟอยู่...”
“ฉันไม่อยากคุยเรื่องพวกนี้”
“แม่จ๋า” เสียงละเมองึมงำไม่ชัดเจนของเด็กหญิงดังมาจากชั้นล่าง
ไทรอนไม่แม้แต่จะเลิกคิ้วขึ้น เขาแค่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเงียบๆ หยิบภาพวาดหมึกจีนโบราณหลายภาพขึ้นมาเพื่อคิดว่าจะออกแบบอย่างไรถึงจะสื่อจิตวิญญาณของภาพลงบนเครื่องกระเบื้องได้
“เฮ้อ...แม้แต่เด็กผู้หญิงน่ารักขนาดนี้ยังดึงดูดความสนใจนายไม่ได้ ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าอีกหลายร้อยปีข้างหน้านายจะอยู่ยังไง...”
ดวงตาคมกริบของไทรอนมองตวัดไป แผ่นกระดาษบนโต๊ะพลันพุ่งเข้าใส่อีกาอย่างรวดเร็วราวกับมีดบิน
อีกาหลบหลีกการโจมตีต่อเนื่องเป็นชุดได้แล้วก็บินปรู๊ดออกนอกหน้าต่างไป เหลือไว้เพียงแค่เสียงกระพือปีกดังอยู่นอกบ้าน
ปกติไทรอนน่าจะตั้งสมาธิได้ แต่จนใจที่เสียงฟันกระทบกันดังกึกๆ ของเด็กหญิงข้างล่างหนวกหูเกินไป พานให้หัวคิ้วของเขาย่นเข้าหากันแน่นขึ้นเรื่อยๆ
หนวกหูจริงๆ! เขาถือผ้าห่มขนสัตว์สีแดงที่ปกติใช้ห่มขาเวลาอ่านหนังสือเหาะลงไปข้างล่าง แล้วคลุมไว้บนตัวเธอ
ใบหน้าเล็กๆ ของเด็กหญิงเริ่มผ่อนคลายด้วยความสบายจากไออุ่นที่ได้รับ ในขณะที่ไทรอนเฝ้ามองรูปหน้าแบนเรียบของเธอ เขานึกไม่ออกว่าตัวเองไม่ได้มองคนคนหนึ่งอย่างพินิจพิจารณามานานแค่ไหนแล้ว
หลายร้อยปีที่ผ่านมาสำหรับเขาแล้ว มนุษย์เป็นเพียงแค่เครื่องผลิตเลือดเท่านั้น
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็ม)