Library Empress รักอลวนของยัยหน้าตายกับนายหน้าสวย
ประหยัด: 111.75 บาท ( 75.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 1 รายการราคา 109.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
บทนำ
‘ปุจฉา...
เมื่อกล่าวถึงคำว่า ‘ห้องสมุด’ แล้ว...อะไรคือสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของคุณ’
สถานที่ซึ่งบรรยากาศดูทึมๆ อับๆ และเต็มไปด้วยชั้นหนังสือ มีการจัดวางหนังสือบนชั้นแยกกันไปตามหมวดหมู่ บางทีก็ค้นหายาก บางทีก็พอจะค้นหาง่าย...
สถานที่ซึ่งมีโต๊ะและชุดเก้าอี้วางเรียงรายให้ได้นั่งค้นคว้าหาความรู้จากในหนังสือเล่มที่หยิบมาอ่าน...
สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยโคมไฟ อาจจะเป็นไฟสว่างจากหลอดนีออนสีขาว โคมไฟประดับให้ดูเก๋ไก๋ หรือแม้กระทั่งแชนเดอเลียทองเหลืองดูคลาสสิกและเปี่ยมไปด้วยมนตร์ขลัง...
สถานที่ซึ่งถูกปกปักและดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยมือของบรรณารักษ์ผู้มีความรอบรู้เกี่ยวกับเหล่าหนังสือนับพันนับหมื่นเล่มที่อยู่ภายในห้องสมุดนี้ทั้งหมด
แต่จะมีกี่คนกัน...ที่คิดได้ว่านอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว มันอาจจะมี ‘อะไรบางอย่าง’ อยู่ภายในห้องสมุดด้วย...
‘อะไรบางอย่าง’ ที่อาจจะยังไม่มีคำจำกัดความที่แน่นอน...
ความลึกลับ ความพิศวง ความมหัศจรรย์ ความอัศจรรย์ ความแปลกประหลาด สิ่งที่อยู่นอกเหนือธรรมชาติ หรือทั้งหมดทั้งสิ้นที่กล่าวมา มันอาจจะรวมอยู่ในตัวตนหรือสิ่งของอะไรบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในห้องสมุด...
‘อะไรบางอย่าง’ ที่น้อยคนนักจะได้รับรู้...
หรือถ้ามีโอกาสได้รับรู้...ก็อาจจะพยายามทำเหมือนว่าไม่ได้พบเห็นเพื่อความสบายใจของตัวเอง...
แต่หากใครยังไม่รับรู้ และอยากจะลองรับรู้ดูสักครั้งล่ะก็...
ลองเข้าไปในห้องสมุดสิ
เปิดตาสองข้าง เปิดใจออกกว้าง แล้วลองมองไปโดยรอบดูให้ดีสักหน...
บางที... ‘อะไรบางอย่าง’ ที่ว่านั่น...มันอาจจะอยู่ใกล้คุณมากกว่าที่คิดก็เป็นได้...คิดแบบนั้นมั้ยล่ะ
1
I’m Back.
“Good Morning, May I help you?”
ฉันมองพนักงานขายที่ยืนฉีกยิ้มกว้างเกือบถึงหูอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ภายในร้านขายยาประจำสนามบิน ก่อนเม้มริมฝีปากตัวเองเข้าหากันเบาๆ แล้วเอ่ยตอบ
“...ขอพาราฯ แผงนึง”
“อา...” สีหน้าที่ยิ้มปากแทบฉีกเมื่อครู่หุบค้างลงไปเล็กน้อยทันใดเมื่อเจ้าตัวพบว่าฉันเอ่ยโต้ตอบกลับไปด้วยภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาประจำชาติที่กำลังยืนอยู่ในยามนี้ ก่อนก้มหน้าก้มตาหันไปหยิบเอาของที่สั่งมาคิดเงิน “พาราเซตามอลหนึ่งแผงนะคะ...ราคาสี่สิบห้าบาทค่ะ”
ฉันยื่นเงินไปพร้อมๆ กับสั่งน้ำเปล่าเพิ่มหนึ่งขวดก่อนหาที่ยืนแกะน้ำแกะยาแล้วโยนยาเม็ดโตสีขาวเข้าปาก จากนั้นก็กระดกน้ำในขวดตามเพื่อไล่ยาลงคอ
อา...ให้ตายสิ ปวดหัวชะมัด เจ็ตแล็กกินแหงๆ ก็นั่งเครื่องยาวสิบสองชั่วโมงเลยนี่นะ
ฉันยืนหลับตาอยู่กับที่อีกครู่ใหญ่ด้วยหวังว่ายาพาราฯ ที่กินเข้าไปจะออกฤทธิ์บ้างไม่มากก็น้อย ก่อนเดินต่อไปตามทางเพื่อหาทางออกจากอาคารสนามบินนี่ ทางด้านนอกเกตเต็มไปด้วยผู้คนและป้ายข้อความต้อนรับของบรรดาคนที่มารอรับญาติโกโหติกาทั้งหลายแหล่ แต่ฉันมองเลยผ่านมันไปเพราะมั่นใจว่าหนึ่งในนั้นไม่มีทางมีป้ายที่เป็นของฉันแน่ และถ้ามีจริงๆ ก็คงจะโคตรจะเซอร์ไพรส์แบบสุดๆ
ว่าแต่...ฉันจะเรียกแท็กซี่ได้ที่ตรงไหนกันนะ
ฉันเงยหน้าขึ้นมองหาป้ายสัญลักษณ์ที่ระบุทางไปยังจุดเรียกแท็กซี่ พยายามหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาขณะที่ขาก็ทำหน้าที่ของมันไปด้วย จนกระทั่ง...
พลั่ก!
“Sorry…”
ฉันรีบขยับปากพึมพำขอโทษใครบางคน หลังการหันซ้ายมองขวาแทบไม่ดูทางนั่นทำให้เผลอกระแทกเข้ากับใครคนนั้นเข้าอย่างจัง
“No problem”
“…”
เพียงแต่...คำตอบรับที่เอ่ยกลับมาพร้อมรอยยิ้มสวยใจดีที่มุมปากของใครคนนั้นที่ฉันเพิ่งได้หันกลับไปมอง มันราวกับมีเวทมนตร์บางอย่างเคลือบแฝงเอาไว้ให้รู้สึกว่ามันช่าง....มีแรงดึงดูด...
ผู้ชายตัวสูงโย่งในชุดสูทสีเข้มไม่กลัดกระดุมเผยให้เห็นเชิ้ตสีอ่อนกับเนกไทสีเข้ากันกับสูท ผู้ชายที่แวบแรกในยามที่หันไปเห็นฉันแอบนึกว่าเขาเป็นผู้หญิงเพราะใบหน้าที่สวยจนเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นผู้ชายนั่น ซ้ำเขายังมีเส้นผมสีแพลทตินั่มบลอนด์ยาวประบ่าที่มัดรวบไว้ด้านหลังแต่ปาดเจลแต่งผมด้านหน้าเป็นทรงเก๋ กับริมฝีปากสีชมพูอ่อนเป็นกระจับนั่นอีก
“อา โทษที ว่าไงนะ” เมื่อหมดธุระกับฉัน ชายหนุ่มหน้าสวยก็หันกลับไปพูดโทรศัพท์ที่คุยค้างเอาไว้อีกครั้ง “อืม ผมตั้งใจว่าจะเข้าไปคุยกับเขาวันเสาร์นี้น่ะ”
เขาเอ่ยคำพูดเหล่านั้นก่อนเหลือบตามายังฉันอีกครั้ง ยกรอยยิ้มบางๆ ขึ้นที่มุมปากพลางก้มหัวน้อยๆ เป็นเชิงขอตัวก่อนหันกลับเตรียมเดินหนี
หากแต่...
หมับ!
ฉันกลับรีบเอื้อมมือดึงชายเสื้อสูทนั่นเอาไว้เสียก่อนพร้อมส่งเสียงเอ่ยถาม
“เอ่อ...รถแท็กซี่เรียกได้ตรงไหน พอจะรู้มั้ย”
สาบานได้ว่ามันเป็นการกระทำค่อนข้างอุกอาจที่ฉันเองก็ค่อนข้างแปลกใจว่าเหตุใดถึงทำ...มันอาจเป็นเพราะแรงดึงดูดลึกลับอะไรสักอย่างนั่นล่ะมั้งถึงได้ทำให้คนปากหนักอย่างฉันรั้งเขาไว้แล้วถามออกไปแบบนั้น
“จุดเรียกแท็กซี่น่ะเหรอ” คนตรงหน้าทำสีหน้างงเล็กน้อยก่อนดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหูอีกครั้ง พร้อมเงยหน้าขึ้นมองหาป้ายสัญลักษณ์ที่ไม่รู้ไปล่องหนอยู่ไหน “อืม ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็...ต้องตรงไปทางด้านนั้นนะ”
“ขอบคุณนะ” ฉันพึมพำเบาๆ อีกหนก่อนปล่อยมือออกจากชายเสื้อสูทอีกฝ่ายช้าๆ
“ไม่เป็นไรหรอก”
ฉันเหลือบตาขึ้นมองรอยยิ้มสวยๆ นั่นอีกหน ก่อนก้มหลบลงวูบแล้วจ้ำเท้าเดินหนีไปตามทางที่ปลายนิ้วชี้นำให้พร้อมกะพริบตาปริบอย่างไม่เข้าใจตัวเอง...
เพี้ยนไปแล้ว...เจ็ตแล็กมันต้องมีอาการแปลกๆ แบบนี้ด้วยรึไง ไม่น่าจะมีในสารบบสักนิด เห็นๆ อยู่ว่าเขาโทรศัพท์ยังจะไปดึงเขาไว้เนี่ยนะ? ท่าจะต๊องจริงๆ ล่ะฉัน
ฉันเดินมาตามทาง ไม่นานนักก็เริ่มเห็นป้ายสัญลักษณ์จุดเรียกแท็กซี่ของสนามบินที่เต็มไปด้วยผู้คนจอแจคับคั่ง เดินต่อไปอีกนิดก็ออกไปถึงจุดเรียกแท็กซี่ที่ตั้งอยู่นอกตัวอาคาร แต่เพียงแค่เดินออกมายังไปไม่ทันถึงจุดที่ว่านั่นลมร้อนระอุของอากาศเมืองไทยที่ไม่ได้คุ้นเอาซะเลยก็ปะทะใส่เต็มหน้า ซ้ำยังเกือบทำเอาตาพร่าชะงักขากึกเพราะความจ้าของแสงอีก
“Hello you!” แล้วนั่นก็เป็นโอกาสให้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินตรงปรี่จากไหนไม่รู้เข้ามาหาฉันพร้อมยกมือทักทาย “Need Taxi เหรอ Tell me where you want to go.”
อา...ฉันนับถือความสามารถในการใช้ภาษาของคุณลุงคนนี้นะ แม้ว่าจริงๆ แล้วเขาไม่จำเป็นต้องพยายามแบบนั้นกับฉันก็ได้...ฉันฟังภาษาไทยได้ชัดเจนทุกถ้อยคำน่ะนะ
“Come come my car on this way!” และเขาก็ยังพยายามอีกต่อไป
“No, thanks.”
ฉันส่ายหน้าพลางยกมือปฏิเสธส่งไปให้ ตั้งใจจะเดินไปที่จุดเรียกแท็กซี่ที่อยู่ห่างไปอีกหน่อย แต่อีตาลุงแท็กซี่นี่ใช่จะยอมแพ้ง่ายๆ
“Wait wait wait! Come with me. แหม่ม! I’ll sent you home.”
แหม่ม? ฉันเนี่ยนะแหม่ม
“...” ฉันส่ายหน้าแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง
“Wait wait!” แต่ตาลุงนี่ก็ยังไม่ยอมแพ้ วิ่งตามมาดักหน้าฉันพร้อมยกแขนกางออก “Where you want to go?” และอาจเป็นเพราะว่าเขาคิดว่าฉันฟังภาษาไทยไม่ออกจริงๆ เสียงจากการขมุบขมิบบ่นเลยลอยตามมา “ยัยนี่จะไปไหนของมันล่ะเนี่ย เล่นตัวอยู่ได้ ให้ตายสิ กะจะจัดวนหนักๆ สักหน่อย นานๆ จะเจอเหยื่อที”
...ฉันควรบอกเขาดีมั้ยว่าฉันฟังรู้เรื่อง
ความจริงฉันมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้หน้าตาฝรั่งจ๋าอะไรขนาดนั้นนะ ฉันเป็นลูกครึ่งผสมระหว่างไทยและอังกฤษ แล้วก็เยอรมัน...อาจเป็นเพราะตาสีฟ้ากับจมูกที่โด่งเป็นสันนี่มากกว่าล่ะมั้งที่ทำให้คนไทยส่วนใหญ่คิดไปเองว่าฉันเป็นคนต่างชาติน่ะ
“มาๆ You come with me.”
และคราวนี้ก็ไม่ใช่เพียงแค่ตามตื๊อหรือวิ่งมาดักหน้า แต่เป็นการคว้าข้อมือฉันอย่างถือวิสาสะแล้วออกแรงดึงให้ฉันขยับตาม
เฮ้ แบบนี้ไม่ไหวน่า
ฉันกำลังจะเอื้อมมือไปปลดมือหยาบๆ นั่นออก หากแต่ยังไม่ทันได้ทำแบบนั้นก็มีมืออุ่นๆ ของใครบางคนเอื้อมเข้ามาช่วยงัดมือนั่นออกแทนให้เสียก่อน
“ปล่อยเพื่อนผมเถอะครับลุง เธอมากับผมน่ะ”
...เสียงนี่มัน??
ฉันเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือที่เป็นคนคนเดียวกับเจ้าของเสียงที่คิดว่าคุ้นหูนั่น แล้วก็พบว่า...มันใช่จริงอย่างที่คาด...ผู้ชายหน้าสวยคนนั้นคนที่ฉันเดินชนแล้วก็เผลอติดบ่วงเวทมนตร์บางอย่างนั่นไปครู่ใหญ่
“หือ? มาด้วยกันอะไรหนุ่ม ลุงเห็นเดินมาคนเดียวชัดๆ น่า อย่ามาแย่งลูกค้ากันหน่อยเลย”
“ความจริง...ถ้าคุณลุงคิดจะทำงานแบบนี้ให้ถูกต้องจริงๆ คุณลุงก็น่าจะไปต่อคิวแท็กซี่ที่จุดเรียกตรงนู้นนะครับ ไม่ใช่มาดึงคนต่างชาติเอาแถวๆ นี้”
“ดึงเอาอะไรที่ไหนล่ะ อย่ามั่วน่าหนุ่ม เราตกลงกันแล้วต่างหาก”
“งั้นถามเจ้าตัวดูดีมั้ยครับ” นายหน้าสวยเอ่ยทั้งที่ยังคลี่ยิ้มสวยใจเย็นอย่างเดิม ก่อนหันจากตาลุงนั่นมายังฉัน “คุณตกลงจะไปกับลุงแท็กซี่คนนี้แล้วงั้นเหรอ"
“....เปล่า”
คำถามและคำตอบที่ถูกส่งกันไปมาด้วยภาษาพ่อภาษาแม่ของตาลุงแท็กซี่นั่นทำให้คนผิวสีคล้ำแดดกลับซีดเผือดซะเห็นได้ชัดแจ่ม เมื่อเขาคงตระหนักได้ว่าพลาดอะไรไปบ้าง อย่างน้อยที่แน่ๆ ก็ไอ้ที่เจ้าตัวพึมพำมาตรงหน้าฉันนั่นแหละ
“นะ...นี่คนไทยเหรอ”
“ไม่ใช่ซะทีเดียว” ฉันหันไปตอบตาลุงนั่น
“โธ่ แล้วก็ไม่บอกแต่แรก” ตาลุงบ่นพึมพำใส่ฉันอีกหนเพื่อทิ้งท้าย ก่อนจะหันกลับเดินลิ่วๆ ชิ่งหนีความผิดไปดื้อๆ
“เอาล่ะ ปลอดภัยแล้ว” แล้ว ‘เขา’ ก็หันกลับมาส่งยิ้มทั้งทางริมฝีปากและแววตานั่นให้กับฉันอีกครั้ง “ดีนะที่ผมนึกสังหรณ์ใจเดินตามมาน่ะ”
“...นายเดินตามฉันมา?”
“ก็คุณดูเหมือนคนหลงทางนี่นะ”
อา...แบบนี้นี่เอง เพราะแบบนี้สินะตาลุงแท็กซี่นั่นถึงได้พุ่งเป้ามาที่ฉันก่อนใครเหมือนกัน
“โทษที” ฉันพึมพำ “ฉันไม่ได้กลับมานานแล้วน่ะ”
“ไม่ได้กลับมานานแล้ว?” เขากะพริบตา มองหน้าฉันด้วยสายตาที่เหมือนจะอ่านได้ว่าก็ไม่ค่อยน่าแปลกใจนักก่อนเอ่ยต่อ “แล้วไม่มีคนมารับหรอกเหรอ”
ฉันส่ายหน้า
“งั้นก็ลำบากน่ะสิ ลำพังแค่คุณหน้าไม่ใช่โซนไทยก็ลำบากแล้ว ยิ่งถ้าไม่ได้กลับมาที่นี่นานแล้วก็ยิ่งตกเป็นเหยื่อพวกมิจฉาชีพได้ง่ายเข้าไปอีก” เขาเอ่ยพลางขมวดคิ้วหากันน้อยๆ เหมือนใช้ความคิด “คุณจะไปแถวไหนล่ะ เผื่อว่าผมผ่านทางแถวนั้น”
...หือ?
“ผมถามว่าคุณจะไปแถวไหน” เขาหัวเราะเบาๆ หลังเห็นฉันทำตาโตหน้าสงสัย “ถ้ามันเป็นทางผ่านหรือเกือบผ่านผมจะได้ให้คนขับแวะไปส่งให้น่ะ”
“คนขับงั้นเหรอ”
การที่คนคนหนึ่งจะมีคนขับรถให้มันถือว่าเป็นภาวะปกติทั่วไปรึเปล่านะ หรือว่า...”
“คุณการ์เร็ต รถมาถึงแล้วครับ” เสียงจากชายร่างหนาในชุดสูทสีเข้มที่จู่ๆ ก็เดินเข้ามาในวงสนทนา อา ดูเหมือนน่าจะเป็นประเภทบอดี้การ์ดส่วนตัวมากกว่าแค่พนักงานบริษัทนะ
ว่าแต่...ผู้ชายคนนี้ชื่อการ์เร็ตงั้นเหรอ เป็นชื่อที่สวยสมตัวเลยแฮะ
“เอ่อ คุณการ์เร็ตจะให้ผมสั่งให้เอารถมารับทางนี้มั้ยครับ หรือว่า...”
(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)
รายละเอียด
รีวิว (1)
25/10/2014
Library Empress รักอลวนของยัยหน้าตายกับหน้าสวย สำหรับนิยายเรื่องนี้เป็นผลงานของพี่ก้อยค่ะอ่านเซตนี้มาตั้งแต่เล่มแรกแล้วสนุกมากสนุกทุกคู่ค่ะต้องบอกแบบนี้ดีกว่าว่าปกติก็ติดตามผลงานของพี่ก้อยอยู่แล้วซื้อแทบทุกเรื่องที่พี่ก้อยแต่งเลยค่ะพี่ก้อยแต่งนิยายสนุกมากๆค่ะตั้งแต่ที่เคยอ่านมาไม่เคยผิดหวังเลยสักเรื่องแล้วก็ชอบนักวาดหน้าปกของพี่ก้อยแทบทุกคนซึ่งเป็นอะไรที่ดึงดูดให้อยากซื้อมากๆมีความรู้สึกว่าปกนิยายของพี่ก้อยแทบทุกเรื่องคาแร็กเตอร์ตรงกับในหนังสือมากๆค่ะ อย่างเรื่องนี้ก็เหมาะที่จะเป็นแนวเลิฟซีรี่จริงๆเพราะมันเป็นนิยายรักผสมแฟนตาซีคาแร็กเตอร์ตัวละครมีมิติตั้งแต่เรื่องแรกในเซตนี้ที่ออกมาค่ะเหมือนได้อ่านอะไรที่เป็นพ่อมดแม่มดไรงี้เลยค่ะอยากจะบอกว่าค่อนข้างเปลี่ยนแนวค่ะปกติที่เคยอ่านนิยายของพี่ก้อยมาจะเป็นนิยายแนวรักเฉยๆไม่ค่อยปนแฟนตาซีอะไรมากมายยกเว้นบางเรื่องอ่ะค่ะหลังๆมาอ่านแนวนี้ก็รู้สึกแปลกดีเป็นเรื่องที่อ่านแล้วลุ้นตามทั้งเรื่องเพราะว่านิสัยของพระเอกกับนางเอกเรื่องนี้น่ารักมากๆค่ะการดำเนินเรื่องก็สนุกชวนติดตามตั้งแต่ต้นเรื่องเลยค่ะชอบตรงที่คาแร็กเตอร์ของพระเอกทั้งเซตนี้เขาเป็นบรรณารักษ์ที่ห้องสมุดแทบทุกเรื่องเลยมาอ่านเซตนี้ก็ไม่ได้อ่านเรียงอะไรมากมายค่ะมาค่อยๆตามอ่านทีละเรื่องแต่ก็สามารถอ่านแยกเรื่องได้ไม่งงซึ่งเป็นอะไรที่ดีมากๆเพราะสมมุติว่าเราอ่านเล่มนี้เล่มแรกแต่ไม่ได้อ่านเรื่องก่อนๆบางทีเราก็ขี้เกียจย้อนกลับไปอ่านอ่ะ แหะๆ ใครที่ไม่เคยอ่านขอแนะนำค่ะว่าเป็นนิยายที่สนุกมากๆจริงๆถ้าไม่อ่านแล้วจะผิดหวัง อิอิ ยังก็ยังติดตามผลงานของพี่ก้อยเรื่อยไปค่ะมารีวิวเพราะนิยายสนุกจริงๆ