ทะเลไม่กว้างกว่าปีกนก (ลดาวัลย์ กมลาศน์)

ทะเลไม่กว้างกว่าปีกนก (ลดาวัลย์ กมลาศน์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789742534585
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 460.00 บาท 115.00 บาท
ประหยัด: 345.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

 

บทที่ ๑

ขอบฟ้าที่จะโบกโบยบินไป อาจมิใช่ความฝืนในวันเยาว์

‘‘สายสาแหรก” เรื่องเล่าจากความทรงจำของข้าพเจ้า ที่เล่าถึง บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งทางพ่อและแม่ สายสาแหรก ได้ดำเนินมาถึง บทสุดท้าย เมื่อสาแหรกทุกสายของข้าพเจ้าได้ละจากโลกนี้ไปหมดแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือความภูมิใจของข้าพเจ้าที่มิบุญหนักหนาที่ได้เถิดมาเป็น ‘‘ลูกชาติลูกตระกูล” แล้วยังได้รับการอบรมสั่งสอนจากผู้ที่มิคุณธรรมอย่าง สูง เช่นคุณตาพระประสูตกลการ คุณหม่อมยายและพ่อแม่ ชีวิตที่ผ่านมา ของข้าพเจ้าจึงยึดมั่นในคุณงามความดีมาโดยตลอด แม้จะมิอุปสรรคใด ๆ ผ่านเข้ามา ก็สามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และไม่มิความมัวหมองใดๆ เลย เมื่อข้าพเจ้ายังเด็ก ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นชีวิตที่เรียบง่ายมาก จน ข้าพเจ้าพูดเสมอว่า เรื่องของข้าพเจ้าเขียนบรรทัดเดียวก็จบ เมื่อมาถึง ทุกรันนี้ ข้าพเจ้ามิเวลานึกถึงสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตข้าพเจ้า จึงได้รู้ว่า ข้าพเจ้า ได้ผ่านอะไรมามากมาย ซึ่งในช่วงเวลาที่ข้าพเจ้ายังต้องรับผิดชอบใน งานประจำอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็วุ่นวายกับสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตรันแล้ว รันเล่า จนไม่ได้สังเกตว่า ชีวิตของข้าพเจ้านั้นมิอะไรที่น่าจะนำมาเล่าสู่กัน ฟังอยู่มาก แต่สิงที่ข้าพเจ้าจะเล่า จะไม่ใช่เรื่องชีวิตส่วนตัวของข้าพเจ้า แต่

เป็นเรื่องต่างๆ ที่ข้าพเจ้าได้พบมา และข้าพเจ้าคิดว่าน่าสนใจ เพราะคง น้อยคนนักที่จะมีชีวิตพลิกผันเช่นข้าพเจ้า จากวัยเด็กที่เป็น ‘‘คุณหนู” จริงๆ กลับเลือกเรียนวิชาสัตว์แพทย์ ซึ่งหนักมาก (เรื่องเรียนว่าหนักแล้ว แต่ผัก งานหนักกว่า) เรียนจบแล้วก็ไปเป็นทหารหญิงบ้านนอกเสียเกือบสามลิบปี แล้วตอนท้ายของชีวิตราชการยังไปทำงานในหน่วยที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเรื่อง ของทหารหญิง คือ ไปท้างานในหน่วยที่ท้าหน้าที่เกี่ยวกับการเก็บกู้ระเปิด และหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสันติภาพชองโลก ซึ่งทำให้ ในทุกช่วงอายุชองข้าพเจ้ามีอะไรมากมายที่น่าสนใจ

เมื่อคิดจะเขียน ‘‘เรื่องเล่าจากความทรงจำ” ต่อจาก ‘‘สายสาแหรก” ที่จบลง เมื่อไม่มีสาแหรกสายใดเหลืออยู่แล้ว ข้าพเจ้าจึงคิดหาช่อใหม่ ข้าพเจ้าประทับ'ใจบทกวีที่ช่อ ‘‘ทะเลไม่กว้างกว่าปีกนก” ชองพี่อดุล จันทร- ศักดิ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ.๖๕๕๑ มาเป็น เวลาช้านาน พี่อดุลซึ่งเป็นกัลยาณมิตรที่คอยให้คำปรึกษา และช่วยเหลือ ข้าพเจ้าด้วยเรื่องต่างๆ นานาด้วยความอดทนเสมอ และเป็นผู้ตั้งช่อ ‘‘สาย สาแหรก” ก็อนุญาตข้าพเจ้าใช้ช่อ “ทะเลไม่กว้างกว่าปีกนก” ซึ่งใจความ ของบทกวีบทนี้ พูดถึงนกที่บินข้ามท้องทะเลแห่งเวลา ที่ต้องฟันฝ่า อุปสรรคและความยากลำบากนานาประการกว่าถึงผังชองความสำเร็จ สมัยก่อนเขาเปรียบเทียบพวกสัตว์แพทย์ว่าเป็น “นกน้อยในไร่ส้ม” สำหรับ ข้าพเจ้า คงจะเป็นนกน้อยที่บินออกจากไร่ส้มมา เพี่อที่จะบินข้ามท้องทะเล แห่งเวลา พบทั้งทุกข์ทั้งสุข ทั้งอุปสรรคและความสำเร็จ ไม่น่าเชื่อว่า นกน้อยในไร่ส้มตัวหนึ่ง จะปีนข้ามท้องทะเลอันกว้างใหญ่จนถึงจุดหมายได้

 

...ครึมฟ้า ครึ้มฝน ก็บินฝา เมื่อร่อน ปีกร่าย กลางสายตะวัน ฝั่งฟ้า นั้นไม่ไกลกว่าปลายปีก บินไปค้นคำตอบที่ขอบฟ้า
ฟองทะเล ธารเวลา โดยกล้าค้น แววหวั่น หรือจะไหว อยู่ในตา ปีกล้า จะบินหลีกพายุกล้า

ในทิวาวันรุ่งของพรุ่งนี้...

 

 

 

และ...

                ครึ้มเมฆฝน-แต่ด้วยฝัน ก็ฟันฝ่า  ปลายปีกอ่อนล้านั้นกล้าหาญ

ลมกล้า พายุโหด ก็โลดทะยาน                 จนพ้นผ่านผืนทะเลแห่งเวลา

ด้วยชีวิตและวิญญาณการต่อสู้                ฟ้าใส จึงสวยอยู่ ณ เบื้องหน้า

การเดินทางยาวนานเมื่อผ่านมา               บอกเธอว่า เธอเหนื่อยมากแต่ภาคภูมิ...       

ข้าพเจ้าคงเหมือนนกตัวนั้นกว่าจะถึงวันนี้ วันที่ข้าพเจ้าถือว่าชีวิต ของข้าพเจ้าประสบความสำเร็จสำหรับผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ไม่มี ตัวช่วยใดๆ ก็ต้องผ่านอุปสรรคและความยากสำบากมามากมาย คติ ในการทำงานของข้าพเจ้านั้น ถ้าพูดแบบที่เขาฮิตกันเวลานี้ คือ “ขอสาม คำ” สามคำของข้าพเจ้าคือ ตั้งใจ อดทน มุ่งมั่น และข้าพเจ้าขอแถม อีกสองคำคือ ข้อสัตย์ และกตัญญู ในที่สุด นกตัวนั้นก็บินข้ามท้องทะเล แห่งเวลาได้สำเร็จ

ถ้าจุดหมายปลายทางของความสำเร็จของแต่ละคนคือดวงดาว ดวงดาวของข้าพเจ้าเมื่อเข้าวับราชการก็เหมือนนายทหารทุกคนคือ การ ได้วับพระราชทานยศชั้นนายพล เมื่อข้าพเจ้าเข้าวับราชการนั้น นอกจาก พระบรมวงศานุวงศ์แล้ว ยังไม่มีนายทหารหญิงผู้ใดเคยได้วับพระราชทาน ยศนายพลมาก่อนเลย ความหวังของข้าพเจ้าเมื่อแรกวับราชการนั้น ก็จะเป็นได้แค่ “ฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง” ตอน,นั้น'ไม่มี'ใคร แม้แต่ตัวข้าพเจ้า จะคาดคิดว่า ๓๕ ปีต่อมา ข้าพเจ้าจะไปถึงความฝันของข้าพเจ้าได้ การ เป็นนายพลหญิงทุกวันนี้สำหรับบางคนที่มีตัวช่วย เช่นนามสกุลเพราะ (หมายถึงมีนามสกุลชนิดสายตรงกับผู้ใหญ่ในบ้านเมือง หรือผู้ใหญ่ใน กองทัพ) หรือ ตาถึง เลือกสามีได้เก่ง จะด้วยเก่งเรื่องโหงวเฮ้ง หรือมี หมอดูชั้นดีเป็นที่ปรึกษาก็ตาม แต่สามีก็ได้เติบโตจนเป็นใหญ่ในกองทัพ หรือสามีมีเพื่อนร่วมรุ่นดี ชนิดที่ก้าวถึงระดับห้าเสือแห่งกองทัพ เช่นนี้ การเป็นนายพลหญิงก็ไม่ยาก แต่ในเมื่อข้าพเจ้าไม่มีคุณสมบัติสองประการ ที่กล่าวข้างต้น การเป็นนายพลของข้าพเจ้าจึงไม่ง่าย กว่าจะ “ด้นฟ้า คว้าดาว” ได้สำเร็จ ข้าพเจ้าก็ล้มลุกคลุกคลานมาไม่น้อยเลย ข้าพเจ้า จึงอยากจะเอาชีวิตในช่วงนี้มาเล่าสู่กันฟัง และคิดว่าคงจะเป็นประโยชน์ กับผู้อ่านได้บ้าง ข้าพเจ้าอาจจะเคยท้อบ้าง เคยฝัดหวังในมนุษย์บ้าง แต่ข้าพเจ้าไม่เคยล้นหวัง ข้าพเจ้าบอกตัวเองเสมอว่า “ดวงดาวอยู่บน ท้องฟ้าเสมอ อยู่ที่เราจะมองเห็นหรือเปล่า แม้เวลาที่ยังมองไม่เห็น ดวงดาวก็ยังคงอยู่ ไมใต้หายไปไหน ดังนั้นเราจึงต้องรอเวลาที่เราจะได้ เห็นดวงดาว โดยที่ไม่ท้อเสียก่อน แล้วก็ต้องพยายามไปให้ถึงดวงดาว แห่งความหวังของเราให้จงได้”

เมื่อข้าพเจ้าจะเขียนเรื่องนี้ให้สมบูรณ์คงต้องย้อนความไปถึงตอน ที่ข้าพเจ้าเรียนหนังสือไปด้วย เนื่องจากที่ข้าพเจ้าบรรจุเข้าวับราชการด้วย คุณวุฒิสัตว์แพทยศาสตร์บัณฑิต มีผู้สงสัยอยู่ไม่น้อยว่า สัตว์แพทยเขา เรียนอะไรสัน ข้าพเจ้าก็เลยถือโอกาสเล่าเรื่องของพวกเราชาวสัตว์แพทย์ ปทุมวัน (ปัจจุบันก็คือ คณะสัตว์แพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) และเรื่อง “เด็กเตรียมฯ” สมัยเมื่อเกือบห้าสืบปีที่แล้ว : ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่จะ เล่า ย่อมมีความผิดแผกแตกต่างจากปัจจุบันนี้แน่นอน แต่ก็ต้องขอเรียนยํ้า อีกครั้ง ว่าทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าเล่านี้เป็นมุมมองของข้าพเจ้า ซึ่งผู้อื่นอาจไม่เห็น เหมือนข้าพเจ้าก็ได้

ความจริงข้าพเจ้าไม่เคยมีเป้าหมายในวัยเด็กเหมือนเด็กคนอื่นเลย ตอนเด็ก ๆ นั้นรู้หน้าที่แต่เพียงว่าต้องเรียนให้เก่งก็พอ ข้าพเจ้าไม่เคย อยากจะเป็นอะไรเหมือนเด็กคนอื่น คุณนายหมูเสียอีก เมื่อเด็กๆเขา อยากเป็นครู คุณติ๋มเขาอยากเป็น “คาวบอย” คำว่าคาวบอยในความคิด ของเขาก็คือ คนที่ขี่ม้า ต้อนม้าต้อนวัวในฟาร์ม จะมีฟาร์มของตัวเองหรือ ไม่ก็ตาม แต่ Darrell Arnold ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและผู้พิมพ์ Cowboy Magazine ซึ่งเป็นแมกกาซีนที่เชิญชวนให้คาวบอยตัวจริงในปัจจุบัน เขียน เรื่องราวชีวิตของตัวเอง หรือกิจวัตรประจำวันของตน เอามาลงตีพิมพ์ไว้ให้ คนอ่านสัน และเป็นที่นิยมในหมู่คาวบอยตัวจริงมากที่สุดในขณะนี้ เขาได้ เขียนสรุปความหมายของคำว่า “คาวบอย” เอาไว้ว่า

คาวบอยคือลูกผู้ชายที่คอยดูแลฝูงวัวอยู่บนหลังม้า และโดยทั่วไป เขาคือลูกจ้างของเจ้าของไร่ปศุสัตว์ที่เป็นเจ้าของที่คืน ฝูงวัว และบางทีก็ เป็นเจ้าของฝูงม้า (remuda) ด้วย คาวบอยคือผู้มีความรู้ดีในการฝึกและ ใช้ม้า เพี่อจัดการฝูงวัว โนการใช้ทุ่งหญ้าอย่างเหมาะลมเพี่อเพิ่มผลผลิต เนื้อสัตว์ให้ได้สูงสุด และภายใต้ภูมิอากาศและสภาวะแวดล้อมที่เขาจะ รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้งานของเขาสำเร็จได้ คาวบอยคือช่างเทคนิคผู้รู้จัก ทักษะในการใช้เชือก อันเป็นเครื่องมือที่ใช้ร่วมสับม้าของเขา เพี่อควบคุม พวกวัวดื้อให้ได้ จึงส่วนใหญ่วัวพวกนี้มิขนาดเท่า ๆ อับตัวคาวบอยนั่นเอง ถ้าคาวบอยโชคดีพอ จนสามารถมิครอบครัวและอยู่ในธุรกิจปศุสัตว์ได้ เขาก็อาจจะกลายเป็นเจ้าของคอกปศุสัตว์เสียเอง หรือกลับอันว่า สภาวะ เศรษฐกิจบังคับให้เจ้าของคอกปศุสัตว์ที่หาเลี้ยงชีพจากคอกของตัวเอง อาจต้องกลายเป็นคาวบอยเลียเอง เพราะไม่สามารถหาเงินมาจ้างคาวบอย คนอื่นๆมาทำงานให้เขาได้ ปอยครั้ง เจ้าของปศุสัตว์หรือคาวบอย จะมิภรรยาและลูก ๆ เป็นเพื่อนคาวบอยช่วยงานในไร่ปศุสัตว์ของเขาเอง คาวบอย สวมหมวกปีกกว้าง เสื้อเชิ้ตแขนยาว คาดเข็มขัดปีน และใส่ แชปส์ (chaps) เพี่อป้องอันขาจากการขี่ม้าฝานภูมิประเทศ

คุณนายหมูนั้นเขาอยากเป็นครู พ่อก็เลยอี้อกระดานดำ ติดไว้ที่ ฝาผนังห้องด้านนอกให้เขาเล่นเป็นครู และเดือดร้อนคุณติ๋ม กับแหม่ม หลานของแม่ (ซึ่งเป็นลูกน้าซี กับแม่กุหลาบ...จากเรื่อง สายสาแหรก) ต้องจำยอมมาเป็นนักเรียน แต่ถ้านักเรียนหนีหายไปหมด คุณครูหมูก็จะ สอนคนเดียวโดยสมมติเอาโต๊ะ เก้าอี้ เป็นนักเรียนก็ได้ ขอให้ได้สอนเถอะ น้าตุ๊กนั้น เขาอยากเป็นเลขานุการิณีบริษัทฝรั่ง เพราะเขาเคย ติดรถคุณตาไปที่บริษัทบัตเลอร์ แอนด์ เว็บสเตอร์ เคยเห็นเลขานุการิณี ของผู้จัดการใหญ่ (สมัยนี้เรียกประธานบริษัทประจำประเทศไทย สมัยก่อน ใหญ่ที่สุด ก็เรียกผู้จัดการใหญ่) ที่เป็นคนอเมริกัน เป็นสาวสวยคล่องแคล่ว แต่งตัวสวย ดูโก้เก๋มาก ในสายตาของเด็กๆอย่างน้าตุ๊ก ถ้าจำไม่ผิด เสขา­นการิณีของผู้จัดการใหญ่นั้นเป็นนักเรียนปีนัง ซึ่งสมัยก่อนจะถือว่าเป็น นักเรียนนอก และโก้มาก

ข้าพเจ้าเป็นเด็กคนเดียวในบ้านที่ไม่เคยอยากเป็นอะไรกับใครเขา ตอนเด็กๆก็เอาแต่อ่านนิทาน ซึ่งในนิทานก็จะมีแต่เทวดา นางฟ้า ที่จะ มาช่วยคนดีที่โดนรังแก จำได้ว่าเด็กๆจะอยากเป็นคนดี เวลามีใครแกล้ง นางฟ้าจะได้มาช่วย ไม่กล้าทำบาป เพราะกลัวตกนรก อันเป็นผลจาก การฟัง ‘‘พระมาลัย” ก่อนนอนอยู่ทุกคืน พอโตขึ้นได้ฟังคุณตาคุณยาย คุยกันเรื่องทูต สมัยก่อนนั้นคุณตาจะสนิทสนมกับบ้านของพลโทพระยา วิชิตวงศ์วุฒิไกร เพราะคุณหญิงของท่านคือคุณหญิงแส วิชิตวงศ์วุฒิไกร มีศักดิ์เป็นหลานของคุณตา คุณตาชื่นชมท่านเจ้าคุณฯ มาก นอกจาก ตำแหน่งทางราชการอื่นๆ ที่สำคัญของท่านเจ้าคุณฯ แล้ว ในสมัย รัชกาลที่ ๗ ท่านยังเคยเป็นอัครราชทูตประจำสหรัฐอเมริกา และยุโรปอีก หลายประเทศ (สมัยก่อนไม่มีตำแหน่งเอกอัครราชทูตค่ะ อัครราชทูตเป็น ตำแหน่งสูงสุดของนักการทูตของสยามประเทศแล้ว) คุณตาจะเล่าถึงความ เก่ง ความสง่างามของเจ้าคุณวิชิตฯ และคุณหญิงให้ฟังเสมอ นอกจาก นั้นในแวดวงบ้านท่านเจ้าคุณวิชิตฯ ยังมีเอกอัครราชทูตผู้มีชื่อเสียงอีกท่าน หนึ่ง คือ คุณหลวงวิสูตรวิรัชชเทศ (วิสูตร อรรถยุติ) ซึ่งคุณหญิงเผชิญ คุณ หญิงของท่านเป็นหลานน้าของคุณหญิงแส ซึ่งเท่ากับเป็นหลานตาของ คุณตา ลูกหลานของคุณหลวงวิสูตรฯ ก็อยู่ในวงการทูต ล้าข้าพเจ้าจำไม่ผิด บุตรสาวของท่านก็เป็นภรรยาเอกอัครราชทูต ซึ่งตอนนั้นข้าพเจ้ายังเด็กก็ จะเห็นท่านเหล่านั้นดูโล้เก๋ สง่างาม ไม่ว่าจะกิริยามารยาท การแต่งตัว เวลามีงานที่บ้านคุณหญิงแส ใครๆ ก็ชื่นชมครอบครัวของคุณหลวงวิสูตรฯ

 

(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024