เรือนแรม (จุลลดา ภักดีภูมินทร์)

เรือนแรม (จุลลดา ภักดีภูมินทร์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789742534783
สั่งจองสินค้า (ต้องการสินค้า)
ราคา: 395.00 บาท 98.75 บาท
ประหยัด: 296.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

พ่อบอกเขาว่าพระรูปนั้นท่านมาจากทิเบต พ่อเรียกท่านว่า ลามะ

ท่านคุยกับพ่อเป็นภาษาจีนกลาง ทั้งพ่อและแม่เคยเรียนภาษาจีนด้วยกัน

ทั้งคู่ แม่รู้น้อยกว่าพ่อ แม่เพียงฟังออก พูดไม่คล่องเหมือนพ่อ

แม่กระซิบเล่าให้เขาฟังว่า พ่อคุยกับท่านถึงเรื่องราวเมื่อเกือบสามสิบปี

ก่อน ตอนที่ท่านยังไม่ได้มาอยู่ในปักกิ่ง ตอนนั้นจีนเข้ายึดครองทิเบตแล้ว

แต่ท่านก็ยังอยู่ในวัดเล็กๆ พ่อเวลานั้นยังเป็นนักศึกษาหนุ่มน้อย คิดว่าตนกำลัง

แสวงหาความหลุดพ้นด้วยวิธีการต่างๆ ตามแบบความนิยมของหนุ่มๆ สาวๆ

ยุคนั้น ท่องเที่ยวไปอย่างอิสระ มีชีวิตเสรีทุกอย่าง ผู้ดำเนินชีวิตในรูปแบบ

นั้นเรียกกันในสมัยโน้นว่า ‘ฮิปปี้’

พ่อกับเพื่อนสองคนแอบเล็ดลอดเข้าใปในทิเบต แล้วก็แอบเข้าไปอยู่

กับท่านพักหนึ่ง เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากท่านหลายอย่าง พ่อจึงดีใจที่ได้มาพบกับ

ท่านอีกในปักกิ่ง

ลามะมองดูเขาด้วยนัยน์ตาสงบนิ่งของท่าน แทบไม่น่าเชื่อว่าอายุของ

ท่านเข้าเจ็ดสิบแล้ว นัยน์ตาท่านดูดำใสสว่างเมื่อจับอยู่ที่ใครก็มักจะจับอยู่

นานๆ

อย่างในขณะที่ท่านกำลังมองดูเขาอยู่

แล้วท่านก็ขยับมือกวักเรียกเขา

“ลูกชายอายุเท่าไหร่แล้ว” ท่านถามพ่อของเขา ถามต่อไปว่า

“ชื่ออะไร”

“วิลเลียมครับ เราเรียกเขาว่าวิลลี่ อายุเก้าขวบ”

นัยน์ตาลามะจับจ้องที่วิลลี่ มุมปากเหี่ยวย่นแย้มยิ้ม ท่านถามวันเดือน

ปีเกิดของวิลลี่ แบมือให้วิลลี่วางมือเล็กๆ ลงบนมือของท่าน

ลามะหลับตานิ่งสนิทอยู่ครู่หนึ่ง

เมลิสากระซิบถามสามีว่า

“ท่านกำลังทำอะไร”

“ฉันก็ไม่รู้ แต่ลามะองค์นี้ท่านเก่งท่านเคยสอนให้ฉันทำใจให้สงบด้วย

วิธีภาวนา”

สิบกว่านาทีลามะจึงได้ลืมตาขึ้น เท็ดถามว่า

“ท่านทำอะไรครับ”

“คุณคงไม่เข้าใจ ถ้าฉันจะบอกว่าเด็กคนนี้มีบารมีซึ่งสะสมเอาไว้หลาย

ชาติ โดยเฉพาะชาติสุดท้าย แต่…เดี๋ยวก่อน คุณเชื่อเรื่องการเวียนว่าย

ตายเกิดหรือเปล่า”

“ครับ ผมเชื่อ ท่านเคยพูดถึงการเวียนว่ายตายเกิดในพุทธศาสนาให้

ผมกับเพื่อนๆ ฟัง ถึงแม้จะพิสูจน์ไม่ได้ด้วยตัวเอง แต่ผมก็เชื่อด้วยเหตุผล

หลายๆ อย่าง”

“ฟังให้ดีนะ ลูกชายของคุณมีบารมีซึ่งสะสมเอาไว้หลายชาติ บารมี

อันเกิดจาก ศีล ทาน และภาวนา โดยเฉพาะสองชาติหลังเขาปฏิบัติทั้ง

ญาณและสมาธิ ในชาติสุดท้ายเขาได้ญาณถึงอภิญญาสาม คือบุพเพนิวาสา-

นุสติญาณ เพราะฉะนั้นในชาตินี้เพียงเขาปฏิบัติไม่เท่าไหร่ เขาก็จะได้ญาณ

ที่เคยได้มาแล้วในชาติก่อน”

“เป็นอย่างนั้นจริงหรือครับ”

ลามะผงกศีรษะรับช้าๆ “ฉันจะสอนเขา ถ้าคุณไม่ขัดข้อง”

“อายุเขาเพิ่งเก้าขวบเท่านั้นเองนะครับ ผมคิดว่าเขาอาจจะไม่มีความ

ตั้งใจเพียงพอ การปฏิบัติอย่างที่ผมเคยเรียนกับท่านตอนที่ผมยังหนุ่ม ผม

จำได้ว่าต้องอาศัยความตั้งใจและความพยายาม”

ลามะส่ายหน้าน้อยๆ ที่จริงแล้วท่านเป็นแค่ลุง เพราะท่านบวชเป็น

พระหาใช่ลามะฆราวาสไม่

ท่านกล่าวว่า “เขาคงไม่ต้องใช้ความพยายามมากเพราะเขามีบารมี

ของเขาอยู่แล้วแต่ชาติก่อนๆ ฉันบอกคุณแล้วไง สำหรับการเป็นเด็กนั้นยิ่ง

เป็นการดี เพราะโดยธรรมดาธรรมชาติแล้ว เด็กบริสุทธิ์กว่าผู้ใหญ่ไม่ว่าจะรับ

พลังหรือกระแสจิตลึกลับใดๆ มักเป็นไปได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ที่มีกิเลสสะสมไว้”

“ขอผมถามเขาดูก่อนนะครับว่าเขาจะเต็มใจหรือเปล่า”

ลามะก้มศีรษะรับช้าๆ เข้าใจถึงการเลี้ยงลูกของพวกนี้ ซึ่งไม่มีการกะ-

เกณฑ์หรือบังคับใจ

“ลามะอยากสอนบางสิ่งบางอย่างให้แก วิลลี่ แกอยากเรียนกับท่าน

ไหม”

“สอนอะไรครับ”

“พ่อก็ไม่แน่ใจนัก แต่ลามะบอกว่าแกเรียนได้”

“ยากไหมครับ”

เท็ดยิ้ม “สำหรับแกอาจไม่ยาก คิดว่าจะลองดูไหมล่ะ ลามะบอกว่า

ถ้าแกเบื่อหน่ายก็อาจเลิกเรียนได้”

ดวงตาสีน้ำตาลสวยแจ่มใสของเด็กชายเป็นประกายอย่างกระตือรือร้น

“ผมอยากเรียนครับ พ่อ”

“ดีแล้ว” เท็ดแปลคำพูดโต้ตอบระหว่างเขากับลูกชายให้ลามะฟัง ท่าน

ยิ้ม นัยน์ตากระจ่างจับอยู่ที่วิลลี่

“คุณคงจะต้องมาอยู่เป็นเพื่อนลูกสักสองสามคืน จนกว่าเขากับฉันจะ

รู้เรื่องกันโดยไม่ต้องอาศัยคุณเป็นคนกลาง”

“แล้วภรรยาผมล่ะครับ”

“ฉันเสียใจที่จะให้เธออาศัยอยู่ในวัดไม่ได้ เพราะเธอเป็นผู้หญิง แต่

สำหรับคุณกับลูกชายไม่เป็นไร ฉันพอจะขออนุญาตเขาได้”

เมลิสาไม่ขัดข้อง หล่อนรักและเชื่อเท็ดเสมอ เพราะอายุของหล่อน

น้อยกว่าเท็ดถึงสิบห้าปี หล่อนแต่งงานกับเท็ดตอนที่หล่อนเป็นนักศึกษา

แขนงวิชาภาษาตะวันออก หล่อนเลือกวิชาภาษาจีน ซึ่งเท็ดเป็นอาจารย์อยู่

“คุณอยู่กับลูกเถอะ คุณเคยเล่าให้ฉันฟังว่าลามะเคยสอนการภาวนา

และการทำสมาธิให้คุณเมื่อตอนคุณรุ่นหนุ่ม บางทีคุณอาจจะได้อะไรจาก

ท่านมากขึ้น ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าท่านจะสอนอะไรให้วิลลี่”

พ่อกับแม่พาวิลลี่กลับไปที่โรงแรม หลังจากกินอาหารคํ่าด้วยกันแล้ว

พ่อก็พาวิลลี่มาหาลามะ ท่านนำเขากับพ่อไปที่ห้อง ‘ปฏิบัติธรรม’ ของท่าน

ห้องค่อนข้างทึบ หากเป็นเวลากลางวันคงจะรับแสงสว่างจากธรรมชาติ

ได้น้อยมาก ถึงตอนนี้ก็สว่างเพียงสลัวๆ ด้วยแสงไฟฟ้าแรงเทียนตํ่าจาก

หลอดห้อยลงมาจากเพดานเหนือพระพุทธรูปแบบจีนสีทองอร่าม นอกจาก

พระพุทธรูปแล้ว ยังมีรูปหล่อและภาพวาดสีสดใสฉูดฉาดอีกมากมายบนโต๊ะ-

บูชา

ลามะลงนอนราบ แสดงอาการคารวะบูชาอย่างสูงสุด เท็ดกับวิลลี่

ปฏิบัติตาม แล้วจึงลุกขึ้นนั่ง

“สวดมนต์ตามฉัน ระหว่างสวดมนต์อย่าคิดอะไรทั้งนั้น มุ่งแต่สวดไป

เรื่อยๆ นั่งให้สบาย วางมือบนตักไม่ต้องประนมแล้วหลับตา”

ลามะสวดมนต์เป็นประโยคให้สองพ่อลูกว่าตาม

วิลลี่หลับตาและว่าตามลามะ

เป็นการง่ายสำหรับเด็กอย่างเขาต่อคำสั่ง ‘ไม่ให้คิดอะไร’

ปากเขาสวดมนต์ไปตามลามะติดต่อกันไปเรื่อย หูได้ยินแต่เสียงสวด-

มนต์อย่างเดียว

แปลกที่เขาไม่ยักเมื่อยขบและไม่ง่วง เขาเกิดความรู้สึกสบายขึ้นในใจ

ขณะที่ปากยังพรํ่าตามลามะ แต่เสียงสวดมนต์ทั้งของลามะ ของพ่อและของ

เขา ดูเหมือนมันจะค่อยๆ ห่างออกไปทุกที

เท็ดปฏิบัติตามลามะเช่นกัน

เขาต้องใช้ความพยายามที่จะให้จิตใจของเขาจดจ่ออยู่กับเสียงสวดมนต์

และการสวดมนต์ แต่ก็เป็นไปได้เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว

ดังนั้น เขาจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองดูลามะและลูกของเขา

ประหลาดใจที่เห็นวิลลี่นั่งอยู่ได้อย่างสงบและหยุดสวดมนต์ตามลามะ

ลามะลืมตาขึ้นช้าๆ แผ่วเสียงสวดมนต์ให้เบาลงจนเงียบหายไป

ภายในห้องเงียบสงัดไปชั่วขณะ

เท็ดคิดว่าวิลลี่ยังไม่ ‘ตื่น’ จึงถามเบาๆ ว่า

“เขาหลับหรือครับ”

ลามะส่ายหน้าน้อยๆ ยิ้มละไม

“เขากำลังอยู่ในฌาน จิตของเขากำลังอยู่ในอารมณ์เดียว”

ท่านพูดต่อไปว่า

“ฉันบอกแล้วไงว่าลูกของคุณเขามีวาสนาบารมีสะสมมาแต่ชาติก่อน

ถึงแม้เขาจะลืมชาติก่อนเพราะปฏิสนธิใหม่ปิดบังเอาไว้ แต่มันก็ยังเป็นวาสนา

ติดตัวมา ไม่ได้สูญหายไปไหนเหมือนเหง้าบัวอันฝังอยู่ในโคลนตม รอเวลาที่

อาจจะงอกขึ้นโผล่พ้นโคลนตม”

“แล้ว…” เท็ดมองลูกชาย ลามะยิ้มน้อยๆ อีกครั้งหนึ่ง

“คุณไม่ต้องวิตก ฉันจะให้เขาถอดจากฌานเดี๋ยวนี้”

ลามะหลับตา ยังคงนั่งขัดสมาธิ มือวางซ้อนกันอยู่บนตัก เท็ดนิ่ง

มองท่านอย่างสงบ

วิลลี่กำลังอยู่ในความสบาย เขาไม่รู้ว่าความสบายนั้นคืออะไร รู้แต่ว่า

มันปลอดโปร่ง เหมือนกำลังล่องลอยอยู่ที่ว่างท่ามกลางสีฟ้านวลสว่าง แต่ก็

ไม่เหมือนกับ ‘เหาะ’ เพราะเขารู้สึกว่าเขาไม่ได้มีร่างในภาวะอันเบาหวิวประดุจ

ลอยนั้น

เขากำลังเพลินอยู่ในความสุขความสบาย

แต่แล้ว ดูเหมือนจะมีบางสิ่งบางอย่างเป็นสัญญาณผ่านเข้ามาในความ

ปลอดโปร่งว่างเปล่า ทำให้เขารู้สึกถึงร่างกายแขนขาขึ้นมา รู้ว่าเขายังคงนั่ง

อยู่ตรงนั้น ตรงที่ที่เขานั่งสวดมนต์อยู่กับลามะและพ่อของเขา

วิลลี่ลืมตาขึ้น

พ่อถามทันทีด้วยความอยากรู้

“เห็นอะไรบ้าง วิลลี่”

วิลลี่งงนิดหน่อยกับคำถามของพ่อ แต่แล้วก็ตอบว่า

“ไม่ได้เห็นอะไรครับ ผมไม่ได้เห็นอะไร”

เท็ดค่อนข้างผิดหวัง เขาคิดว่าวิลลี่จะ ‘เห็น’ อะไรบ้าง จากการนั่งที่

ลามะเรียกว่า ‘ฌาน’ แม้จะยังไม่ถึงกับระลึกชาติได้ ก็น่าจะเห็นสิ่งที่นัยน์ตา

คนธรรมดาไม่อาจมองเห็น เช่น ผีปีศาจ หรือนรกสวรรค์ อะไรเทือกๆ นั้น

เท็ดบอกลามะว่าเขาถามลูกชายว่าอย่างไร และวิลลี่ตอบเขาว่าอย่างไร

ลามะยิ้มตามเคย ถามวิลลี่ผ่านเท็ดว่า

“เธอรู้สึกอย่างไรบ้าง วิลลี่เอาที่เธอรู้สึก ไม่ใช่เห็น”

ท่านเน้นคำว่า ‘รู้สึก’ และ ‘เห็น’

ลามะถามอย่างนี้ เขาเข้าใจเขาตอบว่า

“ผมรู้สึกเหมือนผมลอยอยู่ในที่ว่างๆ สบายดีครับ”

เด็กอายุ ๙ ขวบบอกความรู้สึกของเขาได้เพียงแค่นี้เอง ลามะผงก

ศีรษะช้าๆ หัวเราะนิดๆ

“ฉันเชื่อว่าเธอสบาย ไม่งั้นคงไม่นั่งนิ่งอยู่ได้ตั้งเกือบสามชั่วโมง”

“ผมหลับไปหรือครับ”

“ไม่ใช่หลับ แต่เธออยู่ในภาวะอย่างหนึ่งซึ่งฉันไม่อาจจะอธิบายให้เธอ

เข้าใจได้ แต่เมื่อเธอบอกว่าสบายก็ดีแล้ว พรุ่งนี้เราจะปฏิบัติอย่างนี้กันอีก”

ลามะกล่าวกับเท็ดว่า “นอนหลับพักผ่อนกันให้สบายเถอะ พรุ่งนี้เช้า

หกโมงครึ่งจะให้เด็กยกอาหารมาให้ แล้วพรุ่งนี้คํ่าๆ ค่อยพบกันใหม่”

ลามะจัดให้วิลลี่กับพ่อนอนในห้องปฏิบัติธรรมนั้น มุมห้องมีผ้านวมปู

ไว้ผืนหนึ่ง อีกสองผืนเอาไว้ให้ห่ม

เท็ดเอนกายลงนอน บอกลูกชายว่า

“แกเก่งมากที่นั่งอยู่นานๆ ได้ พ่อกับเพื่อนๆ ในสมัยก่อนโน้นไม่เคยนั่ง

อยู่ได้นานกว่าครึ่งชั่วโมง”

“ผมชอบ ผมอยากทำแบบนั้นอีก”

“แกหมายถึงนั่ง และปฏิบัติที่ลามะเรียกว่าฌานน่ะหรือ”

“ครับ พ่อ”

“เพราะอะไร”

เด็กชายนอนคว่ำ พลางแบมือควํ่าซ้อนกันรองรับคางเอาไว้ ตอบว่า

“ไม่รู้ซีครับ มันสบายดี ผมก็ไม่รู้ว่าสบายยังไง รู้แต่ว่าตัวผมมันโล่งๆ

ตรงนี้ก็ว่างๆ บอกไม่ถูก”

เขาใช้นิ้วชี้เคาะเบาๆ ตรงหน้าผากของเขา

“แต่ผมชอบแล้วกัน”

เท็ดนิ่ง ไม่พูดว่ากระไร เขารู้ว่าเด็กขนาดวิลลี่คงอธิบายอะไรให้เขา

เข้าใจมากกว่านี้ไม่ได้

“นอนเสียเถอะ วิลลี่” เท็ดตัดบท

“เรามีเวลาอยู่ที่นี่อีกหลายคืน ถ้าแกชอบแกก็จะได้เรียนรู้กับลามะต่อ

ไป พ่ออยากรู้เหมือนกันว่าในที่สุดแกจะมองเห็นอะไรบ้าง”

* * *

คืนที่สอง

ก่อนจะเริ่มเรื่องอื่น

พ่อบอกลามะว่า วิลลี่ฝันเห็นบ้านหลังหนึ่ง

“ผมไม่ได้เรียนท่านแต่แรก ลูกชายของผมชอบฝันเห็นบ้านหลังหนึ่ง

เสมอๆ โดยเฉพาะในระยะเวลาสองปีมานี้ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าใครๆ

ก็ฝันได้ บางทีเขาอาจจะอยากย้ายบ้าน หรืออาจจะชอบใจอยากอยู่บ้านที่เขา

เห็นในหนังสือในโทรทัศน์ หรือในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง เพิ่งมานึกขึ้นได้ว่าบ้าน

ที่เขาฝันเห็นบ่อยๆ ตามที่เขาเล่าให้ฟัง รู้สึกว่าออกจะมีลักษณะแปลกๆ”

“ถามเขาดูสิว่า บ้านนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ให้เขาเล่าให้ชัดเจน”

ลามะพูดเรียบๆ ไม่แสดงอาการประหลาดใจแต่อย่างใด

วิลลี่ตอบว่า “ผมฝันเห็นไม่ชัด แต่ก็เห็นว่าเป็นบ้านไม้หลังคาเป็นใบไม้

ด้วยครับ ใบไม้ยาวๆ แห้งๆ มีบ้านหลังหนึ่งลอยอยู่ในน้ำด้วยครับ อีกหลัง

หนึ่งใหญ่มาก มีต้นไม้เยอะแยะทีเดียวครับ”

“เธอฝันเห็นบ้านที่เล่านี่บ่อยๆ รึ”

“ครับ แต่ฝันประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง”

ลามะยิ้มนิดๆ ไม่ได้บอกวิลลี่ว่า บางทีเขาอาจจะได้ ‘เห็น’ บ้านหลังนั้น

อย่างชัดเจน แต่ทว่าไม่ใช่เพียงความฝันซึ่งเกิดจากจิตใต้สำนึกดึงมันออกมา

จากอุปาทานในอดีตที่ตามติดตัวเขามา

ท่านไม่อยากทำให้เขาตื่นเสียก่อน อาจมีผลทำให้เขาไม่อาจสงบใจได้

เหมือนดังเมื่อวันวาน

 

 

            (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024