ลำนำจอมนาง

ลำนำจอมนาง

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160019458
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 450.00 บาท 112.50 บาท
ประหยัด: 337.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

หญิงสาวนักเดินทางข้ามเวลา

เสียงกุบกับของกีบม้ากระทบพื้นดังสนั่น เมื่อม้าฝีเท้าดีหลายตัววิ่งผ่านมา

ด้วยความเร็ว ผู้ที่ขี่ม้าตัวที่อยู่ตรงกลาง และถูกปกป้องอารักขาอย่างแข็งขันคือ

จ้าวเหยียนเว่ย องค์รัชทายาทแคว้นจ้าว พวกเขาโดนโจมตีโดยกลุ่มคนที่ยังไม่ทราบ

ฝ่าย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเหล่าราชองครักษ์จึงอารักขาให้จ้าวเหยียนเว่ย

กลับเข้าไปยังป้อมเจิ้งจินทั้งที่ขบวนม้าเพิ่งจะออกมาได้ไม่นาน

ป้อมเจิ้งจินคือที่พำนักของแม่ทัพใหญ่รักษาชายแดน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่าง

แคว้นจ้าวและแคว้นหนาน ทั้งสองแคว้นเพิ่งจะเสร็จสิ้นสงครามไปได้ไม่นาน

สถานการณ์จึงยังตึงเครียดอยู่บ้าง

การทำสงครามระหว่างดินแดนจบลงด้วยการขอสงบศึกจากแคว้นหนาน

โดยแคว้นหนานที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ยินยอมที่จะส่งเครื่องบรรณาการมาให้แคว้นจ้าว

ทุกปี แต่เพราะเป็นฝ่ายทำลายข้อตกลงระหว่างแคว้นด้วยการรุกรานแคว้นจ้าว ก่อน

แคว้นหนานจึงต้องส่งบรรณาการมากขึ้นถึงสองเท่าจากเดิม

แม้ว่าสงครามระหว่างแคว้นจะสงบไปแล้ว ทว่าองค์ชายสามจ้าวเหยียนเจี๋ย

แม่ทัพใหญ่รักษาดินแดนยังคงรั้งรอเพื่อให้ทุกอย่างเรียบร้อย ด้วยเพราะเขา

ไม่ยอมกลับเข้าวังหลวงเสียที จึงเป็นสาเหตุที่จ้าวเหยียนเว่ยอดกังวลขึ้นมาไม่ได้

เขาเกรงว่าจ้าวเหยียนเจี๋ยผู้เป็นอนุชาจะได้รับบาดเจ็บดังคำร่ำลือ การมาของ

จ้าวเหยียนเว่ยครั้งนี้เป็นความลับสุดยอด ดังนั้นการที่ข่าวรั่วไหลจนถึงขั้นมีการลอบ

โจมตีขึ้น ก็เป็นไปได้แน่นอนว่ามีคนในรู้เห็นเรื่องการลอบปลงพระชนม์ แม้ว่า

จางอวี้หัวหน้าราชองครักษ์ของจ้าวเหยียนเว่ยจะตามอารักขาอย่างใกล้ชิด ทว่า

เมื่อฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมากกว่า ไม่ว่าเขาจะคุ้มกันแน่นหนาสักเพียงใดก็ยังคง

เพลี่ยงพล้ำ

“องค์รัชทายาท” เสียงของบุรุษผู้ที่ควบม้าใกล้เข้ามา ทำให้จ้าวเหยียนเว่ย

ยิ้มออกมาอย่างยินดี

“น้องสาม”

“จางอวี้พาองค์รัชทายาทกลับเข้าไปในป้อม เราจะถ่วงเวลาเอาไว้ก่อน”

จ้าวเหยียนเจี๋ยเอ่ยเสียงทรงอำนาจ

“องค์รัชทายาท ขอพระองค์ทรงเร่งเดินทางเข้าไปในป้อมก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ

เพื่อความปลอดภัยของพระองค์” จางอวี้รีบเอ่ยขึ้น

“เชิญเสด็จก่อนพ่ะย่ะค่ะหม่อมฉันจะต้านเอาไว้ก่อน ไม่มีเวลาแล้ว” จ้าว-

เหยียนเจี๋ยตะโกนแข่งกับเสียงคมดาบ เมื่อมีมือสังหารเข้ามาใกล้เขา อู๋อิงสงซึ่งเป็น

ทั้งรองแม่ทัพและองครักษ์ของจ้าวเหยียนเจี๋ย ก็รีบฟาดคมดาบเข้าไปสกัดไว้

จางอวี้กับทหารองครักษ์ส่วนหนึ่งต่างคุ้มกันจ้าวเหยียนเว่ยเข้าไปในป้อมได้

สำเร็จในที่สุด ส่วนจ้าวเหยียนเจี๋ยกับอู๋อิงสงพร้อมกับองครักษ์บางส่วน ยังคง

ช่วยกันรับมือกับกลุ่มมือสังหารที่ดูเหมือนฝีมือแต่ละคนจะไม่ธรรมดา เมื่อเห็นว่า

ต่างฝ่ายต่างก็สู้กันแบบไม่มีที่สิ้นสุด เหล่ามือสังหารจึงได้ล่าถอยไป ทว่ากลิ่นอาย

แห่งการต่อสู้ที่ยังคงล้อมรอบอยู่ภายนอกของป้อมเจิ้งจินทำให้เหล่านายทหาร

ประจำการต่างก็ตื่นตัวในการเฝ้ายามและถวายอารักขา

“น้องสามพี่ต้องขอโทษเจ้าด้วย การมาครั้งนี้ของพี่ไม่นึกว่าจะมีผู้อื่น

ล่วงรู้” จ้าวเหยียนเว่ยขมวดคิ้วด้วยความกังวล

“อย่าทรงตรัสเช่นนั้นเลยหม่อมฉันมิกล้ารับคำขอโทษจากพระองค์

การที่ขบวนเสด็จโดนโจมตีวันนี้นั้นทำให้เรารู้ว่าในวังหลวงอาจจะมีเกลือเป็นหนอน

เพราะการเสด็จครั้งนี้เสด็จเป็นการส่วนพระองค์มีไม่กี่คนที่ทราบข่าว เราจำเป็น

จะต้องหาต้นตอก่อน

                “เจ้าพูดก็ถูก”

“ปัญหาตอนนี้คือเราต้องรีบนำเสด็จองค์รัชทายาทกลับวังหลวง ก่อนที่จะ

มีคนล่วงรู้ไปมากกว่านี้ว่าทรงมิได้อยู่ในวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ” จางอวี้เองก็อดกังวลไม่ได้

“จางอวี้พูดถูก เราต้องหาทางให้พระองค์กลับวังหลวงโดยเร็วที่สุด หม่อมฉัน

คิดว่าหม่อมฉันมีวิธี” จ้าวเหยียนเจี๋ยเอ่ยแล้วมองไปที่อู๋อิงสง

“คิดว่าได้เวลาที่หม่อมฉันจะกลับวังหลวงซะที อิงสงตามรองแม่ทัพจางมา”

“ขอรับท่านแม่ทัพ” อู๋อิงสงเดินออกไป

“พี่ได้ยินไม่ผิดกระมัง”

“ไม่พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะกลับเข้าวังหลวง”

“ดีจริง ฝ่าบาทกับไทเฮาคงจะพอพระทัยยิ่ง พี่มาไม่เสียเปล่าจริงๆ” จ้าว-

เหยียนเว่ยเอ่ยด้วยความยินดี

แผนการของจ้าวเหยียนเจี๋ยคือการทอนกำลังของฝ่ายตรงข้ามและหลอก

ให้อีกฝ่ายสับสน นั่นคือการปลอมตัวปิดหน้าและแบ่งเป็นสามกลุ่มออกจากป้อม

เจิ้งจิน ให้แต่ละกลุ่มแต่งกายเหมือนกันออกจากป้อม โดยมีจางซานจิ่วรองแม่ทัพ

รักษาแผ่นดินจะรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลป้อมเจิ้งจินแทนในช่วงที่จ้าวเหยียนเจี๋ยกลับ

เข้าเมืองหลวง จ้าวเหยียนเจี๋ยและอู๋อิงสงพร้อมกับราชองครักษ์อีกสองคนอ้อมไป

ทางเหนือ ส่วนทางด้านของจ้าวเหยียนเว่ยกับจางอวี้และเหล่าราชองครักษ์อีก

สองคนจะฝ่าออกไปตรงกลาง สือเจี้ยนหาว องครักษ์เงาผู้เต็มไปด้วยปริศนาของ

จ้าวเหยียนเจี๋ยพร้อมกับนายทหารอีกสี่นาย จะปลอมตัวก่อนมุ่งหน้าไปด้านทิศใต้

เมื่อทั้งสามกลุ่มออกมาจากป้อมพร้อมกัน ก็เป็นไปดังคาด เกิดการสับสน

ในกลุ่มมือสังหารจึงต่างก็แยกกันออกไปเพื่อไล่ล่า ดังนั้นจึงลดจำนวนคนลงไปมาก

และง่ายต่อการรับมือ เพราะว่ากลุ่มมือสังหารไม่รู้ว่ากลุ่มใดคือกลุ่มขององค์

รัชทายาท

ม้าของจ้าวเหยียนเจี๋ยวิ่งควบคู่มากับม้าของอู๋อิงสง ด้านหลังยังมีม้าของ

ราชองครักษ์อีกสองนายที่ทำหน้าที่คุ้มกัน

“พวกเจ้าแยกไปทางซ้ายไปเจอกันที่หมู่บ้านข้างหน้า” อู๋อิงสงตะโกนสั่ง

ราชองครักษ์ทั้งสองคนแยกออกไปทันทีที่ได้รับคำสั่งนั้น พวกเขาแยกตัวไปอีกด้าน      

เพื่อเพิ่มความสับสน

“อิงสงเราต้องล่อให้มันไปยังสะพานเชือกข้ามแม่น้ำ ด้านหลังป่าสน” เมื่อ

จ้าวเหยียนเจี๋ยพูดจบก็มีลูกดอกพุ่งมา แต่เขาไหวตัวทันรีบเอียงตัวหลบ

“ท่านแม่ทัพพวกมันมีธนูและลูกดอก”

“ด้านหน้าเป็นป่าสนเราจะได้เปรียบ แต่เราต้องข้ามแม่น้ำให้ได้ก่อน ไปเร็ว”

ทั้งสองเร่งม้าเข้าไปในป่าสนหนาทึบ เพื่อให้เป็นอุปสรรคต่อกลุ่มมือสังหาร

ในการยิงธนูและลูกดอก เมื่อใกล้จะถึงสะพานทั้งสองลงแส้เพื่อให้ม้าวิ่งเร็วขึ้นอีก

เพราะขอบสะพานเป็นที่โล่งง่ายต่อการถูกโจมตี อู๋อิงสงชะลอม้าเพื่อให้จ้าวเหยียน-

เจี๋ยข้ามไปก่อน ตัวเขาก็คอยระวังหลังให้ ทว่าเมื่อถึงกึ่งกลางของสะพานลูกดอก

กลับพุ่งมาจากด้านข้างทั้งสองฝั่ง ลูกดอกพวกนั้นมีเป้าหมายคือจ้าวเหยียนเจี๋ย

ขณะที่เขากำลังจะพุ่งเข้าไปปกป้องจ้าวเหยียนเจี๋ยลูกดอกอีกสามดอกพุ่งมายังตัวเขา

“ท่านแม่ทัพ” อู๋อิงสงร้องเตือนและดีดตัวขึ้นด้วยวิชาตัวเบา เขาพุ่งตัวไป

จากม้าเพื่อบังลูกดอกให้ผู้เป็นนาย ทว่าตัวเขากลับโดนลูกดอกเสียก่อนทำให้สูญเสีย

ทิศทางการควบคุม

ในขณะที่ลูกดอกพุ่งเข้าไปใกล้หน้าอกของจ้าวเหยียนเจี๋ย แสงสีเขียวลักษณะ

คล้ายดังเกราะวงกลมก็สะท้อนออกมาจากกำไลหยกสีเขียวของเขา กำไลหยกนี้

เจิ้งฮุ่ยเจินอดีตฮองเฮามารดาของเขามอบให้ก่อนที่นางจะสิ้นใจ แสงเจิดจ้าสีเขียว

เข้าครอบคลุมร่างของจ้าวเหยียนเจี๋ยเอาไว้ ทำให้ลูกดอกที่พุ่งเข้ามากระเด็นไป

คนละทิศละทาง ทันใดนั้นตรงกลางของแสงลึกลับกลับปรากฏร่างหญิงสาวที่

แต่งกายประหลาดนางหนึ่งขึ้น นางค่อยๆ ร่วงลงบนตักของจ้าวเหยียนเจี๋ย เขา

รับร่างนั้นไว้ทั้งที่ยังอยู่บนหลังม้า ความร้อนที่ยังคงแผ่ซ่านออกมาจากกำไลทำให้

จ้าวเหยียนเจี๋ยก้มลงไปมอง เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าที่ข้อมือของหญิงสาวก็ปรากฏ

กำไลอีกอันที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับกำไลที่เขามี

ร่างของทั้งคู่ร่วงลงมาจากหลังม้า ด้วยเพราะม้าเกิดตกใจกับสิ่งที่ปรากฏ

มันยกขาหน้าทั้งสองขึ้นพร้อมกับดีดตัวไปมา อู๋อิงสงเองก็ร่วงลงไปบนพื้น เขา

ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองหลังจากที่ได้เห็น หญิงสาวแปลกหน้ากะพริบตาปริบๆ

ให้จ้าวเหยียนเจี๋ย นางมองเขาคล้ายยังคงไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ดีนัก ทั้งคู่ต่างคน

ต่างก็มองหน้ากันและกัน

“อีกแล้วเหรอเนี่ย” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อตระหนักถึงสิ่งที่อยู่รอบตัว ผมยาว

สลวยสีดำขลับที่มวยเอาไว้บนศีรษะเริ่มหลุดลุ่ยรุงรัง ทว่ามันก็มิอาจซ่อนใบหน้า

อันหวานล้ำนั้นเอาไว้ได้ จ้าวเหยียนเจี๋ยถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ ใบหน้าของหญิงสาว

อยู่ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ เขาสูดลมหายใจเข้า เมื่อเห็นใบหน้าหวานล้ำนั้น

เต็มตา เขามองร่างแบบบางนุ่มนิ่มแนบสนิทไปกับร่างสูงใหญ่ของตนแล้วใจเต้นแรง

เขาสาบานได้เลยว่าเขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมาจากตัวหญิงสาวด้วย

เสียงลูกดอกปักลงบนพื้นสะพานใกล้ๆ ดังขึ้นขัดจังหวะการพบกันของ

ทั้งสอง อู๋อิงสงที่ได้รับบาดเจ็บลุกขึ้นทันใด เขารีบเข้ามาระวังภัยให้เมื่อเห็นว่าผู้เป็น

นายนั้นพยายามช่วยหญิงสาวปริศนาให้ยืนขึ้น เขารีบจับบังเหียนม้าเอาไว้ทั้งสองตัว

ทว่าม้าทั้งสองตัวยังคงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันสะบัดตัวอย่างแรงจนชน

เข้ากับแผ่นหลังของจ้าวเหยียนเจี๋ยที่ยืนอยู่ขอบสะพาน จังหวะนั้นเองที่ลูกดอก

อีกชุดพุ่งเข้ามายังทั้งสาม จ้าวเหยียนเจี๋ยรวบร่างบางหลบไปอีกด้าน แต่ม้าของเขา

เองกลับกระแทกทั้งคู่อีกครั้งทำให้ลูกดอกปักเข้ากลางหลังของเขาอย่างจัง เขา

สูญเสียการควบคุม และหญิงสาวเองก็ไม่สามารถรับน้ำหนักคนตัวโตเอาไว้ได้

ทั้งคู่พลัดตกลงมาจากขอบสะพานร่วงลงสู่แม่น้ำที่เชี่ยวกรากเบื้องล่าง

“ท่านแม่ทัพ ไม่” เสียงอู๋อิงสงร้องตะโกนเป็นเสียงสุดท้ายที่ทั้งสองได้ยิน

ก่อนทุกอย่างจะดับมืดลง

 

วันวิสาข์ขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด กระทั่งเธอลืมตาขึ้นจึงได้รู้ว่าโดน

คนที่เพิ่งจะเจอกันเมื่อครู่นอนทับอยู่ริมแม่น้ำ สติสัมปชัญญะของเธอเลือนราง

เต็มทน อาจเพราะเขาตัวหนักทำให้เธอหายใจไม่สะดวก แต่ไม่นานกลับรับรู้ได้ว่า

มีกลุ่มคนเข้ามาช่วยเธอยกตัวเขาออก

“แม่นางเจ้าเป็นอะไรมากหรือเปล่า” เสียงเรียกทำให้เธอได้สติ

“ชายคนนี้ได้รับบาดเจ็บนี่”

“ชีพจรอ่อนจนแทบไม่เต้นแล้ว ลมหายใจของเขาก็แผ่วเบาเหลือเกิน เขา

คือสามีของเจ้ากระมัง” คนเอ่ยยกข้อมือของเขาขึ้นและมองมาที่ข้อมือเธอเช่นกัน

                “ของหมั้นของพวกเขาละมั้ง”

‘หมายถึงกำไลนั่นกระมัง’ วันวิสาข์มองดูกำไลที่ข้อมือของเขาแล้วแทบ

ลืมหายใจ มันเหมือนกันจนแทบจะแยกไม่ออกหากมองแบบเผินๆ

“เขาเป็นอย่างไรบ้าง” วันวิสาข์เอ่ยถาม ทั้งยังพยายามตะเกียกตะกายเข้า

มาหาเขา เพื่อตรวจสอบว่าเขายังหายใจอยู่หรือไม่ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าทำไมเธอกับเขา

เกือบตายทั้งคู่ เพราะบนหลังของเธอยังคงมีเป้สนามใบโตนั่นเอง แต่พอถอดเป้วาง

ลงเธอก็ต้องคิดใหม่ เมื่อมองเห็นลูกดอกสามดอกปักติดอยู่ที่เป้ ในสติอันเลือนราง

เธอเห็นภาพของเขาคนนี้พยายามพยุงตัวเธอให้ลอยขึ้นเหนือน้ำ จนตัวเขาเองเกือบ

จะจมหายไปหลายครั้ง เพราะแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวนั้น และน้ำหนักเป้เองถ่วงตัวเธอ

และเขาให้จมลง วันวิสาข์จับชีพจรของเขาแล้วตกใจ เขาหยุดหายใจไปแล้วแต่

ชีพจรยังเต้นอยู่แต่อ่อนมาก

“พวกท่านถอยออกไปสักนิดเขาจะได้มีอากาศหายใจ”

“แต่นั่นเขาไม่หายใจแล้วนี่”

“ไม่หรอก” วันวิสาข์จับใบหน้าเขาแหงนเงยขึ้น แล้วก้มลงฟังเพื่อให้แน่ใจว่า

เขาไม่หายใจจริง และใช้ฝ่ามือทั้งสองประสานกันกดลงไปบนหน้าอกเขาเป็นจังหวะ

“หายใจ หายใจ ท่านต้องหายใจ หายใจสิ” เธอก้มลงเอาหูแนบหน้าอกเขา

อีกครั้ง ทว่าไม่มีเสียงตอบรับใดๆ กลุ่มคนที่เข้ามาดูเหตุการณ์เริ่มส่งเสียงเห็นใจ

เธอกันทั้งนั้น ตอนนั้นเองที่เธอก้มลงเป่าลมลงไปแบบปากต่อปาก ก็มีเสียงอึงคะนึง

อย่างไม่เข้าใจจากคนรอบข้าง และมีเสียงหนึ่งเอ่ยออกมาอย่างเห็นอกเห็นใจว่า

“แม่นางเจ้าก็ตัดอกตัดใจเถอะนะ เขาตายไปแล้วแต่เจ้ายังต้องอยู่ต่อ”

“นั่นสิ อย่าทำแบบนี้เลย ดูจากบาดแผลและที่เขานอนทับเจ้าเมื่อครู่เขา

พยายามปกป้องเจ้า เจ้าก็อย่าทำให้เขาเสียแรงเปล่าเลย”

หลายคนยังคงปลอบ ทว่าวันวิสาข์ยังคงทำแบบเดิมสลับกันไปมา กระทั่ง

คนที่นอนนิ่งเมื่อครู่สำลักออกมาในที่สุด เขาไอออกมาถี่ๆ ทำเอาหลายคนถึงกับ

ตกใจกลัวเพราะมันเหมือนกับว่าเขาตายแล้วฟื้น

“ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง” วันวิสาข์ยิ้มให้เขาเมื่อเขาหันหน้ามามอง

“เป็นไปได้อย่างไร เมื่อครู่เขาไม่หายใจแล้วนี่”

“นั่นสิ ข้าเอานิ้วจ่อดูแล้วเขาไม่หายใจจริงๆ นะ”

“หรือที่นังหนูนี่ทำเมื่อครู่นางแบ่งลมหายใจของนางให้เขา”

“จริงหรือ นางคงจะรักสามีนางมากนะ”

“นั่นสินะ ดูเหมือนเขาก็ปกป้องนางนี่ โถ พวกเจ้าช่างมั่นคงต่อกันและกัน

เหลือเกินนะ”

“ว่าแต่ว่านางทำได้ยังไงกัน”

“นั่นสิ” เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ไม่ได้เข้าไปในสมองของวันวิสาข์

เลย ตอนนี้เธอคิดที่จะช่วยคนเจ็บเพียงอย่างเดียว หญิงสาวเพิ่งจะรู้มาว่าขบวน

พ่อค้ากลุ่มนี้กำลังจะเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อเริ่มต้นค้าขาย หลังจากที่

สงครามเพิ่งจะสงบ พวกเขาบังเอิญเข้ามาเห็นเหตุการณ์และช่วยทั้งคู่ไว้

วันวิสาข์มีหลายคนคอยช่วยเหลือตอนที่เธอทำการรักษา ทุกคนต่างก็พา

กันอึ้งเมื่อเห็นวิธีการรักษาแบบใช้มีดผ่าเอาลูกดอกออกและเย็บผิวหนังเข้าด้วยกัน

พวกเขาพูดไปต่างๆ นานา กลางดึกขณะที่วันวิสาข์กำลังพิจารณากำไลของเธอ และ

คนที่นอนเจ็บอยู่นั้นเสียงโหวกเหวกก็ดังขึ้นในกระโจม

“แม่นางเจ้าช่วยลูกของข้าด้วย ข้าเห็นเจ้าช่วยสามีเจ้านี่ ได้โปรดช่วยข้าด้วย”

หัวหน้าขบวนพ่อค้าเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าวันวิสาข์

“ท่านลุงเกิดอะไรขึ้น”

“ลูกข้า ลูกข้า”

“เขาเป็นอะไร เขาอยู่ไหน” วันวิสาข์ถูกลากออกมา และเห็นเด็กคนหนึ่ง

นอนชักน้ำลายฟูมปากอยู่จึงรีบวิ่งเข้าไปดู

“พวกท่านถอยออกไปอย่าเข้ามามุง ฮูหยินท่านปล่อยเขาก่อน ท่านทำให้เขา

หายใจไม่ออก”

“ช่วยลูกข้าด้วย ช่วยเขาด้วย”

“เขาเป็นมานานเท่าไหร่แล้ว”

“ข้าเดินเข้ามาก็เห็นเขาเป็นแบบนี้แล้ว” ฮูหยินหัวหน้าพ่อค้าร้องไห้และเล่า

“จับเขานอนตะแคง คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปให้หมดเขาจะได้หายใจได้

สะดวก” วันวิสาข์จับเด็กนอนราบก่อน จากนั้นตะแคงตัวเด็กไปด้านข้างเพื่อไม่ให้

 

            (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024