มุกมนตรา
มีสินค้าในสต็อค
ประหยัด: 105.00 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
“แล้วเจ้าหญิงเงือกก็กลายเป็นฟองคลื่นไปในที่สุด”
นภาปิดหนังสือเมื่อลูกชายกล่าวประโยคสุดท้ายในนิทานเรื่องเจ้าหญิงเงือก
น้อยของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน จบ เธอรับหนังสือมาจากมือลูกชายก่อนจะ
วางมันไว้ช้างหัว เตี ยง และหันมา
“เอาละ อ่านนิทานจบแล้ว ฉะนั้นเรานอนกันดีกว่านะจ๊ะน้องณพ” เธอลูบ
ศีรษะอรรณพ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวที่เกิดจากอรรถพล
สามีชองเธอ
พวกเขาทั้งสามกำลังอยู่ระหว่างการพักผ่อนประจำปีที่บ้านพักตากอากาศ
ของครอบครัว ณ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วันนี้เป็นวันแรกชองการ
พักผ่อน คืนแรกชองการนอนพักนอกเคหสถานอันคุ้นเคย และเนื่องจากไม่มี
โทรทัศน์ในท้องนอนเล็ก เธอและลูกชายจึงผลัดกันอ่านนิยายแทนความบันเทิง
ก่อนนอน
“แม่ฮะ แม่เคยสงสัยไหมฮะว่า ทำไมคนแต่งจะต้องให้เจ้าหญิงเงือกน้อยกลาย
เป็นฟองคลื่นแทนที่จะเป็นอย่างอื่น อย่างเช่นกลับเป็นนางเงือกเหมือนเดิม หรือไม่ก็
เป็นคุ้งเป็นปลา” เด็กชายอรรณพวัยสิบเอ็ดขวบถามด้วยความสงสัย
“เพราะอะไรเหรอ” นภาคิด “แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ อาจเป็นเพราะว่าสำหรับ
คนแต่งแล้ว ฟองคลื่นนั้นเป็นสัญลักษณ์ของทะเลกระมังจ๊ะ...แล้วถ้าไม่ให้เจ้าหญิง
เงือกน้อยกลายเป็นฟองคลื่น น้องณพคิดว่าเจ้าหญิงควรจะกลายเป็นอะไรดีล่ะ”
“อืม” เด็กชายนิ่วหน้าจนหัวคิ้วมีรอยย่นปรากฏขึ้น “ไม่รู้สิฮะ” ก่อนจะเปลี่ยน
เรื่องง่ายๆ
“แต่คนแต่งใจร้ายนะฮะ ไม่ยอมให้เจ้าหญิงเงือกน้อยมีความสุขเหมือน
เจ้าหญิงแอเรียลในเรื่องเดอะลิตเติลเมอร์เมด” อรรณพอ้างไปถึงนิทานเรื่องเจ้าหญิง
เงือกของวอลต์ ดีสนิย์ ซึ่งสุดท้ายได้อยู่กับเจ้าชายที่รักอย่างมีความสุข
นภายิ้มอ่อนๆ “คนแต่งไม่ได้ใจร้ายหรอกจ้ะ เขาคงอยากจะเให้เห็นว่า
ความรักทำให้เรายอมเสียสละให้คนที่เรารักมากมายแค่ไหน ดูอย่างเจ้าหญิงเงือก
น้อยลิจ๊ะ เธอยอมเสียสละตัวเองแทนที่จะฆ่าเจ้าชาย และกลับไปเป็นนางเงือกเหมือน
เดิม เธอยอมให้เจ้าชายอยู่กับหญิงสาวอีกคนที่เขารัก ส่วนตัวเองก็ต้องสลายกลาย
เป็นฟองคลื่น มันเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่มากนะจ๊ะ”
อรรณพคิดตาม เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะถาม “ถ้าแม่เป็นเจ้าหญิง
เงือกน้อย แม่จะทำยังไงฮะ”
คราวนั้นภาถึงกับส่ายหน้า ค่าถามของลูกชายชักจะยากขึ้นทุกที ๆ “ถ้าเป็นแม่
เหรอจ๊ะ แม่ก็คงจะทำเหมือนเจ้าหญิงเงือกน้อยมั้ง”
“แต่ถ้าเป็นผมนะ ผมจะไม่ยอมทำแบบนั้นแน่ๆ ผมจะไม่ยอมให้คนรักเป็น
อะไรไป แล้วผมก็จะไม่ยอมเสียสละตัวเองกลายเป็นฟองคลื่นด้วย” เขาตอบอย่าง
ฉาดฉานเกินเด็กวัยสิบเอ็ดขวบ ซึ่งค่าตอบของเขาก็เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากมารดา
ได้เป็นอย่างดี
“แม่เชื่อว่าน้องณพจะทำได้จ้ะ” เธอลูบศีรษะของบุตรชายก่อนจะตัดบทว่า
“แต่ตอนนี้น้องณพต้องนอนแล้วนะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นเข้าๆ ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นและ
ว่ายน้ำเล่นกัน”
“ฮะแม่ ผมรู้แล้ว” อรรณพตอบเหมือนรำคาญที่ถูกเตือนราวกับเด็กเล็กๆ โดย
ลืมไปเลยว่าเขาเพิ่งจะอายุสิบเอ็ดขวบ...ยังเป็นเด็กเล็กๆ ในสายตาของทุกคน
“ฝันดีฮะแม่” เขาค่อย ๆ หลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นใหม่อีกครั้ง “ว่าแต่...แม่
คิดว่านางเงือกมีจริงไหมฮะ” ด้วยความที่เป็นคนช่างชักถาม เด็กชายจึงอดที่จะถาม
คำถามอีกครั้งไม่ได้
“ไม่รู้สี'จ๊ะ อาจจะมีหรืออาจจะไม่มีก็ได้ แม่ยังไม่เคยเห็นนางเงือก แม่ตอบ
ไม่ได้หรอก แต่แม่เคยได้ยินคนเขาเล่ากันว่าพะยูนที่พวกเราเห็นกันก็คือนางเงือก
ดีๆ นั่นเอง” นภาดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มคลุมจนถึงล่าคอเล็ก ๆ ของผู้เป็นลูก
“พอคนเห็นพะยูนขึ้นมานั่งพักบนโขดหิน เห็นมันชอบโผล่ขึ้นมาหายใจที่
ผิวนํ้า เขาก็พากันคิดว่าพะยูนคือนางเงือก”
“แต่ผมว่านางเงือกไม่มีจริงหรอก” อรรณพหลับตาลง เริ่มปิดกั้นมโนภาพ
ออกไปจากใจ แต่ก็ยังไม่เลิกปิดกั้นคำพูดที่ออกมาจากปากช่างจำนรรจา
“มันคงจะเป็นปลาพะยูนเหมือนอย่างที่แม่บอกมั้งฮะ” เขาคล้อยตามความคิด
ของมารดา
นภาลุกขึ้นยินและกล่าว “ใช่แล้วจ้ะ แม่ก็ว่าอย่างนั้น นางเงือกมีแต่ในนิทาน
เท่านั้นแหละ”
แต่นภาและอรรณพไม่รู้หรอกว่าบางทีนิทานก็ไม่ได้เป็นเพียงนิทานเสมอไป!
กล่าวกันว่าในดวงดาวสีนํ้าเงินที่เรียกว่าโลก ยังมีสิงเร้นลับอีกมากมายที่
มนุษย์ไม่รู้จักแอบแฝงอยู่...
ลึกลงไปใต้ทะเล นอกจากจะเต็มไปด้วยสัตว์ทะเลน้อยใหญ่ หน้าตาคุ้นเคย
หรือหน้าตาแปลกประหลาดตามแต่ความลึกของระดับน้ำแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตอีก
ชนิดหนึ่งซึ่งใครๆ ก็พากันคิดว่ามันเป็นเพียงสัตว์ในตำนานอาศัยอยู่
สิ่งมีชีวิตที่มนุษย์เรียกว่าเงือก!
มีหลายตำนานที่กล่าวถึงอมนุษย์ชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นตำนานจากประเทศใน
แถบสแกนดิเนเวีย ตำนานจากชนชาติจีน ตำนานของชาวกริก หรือกระทั่งตำนาน
นางเงือกในประเทศไทยก็ยังมี แต่คงจะไม่มีใครคิดว่าลึกลงไปอีกนิด ใต้ท้องทะเล
แห่งอ่าวไทยจะมีชุมชนมนุษย์เงือกอาศัยอยู่จริง ๆ ดังเช่นที่ตำนานหรือนิทานได้กล่าว
อ้างไว้
จันทร์รัตน์รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ขึ้นไปเหนือผิวน้ำ
ปีนี้เธออายุครบลิบปีพอดี และถ้านางเงือกตนใดอายุครบลิบปี นางเงือกตนนั้นจะได้
รับโอกาสให้ขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อเยี่ยมชมโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกในห้วงสมุทรอย่างที่เหล่า
นางเงือกอาศัยอยู่มาตลอดชีวิต และนั่นก็เป็นเพียงก้าวแรกสู่โลกกว้างสำหรับ
นางเงือกเช่นเธอ
มนุษย์เดินดินสงสัยมาตลอดว่านางเงือกมีหน้าตาเช่นไร จันทร์รัตน์บอกได้แต่
เพียงว่าเงือกในยุคปัจจุบันดูต่างจากเงือกในยุคบรรพกาลค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นผล
มาจากวิวัฒนาการตามกาลเวลานั่นเอง
ในยุคเริ่มต้น นางเงือกมีหน้าตาคล้ายสัตว์มากกว่ามนุษย์ พวกมันมีท่อนล่าง
เป็นปลา มีครีบ หาง และเกล็ดเหมือนปลา ทว่าท่อนบนกลับดูคล้ายมนุษย์ มีใบหน้า
ผมยาว มีหน้าอกและทรวดทรงองค์เอว แต่ว่าใบหน้าดังกล่าวกลับไม่คล้ายมนุษย์เอาเสีย
เลย
ใบหน้าประหลาดนั้นประกอบไปด้วยดวงตากลมโต มีแก้วตาใหญ่กว่ามนุษย์
ซึ่งท่าให้ดวงตานางเงือกโดยรวมแลดูกลมโต จมูกรึก็เล็กแบนจนดูเหมือนราบเรียบ
ติดไปกับผิวหน้า ละม้ายว่าจะไม่มีจมูก ส่วนรีมฝีปากก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับจมูก คือ
แบนราบติดไปกับใบหน้า ขณะเดียวกัน ใบหูกลับใหญ่ เรียว และมีปลายใบหูแหลม
ส่วนด้านข้างของใบหูก็เชื่อมติดกับผิวหนังส่วนใกล้เคียงจนดูเหมือนว่าใบหูจะกลาย
เป็นส่วนหนึ่งของใบหน้าไป ซึ่งดูรวมๆ แล้ว ยังไงนางเงือกก็เหมือนเป็นสัตว์ประหลาด
น่ากลัวมากกว่าสัตว์ที่สวยงามน่าพิสมัย
จันทร์รัตน์โชคดีที่ไม่ได้เกิดในยุคนั้น ไม่อย่างนั้นเธอคงจะมีหน้าตาอัปลักษณ์
แบบนั้นแน่ ๆ
กาลเวลาท่าให้พวกเธอเปลี่ยนไป กระนั้นพวกเธอก็ยังมีร่างกายท่อนล่าง
เป็นปลาอยู่ดี แต่นางเงือกในปัจจุบันมีใบหน้าคล้ายมนุษย์มากขึ้น ยกเว้นกรรมพันธุ์
ของเงือกบางอย่างที่ท่าให้เธอดูพิเศษกว่ามนุษย์เดินดินทั่วไป
เนื่องจากเป็นนางเงือกในอ่าวไทย จันทร์รัตน์จึงมีบางสิ่งบางอย่างในร่างกายที่
ดูไม่เหมือนนางเงือกซึ่งอยู่ต่างทะเล นอกจากสีของดวงตา สีของผม และสีของลำตัว
ที่จะแตกต่างกันตามเชื้อพันธุนางเงือกแล้ว เธอก็เป็นเหมือนนางเงือกตนอื่น
จันทร์รัตน์ลูบไล้ร่างกายท่อนล่างของตนซึ่งมีสีฟ้าเข้มจนเกือบเป็นสีนํ้าเงิน
บางส่วนของมันเจือไปด้วยสีเงินแวววาว ผิวของเธอขาวเผือดและเหลือบแสงเป็น
สีฟ้าพราวในน้ำทะเล ผมของเธอเป็นสีดำอมน้ำเงินและสีเขียวฟ้าดูแปลกตา เธอมี
ใบหน้ารูปหัวใจ ดวงตากลมของเธอเป็นสีดำ ตาดำของเธอกินพื้นที่ตาขาวมาก จน
ทำให้ดวงตาของเธอดูโตกว่ามนุษย์ทั่วไป หูของเธอเล็ก ปลายใบหูแหลมเล็ก ส่วน
ด้านข้างของใบหูเชื่อมติดกับผิวหนังส่วนใกล้เคียงจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน จมูกของ
เธอเล็ก ไม่โด่ง แตกไม่แบนราบและน่าเกลียดเหมือนมนุษย์เงือกรุ่นดึกดำบรรพ์
ปากของเธอเล็กบางและเป็นสีชมพูซีด ๆ สรุปแล้ววิวัฒนาการท่าให้เงือกน้อยอย่าง
จันทร์รัตน์ดูน่ารักน่าเอ็นดูกว่ามนุษย์เงือกยุคก่อนประวัติศาสตร์มากมาย
จันทร์รัตน์ไม่ใช่เงือกสายพันธุ์บริสุทธิ์ เงือกสายพันธุ์บริสุทธิ์สิ้นอายุขัยไป
หมดแล้ว แม้ว่าเผ่าพันธุเงือกจะได้รับพรอายุยืนกว่าสัตว์ทั่วไป แต่โลกหมุนรอบ
ตัวเองมากกว่าสองพันปี ทำให้ไม่มีเงือกสายพันธุบริสุทธิ์ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอายุขัยถึง
พันปีหลงเหลืออยู่อีก
ดังนั้นจันทร์รัตน์จึงเป็นนางเงือกที่ได้รับการผสมผสานข้ามสายพันธุ์มายาวนาน
เธอมีแม่เป็นนางเงือกและมีพ่อเป็นมนุษย์เหมือนเช่นนางเงือกอีกหลาย ๆ ตนที่อาศัย
อยู่ ณ ที่แห่งนี้
เผ่าพันธุเงือกไม่มีเพศผู้ ฉะนั้นเหล่านางเงือกจึงต้องหาทางดำรงไว้ซึ่ง
เผ่าพันธุด้วยการขึ้นไปหาคู่บนพื้นพิภพ
ในวันที่นางเงือกอายุครบยี่สิบปี เธอจะต้องขึ้นสู่แผ่นดินเหนือน้ำเพื่อเลือก
เฟ้นหามนุษย์ผู้ชายที่เธอพึงใจ และใช้มนต์มายาที่มีมาแต่โบราณทำให้เขาปรารถนา
และหลงใหล ก่อนจะจบลงด้วยการร่วมอภิรมย์กับเขา เพื่อที่เธอจะได้ตั้งครรภ์ และ
นำทายาทเงือกซึ่งปฏิสนธิในครรภ์กลับมาเพิ่มจำนวนประชากรเงือกซึ่งคงเหลืออยู่
ไม่มากนัก
ทายาทที่คลอดออกมาจะเป็นเด็กผู้หญิงตามเชื้อพันธุของมารดาซึ่งแรงกล้า
กว่า เท่าที่จันทร์รัตน์ทราบ ไม่มีนางเงือกตนใดคลอดเงือกเพศผู้เลย และเธอก็นึก
ไม่ออกเหมือนกันว่าถ้ามีการให้กำเนิดเงือกเพศผู้จริง ๆ เขาจะอยู่ทำมกลางนางเงือก
อย่างพวกเธอเช่นไร
“จันทร์รัตน์...จันทร์รัตน์...” เสียงแหลมเล็กของชลลดา นางเงือกรุ่นเดียวกัน
ดังเตือนขณะที่จันทร์รัตน์กำลังนั่งใจลอยหวีผมอยู่ตรงแนวหินใต้น้ำลึกซึ่งเป็นที่นั่ง
ประจำสำหรับหย่อนใจของเธอ
จันทร์รัตน์หันไปมองตามเสียงเรียก
“เธอลืมไปแล้วหรือไงว่านี่ถึงเวลาที่นายแม่จะเรียกประชุมก่อนที่พวกเราจะขึ้น
สู่ผิวน้ำกันแล้ว” ชลลดารับอาสามาตามจันทร์รัตน์ซึ่งหายไป ไม่ไปตามเวลานัดทั้งที่
เพื่อนนางเงือกตนอื่นที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นสู่ผิวน้ำรออยู่กับนายแม่หมดแล้ว
“ตายจริง ถึงเวลาแล้วหรือ” จันทร์รัตน์อุทาน เธอมัวแต่นั่งเล่นเพลินจนลืม
เวลาไปเสียสนิท
“ใช่ รีบไปได้แล้ว นายแม่โมโหแล้วแน่ะ”
“จ้ะ ๆ รู้แล้วจ้ะชลลดา''
แล้วนางเงือกน้อยทั้งสองก็รีบพากันว่ายนํ้าไปยังวิหารใหญ่ของนายแม่รายา
ผู้ปกครองบรรดานางเงือกในอ่าวไทย
นายแม่รายานั่งอยู่บนบัลลังก์หินซึ่งประดับประดาไปด้วยปะการังหลากสี
มากมาย เท้าแขนสีขาวซีดเหลือบเทาและเงินกับก้อนหินที่พักแขน ลำคอของเธอ
ตั้งตรง ใบหน้าที่เหมือนมนุษย์เดินดินเชิดขึ้นตามแนวลำคอ บ่งบอกถึงความสูงศักดิ์
และความหยิ่งยโสอันเป็นนิสัยของเธอ เธอเปรียบเสมือนผู้ปกครองชาวเงือกแถบ
อ่าวไทย แม้ปีนี้เธอจะมีอายุครบห้าร้อยปี แต่เธอก็ยังมีใบหน้างดงามและเปล่งปลั่ง
ไม่ต่างจากบรรดาเงือกสาว มันเป็นพรอีกอย่างของนางเงือก ที่ชีวิตจะถูกหยุดเอาไว้
ในปีที่ยี่สิบ ไร้การโรยรา
เธอปรายตามองจันทร์รัตน์และชลลดาที่ว่ายนํ้าเข้ามาในอาณาบริเวณ แต่ยัง
ไม่ทันที่เธอจะได้กล่าวว่าอะไร จันทนี นางเงือกผู้ให้กำเนิดจันทร์รัตน์ก็พูดขึ้นมา
“มาได้เสียทีนะจันทร์รัตน์ มัวแต่ไปโอ้เอ้เถลไถลที่ไหนกัน เดี๋ยวแม่ก็ขอให้
นายแม่รายาทำโทษไม่ให้เราขึ้นเหนือนํ้าเสียเลยนี่'' นํ้าเสียงที่กล่าวออกมาแฝงไปด้วย
ความตำหนิ
ผู้ถูกดุหน้าจ๋อยลงไปถนัดตา นอกจากจะอับอายขายหน้าเพื่อนๆ เงือกรุ่น
เดียวกันแล้ว เธอยังอับอายที่ทำตัวเหลวไหลต่อหน้ารายาผู้เปรียบเหมือนราชินีของ
พวกเธออีกด้วย
“พอเถอะจันทนี เด็ก ๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่ต้องบ่นอะไรมากนักหรอก''
รายาโบกมือตัดรำคาญก่อนจะหันมาหาบรรดาสมาชิกตัวน้อยที่จะได้ขึ้นสู่ผิวนํ้าเป็น
ครั้งแรก
“เอาละจ้ะ จ๋าได้ไหมว่ากฎของเรามีอะไรบ้าง'' ก่อนหน้านี้เธอได้รับการอบรม
กฎระเบียบสำหรับนางเงือกที่จะขึ้นสู่ผิวนํ้าเป็นครั้งแรกไปแล้ว และตอนนี้เธอก็ได้แต่
หวังว่าพวกเด็กๆ จะจ๋าเรื่องที่เธอสอนสั่งได้ เนื่องจากมันเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่เรื่อง
ที่จะมาทำเล่นๆ ได้
“จ๋าได้ค่ะ'' สาวๆ ตัวน้อยขานรับพร้อมเพรียง นํ้าเสียงเจือไปด้วยความตื่นเต้น
“ถ้าจ๋าได้ก็ช่วยทวนความจ๋าให้ฉันพังหน่อยชิว่าเมื่อขึ้นสู่ผิวนํ้าแล้วพวกเธอจะ
ต้องทำอย่างไรบ้าง'' รายากล่าว เธอมีหน้าที่ปกครองเหล่านางเงือกทั้งหลายให้อยู่ในที่
ในทางของตน และอยู่รอดปลอดภัยบนโลกใบนี้ร่วมกับมนุษย์ได้
“หนึ่ง...อย่าให้มนุษย์ผู้ไดเห็น''
ข้อควรระวังแรกถูกเหล่าเงือกสาวน้อยกล่าวขึ้นมา ก่อนจะมีข้อสอง ข้อสาม
และข้อต่อ ๆ ไปตามมาเป็นลำดับ
“สอง...เมื่อถูกพบเห็น จะต้องรีบหนีลงนี้าทันที''
“สาม...อย่าให้ถูกจับได้''
“สี่...จงกลับบ้านก่อนพระอาทิตย์ขึ้น''
“ห้า...หากถูกมนุษย์จับได้ ห้ามเปิดเผยเรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับพวกพ้อง
ของตน''
“และสุดท้าย...ห้ามลืมที่จะระแวดระวังภัยตลอดเวลา''
เมื่อกล่าวข้อพึงระวังในการขึ้นสู่ผิวน้ำจนจบ รายาก็เอ่ย
“ถ้าทำได้ตามทั้งหกข้อที่กล่าวมา พวกเธอจะได้ขึ้นสู่ผิวน้ำทุกๆ คืนเดือนมีด''
หลังจากการขึ้นสู่ผิวน้ำครั้งแรกแล้ว เหล่าเงือกจะมีโอกาสได้ขึ้นสู่ผิวน้ำ
ทุกครั้งที่คืนเดือนมีดเวียนมาบรรจบ ที่ต้องเป็นคืนเดือนมีดเพราะมันจะทำให้ผู้คน
บนชายผิงสังเกตเห็นพวกเธอได้ยาก และหลังจากปล่อยให้เหล่าเงือกสาวเรียนรู้ความ
เป็นไปของมนุษย์อย่างเงียบ ๆ จนครบลืบปี เธอก็ถือว่าเงือกน้อยเหล่านี้เติบโตพอ
ที่จะสร้างทายาทของตัวเองได้แล้ว
“ค่ะนายแม่'' เงือกสาวทั้งหลายขานรับอย่างตั้งมั่น พร้อมจะออกไปเผชิญ
โลกกว้างอย่างที่พวกตนได้ใฝ่ฝันมานาน
“เอาละ รีบขึ้นสู่ผิวน้ำได้แล้ว และอย่าลืมกลับก่อนฟ้าสางด้วย ระวังตัวกันให้
มาก ๆ นะเด็ก ๆ ไม่ใช่แค่มนุษย์ แต่อย่าลืมสัตว์ทะเลอื่นด้วยล่ะ'' รายาตักเตือนด้วย
ความเป็นห่วง นอกจากจะต้องหลีกเสี่ยงมนุษย์ซึ่งเห็นพวกเธอเป็นของแปลกแล้ว
พวกเธอยังต้องระวังบรรดาสัตว์ทะเลที่อาจเป็นอันตรายต่อพวกเธออีกด้วย
รายาจำได้ดีว่าการผจญภัยครั้งแรกของเธอมีเหตุการณ์น่าหวาดเสียวเกิดขึ้น
อย่างไรบ้าง เธอถูกมนุษย์พบเห็นตอนที่เธอเข้าไปใกล้ชายผิง แต่เธอก็กระโจนหนีลง
ใต้น้ำและหลบพวกเขาได้ทัน ในตอนนั้น ถ้าเธอหนีไม่รอด เธอคงจะถูกจับ และอาจ
จะไม่ได้มีชีวิตอยู่จนถึงห้าร้อยปีเช่นนี้ เพราะมนุษย์คงจะเอาเธอไปจัดแสดงโชว์สัตว์
ประหลาดหายาก หรือแย่กว่านั้นเธออาจจะถูกจับไปทำการทดลองน่ากลัวเพื่อตอบ
สนองความใคร่รู้ของมนุษย์ ใครจะรู้ว่าเธอจะโดนอะไร มนุษย์ยิ่งเป็นสัตว์โลกที่ใจร้าย
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)
รายละเอียด
"มุกมนตรา"
เขียนโดย "จูน"
500 หน้า