Customer Reviews

ช่างสำราญ (ปกอ่อน)
5
เดือนวาดคือนักเขียนที่เข้าใจคนไทย เข้าใจคนอ่านที่เป็นคนไทย และเข้าใจสังคมไทยได้ดีมาก
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เล่มนี้เราอ่านนานมากแล้ว แต่ก็ยังจำความรู้สึกตอนที่อ่านได้อยู่เลย และบางฉากก็ยังฝังแน่นในความทรงจำ เป็นเหมือนภาพติดตาที่ยากจะลบออก พอๆ กับความรู้สึกตอนที่อ่าน ที่แม้จะผ่านมานาน แต่นึกถึงทีไรก็ยังชุ่มฉ่ำ (หือ คุ้นๆ เนอะ ฮ่าๆ)

การเล่าเรื่องเป็นไปอย่างเรียบง่าย สำนวนของ "เดือนวาด พิมวนา” ไม่ใช่สำนวนที่ดูเทพจนเหมือนว่าคนอ่านต้องกุมขมับ ตัวหนังสือของเธอง่ายๆ แต่งดงาม เข้าถึงใจอย่างยากจะปฏิเสธ จะว่าเราอวยก็ได้ เราชอบจริงๆ นี่นา อ่านผลงานของเดือนวาด ยังไงก็ชอบ เพราะเดือนวาดคือเดือนวาด เขียนงานได้มีเสน่ห์ในแบบของตัวเองสุดๆ ในความง่ายที่ไม่ยืดเยื้อ ไม่ต้องพรรณนากันสลวยสวยเก๋จนเราเบื่อที่จะอ่านตาม แต่ก็แฝงด้วยมุมมอง และการสื่อความคิดให้เราได้ไตร่ตรองตาม มันคือความง่ายที่ไม่ใช่การมักง่ายน่ะ

อ่านๆ ไปเหมือนจะขำ แต่ก็ขำไม่สุด เพราะมันดันเศร้าด้วย ถ้าเราเป็นตัวละครตัวนั้น เด็กที่ไม่มีอะไรสักอย่างในชีวิต เราจะยังขำได้อยู่ไหม แต่ก็พยายามอ่านและวางตัวเหมือนที่เดือนวาดทำ คือเป็นมุมมองของคนอื่น คนที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเด็กคนนั้นเลย แค่เห็นความเป็นไปก็เท่านั้น เราจำได้ว่าอ่านรวดเดียวจบ และความรู้สึกตอนนั้นคือ ไม่อยากให้จบเลยจริงๆ

ตอนนั้นเราบ้าอ่านหนังสือรางวัลซีไรต์ ไล่อ่านย้อนหลังไปหลายเล่ม ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ด้วยความที่บางเล่มได้รางวัลนานแล้ว เนื้อหาบางอย่างก็หลุดๆ หลงยุค คือเก่าไปตามวันเวลา หรือบางเล่มก็สลับซับซ้อน ซ่อนอะไรต่อมิอะไรมากมายไว้ระหว่างบรรทัด เพื่อให้ดูว่าตัวหนังสือมีคุณค่า ให้ดูยากจะได้ดูฉลาด (แต่ก็เล่นเอาเราที่เป็นคนอ่านดูโง่ไปเลย เหอๆ) แต่เดือนวาดไม่ใช่แบบนั้น มันพอดีๆ รู้สึกว่าเขาตีแผ่ นำเสนออะไรบางอย่างออกมาด้วยความหวังในหัวใจ และพยายามสื่อสารให้มันง่าย เพื่อให้คนเข้าใจประเด็นที่เธอต้องการนำเสนอ และแน่นอนว่า อะไรก็ตามที่มันตลก มันทำให้หัวเราะได้ ก็ง่ายที่คนไทยจะชอบและให้ความสนใจ

เราว่าเดือนวาดคือนักเขียนที่เข้าใจคนไทย เข้าใจคนอ่านที่เป็นคนไทย และเข้าใจสังคม รากเหง้าความเชื่อและความเป็นไปในสังคมได้ดีมาก เก็บรายละเอียดได้ดีมากๆ ด้วย เขียนจากสิ่งที่ตัวเองเห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็นมโนภาพที่ดูสวยสมบูรณ์แบบ เลยทำให้ช่างสำราญ กลายเป็นอะไรที่ลงตัวสุดๆ และเป็นซีไรต์เล่มที่เราชอบมากที่สุดด้วย เชียร์คนนี้สุดใจขาดดิ้นเลย ไปหามาอ่านกันโดยพลัน
กล่องไปรษณีย์สีแดง เพี่อนสนิท
5
โรแมนติก อบอุ่นหัวใจในยามอากาศเย็นๆ
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เราเพิ่งได้อ่านเมื่อไม่นานมานี้เอง ทั้งที่ดูหนังไปนานมากๆ แล้ว กลิ่นอายความเป็นไข่ย้อยกับดากานดายังคงฉายออกมาให้อบอุ่นตลอดเล่มเลย ภาพสวยๆ สลับกับสำนวนการเขียนบ้านๆ ตามประสาหนุ่มศิลป์ขี้อาย แต่ถ้อยคำกลับกินใจ เผยให้เห็นถึงความรักมากมายที่เขามีให้ดากานดา เรานี่อิจฉาดากานดาจริงๆ เลย

หลายฉากที่เราชื่นชอบในรูปแบบตัวอักษร ทั้งที่ตอนดูหนัง เราไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉากนั้นเลย หรือเพราะดูหนัง ทำให้เราเห็นแค่สิ่งที่เขาแสดงออก แต่อ่านหนังสือ ทำให้เราเห็นและเข้าใจสิ่งที่เขาคิด อย่างเช่นฉากการร้องเพลงของไข่ย้อย ดูในหนังนั้นเราตลกเสียด้วยซ้ำ แต่พอมาอ่านหนังสือ ฮึ้ย น้ำตาคลอเลย คนที่ร้องเพลงไม่ค่อยได้เรื่อง ขี้อาย กลับยอมทำทุกอย่างเพื่อจะได้ขึ้นไปร้องเพลงนั้น และเหตุผลของการกระทำ มันทำให้เราซึ้งสุดๆ ไปเลย (ไม่บอกละกันเนอะ ใครดูหนังแล้วคงพอรู้ ใครยังไม่ดู ก็จงมาอ่านเถอะ ไม่อยากสปอยล์มาก เอ๊ะ ได้ข่าวว่าสปอยล์ไปเยอะแล้วนะ ฮ่าๆๆ)

หนังสือเล่มนี้ทำให้เรารู้สึกอยากออกเดินทาง อยากนั่งรถไฟ อยากไปในที่ที่ไม่มีใครรู้จักเรา และเราเองก็ไม่รู้จัก ปล่อยให้ตัวเองได้ทบทวนบางสิ่งบางอย่าง ได้คิดถึงใครบางคน เราว่าช่วงเวลาอย่างนั้นแหละ ที่เราจะได้รู้ใจตัวเองจริงๆ ในยามสับสน ว่าแท้จริงแล้ว เราต้องการอะไร เราต้องการใคร และเราก็คงทำเหมือนที่ไข่ย้อยทำแหละ ถ้าใครสักคนเข้ามาในหัวเรา ถ้าเราคิดถึงใครในยามที่ได้อยู่ในสภาพอย่างนั้น เหมือนจะชิล แต่ก็ดูเหงาๆ เราก็คงบรรเทาความเหงาด้วยการขีดๆ เขียนๆ เหมือนที่ไข่ย้อยทำ

เอิ่ม แต่ไม่ต้องขาหักอย่างไข่ย้อยหรอกนะ เอิ้กๆ

เราชอบนุ้ย ชอบผู้หญิงที่รักการอ่าน เราว่านุ้ยมีเสน่ห์มากๆ เลยนะ อาจไม่สวยเป็นซุปเปอร์สตาร์ แต่จากการเล่าเรื่องของไข่ย้อย ก็ทำให้เราสัมผัสได้ว่า ผู้หญิงคนนี้น่ารัก อบอุ่น และใจดีมากๆ เลย

เราอาจไม่ค่อยอินกับหนัง แต่บอกตามตรงว่าเราอินกับหนังสือมากๆ อยากทำอย่างงี้ให้ใครสักคน และก็อยากเป็นคนที่มีใครมาทำอย่างงี้ให้เหมือนกัน อุ่ย อันนี้เริ่มไม่เกี่ยวกับหนังสือละ (ความจริงก็ออกทะเลเรื่องการรีวิวไปแล้วนะ ฮ่าๆๆ)

หามาอ่านกันเถิด โรแมนติก อบอุ่นหัวใจในยามอากาศเย็นๆ แบบนี้ที่สุดเลยล่ะ
คำแนะนำนักศึกษากฏหมาย
5
นักศึกษากฎหมายทุกคนควรจะได้อ่านนะ
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

นักศึกษากฎหมายคนใดไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ถือว่าพลาดอย่างยิ่ง เรากล้าพูดได้เลย หนังสือเล่มนี้ จะทำให้เราแตกต่าง หมายถึง ต่างจากคนอื่น อย่างน้อยก็รู้ว่าชีวิตตัวเองจะต้องดำเนินไปอย่างไรเพื่อให้ถึงฝั่งฝันโดยสะดวกที่สุด (มันไม่ง่ายหรอก แต่เล่มนี้จะทำให้สิ่งยากๆ ที่คุณต้องเผชิญ และดูยากน้อยลง)

เราอ่านเล่มนี้ตั้งแต่ปี 1 อ่านเอง เพราะบังเอิญไปเจอที่ห้องสมุด และต่อมา ในคาบเรียน อาจารย์ (จำไม่ได้ว่าวิชาอะไร) ก็แนะนำหนังสือเล่มนี้ ควบคู่กับอีกเล่มที่เน้นเรื่องภาษากฎหมาย เพราะนักศึกษากฎหมายปี 1 ส่วนใหญ่ ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเส้นทางวิชาชีพ หรือสำนวนภาษากฎหมายเท่าไหร่ แค่อาจารย์บอกว่าเวลาเขียนตอบข้อสอบเป็นหน้าๆ เราก็ร้องอื้อหือ อู้หูกันแล้ว (ก็มันยังไม่เคยนี่นา ฮ่าๆๆ)

ท่านอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร เขียนไว้อย่างละเอียดถึงสิ่งที่นักศึกษากฎหมายควรคิด ควรวางแผน ควรทำตลอดระยะเวลาการศึกษา 4 ปี (ขั้นพื้นฐานตามเกณฑ์น่ะนะ) เป็นหลักที่เราควรจะรู้ตั้งแต่เริ่มต้น ว่าปีหนึ่งเราควรทำอะไร ปีสองทำอะไร ปีสามทำอะไร และปีสี่จะเดินไปอย่างไร

เราเป็นคนหน้าจืดมาก เรียบร้อยมาก (ในสายตาพี่ๆ ที่คณะน่ะนะ) ที่คณะเรามีการคัดเด็กโต้วาที เราไม่อยู่ในสายตาที่พี่ๆ จะมาทาบทามไปร่วมกิจกรรมเลย แต่เราก็เดินไปสมัคร ไปบอกกับพี่ๆ ว่าจะเป็นเด็กโต้วาที พี่ๆ ถึงกับอึ้ง แล้วก็ถามว่า อะไรทำให้น้อง (ที่ดูเจี๋ยมเจี้ยมขี้อาย) มาสมัครเป็นเด็กโต้

เราก็ตอบอย่างภาคภูมิว่า อาจารย์ธานินทร์บอกว่า นักศึกษากฎหมาย ต้องหัดโต้วาที และมีวาทศิลป์ในการพูดค่ะ

สตั๊นท์กันโดยถ้วนหน้า และตามมาด้วยเสียงหัวเราะ เออเนอะ อ่านหนังสือแล้วก็เดินดุ่มๆ มาทำตาม นี่ยังไม่นับเรื่องการเขียนตอบ การวางแผนฝึกงาน การบ่มเพาะลักษณะนิสัยของการเป็นนักกฎหมายที่ดีด้วยนะ

เราคิดว่ามันคุ้มค่ามากๆ เลย กับการได้รู้จักหนังสือเล่มนี้ เหมือนเป็นโค้ชชีวิต เป็นสิ่งที่เราซึ่งตัดสินใจเรียนกฎหมายรู้สึกว่ามีค่ามากๆ และก็คิดว่านักศึกษากฎหมายทุกคนควรจะได้อ่านนะ จะได้ไม่มีคำว่า เรียนไปทำไม เรียนแล้วยังไง เรียนไปทำงานอะไร อ่านแล้วก็เอามาคิดทบทวนว่าเราจะชอบไหมกับการเรียน การใช้ชีวิตแบบนักกฎหมาย ถ้าชอบก็ลุยเลย ตามที่ท่านอาจารย์ธานินทร์ไกด์ไว้ให้ แต่ถ้าไม่ชอบ ก็จะได้ค่อยๆ วางแผนใหม่ ว่าชีวิตเราควรจะเดินไปทางไหนกันแน่
ความเชื่อคือเข็มทิศ ชีวิตเป็นของเรา
5
ครบรส มีหลายกรณีศึกษาให้เราอึ้ง ทึ่ง และต้องย้อนกลับมาดูตัวเองอย่างจริงจัง
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เล่มนี้ ของพี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์ เราว่าครบรสนะ มีหลายกรณีศึกษาให้เราอึ้ง ทึ่ง และต้องย้อนกลับมาดูตัวเองอย่างจริงจัง เฮ้ย เราไม่หนักหนาเท่าเขาเลยนะ มีหน้ามาท้อแท้สิ้นหวังอีกหรอ คนอื่นเขาลำบากกว่าเราตั้งเท่าไหร่เขายังกัดฟันสู้ สู้จนในที่สุดก็ได้หลุดพ้นจากความทุกข์ยากลำบาก

เราชอบมาก เรื่องของ "เอื้อง” และ "ชุมชนสร้างสรรค์นครรังสิต” ชุมชนที่ลืมตาอ้าปากได้จากการร่วมแรงร่วมใจกันอย่างแท้จริง เราอ่านแล้วยังนั่งนึกตั้งนาน เราไปอยู่ในกะลาอะไรขนาดนั้น ถึงไม่รู้จักชุมชนตัวอย่างนี้ ชุมชนที่ทุกคนลงขันกันเพื่อซื้อที่เล็กๆ มาแบ่งปันกันอยู่ตามส่วน ไม่มีทะเลาะเบาะแว้งขนาดเข่นฆ่ากันเพราะขัดผลประโยชน์ ทั้งที่นี่มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ เป็นเรื่องปากเรื่องท้องโดยแท้ทีเดียว จากชุมชนที่ทุกคนคือคนที่แทบจะไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง ยากจนกันหมด แต่ก็สู้อุตส่าห์รวมพลังกันจนได้ที่หลับที่นอน และเมื่อได้แล้วก็ใช่ว่าอุปสรรคจะหายไป ยังมีเรื่องไฟฟ้า น้ำประปา สาธารณูปโภคพื้นฐานที่ต้องจัดสรรให้พอเพียงอีก เรานับถือพวกเขาจริงๆ นะ เราชอบที่พี่ตุ้มเขียนโฟกัสถึงหลักคิดของพวกเขาว่า

“เอื้องบอกว่า หลักคิดของเธอและเพื่อนๆ คือ ไม่ว่าปัญหาจะหนักหนาแค่ไหน เราต้องเริ่มต้นแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน เราไม่อยากร้องขอจากใคร อะไรทำได้เราทำก่อน ให้ออมเงินซื้อที่ดินและบ้านใช่ไหม เราทำก่อน”

พี่ตุ้มบอกว่า "ฟังแล้วอึ้งเลยครับ”

เราก็อยากจะบอกว่า "อ่านแล้วอึ้งเลย (เหมือนกัน) ค่ะ”

คนในชุมชนนี้จัดว่าเป็นคนยากจน ไม่มีที่ดินของตัวเอง ไม่มีอะไรเลย แต่ก็นั่นแหละที่ทำให้เราอึ้ง เพราะพวกเขาไม่ได้ร้องขอ ไม่ได้ยกขบวนมาปิดถนนเพื่อบังคับให้ใครต้องเหลียวแล ต้องมาช่วยเหลือโอบอุ้มพวกเขา พวกเขายังพยายามยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ทั้งๆ ที่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ

อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ เราพับไว้หลายหน้า ตามประสาเวลาอ่านหนังสือฟาสต์ฟู้ดธุรกิจแหละ ยิ่งเดี๋ยวนี้พี่ตุ้มมีโควทคำพูดมาแปะไว้ให้เป็นการคั่นระหว่างบท เราก็ง่ายต่อการพับเลย ฮ่าๆ แต่หนึ่งในหน้าที่เราพับแล้วชอบมากที่สุด เห็นจะเป็น

“ลาร์รี่ คิง” สุดยอดนักพูด เคยบอกว่า ทุกครั้งที่เราพูด เราไม่เคยฉลาดขึ้นเลย

เอิ้บ นี่คือคำคมที่ออกจากปากนักพูดนะ โดนสุดๆ

ว่าแล้วก็ไปหามาอ่านกันเถิดจะเกิดนามสกุลพี่ติ๊ก (ผลดี) แหะๆ ทิ้งมุขเสี่ยวๆ แป้กๆ ไว้พอเป็นพิธีเนอะ
5
เรานับถือเขาตรงที่เขาสามารถทำให้เราหัวเราะในเรื่องราวที่เขาเจ็บปวดได้นั่นแหละ
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ดมได หนังสือชื่อประหลาดๆ แต่ก็พอจะเดาความหมายออกได้ไม่ยาก ก็มาจาก อุดม ไดอารี่ นั่นแหละ สาวกของโน้ส อุดม แต้พาณิชน่าจะรู้กันดี เล่มนี้ติดอันดับขายดี และเป็นอีกเล่มที่เราชอบมากๆ ตอนแรกคิดว่าจะเหมือนการอ่านแบบให้อารมณ์คล้ายเรานั่งฟังเดี่ยวไมโครโฟนของเขา แต่เมื่อได้อ่านจริงๆ อารมณ์ของหนังสือ การเล่าเรื่องราวต่างๆ ซึ่งก็คือการจดบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ที่เขาไปเจอมา มันไม่ได้เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันอย่างเช่นเดี่ยวไมโครโฟนเลย

อุดมไม่ใช่คนตลก เราคิดอย่างนั้นนะ เขาเป็นผู้ชายที่อารมณ์โคตรจะเป็นศิลปินเลย คือจริงจังในการใช้ชีวิต และ sensitive มากๆ โดยเฉพาะบางเรื่องที่เขาซีเรียส น้ำเสียงของเขาในไดอารี่ที่เป็นส่วนตัวนั้น ฉายออกมาอย่างชัดเจนว่า เฮ้ย ฉันไม่ได้ตลกตลอดเวลาอย่างที่พวกแกคิดหรอกนะ อย่ามาตลกกับฉันให้มาก

เราชอบบันทึกของเขายามเมื่อเขาออกเดินทางไปเปิดประสบการณ์ยังต่างประเทศ เขาเหมือนจะเก็บอะไรๆ ได้มากมาย สายตาของเขามองโลกแทบจะทุกอณู มองอย่างละเอียดและลึกซึ้ง แน่นอนว่าเหล่านั้นแหละ ที่จะมาถูกบ่มเพาะ ถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการย่อยเพื่อนำเสนอออกมาให้เราได้มองเห็นอย่างง่ายๆ และด้วยวิธีการที่ทำให้เรารับเข้าไปอย่างสบายๆ คือใช้เสียงหัวเราะเป็นตัวนำ

เรานับถือเขาตรงที่เขาสามารถทำให้เราหัวเราะในเรื่องราวที่เขาเจ็บปวดได้นั่นแหละ

น้ำเสียงและมุมความเป็นส่วนตัวของเขาที่แสดงออกมาในดมได ทำให้เราเห็นด้านอ่อนโยนของเขา เห็นด้านจริงจังที่ไม่ตลกโปกฮา เห็นด้านที่ต่อต้านโลก ชิงชังผู้คนอยู่บ้าง และก็แน่นอน บางด้านของเขา เราก็เข้าไม่ถึง เช่น รูปวาด งานศิลปะจากฝีมือของเขานั่นแหละ ฮ่าๆ

อ่านเถิดจะเกิดผล ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
ฟ้ากระจ่างดาว
5
เรื่องนี้ ทำเราสะเทือนใจและเสียน้ำตาไปหลายหยดเลย
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เรื่องนี้ ทำเราสะเทือนใจและเสียน้ำตาไปหลายหยดเลย เป็นเรื่องที่เล่นกับปมในหัวใจของผู้หญิงคนหนึ่งได้อย่างถึงรสถึงชาติมากๆ หนึ่งในสามทหารเสือที่ดูนิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่กลับกลายเป็นคนที่ผ่านความโหดร้ายของชีวิตมามากที่สุด เพราะเธอมาจากชุมชนที่มีความเชื่อว่า การส่งลูกสาวมาขายตัวไม่ใช่เรื่องผิด ใครๆ เขาก็ทำกัน ทำแล้วร่ำรวย ทำแล้วได้ดี เป็นอาชีพที่ควรทำ แต่ด้วยความที่เป็นนางเอก จะไปยอมให้ชีวิตตัวเองเป็นเหมือนคนอื่นๆ ได้อย่างไรกัน (ไม่งั้นคงไม่ใช่นางเอกเรื่องนี้แล้วล่ะ) สุดท้าย โชคชะตายังดีต่อเธออยู่บ้าง ที่รอดพ้นจากวงจรชีวิตเช่นนั้นมาได้

ฟ้ากระจ่างดาวเป็นละครที่ได้รับรางวัลสร้างสรรค์สังคมดีเด่น อันที่จริง เรารู้สึก ทั้งสามเรื่องในเซ็ตสามทหารเสือนี้ ถ้าจะได้รับรางวัลทางโทรทัศน์ ก็เหมาะสมและจะไร้ข้อครหาเลยนะ เพราะเนื้อหาดีทุกเรื่อง แต่ฟ้ากระจ่างดาวจะโดดเด่นเป็นพิเศษเรื่องการนำเสนอปมปัญหาสังคมที่ยังคงมีอยู่ในทุกวันนี้ เป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อน มีเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มุมมืดของอาชีพต่างๆ ที่สังคมไม่ยอมรับ ซ้ำยังมีเรื่องสถาบันครอบครัวมาเกี่ยวข้อง มีความเข้าใจกันและกัน เหตุผลของการกระทำของตัวละครแต่ละตัว อย่างที่เกริ่นข้างต้น บางฉากทำให้เราน้ำตาไหลเลย

พระเอกของเรื่องก็ช่างอบอุ่น เป็นผู้ชายในฝันสุดๆ ตำรวจรูปหล่อ บ้านรวย เป็นคนดีของสังคม รักและคอยตามดูแลปกป้องนางเอก ในยามที่นางเอกร้อนเป็นไฟ ก็สามารถเป็นน้ำเย็นๆ ดับความร้อนนั้นได้อย่างน่ารักน่าชัง

มายาตะวันให้อารมณ์น่ารักมุ้งมิ้ง จิกหมอพาฟิน
มนต์จันทราให้อารมณ์กระชุ่มกระชวยหัวใจ
ฟ้ากระจ่างปิดเรื่องอย่างอบอุ่น
สามเรื่องนี้ สมกับเป็นสามทหารเสือ สมกับที่เขียนโดยกิ่งฉัตร สมแล้วที่คนอ่านเทใจให้มากมาย ขอติดตามเป็นติ่งกิ่งฉัตรเรื่อยไป อิอิ
เหตุผลของการมีชีวิตอยู่ 3
4
มีหลายหน้าที่เราพับและขีดเส้นใต้ไว้เพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ใครที่เคยได้อ่าน 'เหตุผลของการมีชีวิตอยู่' ทั้งเล่ม 1 และเล่ม 2 มาแล้ว สำหรับเล่มที่ 3 นี้ ก็ยังคงคอนเซ็ปต์เดิม ยังคงเป็น 'วันชัย ตัน' นัดคิด นักเขียน นักอนุรักษ์ นักตีแผ่เบื้องลึกเบื้องหลังกลโกงและการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบของเหล่านายทุนเช่นเดิม แต่เล่มนี้ อาจมีความชื่นใจเข้ามาให้เรายิ้มได้นิดหน่อย เพราะนายทุนก็ไม่ได้มีแต่คนที่เลวร้าย คิดจะเอา คิดแต่จะได้เท่านั้นหรอก นายทุนดีๆ ที่ทำเพื่อโลก ทำเพื่อธรรมชาติ ทำเพื่อสังคมก็ยังมีอีกเยอะ นั่นคือเรื่องราวที่เราอยากรู้เพื่อเป็นกำลังใจ เป็นเหตุผลของการจะทำอะไรๆ ที่ดี เป็นต้นแบบให้เราเดินตามบ้าง (ถึงแม้ว่าเมื่อหันกลับมามองประเทศตัวเองแล้วต้องส่ายหน้า ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก็ตาม)

เหตุผลของการมีชีวิตอยู่ เล่ม 3 มีหลายหน้าที่เราพับและขีดเส้นใต้ไว้ อาทิ

“ดิฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นผู้เสียสละ ไม่ได้คิดว่าเป็นนักบุญหรือแม่พระ และก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นหญิงเหล็ก ดิฉันเป็นคนธรรมดา เพียงแต่ดิฉันเป็นคนไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมจำนนง่ายๆ เท่านั้น” - มด วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ (จากเรื่อง 'ห้าปี มด-วนิดา')

กระนั้น บางเรื่องเราก็ไม่ปลื้มนะ คือเรื่องไหนดี เราก็ชอบ เรื่องไหนไม่ค่อยเวิร์ค เราก็พับไว้ เช่น เรื่อง “วันแม่” คือเราว่ามันเหมือนเรียงความเด็กประถมมัธยมอย่างไรอย่างนั้นเลย แม่ลำบากเพื่อเรายังไง แล้วเรามัวทำอะไรบางอย่างที่ไม่ได้สนใจแม่เท่าที่ควร มันเป็นการเล่าเรื่องที่สุดท้ายแล้วแก่นของเรื่องไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เลย นอกจากความรู้สึกผิดที่มีต่อแม่ รู้สึกว่าทำหน้าที่ลูกได้ไม่ดีพอ แล้วเรื่องราวก็ไม่ได้แปลกพิสดารอะไร เป็นเด็กวัยรุ่นที่ใช้ชีวิตตามใจจนลืมพ่อแม่ไปชั่วขณะ แล้ววันดีคืนดีก็มาสำนึกได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราส่ายหน้าเลย เป็นเรื่องราวที่ธรรมดา อย่างน้อยก็สำหรับเราน่ะนะ
5
ความรักเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้จริงๆ
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

“เด็กน้อยโตเข้าหาแสง” เป็นหนังสือที่เราชอบมากที่สุดในรอบหลายปีมานี้ เป็นเรื่องราวการถ่ายทอดประสบการณ์ที่ทำให้เรามีไฟ มีความเข้มแข็งเกิดขึ้นในจิตใจ อย่างน้อยก็ขอเพียงสักครึ่งหนึ่งของป้ามล (ทิชา ณ นคร) ก็ยังดี และไม่เพียงความเข้มแข็งกล้าหาญที่จะเกิดขึ้น หนังสือเล่มนี้ยังทำให้เรายอมรับได้ง่ายดายอีกด้วยว่า ความอ่อนโยน ล้วนมีอยู่ในหัวใจทุกดวง

เรื่องราวของป้ามล ผู้หญิงที่ทำงานเพื่อเด็กๆ หลายร้อยหลายพันชีวิต การต่อสู้เพื่อให้เด็กที่เคยหลงผิดได้มีโอกาสกลับตัวกลับใจ ได้มีโอกาสเติบโต เป็นไปตามชื่อหนังสืออย่างชัดเจน เด็กน้อยโตเข้าหาแสง ใครๆ ก็ล้วนอยากพาชีวิตตัวเองออกมาจากความมืด และยืนอย่างสง่างามท่ามกลางพื้นที่ที่สว่างไสว เด็กเหล่านั้น ที่ใครๆ ก็ตราหน้าว่าเป็นเด็กไม่ดี เป็นเด็กเหลือขอ เป็นอาชญากรเด็ก โตขึ้นต้องเป็นโจรที่เลวร้ายกว่าตอนนี้แน่ๆ เด็กเหล่านี้อาจไม่เคยได้รับโอกาสจากใครๆ ในสังคม แต่ไม่ใช่กับป้ามล ป้ามลมีอ้อมกอดอบอุ่นไว้มอบให้เด็กๆ เสมอ

เล่มนี้ เราไม่สามารถอ่านได้รวดเดียวจบ เพราะบางเรื่องราวมันก็สะเทือนหัวใจมากเกินไป เด็กคือผ้าขาวอย่างที่ใครๆ ว่าไว้ ผ้าขาวบางผืนถูกทำให้แปดเปื้อน และหลังจากนั้นมา ชีวิตก็ไม่สามารถกลับเข้าไปสู่ความขาวสะอาดสดใสได้อีกเลย เราว่ามันโหดร้ายเกินไปหน่อย เป็นความโชคร้ายมากไปหน่อย แต่ก็มีหลายเรื่องที่ทำให้เราประทับใจ และชื่นชมในความกล้าหาญของป้ามล ไม่ใช่เฉพาะการกล้าที่จะต่อสู้กับผู้คนที่คอยขัดแข้งขัดขา ขัดขวางการทำงานเพื่อเด็กเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังชื่นชมความกล้าที่ป้ามลใช้ในการไว้วางใจเด็กๆ ป้ามลกล้าที่จะให้ความไว้ใจ ด้วยความเชื่อมั่นว่าเด็กๆ เหล่านั้นจะต้องกลับตัวกลับใจได้ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ความรักเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้จริงๆ

เป็นหนังสือที่ใครๆ ก็สมควรอ่าน
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ : คุณชายธราธร (ณารา)
4
โดยรวมถือว่าชื่นชมความตั้งใจของคนเขียน และประทับใจตัวละครมากพอตัวค่ะ
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เล่มแรกของนวนิยายชุดสุภาพบุรุษจุฑาเทพ ความจริง เราว่าการลำดับเรื่อง คือเรียงทั้งจากชื่อคุณชาย และเรื่องราวของแต่ละเล่มก็ยังเรียงตามลำดับเวลา บังคับให้เราอ่านแบบต้องเรียงลำดับจากพี่ใหญ่สุดไปน้องเล็กสุด มันดูมีกรอบมากไปหน่อย หรือมันอาจเป็นสไตล์เราเองที่รู้สึกว่า บางทีเราไม่ได้อยากอ่านตามกรอบที่เขาไว้ให้ขนาดนั้น บางทีเราเห็นรูปคุณชายคนนี้แล้วอยากรู้จักคนนี้ อยากรู้เรื่องของคนนี้ก่อน แต่ก็กลายเป็นว่า ถ้าอ่านเล่มนั้น แบบข้ามไปมาตามใจตัวเอง เรื่องมันจะไม่ต่อเนื่องกัน คือมันมีข้อจำกัดเรื่องเวลาในการเดินเรื่องของนวนิยายชุดนี้อยู่ แต่ก็นะ มันเป็นแนวทางของเขา เราก็จะยอมเสพตามแนวทางของเขาก็แล้วกัน เพื่ออรรถรสที่ดีที่สุดในการอ่าน

เล่มนี้ เราชอบ แต่ไม่ค่อยอินเท่าไหร่ เพราะเรารู้สึกว่าพระเอกแก่ไป และนางเอกก็เด็กไป บางฉากเคมีของพระนางเลยดูไม่ค่อยเข้ากัน เราชอบคู่รองมากกว่า เป็นคู่ที่สร้างรอยยิ้ม พาเราจิกหมอนได้มากกว่าคู่พระนางเสียด้วยซ้ำ เพราะความมีชีวิตชีวาของพระรอง อาจเป็นรสนิยมส่วนตัวของเราด้วยแหละ เรารู้สึกว่าเราลุ้นคู่รองมากกว่า สงสารนางรองมากกว่า และหลงรักพระรองมากกว่าพระเอก เอาน่า เราก็มีสิทธิรักใครชอบใครตามใจตัวเองได้ไม่ใช่หรือ

พูดถึงการดำเนินเรื่อง เราว่าเรื่องนี้ก็โอเคเลย มีประเด็นเนื้อเรื่องน่าติดตาม มีสีสัน คือไม่ได้มีแค่เรื่องความรัก ฉากก็แปลกตา สื่อว่าคนเขียนคือ ณารา ทำการบ้านมาอย่างดี คือเรื่องนี้ เนื้อหาแบบนี้ ถ้าไม่หาข้อมูลให้ดี เขียนมาแบบกลวงๆ มันจะออกมาเละตุ้มเป๊ะแน่นอน แต่นี่ไม่ใช่ เนื้อหาที่เป็นเชิงวิชาการที่ต้องอาศัยการอ้างอิงและต้องมีความน่าเชื่อถือ เขาทำออกมาได้ดีทีเดียว เป็นนิยายเล่มหนาที่บ่งบอกว่าคนเขียนตั้งใจเขียน (คือถ้าไปเทียบกับเล่มสุดท้าย คุณชายรณพีร์นะ ราวฟ้ากับเหวลึกที่สุดอย่างไรอย่างนั้นเลยล่ะ)

โดยรวมถือว่าชื่นชมความตั้งใจของคนเขียน และประทับใจตัวละครมากพอตัวค่ะ
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ : คุณชายปวรรุจ (ร่มแก้ว)
5
ยอมรับว่าเพ้อฝัน น้ำเน่า แต่ก็ชอบนี่นา ชอบมากที่สุดแล้วบรรดาห้าเรื่องของนวนิยายชุดนี้
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เรื่องนี้ ชวนเพ้อในระดับสูงถึงสูงมาก คุณชายผู้อบอุ่น สุขุม กับหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ที่ดูคล้ายจะเอาแต่ใจ หยิ่งผยอง แต่ก็เหมาะสมและเคมีเข้ากันเป็นอย่างดี เรื่องราวถูกปูย้อนไปตั้งแต่สมัยพระนางยังเด็กๆ กันนู่นเลย และบางฉากก็ทิ้งคำพูดคมๆ ทิ้งปมสวยๆ ไว้ แล้วเอามาเล่น เอามาขยี้คนอ่านให้ยอมเทใจไปเต็มๆ เลย

ปมเรื่องที่นางเอกปิดบังฐานะ แล้วพระเอกมารู้ทีหลัง พระเอกโกรธ นางเอกตามง้อ อันนี้เราคิดว่าก็ยังธรรมดานะ แต่ในความธรรมดา ในสิ่งที่มีคนเล่นกันมาแล้วมากมาย ผู้เขียนคือร่มแก้ว สามารถทำให้คนอ่านไม่รู้สึกสะอิดสะเอียนหรือเบื่อเรื่องราวที่เดาทางพวกนี้ได้ คือกว่าจะถึงจุดนั้น มันก็ผ่านจุดพาฟินพาฝันมามากแล้ว แถมตัวละครในเรื่องนี้ยังมีบุคลิกหลากหลาย มีครบทั้งเพื่อนนางเอก ฝั่งที่คอยช่วยเหลือสนับสนุน ทั้งตัวป่วนที่ดูไม่มีพิษมีภัยแต่ก็สร้างความปวดหัวให้คนอื่นๆ โดยเฉพาะพระนางได้อย่างครบรส มีคู่รองที่สร้างรอยยิ้มให้คนอ่านหลายคู่ คือมันไม่ใช่เพียงแค่โลกนี้มีแต่เราสอง ตัวละครตัวอื่นๆ มีตัวตน มีบทบาท มีความรู้สึกและมีรสชาติชีวิตที่แสบแซบให้เราได้ซี้ดซ้าดเหมือนกัน แถมยังมีฉากที่ทำให้หมอนขาดกระจุยไปหลายใบ มันอาจดูเหมือนฉากในเทพนิยาย แต่ก็เป็นฉากที่สวยงาม มีคนใช้แล้ว จะเอามาใช้บ้าง ก็ต้องทำให้ดี และสำหรับเรื่องนี้ เราว่าเขาทำได้โอเคเลยล่ะ

เราชอบวิธีการเขียนโดยเอาฉากที่มีความเชื่อมโยงกันมาล้อกัน คำพูดที่พระเอกเคยพูดไว้ กลับกลายมาเป็นคำพูดที่นางเอกพูดบ้าง เรื่องราวมันถูกเรียงร้อยออกมาได้อย่างกลมกลืนและดีมากๆ เลยทีเดียว จะว่าเราอวยหนังสือเล่มนี้ก็ได้นะ ยอมรับว่าเพ้อฝัน น้ำเน่า แต่ก็ชอบนี่นา ชอบมากที่สุดแล้วบรรดาห้าเรื่องของนวนิยายชุดนี้
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ : คุณชายพุฒิภัทร (เก้าแต้ม)
5
ชวนเพ้อ ชวนจิกหมอน พระเอกอบอุ่น นางเอกสวยหยาดเยิ้ม อ่านไปก็ตาร้อนผะผ่าวไป วางไม่ลงเลย
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เรื่องนี้ เราชอบนะ เปิดเรื่องมาก็ลุ้นระทึกแล้ว ลุ้นว่าตกลงแล้วนางเอกจะรอดจากเงื้อมมือเสี่ยใหญ่ผู้มีอิทธิพลกว้างขวางได้หรือไม่ คือคนเขียนปูเรื่องมาแบบทำให้เราสงสารนางเอกสุดๆ และสถานการณ์ก็บีบหัวใจสุดๆ ด้วย เหมือนว่าจะต้องไม่รอดแน่ๆ แต่สุดท้ายก็พลิกกลับมาเป็นการเอาตัวรอดได้อย่างน่ารักน่าชังมากๆ
พล็อตเรื่องเหมือนจะไม่มีอะไรนอกจากลุ้นว่าสุดท้ายนางเอกจะรอดพ้นจากการถูกข่มเหงไหม แล้วพระเอกจะช่วยนางเอกได้อย่างไร เนื้อหาใจความอาจไม่สลับซับซ้อนพลิกไปตะแคงมา แต่ก็มีหลายฉากที่ทำให้เราประทับใจได้ ทำให้เราจิกหมอนได้ และบางครั้งก็ถึงขั้นทำให้เราเผลอเพ้อไปบ้างว่าอยากโชคดีอย่างนางเอก นั่น ว่าไปเรื่อย

แต่ถึงจะไม่สลับซับซ้อน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่น่าสนใจ ไม่ดึงดูดเรานะ ด้วยองค์ประกอบหลายๆ อย่างของตัวละครเอก คุณหมอทรงเสน่ห์ที่ดูเหมือนจะนิ่งๆ อ่านยาก และทำให้คนที่อยู่ด้วยแอบเกร็ง แต่กลับกลายเป็นคนอ่อนโยน ช่างสังเกต (เอ๊า ก็คนเป็นหมอนี่นา) แถมยังเป็นห่วงเป็นใยนางเอกแบบไม่ค่อยจะปิดบังความรู้สึก คนคอยลุ้นตามและอยากเป็นนางเอกอย่างเราก็ใจละลายไปสิคะ ส่วนนางเอกก็ดูเคมีจะเข้ากั๊นเข้ากัน เหมือนสองคนนี้เขาถูกสร้างมาเพื่อกันตั้งแต่เกิดอย่างไรอย่างนั้น สวยหยดย้อยขนาดทำให้พระเอกที่ไม่เคยชายตามองสาวสวยคนไหนในพระนครถึงกับตะลึงตาค้าง แถมยังจิตใจอ่อนโยน เป็นกุลสตรี รักนวลสงวนตัว แต่ก็ยอมทำสิ่งที่ฝืนใจตัวเองสุดๆ เพื่อตอบแทนพระคุณของพ่อ แหม ใครจะเหมาะกันไปมากกว่าสองคนนี้อีกล่ะ

อิจฉาตาร้อนแต่ก็ไม่ยอมวางหนังสือจนกว่าจะจบเลยล่ะ อ่านแล้วมันติดน่ะ
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ : คุณชายรัชชานนท์ (ซ่อนกลิ่น)
4
สนุกสนาน น่ารัก อบอุ่น คาแรกเตอร์ของตัวละครแต่ละตัวมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

คุณชายรัชชานนท์นี้ เราไม่ได้ดูละคร แต่อ่านหนังสือแล้วก็รู้สึกว่าน่ารักดี คือมันก็มีฉากน้ำเน่า พาฟินจิกหมอนตามประสาแนวคุณชายจุฑาเทพอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ก็ยังโอเคนะในความคิดเรา คือสามารถรักษามาตรฐานไม่ให้ตกลงไปต่ำกว่าเกณฑ์ หนึ่งเลยคือ ฉากก็ไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ เปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีน่ะเนอะ สองคือมีความกุ๊กกิ๊กน่ารักของตัวละคร และตัวละครเด่นที่ไม่ใช่แค่พระนางก็สามารถฉายประกายเสน่ห์ของตัวเองออกมาได้ ไม่ได้ถ่ายเทไปที่คนสองคนตลอดทั้งเรื่อง ปมเรื่องราวก็ไม่ได้มีแค่พระนางจะลงเอยกันหรือไม่ แต่มีปมปัญหาอื่นๆ ที่ทำให้ตัวละครแต่ละตัวต้องมีร่วมเผชิญชีวิตไปด้วยกัน บางฉากอาจดูเว่อร์ แต่ในเมื่อเรื่องนี้ถูกปูพรมมาด้วยบางสิ่งที่มันเหนือธรรมชาติอยู่บ้างแล้ว จะมีอะไรๆ ที่แปลกพิสดารเพิ่มขึ้นมาอีกก็ไม่ได้ดูโดดออกมา มันก็พอกลมกลืน เป็นเรื่องราวที่ลงตัวกันได้

ส่วนเรื่องที่นางเอกพลิกผันไปเป็นเจ้าหญิงเจ้านางอะไรนั่น อาจจะถือว่าเป็นเรื่องเชยๆ ในหนังสือนิยายไทย หรือเป็นอะไรที่เป็นละครไทย เป็นไทยแลนด์สไตล์ไป แต่ถามว่าน่าเกลียดไหม ก็ยังไม่เท่าไหร่นะ เพราะมันไม่ใช่ตลอดทั้งเรื่องไง มันยังมีเรื่องราวสนุกๆ มีมุมใหม่ๆ (หรือเปล่า) มานำเสนอบ้าง แล้วจะจบแบบน้ำเน่าๆ ก็เอาเถอะ จบแบบพระเอกตาย นางเอกหายสาบสูญนี่ก็คงไม่เป็นที่ปลื้มใจของแฟนๆ นิยายไทยสักเท่าไรนัก
โดยรวมแล้ว เราว่าโอเคแหละ ทำให้ยิ้มได้ ทำให้ฟินเบาๆ มีความสนุกสนานน่ารักกลมกล่อม นานๆ ทีอ่านก็ถือว่าผ่อนคลายอารมณ์ดีเหมือนกันค่ะ
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ : คุณชายรณพีร์ (แพรณัฐ)
1
น้ำเน่า ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ พล็อตเก่าๆ เอามาเล่นซ้ำๆ แบบไม่สงสารคนอ่านเลย
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

นวนิยายลำดับสุดท้ายของชุดสุภาพบุรุษจุฑาเทพ ผลงานของ “แพรณัฐ” เล่มนี้ หลายคนบอกว่าดีที่สุด ชอบที่สุดในบรรดาห้าเรื่อง แต่สำหรับเรา กลับกลายเป็นเรื่องที่เราไม่โอเคที่สุดเลย คือมันเป็นเรื่องที่ดำเนินเหตุการณ์ไปอย่างเนิบๆ ไม่มีอรรถรส ไม่มีความดึงดูดให้เราจดจ่ออยู่กับเนื้อเรื่องเลย มันเน่ามาก หมายถึงทั้งพล็อต ทั้งกลวิธีการเล่าเรื่อง ทั้งลักษณะนิสัยของตัวละคร คือเราอ่านไปก็สงสัยไปว่า ไอ้เรื่องที่พระเอก (หรือนางเอก) โกหกฐานะ ปิดบังความจริง แล้วอีกฝ่ายมารู้ทีหลัง แล้วก็โกรธงอนกันไป ต้องไปตามง้อกันอย่างนี้ มันยังไม่หมดไปจากนิยายหรือละครไทยอีกเหรอ มันเป็นมุขเก่าที่ถูกเอามาเล่นซ้ำๆ จนน่าเบื่อไปแล้วนะ ไม่มีความสร้างสรรค์เลย

แถมฉากในหนังสือ เรื่องที่ตัวร้ายถูกกระชากหน้ากากโดยการวางแผนของทุกคน ให้มายืนแอบฟังการสนทนาที่นางเอกพยายามหลอกถามความจริงว่าคุณใช่ไหมที่ทำความชั่ว แล้วตัวร้ายก็สารภาพ (เพราะคิดว่าคุยกับนางเอกแค่สองคน) ใช่แล้วย่ะ ฉันทำเองแหละ...แล้วจู่ๆ ทุกคนก็เดินเข้ามาในห้อง บอกว่าพวกฉันได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เราแทบอยากปิดหนังสือหนีเลยจริงๆ มันเป็นฉากปัญญาอ่อนและเก่ากึกสมัยไดโดโนเสาร์ยังเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ของโลกอยู่เลยมั้ง คือเป็นเล่มที่บางทีสุด และกลวงที่สุดในบรรดาห้าเล่มเลย เหมือนกับว่าคนเขียนแค่เพียงจะเขียนให้เสร็จๆ ให้ปิดโปรเจคไป ขายความเพ้อฝันที่คนเขาขายกันมาเป็นหลายสิบปีแล้ว คือขนาดเราชอบเจมส์ มาร์ มากๆ เรายังไม่ดูละครเรื่องนี้เลย ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเรตติ้งไม่ดี คือหนังสือมันมาห่วยอยู่แล้ว ทำออกมาเป็นละคร ก็ปรับได้แค่นิดๆ หน่อยๆ ฉากเปิดโปงตัวร้ายที่ในหนังสือใช้มุขซ้ำอย่างที่เล่าไปข้างต้น ก็เปลี่ยนรูปแบบ (คือเปลี่ยนฉากนี้ไปเลย) ก็ยังไม่สามารถดึงเรตติ้งขึ้นมาได้
เล่มนี้เราส่ายหัวเลย เหอๆ
4
เหมือนนั่งดูหนังฮอลลีวู้ดที่ลุ้นระทึกและบีบหัวใจเกือบตลอดเวลา
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เล่มนี้ ความหนา 595 หน้า จัดว่าหนามาก และมันยอดเยี่ยมตรงที่ความหนานี้ ไม่ได้เป็นอุปสรรคขัดขวางความน่าตื่นเต้นของเรื่องราวเลย ไม่มีสักวินาทีที่จะไม่ลุ้น ด้วยความที่พล็อตเรื่องในช่วงแรกยังสามารถแบ่งฉากแบ่งภาคเหตุการณ์ให้ดูคล้ายว่าเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นมีความเกี่ยวข้องกันแค่ในระดับผิวเผินเท่านั้น (หรือบางครั้งก็อาจจะไม่เกี่ยวข้องกันเลยเสียด้วยซ้ำ) แต่เมื่อช่วงหลังที่เรื่องราวเริ่มขมวดปม เริ่มเข้าสู่จุดตึงเครียดและดึงดูดคนอ่านเข้าไปร่วมระทึกด้วยแบบสมบูรณ์แล้ว ก็กลับกลายเป็นว่า เรื่องราวทั้งหมด ไม่มีอะไรที่ไม่เชื่อมโยงกันเลย

Child 44 รหัสฆาฏ ชื่อเรื่องก็พอจะสื่อได้อยู่แล้วว่าต้องมาแนวฆาตกรรมต่อเนื่อง หรือไม่ก็ฆาตกรรมแบบตายหมู่ ตายทีเดียว 44 คนหรือเปล่า แถมหน้าปกยังดึงดูดด้วยสองบรรทัดที่ว่า “สุดยอดนวนิยายทริลเลอร์ ตำนานประมูลราคาลือลั่นจากลอนดอนบุ๊คแฟร์ปีล่าสุด” ซึ่งก็สมกับความเป็นสุดยอดทริลเลอร์อย่างที่เขาว่าไว้ไม่มีผิด ฉากความตายแต่ละฉาก เด็กแต่ละคน สะเทือนใจจนน้ำตาเล็ดบ้างไหลบ้าง โดยเฉพาะเด็กคนที่ถูกปูพื้นลักษณะนิสัยมาสักสองสามหน้าว่าคล้ายจะเป็นเด็กดี เด็กดีที่ไม่มีโอกาสได้โตเป็นผู้ใหญ่ เด็กดีที่ต้องตายอย่างทรมาน ถูกฆ่าอย่างทารุณ
พระเอกของเรื่อง อันนี้ต้องบอกว่าไม่พลิกโผจากแนวพระเอกของหนังฮอลลีวู้ดสักเท่าไหร่ ก็ต้องเท่ ฉลาด(ในระดับที่เป็นอัจฉริยะ เป็นหัวกะทิขององค์กรระดับประเทศน่ะนะ) และเรื่องก็ถูกทำให้เข้มข้นด้วยการที่พระเอกที่เคยทำงานถวายหัวให้องค์กรนั้นอย่างเต็มความสามารถและซื่อสัตย์ ต้องถูกหักหลัง ถูกขับไล่ ถูกตามล่าจากองค์กรนั้นเสียเอง เรื่องแบบนี้อาจจะเกร่อและสามารถเดาทางได้ไม่ยาก แต่เชื่อเถอะว่า ต่อให้ฮอลลีวู้ดทำหนังแนวนี้ออกมาเรื่อยๆ อีกสักสิบปี คนก็ยังดูอยู่ดี

เราว่าเล่มนี้ มันไม่เหมือนหนังสือ ไม่ค่อยได้อารมณ์การละเลียดอ่าน เพราะเราอ่านรวดเดียว อ่านด้วยสปีดความเร็วระดับสูงเพราะลุ้นระทึกและอยากรู้เรื่องราวการคลี่คลายปมเร็วๆ มันเหมือนดูหนังซะมากกว่า โดยรวมแล้วเราชอบ (เหมือนที่ชอบดูหนังฮอลลีวู้ดบู๊มันส์ๆ นั่นแหละ)
ฮาลโลวีนวันฆาตกรรม (HALLOWE'EN PARTY)
4
สำนวนภาษาอ่านง่ายสบายตาสบายใจ ไม่น่าเชื่อว่านักเขียนยุคเก่าๆ จะมีสำนวนที่พลิ้วไหวขนาดนี้
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เราได้อ่านงานเขียนของ อกาธา คริสตี้ เคยได้ยินชื่อมานาน แต่ไม่รู้ว่าจะไปหาหนังสือของเจ้าแม่นิยายสืบสวนสอบสวนคนนี้ได้จากที่ไหน นี่โชคดีที่ไปเดินร้านหนังสือเก่าแล้วเจอเขาลดราคา เลยสอยมาลองเชิงว่าเจ๋งจริงสมคำร่ำรือหรือไม่

สำนวนภาษาอ่านง่ายสบายตาสบายใจ ไม่น่าเชื่อว่านักเขียนยุคเก่าๆ จะมีสำนวนที่พลิ้วไหวขนาดนี้ ไม่มีศัพท์แสงชวนปวดหัว ไม่มีการบรรยายหรือพรรณนาอันชวนน่าเบื่อ แถมเรื่องราวก็สนุกพอตัว ลุ้นระทึกกันตั้งแต่เปิดเรื่อง ว่าจะไม่พยายามนึกตามว่าสุดท้ายแล้วเรื่องจะเฉลยออกมาอย่างไร แต่ก็อดไม่ได้ทุกที นิยายสืบสวนสอบสวนบางเล่ม ทำให้เรามัวแต่ร่วมครุ่นคิดหาคนร้าย จนกลายเป็นภาวะเครียดไปโดยไม่รู้ตัวอีกนั่น โชคดีที่นานๆ จะเจออย่างนั้นสักที

ฮาลโลวีน วันฆาตกรรม น่าจะถือว่ายังเบสิคอยู่นะ คือเรื่องราวยังไม่ได้พลิกโผแบบตีลังกาไปมา เดี๋ยวฆาตกรคือคนนั้น หรือน่าจะเป็นคนนี้ คือมันยังสามารถทำความเข้าใจไปกับช่วงตอนของเรื่อง ร่วมคิดไปได้แบบสบายๆ และตอนใกล้จะเฉลยก็พอเดาออกบ้างแล้ว ไม่ใช่การอ่านไล่สายตามาเรื่อยๆ แล้วต้องโดนสตั๊นท์ ย้อนกลับไปอ่านใหม่ว่าใช่คนนี้จริงหรือที่เป็นฆาตกร แต่ถึงจะไม่ได้หวือหวา หลอกหรือตุ๋นเราจนเปื่อย แต่ก็ดึงดูดและพาเราเข้าไปร่วมหวาดระแวงด้วยทุกวินาที จะมีใครเป็นศพรายต่อไป อกาธา คริสตี้เปิดประเด็นเช่นนี้เมื่อจะจบแต่ละบทแต่ละตอน ก็เช่นนั้นเองเราจึงต้องอ่านแบบรวดเดียวจบ มันคาใจ ระทึกด้วย

โดยรวมแล้วถือว่าสมคำร่ำลือค่ะ
www.batorastore.com © 2024