บัลลังก์รักทะเลทราย ภาคหนึ่ง (นางแก้ว)
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
บทนำ
กาลครั้งนั้น เป็นเวลาก่อนที่จะกำเนิดศาสนาอันรุ่งเรืองดังเช่นในปัจจุบัน ประชาชนทั่วไปมักเชื่อถือเรื่องเทพเจ้า หัวหน้าเผ่า กษัตริย์ ราชาธิบดีหรือ จักรพรรดิล้วนแล้วแต่ได้รับการยกย่องให้เป็นสมมติเทพ ด้วยความเชื่อว่าทุกพระองค์มีสายเลือดมาจากเทพเจ้าทั้งสิ้น การแบ่งแยกเชื้อชาติ การรบ และการแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่ ล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้นแต่ที่น่าประหลาดนักคือในโลกแห่งอดีตอันไกลโพ้นมีความเหมือนกันประการหนึ่งคือ หลายๆ แคว้น หลายๆ อาณาจักร ผู้เป็นสตรีจะมีหน้าที่เดินตามหลังบุรุษ แต่ก็มีสตรีหลายนางกลับเป็นผู้อยู่เบื้องหลังบุรุษผู้ทระนงหลายต่อหลายท่าน ดังเรื่องที่ผูกขึ้นนี้เป็นเรื่องที่สมมติขึ้นโดยไม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาติใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเรื่องของสามเมืองที่มีอาณาเขตใกล้กัน ตาบาร่าเป็นแคว้นใหญ่มีความอุดมสมบูรณ์ และความเข้มแข็งทางทหารมากที่สุด เขตแดนส่วนหนึ่งติดกับแคว้นเอลัตตาซึ่งเป็นแคว้นที่มีพืชผลทางการเกษตรอุดมสมบูรณ์ และยกให้สตรีมีอำนาจขึ้นครองบัลลังก์ได้เป็นกรณีพิเศษ แตกต่างจากแคว้นอื่นๆ ทั้งสองแคว้นมีทะเลทรายตาฮีรีขวางกลาง และอีกแคว้นหนึ่งนั้นคือแคว้นอคาบานา และแคว้นนี้ได้ชื่อว่าเป็นชนชาติที่ป่าเถื่อน ภูมิประเทศมีเทือกเขาสูง กั้นขวาง เนื้อที่บางส่วนติดกับทะเล และแม่น้ำ เป็นชนชาติที่เห็นแก่ได้ และหาเหตุรุกรานแคว้นเอลัตตาอยู่บ่อยๆ จึงเกิดการรบพุ่ง ผลัดแพ้ผลัดชนะเรื่อยมา ทั้งนี้อคาบานาต้องการครอบครองความอุดมสมบูรณ์ของเอลัตตา แต่ทั้งเอลัตตา และอคาบานากลับต้องการผูกมิตรกับแคว้นตาบาร่า ดังนั้นการเชื่อมความสัมพันธ์ดังกล่าว จึงตกเป็นหน้าที่ของสตรีผู้มียศศักดิ์ของแผ่นดินเอลัตตาและอคาบานา จะต้องหาทางเป็นราชินีแห่งแคว้นตาบาร่าให้ได้
ตอนที่ 1 ตาบาร่าอันยิ่งใหญ่
“โหรได้ทำนายความอัปมงคลว่าฮัจจ์ซามันจะครองบัลลังก์ ซึ่งหมายถึง อันตรายต้องตกอยู่กับบิน แล้ว เจ้าจะนิ่งดูดายโดยไม่จัดการใดๆให้เรียบร้อยเสียก่อนหรือไซอิด” พระพันปีตรัสเสียงดังกังวาน ทั้งๆ ที่ทรงมีพระวรกายเล็ก บอบบาง หากท่าทีของพระนางแสดงความดื้อทระนงนัก ทรงชุดฉลองพระองค์สีขาว ทอลายเส้นดอกไม้สีทองประณีตปกปิดมิดชิด ผ้าคลุมพระพักตร์สีเดียวกับชุดทรง ทรงเครื่องประดับมากค่า ทั้งสร้อยพระศอทองคำ พระหัตถ์ทุกนิ้วสวมธำมรงค์ ทอทองคำโปร่งร้อยถึงข้อพระหัตถ์ทั้งสองข้าง ทรงตรัสด้วยความวิตกกังวลกับพระโอรส คือกษัตริย์ บิน อัล ไซอิด อับดุลลาที่สอง พระองค์ท่านมีความสง่างาม สุขุม นุ่มนวล ฉลองพระองค์เพียงพระภูษาสีขาว พาดพระอังสะทั้งสองข้างด้วยชุดฉลององค์สีขาว พาดยาวจากพระอังสะทั้งสองยาวจรดพระบาท ทรงปล่อยพระเกศา ยาว ทองคำปลอกวงกลมเป็นมงกุฎครอบพระเศียร เหนือพระนลาฏประดับด้วยทับทิมสีเลือดเม็ดกลมขนาดเขื่อง อันหมายถึงพระองค์เป็นโอรสผู้สืบเชื้อสายมาจากสุริยเทพ พระองค์ท่านประทับนิ่งบนพระเก้าอี้ตรงข้าม ตอบพระชนนีอย่างพระทัยเย็น
“เสด็จแม่จะให้หม่อมฉันรีบแต่งตั้งบินให้เป็นรัชทายาททำไม ในเมื่อบินยังไม่ได้ผ่านการทำพิธีพิสูจน์เลือดกษัตริย์อันเป็นประเพณีที่สำคัญของแคว้นเรา ซึ่งไม่ต่างจากการสมรสกับสตรีบริสุทธิ์นะพ่ะย่ะค่ะ”
“แม่เชื่อความมักใหญ่ใฝ่สูงของเจ้าคนเลือดผสมนั่นว่า มันต้องคิดร้ายต่อบินหลานของแม่ เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าต้องหาทางจัดการเสียก่อนนะไซอิด เพราะถ้าหากนับทางสายโลหิตแล้วล่ะก็ บิน ไซอิด มีสายโลหิตสืบตรงจากสมมติเทพ เพราะบิดามารดามีเชื้อสายกษัตริย์ ต่างจากฮัจจ์ซา ซึ่งเผ่าพันธุ์มารดาของมันเป็นแต่เพียงคนเร่ร่อนในทะเลทรายเท่านั้น”
“พระมารดาตรัสราวกับว่าในกายของฮัจจ์ซาไม่มีเลือดของหม่อมฉันไหลเวียนอยู่ด้วย”
“เจ้าอย่าเอาความรักมาบังตาสิ ลูกรัก” พระพันปีตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนลงมานิด ก่อนสำทับว่า
“เจ้าต้องทำสิ่งที่เหมาะสม” พระนางลืมไปว่าพระนางนั่นแหละ เป็นผู้ที่เอาความรักบังดวงเนตรจนมืดสนิท กษัตริย์ บิน อัล ไซอิด อับดุลลาที่สอง ทูลแย้งว่า
“สิ่งที่บิดาทุกคนต้องมีความสำนึกทุกลมหายใจ คือการปกป้องชีวิตลูก และหากจะนับถึงสายโลหิตแล้วล่ะก็ เลือดของพ่อย่อมสำคัญกว่าสายเลือดฝ่ายแม่นะพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าพูดอย่างนี้ เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน” พระพันปีเสียงแข็ง สีพระพักตร์บอกชัดว่าทรงเริ่มกริ้วที่พระโอรสหาเหตุมาอ้างเป็นการไม่รับฟังพระนาง
“ถ้าหากพระมารดาถือสายเลือดเป็นสิ่งสำคัญสุด หม่อมฉันจึงอยากกราบทูลความเป็นจริงในราชสำนักว่า แม้หญิงราชนิกุลชั้นสูงได้แต่งงานกับชายที่มีฐานะต่ำกว่า ลูกที่เกิดมาย่อมมีความเป็นทาสไม่ใช่ราชนิกุลตามมารดามิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าคนหัวดื้อ นี่เจ้าคิดยกย่องเด็กเลือดผสมนั่นโดยถือเอาสายเลือดเจ้าเป็นใหญ่คนเดียวกระนั้นหรือ”
“มิใช่เลือดหม่อมฉันเพียงคนเดียว หากในกายของหม่อมฉันนี้มีสายเลือดของพระบิดาผู้เป็นกษัตริย์ และพระมารดาผู้เป็นพระราชธิดากษัตริย์ ดังนั้นเลือดนี้จึงเข้มข้นมากพอที่จะทำให้ฮัจจ์ซามีศักดิ์ และสิทธิ์เป็นพระราชโอรสโดยสมบูรณ์ทุกประการพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”
พระพันปีกริ้วโกรธเป็นไฟ เมื่อถูกพระโอรสย้อนเอาเช่นนั้น พระองค์มิอาจโน้มน้าวพระทัยอับดุลลาที่สองได้ จึงเสนอพระดำริใหม่ว่า
“เช่นนั้นแม่ขอให้เจ้าสั่งฮัจจ์ซาไปอยู่ที่เหมืองเหล็กเพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อนได้หรือไม่”
“ทรงคิดดูบ้างเถิดเสด็จแม่ หากมีใครทูลให้ฆ่าซายาดเพื่อหม่อมฉัน เสด็จแม่จะยอมมั้ย”
“ซายาดเป็นน้องของเจ้านะไซอิด เรื่องการชิงอำนาจจึงไม่มีทางเป็นไปได้”
“ลูกก็มีความเชื่อเช่นเดียวกับเสด็จแม่ ลูกเชื่อว่าการเลี้ยงลูกชายทั้งสองของลูกนั้น จะไม่มีวันทำให้พวกเขาแก่งแย่งกัน”
พระราชกระแสมั่นคงออกมาจากพระโอษฐ์ขององค์กษัตริย์ บิน อัล ไซอิด อับดุลลาที่สองแห่งแคว้นตาบาร่า ทำให้พระพันปีจำต้องยอมจำนน พระนางนั้นทรงนับถือพระโอรสมาตั้งแต่งทรงครองราชย์ต่อจากพระบิดา เมื่อพระชนม์มายุยี่สิบห้าพรรษา และองค์อับดุลลาที่สองคิดรวบรวมชนเผ่าอีกเจ็ดเผ่าซึ่งแยกกันปกครองให้มารวมเป็นเผ่าเดียว โดยมีพระองค์เป็นกษัตริย์สูงสุด พระองค์ จึงทำการรบพุ่งกับชนเผ่าทั้งเจ็ด และได้รับชัยชนะทำการรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น สร้างความมั่งคั่งให้กับตาบาร่าตลอดมานับแต่รวมแผ่นดินได้สำเร็จ ส่งให้พระเกียรติยศของพระพันปีในฐานะพระราชมารดามีความสูงส่งมากขึ้นไปอีกโดยมีพระราชอำนาจควบคุมฝ่ายในทั้งหมด ตามพระราชประสงค์ขององค์อับดุลลาที่สอง ซึ่งทรงรักเคารพพระราชมารดา เสมอด้วยเทพเจ้า แต่ก็ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีเหตุผลยิ่งนัก ทำให้พระมารดาทรงเกรงพระทัยเป็นบางครั้ง และ ทรงเฝ้ามองความสำเร็จของพระราชโอรสองค์ใหญ่ ซึ่งองค์อับดุลลาสร้างพระราชวังใหม่มีความโอ่อ่าอลังการ ประตูเข้าเขตเมืองทำสร้างเป็นรูปเกือกม้าทางสีฟ้าสดใส หลังคาทำเป็นรูปโดมสีทอง เหนือยอดโดมประดับเพชรน้ำงามเม็ดเขื่อง ยามต้องแสงแดดปรากฏแสงระยิบระยับ พระตำหนักเชื้อพระวงศ์แบ่งแยกเป็นสัดส่วน นางกำนัล ข้ารับใช้จากตำหนักพระพันปีจะสวมชุดยาวสีส้มคลุมหน้าหมด เผยเพียงดวงตา หากมาจากตำหนักพระอัครชายาจะสวมใส่ชุดยาวคลุม มีผ้าคลุมปิดจากศีรษะ และครึ่งหน้าช่วงล่าง เป็นสีแดง ส่วนนางกำนัลจากพระตำหนักพระชายาจะสวมชุดสีม่วงจาง และนางกำนัลชั้นทำงานหนัก จะสวมชุดสีดำไม่แยกกัน ดังนั้นทุกคนจึงสามารถแยกนางกำนัลได้ว่ามาจากตำหนักใดก็ด้วยสีสันของผ้าที่สวมใส่
ทหารและราชองครักษ์แต่งตามชั้นยศ ด้วยชุดสีฟ้าสดนับเป็นชั้นสูง รองลงมาเป็นสีคราม และสีดำ ทุกคนมีผ้าคาดเอวเป็นผ้าสีตามชุดที่สวมใส่ ยามออกทะเลทรายจะมีผ้าคลุมศีรษะกันแดด ลม หากในเวลาราชการนายทหารทุกคนจะสวมหมวกผ้า มีสัญลักษณ์ชั้นยศดูกันจากเครื่องประดับจากเครื่องเงินจนถึงเครื่องทอง สูงสุดคือมรกต เป็นของราชวงศ์ชั้นสูงหรือผู้มีตำแหน่งสำคัญ
แต่ในการออกรบขององค์อับดุลลาที่สองนั้น ทรงมีความสนิทสิเน่หาในธิดาของขุนพลโซชี คือเลโซฟี ซึ่งได้ถวายการรับใช้ใกล้ชิด และองค์อับดุลลาได้สมรสอย่างถูกต้องตามประเพณี หากแต่ว่าพื้นเดิมของตระกูลขุนพลโซชี เป็นคนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย และพระพันปี ผู้เป็นพระมารดาของกษัตริย์อับดุลลา ควบคุมอำนาจฝ่ายในทั้งหมดเป็นคนเคร่งครัดกฎระเบียบ จึงไม่ทรงโปรดพระสุณิสา เมื่อองค์อับดุลลาที่สองทรงรักพระนางเลโซฟีมากเกินหน้า จึงทำให้พระพันปีเกิดปริวิตกว่า กษัตริย์อับดุลลาที่สองจะแต่งตั้งให้เป็นอัครชายา ดังนั้นพระพันปีจึงจัดการอภิเษกสมรสองค์อับดุลลาที่สองกับเจ้าหญิงจากแคว้นทางใต้คือเจ้าหญิงเซลีน่าผู้เป็นพระขนิษฐาร่วมสายพระโลหิตของกษัตริย์แคว้นอคาบานา และแต่งตั้งให้เป็นอัครชายา
กาลต่อมา อัครชายาเซลีน่าประสูติพระโอรส และพระชายาเลโซฟีก็ให้กำเนิดพระโอรสตามมาเช่นกัน ที่สำคัญในเวลาประสูติ ดาวประจำพระองค์ของเจ้าชาย ฮัจจ์ซา อัล ไซอิดสุกสว่าง ข่มดาวประจำองค์ของเจ้าชายบิน ไซอิด จนทำให้เกิดการทำนายจากโหรหลวงว่าเจ้าชายฮัจจ์ซา อัลไซอิด จะได้ครองบัลลังก์ เรื่องการทำนายของโหรนี้เป็นหนามยอกใจพระพันปีเสมอมา ยิ่งสองเจ้าชายเจริญวัยมากขึ้น และเจ้าชายฮัจจ์ซามีความเก่งกล้า แข็งแรงมากเท่าใด พระพันปียิ่งจงชังโดยไม่เห็นแก่สายเลือดครึ่งหนึ่งในตัวของเจ้าชายฮัจจ์ซาว่าสืบสายมาจากองค์อับดุลลาครึ่งหนึ่ง
พระพันปีได้รับฟังคำตอบจากพระทัยที่มั่นคงดุจดั่งขุนเขาที่ไม่หวั่นไหวต่อสายลมของพระโอรสแล้ว ทำให้พระนางถึงกับเกิดอาการชาไปทั้งพระวรกาย ตรัสอันใดไม่ออกอีก ได้แต่นิ่งงัน และปล่อยให้ไฟอิจฉาในเจ้าชายฮัจจ์ซา อัลไซอิดเผาผลาญทรวงในไปอย่างเงียบๆ...แต่จะให้ทรงยอมง่ายๆ เห็นจะไม่มีวันเสียล่ะ...
กษัตริย์อับดุลลาที่สองยังคงให้สองพระราชโอรสออกงานพิธี เคียงข้างทั้งซ้ายขวา ราวกับให้สิทธิ์เสมอกันโดยไม่แบ่งแยกว่าใครเหนือกว่าใคร
การเพิกเฉยต่อคำขอของกษัตริย์อับดุลลาที่สอง ทำให้พระพันปีไม่อาจนิ่งนอนพระทัยได้ พระนางจึงมีการเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ด้วยการเรียกเจ้าชายซายาด พระโอรสองค์เล็กของพระนางเข้าเฝ้าภายในตำหนักส่วนพระองค์
เจ้าชายซายาดทรงมีพระวรกายท้วมเตี้ย สีพักตร์ถมึงทึง ท่าทางวางอำนาจ ดำเนินเข้าตำหนักพระพันปี ซึ่งในเวลานั้นพระอัครชายาเซลีน่าเข้าเฝ้าอยู่ก่อนแล้ว นางกำนัลเปิดฉากทองโปร่ง ออกรับเสด็จเจ้าชายซายาด เข้าสู่ที่รโหฐาน เมื่อเจ้าชายซายาดไปถึง พระองค์ค้อมพระเศียรถวายบังคมพระชนนีหน้าพระที่ พร้อมตรัสทักพระอัครชายาเซลีน่า
เมื่อมาพร้อมกันแล้วพระพันปีเรียกให้พระโอรสองค์เล็กประทับลงใกล้ๆ พร้อมทรงโบกพระหัตถ์เป็นการส่งสัญญาณว่า จะประทับกันตามลำพังสามพระองค์เท่านั้น ข้าราชบริพารน้อมรับพระเสาวนีย์แล้วจึงพากันถอยกายออกไปจนหมด คงเหลือเพียงสามผู้สูงศักดิ์ เมื่อเห็นว่าปลอดคนดีแล้วพระพันปีจึงตรัสไม่ดังนัก แต่ได้ยินชัดว่า
“พิธีพิสูจน์เลือดกษัตริย์นี้แหละ สมควรจัดการบุตรนางเลโซฟีเสียให้สิ้นซาก”
“บิน ไซอิดยังประชวรอยู่ เอ่อพิธีปล่อยอาชานี้จะไม่สามารถคุมม้าได้” พระอัครชายาตรัสด้วยความเป็นห่วงราชโอรส ซึ่งมีพระพลานามัยไม่แข็งแรง พระพันปีเองทรงรักเจ้าชายบินไซอิดมาก จึงเป็นห่วงอยู่เหมือน กัน จึงเตรียมการเพื่อความปลอดภัยของหลานรัก
“เราเตรียมม้าดีไว้ให้ บินไซอิด ส่วนของเจ้าเด็กเลือดไพร่นั่นซายาดจัดการให้เหมาะ”
“เสด็จแม่อย่าทรงห่วงเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าอย่าย่ามใจ แม่ทัพโซชีมันอยากเป็นตาของ กษัตริย์ มันย่อมระวังเป็นพิเศษ ได้ข่าวว่ามันจัดหาม้ามาด้วยตัวของมันเอง” พระพันปีตรัส ท่าทางจงชังนัดดาคนที่สองยิ่งนัก หารู้ไม่ว่าเจ้าชายซายาด พระราชโอรสของพระองค์เองมีการคาดหวังเลยไปยิ่งกว่า...เพราะเมื่อท่านกำจัดเจ้าชายฮัจจ์ซา แล้ว จะกำจัดเจ้าชายบินไซอิด ผู้อ่อนแอเสียด้วย และต่อจากนั้นเจ้าชายซายาด จะเป็นรัชทายาทตามฐานะ เพราะกษัตริย์อับดุลลาไม่มีราชโอรสองค์อื่นๆอีก
พระพันปียังไม่วางพระทัยนัก เพราะพระองค์ท่านเห็นว่าเจ้าชายซายาดมักจะขาดความรอบคอบ ไม่เป็นเช่นพระเชษฐาที่มีความเพียบพร้อมกว่าทุกด้าน และที่ทำให้ยอกแสลงพระทัยยิ่งนักคือ เจ้าชายฮัจจ์ซาถอดแบบพระบิดาไปไม่ผิดเพี้ยน พระนาง จึงตรัสย้ำกับพระโอรสองค์เล็กว่า
“เจ้าต้องวางแผนสำรองไว้ สำหรับบิน เช่นที่แม่เคยทำเมื่อครั้งเจ้าและอับดุลลาที่สองเข้าพิธี”
ดำรัสของพระมารดาทำให้เจ้าชายซายาด หวนนึกถึงวันพิธีพิสูจน์เลือดกษัตริย์นักรบในครั้งนั้น กษัตริย์อับดุลลาที่สองผู้เป็นพระเชษฐา ยังไม่ได้รับการสถาปนาให้เป็นรัชทายาทมีพระชนม์พรรษาสิบแปดปี และเจ้าชายซายาดผู้เป็นพระอนุชานี้ ชันษาเยาว์กว่าหนึ่งปี ทั้งสองพระองค์ต่างเข้าพิธีปล่อยม้าเข้าทะเลทราย กษัตริย์อับดุลลาที่หนึ่งทรงมีน้ำพระทัยเด็ดขาด พระองค์ไม่เพียงแต่ผูกผ้าปิดพระเนตรสองพระโอรสเท่านั้น ยังทรงสั่งให้ทั้งสองพระโอรสประทับหันหลังควบม้าเข้าทะเลทราย ให้มีความยากลำบากมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว พระพันปีซึ่งในขณะนั้นมีฐานะเป็นพระอัครชายา ทรงมีความเป็นห่วงเจ้าชายซายาดราชบุตรองค์เล็ก เพราะเจ้าชายมีพระวรกายอ้วน และไม่กล้าแกร่งเหมือนพระเชษฐา ดังนั้นพระนางจึงแอบให้คนออกไปซุ่มทำการช่วยเหลือไม่ให้เจ้าชายซายาดได้รับอันตราย และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะหากพระชนนีไม่เตรียมการให้พร้อมเจ้าชายซายาดก็คงไม่อาจกลับมาได้ด้วยพระองค์เอง ซึ่งต่างจากเจ้าชายอับดุลลาที่สอง เพราะไหนจะถูกผูกผ้าปิดพระเนตร ยังต้องหันหลังควบม้าอีก แม้ว่าม้าเตลิดเข้าไปอย่างไม่รู้ทิศ ทหารที่แอบซุ่มช่วยเหลือเหมือนเจ้าชายซายาดก็ไม่มี ดังนั้นกว่าจะรอดมาได้ เจ้าชายอับดุลลาที่สองแทบสิ้นพระชนม์ แต่เมื่อรอดกลับมาได้อย่างกล้าแกร่ง กษัตริย์อับดุลลาที่หนึ่งยิ่งทรงโปรดเจ้าชายบิน อัล ไซอิดมากเท่าทวี เจ้าชายซายาดจึงมีแต่พระมารดาเป็นที่พึ่ง และแอบอิจฉาพระเชษฐามาโดยตลอด นึกถึงตรงนี้จึงหยุด พร้อมกราบทูลพระมารดาว่า
“ทูลกระหม่อมวางพระทัย...พิธีพิสูจน์เลือดกษัตริย์ จะต้องขี่ไปตามลำพังในทะเลทราย หม่อมฉันให้คนลอบตามเสด็จบินไซอิด พวกมันจะนำหลานรักของเสด็จแม่กลับมาอย่างปลอดภัย ส่วนฮัจจ์ซา หม่อมฉันวางกำลังคนไว้แล้ว” ซายาดไม่บอกต่อว่าจะจัดการกับฮัจจ์ซาด้วยวิธีไหน
“กำจัดมันให้พ้นทาง” พระชนนีรับสั่งเด็ดขาด พระนางก็ไม่สนพระทัยเช่นกันว่าเจ้าชายซายาดจะกำจัดอีกฝ่ายด้วยวิธีใด ขอเพียงให้จัดการได้สำเร็จเป็นพอ
“ข้าไม่ต้องการสายเลือดของพวกเร่ร่อนเข้ามาใกล้บัลลังก์อับดุลลาที่สูงส่งของพวกเรา”
“ใช่แล้วทูลกระหม่อม เลือดสีหมองนั้นไม่สมควรแม้แต่จะเหยียบวังของเราด้วยซ้ำ”
ขณะที่ปรึกษาหารือเพื่อกำจัดเจ้าชายฮัจจ์ซาอยู่นั้น ทั้งสามพระองค์ไม่มีใครสังเกตเห็น...เงาร่างสูงบอบบางของเจ้าชายบินไซอิด ซึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ซอกหนึ่งของช่องประตูลับ ท่านแอบได้ยินคำปรึกษาทั้งหมด..ท่านรู้สึกปวดพระทัยอย่างที่สุด เพราะถึงแม้พระมารดา และเสด็จย่าจะรังเกียจเจ้าชายฮัจจ์ซาอย่างออกนอกหน้า หากเจ้าชายบิน ไซอิด รักอนุชาองค์นี้โดยไม่มีการแบ่งชั้นสายเลือด
...บัดนี้ทรงรับรู้ เจ้าชายฮัจจ์ซากำลังจะมีเหตุร้าย พระองค์ควรทำฉันใดดี..