บัลลังก์รักทะเลทราย ภาคหนึ่ง (นางแก้ว)

บัลลังก์รักทะเลทราย ภาคหนึ่ง (นางแก้ว)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: บัลลังก์รักทะเลทราย1
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

                                    

กาลครั้งนั้น  เป็นเวลาก่อนที่จะกำเนิดศาสนาอันรุ่งเรืองดังเช่นในปัจจุบัน   ประชาชนทั่วไปมักเชื่อถือเรื่องเทพเจ้า หัวหน้าเผ่า กษัตริย์  ราชาธิบดีหรือ จักรพรรดิล้วนแล้วแต่ได้รับการยกย่องให้เป็นสมมติเทพ ด้วยความเชื่อว่าทุกพระองค์มีสายเลือดมาจากเทพเจ้าทั้งสิ้น   การแบ่งแยกเชื้อชาติ การรบ และการแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่   ล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้นแต่ที่น่าประหลาดนักคือในโลกแห่งอดีตอันไกลโพ้นมีความเหมือนกันประการหนึ่งคือ  หลายๆ แคว้น  หลายๆ อาณาจักร   ผู้เป็นสตรีจะมีหน้าที่เดินตามหลังบุรุษ  แต่ก็มีสตรีหลายนางกลับเป็นผู้อยู่เบื้องหลังบุรุษผู้ทระนงหลายต่อหลายท่าน  ดังเรื่องที่ผูกขึ้นนี้เป็นเรื่องที่สมมติขึ้นโดยไม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาติใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเรื่องของสามเมืองที่มีอาณาเขตใกล้กัน ตาบาร่าเป็นแคว้นใหญ่มีความอุดมสมบูรณ์ และความเข้มแข็งทางทหารมากที่สุด เขตแดนส่วนหนึ่งติดกับแคว้นเอลัตตาซึ่งเป็นแคว้นที่มีพืชผลทางการเกษตรอุดมสมบูรณ์   และยกให้สตรีมีอำนาจขึ้นครองบัลลังก์ได้เป็นกรณีพิเศษ    แตกต่างจากแคว้นอื่นๆ  ทั้งสองแคว้นมีทะเลทรายตาฮีรีขวางกลาง  และอีกแคว้นหนึ่งนั้นคือแคว้นอคาบานา  และแคว้นนี้ได้ชื่อว่าเป็นชนชาติที่ป่าเถื่อน ภูมิประเทศมีเทือกเขาสูง กั้นขวาง เนื้อที่บางส่วนติดกับทะเล และแม่น้ำ เป็นชนชาติที่เห็นแก่ได้ และหาเหตุรุกรานแคว้นเอลัตตาอยู่บ่อยๆ จึงเกิดการรบพุ่ง ผลัดแพ้ผลัดชนะเรื่อยมา ทั้งนี้อคาบานาต้องการครอบครองความอุดมสมบูรณ์ของเอลัตตา  แต่ทั้งเอลัตตา และอคาบานากลับต้องการผูกมิตรกับแคว้นตาบาร่า  ดังนั้นการเชื่อมความสัมพันธ์ดังกล่าว จึงตกเป็นหน้าที่ของสตรีผู้มียศศักดิ์ของแผ่นดินเอลัตตาและอคาบานา   จะต้องหาทางเป็นราชินีแห่งแคว้นตาบาร่าให้ได้ 

               

 

ตอนที่ 1 ตาบาร่าอันยิ่งใหญ่

  

“โหรได้ทำนายความอัปมงคลว่าฮัจจ์ซามันจะครองบัลลังก์   ซึ่งหมายถึง อันตรายต้องตกอยู่กับบิน แล้ว เจ้าจะนิ่งดูดายโดยไม่จัดการใดๆให้เรียบร้อยเสียก่อนหรือไซอิด” พระพันปีตรัสเสียงดังกังวาน ทั้งๆ ที่ทรงมีพระวรกายเล็ก บอบบาง หากท่าทีของพระนางแสดงความดื้อทระนงนัก ทรงชุดฉลองพระองค์สีขาว ทอลายเส้นดอกไม้สีทองประณีตปกปิดมิดชิด ผ้าคลุมพระพักตร์สีเดียวกับชุดทรง ทรงเครื่องประดับมากค่า ทั้งสร้อยพระศอทองคำ พระหัตถ์ทุกนิ้วสวมธำมรงค์ ทอทองคำโปร่งร้อยถึงข้อพระหัตถ์ทั้งสองข้าง ทรงตรัสด้วยความวิตกกังวลกับพระโอรส คือกษัตริย์ บิน อัล ไซอิด อับดุลลาที่สอง  พระองค์ท่านมีความสง่างาม สุขุม นุ่มนวล ฉลองพระองค์เพียงพระภูษาสีขาว พาดพระอังสะทั้งสองข้างด้วยชุดฉลององค์สีขาว พาดยาวจากพระอังสะทั้งสองยาวจรดพระบาท ทรงปล่อยพระเกศา ยาว ทองคำปลอกวงกลมเป็นมงกุฎครอบพระเศียร เหนือพระนลาฏประดับด้วยทับทิมสีเลือดเม็ดกลมขนาดเขื่อง อันหมายถึงพระองค์เป็นโอรสผู้สืบเชื้อสายมาจากสุริยเทพ  พระองค์ท่านประทับนิ่งบนพระเก้าอี้ตรงข้าม ตอบพระชนนีอย่างพระทัยเย็น

“เสด็จแม่จะให้หม่อมฉันรีบแต่งตั้งบินให้เป็นรัชทายาททำไม ในเมื่อบินยังไม่ได้ผ่านการทำพิธีพิสูจน์เลือดกษัตริย์อันเป็นประเพณีที่สำคัญของแคว้นเรา ซึ่งไม่ต่างจากการสมรสกับสตรีบริสุทธิ์นะพ่ะย่ะค่ะ”

“แม่เชื่อความมักใหญ่ใฝ่สูงของเจ้าคนเลือดผสมนั่นว่า   มันต้องคิดร้ายต่อบินหลานของแม่ เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าต้องหาทางจัดการเสียก่อนนะไซอิด เพราะถ้าหากนับทางสายโลหิตแล้วล่ะก็   บิน ไซอิด มีสายโลหิตสืบตรงจากสมมติเทพ เพราะบิดามารดามีเชื้อสายกษัตริย์   ต่างจากฮัจจ์ซา ซึ่งเผ่าพันธุ์มารดาของมันเป็นแต่เพียงคนเร่ร่อนในทะเลทรายเท่านั้น”

“พระมารดาตรัสราวกับว่าในกายของฮัจจ์ซาไม่มีเลือดของหม่อมฉันไหลเวียนอยู่ด้วย”

“เจ้าอย่าเอาความรักมาบังตาสิ ลูกรัก” พระพันปีตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนลงมานิด ก่อนสำทับว่า

“เจ้าต้องทำสิ่งที่เหมาะสม” พระนางลืมไปว่าพระนางนั่นแหละ เป็นผู้ที่เอาความรักบังดวงเนตรจนมืดสนิท   กษัตริย์ บิน อัล ไซอิด อับดุลลาที่สอง ทูลแย้งว่า

“สิ่งที่บิดาทุกคนต้องมีความสำนึกทุกลมหายใจ คือการปกป้องชีวิตลูก และหากจะนับถึงสายโลหิตแล้วล่ะก็ เลือดของพ่อย่อมสำคัญกว่าสายเลือดฝ่ายแม่นะพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าพูดอย่างนี้ เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน” พระพันปีเสียงแข็ง สีพระพักตร์บอกชัดว่าทรงเริ่มกริ้วที่พระโอรสหาเหตุมาอ้างเป็นการไม่รับฟังพระนาง

“ถ้าหากพระมารดาถือสายเลือดเป็นสิ่งสำคัญสุด หม่อมฉันจึงอยากกราบทูลความเป็นจริงในราชสำนักว่า แม้หญิงราชนิกุลชั้นสูงได้แต่งงานกับชายที่มีฐานะต่ำกว่า ลูกที่เกิดมาย่อมมีความเป็นทาสไม่ใช่ราชนิกุลตามมารดามิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าคนหัวดื้อ นี่เจ้าคิดยกย่องเด็กเลือดผสมนั่นโดยถือเอาสายเลือดเจ้าเป็นใหญ่คนเดียวกระนั้นหรือ”

“มิใช่เลือดหม่อมฉันเพียงคนเดียว หากในกายของหม่อมฉันนี้มีสายเลือดของพระบิดาผู้เป็นกษัตริย์ และพระมารดาผู้เป็นพระราชธิดากษัตริย์ ดังนั้นเลือดนี้จึงเข้มข้นมากพอที่จะทำให้ฮัจจ์ซามีศักดิ์ และสิทธิ์เป็นพระราชโอรสโดยสมบูรณ์ทุกประการพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”

พระพันปีกริ้วโกรธเป็นไฟ เมื่อถูกพระโอรสย้อนเอาเช่นนั้น   พระองค์มิอาจโน้มน้าวพระทัยอับดุลลาที่สองได้ จึงเสนอพระดำริใหม่ว่า

“เช่นนั้นแม่ขอให้เจ้าสั่งฮัจจ์ซาไปอยู่ที่เหมืองเหล็กเพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อนได้หรือไม่”  

“ทรงคิดดูบ้างเถิดเสด็จแม่   หากมีใครทูลให้ฆ่าซายาดเพื่อหม่อมฉัน เสด็จแม่จะยอมมั้ย”

                “ซายาดเป็นน้องของเจ้านะไซอิด   เรื่องการชิงอำนาจจึงไม่มีทางเป็นไปได้”

                “ลูกก็มีความเชื่อเช่นเดียวกับเสด็จแม่   ลูกเชื่อว่าการเลี้ยงลูกชายทั้งสองของลูกนั้น จะไม่มีวันทำให้พวกเขาแก่งแย่งกัน”

พระราชกระแสมั่นคงออกมาจากพระโอษฐ์ขององค์กษัตริย์ บิน อัล ไซอิด  อับดุลลาที่สองแห่งแคว้นตาบาร่า  ทำให้พระพันปีจำต้องยอมจำนน พระนางนั้นทรงนับถือพระโอรสมาตั้งแต่งทรงครองราชย์ต่อจากพระบิดา เมื่อพระชนม์มายุยี่สิบห้าพรรษา  และองค์อับดุลลาที่สองคิดรวบรวมชนเผ่าอีกเจ็ดเผ่าซึ่งแยกกันปกครองให้มารวมเป็นเผ่าเดียว โดยมีพระองค์เป็นกษัตริย์สูงสุด  พระองค์ จึงทำการรบพุ่งกับชนเผ่าทั้งเจ็ด และได้รับชัยชนะทำการรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น สร้างความมั่งคั่งให้กับตาบาร่าตลอดมานับแต่รวมแผ่นดินได้สำเร็จ  ส่งให้พระเกียรติยศของพระพันปีในฐานะพระราชมารดามีความสูงส่งมากขึ้นไปอีกโดยมีพระราชอำนาจควบคุมฝ่ายในทั้งหมด ตามพระราชประสงค์ขององค์อับดุลลาที่สอง ซึ่งทรงรักเคารพพระราชมารดา เสมอด้วยเทพเจ้า แต่ก็ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีเหตุผลยิ่งนัก ทำให้พระมารดาทรงเกรงพระทัยเป็นบางครั้ง และ  ทรงเฝ้ามองความสำเร็จของพระราชโอรสองค์ใหญ่ ซึ่งองค์อับดุลลาสร้างพระราชวังใหม่มีความโอ่อ่าอลังการ ประตูเข้าเขตเมืองทำสร้างเป็นรูปเกือกม้าทางสีฟ้าสดใส   หลังคาทำเป็นรูปโดมสีทอง เหนือยอดโดมประดับเพชรน้ำงามเม็ดเขื่อง ยามต้องแสงแดดปรากฏแสงระยิบระยับ  พระตำหนักเชื้อพระวงศ์แบ่งแยกเป็นสัดส่วน นางกำนัล ข้ารับใช้จากตำหนักพระพันปีจะสวมชุดยาวสีส้มคลุมหน้าหมด เผยเพียงดวงตา หากมาจากตำหนักพระอัครชายาจะสวมใส่ชุดยาวคลุม มีผ้าคลุมปิดจากศีรษะ  และครึ่งหน้าช่วงล่าง เป็นสีแดง ส่วนนางกำนัลจากพระตำหนักพระชายาจะสวมชุดสีม่วงจาง  และนางกำนัลชั้นทำงานหนัก จะสวมชุดสีดำไม่แยกกัน  ดังนั้นทุกคนจึงสามารถแยกนางกำนัลได้ว่ามาจากตำหนักใดก็ด้วยสีสันของผ้าที่สวมใส่

ทหารและราชองครักษ์แต่งตามชั้นยศ ด้วยชุดสีฟ้าสดนับเป็นชั้นสูง รองลงมาเป็นสีคราม และสีดำ ทุกคนมีผ้าคาดเอวเป็นผ้าสีตามชุดที่สวมใส่ ยามออกทะเลทรายจะมีผ้าคลุมศีรษะกันแดด ลม  หากในเวลาราชการนายทหารทุกคนจะสวมหมวกผ้า มีสัญลักษณ์ชั้นยศดูกันจากเครื่องประดับจากเครื่องเงินจนถึงเครื่องทอง สูงสุดคือมรกต เป็นของราชวงศ์ชั้นสูงหรือผู้มีตำแหน่งสำคัญ

แต่ในการออกรบขององค์อับดุลลาที่สองนั้น   ทรงมีความสนิทสิเน่หาในธิดาของขุนพลโซชี คือเลโซฟี   ซึ่งได้ถวายการรับใช้ใกล้ชิด   และองค์อับดุลลาได้สมรสอย่างถูกต้องตามประเพณี  หากแต่ว่าพื้นเดิมของตระกูลขุนพลโซชี เป็นคนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย  และพระพันปี ผู้เป็นพระมารดาของกษัตริย์อับดุลลา   ควบคุมอำนาจฝ่ายในทั้งหมดเป็นคนเคร่งครัดกฎระเบียบ  จึงไม่ทรงโปรดพระสุณิสา  เมื่อองค์อับดุลลาที่สองทรงรักพระนางเลโซฟีมากเกินหน้า   จึงทำให้พระพันปีเกิดปริวิตกว่า   กษัตริย์อับดุลลาที่สองจะแต่งตั้งให้เป็นอัครชายา   ดังนั้นพระพันปีจึงจัดการอภิเษกสมรสองค์อับดุลลาที่สองกับเจ้าหญิงจากแคว้นทางใต้คือเจ้าหญิงเซลีน่าผู้เป็นพระขนิษฐาร่วมสายพระโลหิตของกษัตริย์แคว้นอคาบานา  และแต่งตั้งให้เป็นอัครชายา 

กาลต่อมา อัครชายาเซลีน่าประสูติพระโอรส  และพระชายาเลโซฟีก็ให้กำเนิดพระโอรสตามมาเช่นกัน   ที่สำคัญในเวลาประสูติ  ดาวประจำพระองค์ของเจ้าชาย ฮัจจ์ซา อัล ไซอิดสุกสว่าง   ข่มดาวประจำองค์ของเจ้าชายบิน ไซอิด จนทำให้เกิดการทำนายจากโหรหลวงว่าเจ้าชายฮัจจ์ซา อัลไซอิด จะได้ครองบัลลังก์   เรื่องการทำนายของโหรนี้เป็นหนามยอกใจพระพันปีเสมอมา   ยิ่งสองเจ้าชายเจริญวัยมากขึ้น และเจ้าชายฮัจจ์ซามีความเก่งกล้า แข็งแรงมากเท่าใด พระพันปียิ่งจงชังโดยไม่เห็นแก่สายเลือดครึ่งหนึ่งในตัวของเจ้าชายฮัจจ์ซาว่าสืบสายมาจากองค์อับดุลลาครึ่งหนึ่ง 

พระพันปีได้รับฟังคำตอบจากพระทัยที่มั่นคงดุจดั่งขุนเขาที่ไม่หวั่นไหวต่อสายลมของพระโอรสแล้ว    ทำให้พระนางถึงกับเกิดอาการชาไปทั้งพระวรกาย  ตรัสอันใดไม่ออกอีก  ได้แต่นิ่งงัน และปล่อยให้ไฟอิจฉาในเจ้าชายฮัจจ์ซา อัลไซอิดเผาผลาญทรวงในไปอย่างเงียบๆ...แต่จะให้ทรงยอมง่ายๆ เห็นจะไม่มีวันเสียล่ะ...

กษัตริย์อับดุลลาที่สองยังคงให้สองพระราชโอรสออกงานพิธี เคียงข้างทั้งซ้ายขวา  ราวกับให้สิทธิ์เสมอกันโดยไม่แบ่งแยกว่าใครเหนือกว่าใคร

การเพิกเฉยต่อคำขอของกษัตริย์อับดุลลาที่สอง  ทำให้พระพันปีไม่อาจนิ่งนอนพระทัยได้  พระนางจึงมีการเคลื่อนไหวอย่างลับๆ  ด้วยการเรียกเจ้าชายซายาด  พระโอรสองค์เล็กของพระนางเข้าเฝ้าภายในตำหนักส่วนพระองค์   

เจ้าชายซายาดทรงมีพระวรกายท้วมเตี้ย   สีพักตร์ถมึงทึง ท่าทางวางอำนาจ   ดำเนินเข้าตำหนักพระพันปี  ซึ่งในเวลานั้นพระอัครชายาเซลีน่าเข้าเฝ้าอยู่ก่อนแล้ว   นางกำนัลเปิดฉากทองโปร่ง ออกรับเสด็จเจ้าชายซายาด เข้าสู่ที่รโหฐาน   เมื่อเจ้าชายซายาดไปถึง พระองค์ค้อมพระเศียรถวายบังคมพระชนนีหน้าพระที่  พร้อมตรัสทักพระอัครชายาเซลีน่า

   เมื่อมาพร้อมกันแล้วพระพันปีเรียกให้พระโอรสองค์เล็กประทับลงใกล้ๆ   พร้อมทรงโบกพระหัตถ์เป็นการส่งสัญญาณว่า   จะประทับกันตามลำพังสามพระองค์เท่านั้น   ข้าราชบริพารน้อมรับพระเสาวนีย์แล้วจึงพากันถอยกายออกไปจนหมด    คงเหลือเพียงสามผู้สูงศักดิ์  เมื่อเห็นว่าปลอดคนดีแล้วพระพันปีจึงตรัสไม่ดังนัก แต่ได้ยินชัดว่า

“พิธีพิสูจน์เลือดกษัตริย์นี้แหละ สมควรจัดการบุตรนางเลโซฟีเสียให้สิ้นซาก”

“บิน ไซอิดยังประชวรอยู่ เอ่อพิธีปล่อยอาชานี้จะไม่สามารถคุมม้าได้” พระอัครชายาตรัสด้วยความเป็นห่วงราชโอรส   ซึ่งมีพระพลานามัยไม่แข็งแรง   พระพันปีเองทรงรักเจ้าชายบินไซอิดมาก จึงเป็นห่วงอยู่เหมือน กัน   จึงเตรียมการเพื่อความปลอดภัยของหลานรัก

“เราเตรียมม้าดีไว้ให้ บินไซอิด   ส่วนของเจ้าเด็กเลือดไพร่นั่นซายาดจัดการให้เหมาะ”

“เสด็จแม่อย่าทรงห่วงเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าอย่าย่ามใจ แม่ทัพโซชีมันอยากเป็นตาของ กษัตริย์   มันย่อมระวังเป็นพิเศษ   ได้ข่าวว่ามันจัดหาม้ามาด้วยตัวของมันเอง” พระพันปีตรัส ท่าทางจงชังนัดดาคนที่สองยิ่งนัก หารู้ไม่ว่าเจ้าชายซายาด พระราชโอรสของพระองค์เองมีการคาดหวังเลยไปยิ่งกว่า...เพราะเมื่อท่านกำจัดเจ้าชายฮัจจ์ซา แล้ว   จะกำจัดเจ้าชายบินไซอิด ผู้อ่อนแอเสียด้วย   และต่อจากนั้นเจ้าชายซายาด จะเป็นรัชทายาทตามฐานะ เพราะกษัตริย์อับดุลลาไม่มีราชโอรสองค์อื่นๆอีก

พระพันปียังไม่วางพระทัยนัก เพราะพระองค์ท่านเห็นว่าเจ้าชายซายาดมักจะขาดความรอบคอบ ไม่เป็นเช่นพระเชษฐาที่มีความเพียบพร้อมกว่าทุกด้าน และที่ทำให้ยอกแสลงพระทัยยิ่งนักคือ เจ้าชายฮัจจ์ซาถอดแบบพระบิดาไปไม่ผิดเพี้ยน  พระนาง จึงตรัสย้ำกับพระโอรสองค์เล็กว่า

“เจ้าต้องวางแผนสำรองไว้ สำหรับบิน เช่นที่แม่เคยทำเมื่อครั้งเจ้าและอับดุลลาที่สองเข้าพิธี”

ดำรัสของพระมารดาทำให้เจ้าชายซายาด  หวนนึกถึงวันพิธีพิสูจน์เลือดกษัตริย์นักรบในครั้งนั้น   กษัตริย์อับดุลลาที่สองผู้เป็นพระเชษฐา   ยังไม่ได้รับการสถาปนาให้เป็นรัชทายาทมีพระชนม์พรรษาสิบแปดปี  และเจ้าชายซายาดผู้เป็นพระอนุชานี้ ชันษาเยาว์กว่าหนึ่งปี   ทั้งสองพระองค์ต่างเข้าพิธีปล่อยม้าเข้าทะเลทราย  กษัตริย์อับดุลลาที่หนึ่งทรงมีน้ำพระทัยเด็ดขาด   พระองค์ไม่เพียงแต่ผูกผ้าปิดพระเนตรสองพระโอรสเท่านั้น  ยังทรงสั่งให้ทั้งสองพระโอรสประทับหันหลังควบม้าเข้าทะเลทราย  ให้มีความยากลำบากมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว   พระพันปีซึ่งในขณะนั้นมีฐานะเป็นพระอัครชายา  ทรงมีความเป็นห่วงเจ้าชายซายาดราชบุตรองค์เล็ก  เพราะเจ้าชายมีพระวรกายอ้วน  และไม่กล้าแกร่งเหมือนพระเชษฐา   ดังนั้นพระนางจึงแอบให้คนออกไปซุ่มทำการช่วยเหลือไม่ให้เจ้าชายซายาดได้รับอันตราย  และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ   เพราะหากพระชนนีไม่เตรียมการให้พร้อมเจ้าชายซายาดก็คงไม่อาจกลับมาได้ด้วยพระองค์เอง   ซึ่งต่างจากเจ้าชายอับดุลลาที่สอง   เพราะไหนจะถูกผูกผ้าปิดพระเนตร ยังต้องหันหลังควบม้าอีก  แม้ว่าม้าเตลิดเข้าไปอย่างไม่รู้ทิศ  ทหารที่แอบซุ่มช่วยเหลือเหมือนเจ้าชายซายาดก็ไม่มี  ดังนั้นกว่าจะรอดมาได้  เจ้าชายอับดุลลาที่สองแทบสิ้นพระชนม์  แต่เมื่อรอดกลับมาได้อย่างกล้าแกร่ง  กษัตริย์อับดุลลาที่หนึ่งยิ่งทรงโปรดเจ้าชายบิน อัล ไซอิดมากเท่าทวี  เจ้าชายซายาดจึงมีแต่พระมารดาเป็นที่พึ่ง และแอบอิจฉาพระเชษฐามาโดยตลอด   นึกถึงตรงนี้จึงหยุด  พร้อมกราบทูลพระมารดาว่า  

 “ทูลกระหม่อมวางพระทัย...พิธีพิสูจน์เลือดกษัตริย์ จะต้องขี่ไปตามลำพังในทะเลทราย   หม่อมฉันให้คนลอบตามเสด็จบินไซอิด   พวกมันจะนำหลานรักของเสด็จแม่กลับมาอย่างปลอดภัย   ส่วนฮัจจ์ซา หม่อมฉันวางกำลังคนไว้แล้ว” ซายาดไม่บอกต่อว่าจะจัดการกับฮัจจ์ซาด้วยวิธีไหน

“กำจัดมันให้พ้นทาง” พระชนนีรับสั่งเด็ดขาด พระนางก็ไม่สนพระทัยเช่นกันว่าเจ้าชายซายาดจะกำจัดอีกฝ่ายด้วยวิธีใด ขอเพียงให้จัดการได้สำเร็จเป็นพอ

“ข้าไม่ต้องการสายเลือดของพวกเร่ร่อนเข้ามาใกล้บัลลังก์อับดุลลาที่สูงส่งของพวกเรา”

“ใช่แล้วทูลกระหม่อม   เลือดสีหมองนั้นไม่สมควรแม้แต่จะเหยียบวังของเราด้วยซ้ำ”

ขณะที่ปรึกษาหารือเพื่อกำจัดเจ้าชายฮัจจ์ซาอยู่นั้น  ทั้งสามพระองค์ไม่มีใครสังเกตเห็น...เงาร่างสูงบอบบางของเจ้าชายบินไซอิด  ซึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ซอกหนึ่งของช่องประตูลับ  ท่านแอบได้ยินคำปรึกษาทั้งหมด..ท่านรู้สึกปวดพระทัยอย่างที่สุด   เพราะถึงแม้พระมารดา และเสด็จย่าจะรังเกียจเจ้าชายฮัจจ์ซาอย่างออกนอกหน้า  หากเจ้าชายบิน ไซอิด รักอนุชาองค์นี้โดยไม่มีการแบ่งชั้นสายเลือด

...บัดนี้ทรงรับรู้   เจ้าชายฮัจจ์ซากำลังจะมีเหตุร้าย    พระองค์ควรทำฉันใดดี..


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (83 รายการ)

www.batorastore.com © 2024