บ้านเลขที่ ๑๓ (สินี  เต็มสงใส)

บ้านเลขที่ ๑๓ (สินี เต็มสงใส)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: บ้านเลขที่ ๑๓
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 400.00 บาท 100.00 บาท
ประหยัด: 300.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บ้านเลขที่ ๑๓

สินี  เต็มสงใส

 

ตอน ๑

 

                        บ้านหลังนั้นอยู่ในละแวกที่เจริญแล้ว   มีทั้งตลาดสด   ร้านสะดวกซื้อ   ร้านอาหารตามสั่ง   ร้านทำผม   ร้านตัดเสื้อ   อู่ซ่อมรถ   อพาร์ตเม้นต์   โรงพยาบาลเอกชน   ตลอดจนโรงเรียนอยู่โดยรอบ

                   โกศลมาซื้อบ้านหลังนี้โดยคำแนะนำของเชลงเพื่อนสนิท   และบอกเล่าว่า

                        “ก่อนหน้านี้ที่นี่เปลี่ยวมาก   เรียกว่านอกเมืองทีเดียว   เป็นที่รกร้างว่างเปล่าซึ่งคนมีเงินซื้อไว้เพื่อขายเก็งกำไร   ต่อมาที่ดินมีราคาสูงขึ้น   และมีโครงการบ้านจัดสรรขึ้นมา   ความเจริญต่างๆก็เกิดขึ้นจนกลายเป็นอยู่กลางเมืองไปแล้ว”

                        “มิน่าล่ะ   บ้านนี้จึงเป็นหลังเดียวที่รูปทรงโบราณ”

                        “ฉันไม่รู้ประวัติความเป็นมาหรอก   เพียงแต่เห็นมีการประกาศขาย   แล้วนายก็ชอบอะไรๆที่โบราณอยู่ด้วย   จึงอยากให้นายมาอยู่   จะได้เลิกย้ายบ้านหนีเจ้าหนี้เสียที”

                        คนฟังตีแขนอีกฝ่ายเบาๆ

                        “ไม่ได้หนีเจ้าหนี้โว้ย   ส่วนมากเจ้าของบ้านขึ้นค่าเช่าทุกปีต่างหาก   นอกนั้นก็มีเพื่อนบ้านเอะอะมะเทิ่ง   ร้องรำทำเพลงกันดึกดื่น   หรือไม่ก็ผัวเมียทะเลาะกัน   ที่ร้ายหนักก็คือขโมยชุมเพราะมีพวกติดยาบ้า   หาความสงบสุขไม่ได้”

                        “นี่คนขายเขาทาสีตกแต่งใหม่   จึงน่าอยู่ขึ้น   ไม่งั้นคงดูน่ากลัว”

                        “เขาปลูกมากี่ปีแล้ว?”

                        “ไม่แน่ใจนะ   แต่คิดว่า ๕๐ – ๖๐ ปีเป็นอย่างน้อย”

                        “ทำไมเขาขายถูกนัก?”

                   “เขาคงคิดว่าดีกว่าปล่อยทิ้งให้โทรมไปเปล่าๆกระมัง   ที่จริงราคาที่ตั้งไว้เป็นเฉพาะค่าที่ดินเท่านั้น   ตัวบ้านไม่มีราคาเลย   นายซื้ออยู่ไปก่อน   พอผ่อนธนาคารครบแล้วจะรื้อปลูกใหม่ก็ได้”

                        “แต่ฉันชอบของเก่าว่ะ”

                        “นอกจากเมีย”

                        “ไอ้บ้า! ประเดี๋ยวเมียที่เคารพของฉันได้ยินเข้า   เป็นได้คุมความประพฤติฉันจนกระดิกตัวไม่ได้เลยหรอก”

                        “นั่นไง   ไหนว่าไม่กลัวเมีย”

                                                                                     

                        เมื่อเพื่อนของเขากลับไปแล้ว   โกศลก็เข้าไปในบ้าน   เห็นสมาชิกในครอบครัวของเขาช่วยกันทำความสะอาดอีกครั้ง   หลังจากทำมาตั้งแต่ยังไม่ย้ายเข้ามาแล้ว   ทิพาผู้เป็นภรรยาใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดบริเวณซอกมุมต่างๆ   ส่วนพิรามบุตรสาวคนโตใส่ผ้าม่านหน้าต่างซึ่งเย็บใช้ชั่วคราว   สำหรับภคินีกับพฤตบุตรรองลงไปก็ช่วยกันจัดหนังสือใส่ตู้

                        โกศลบอกว่า

                        “ที่ผนังแขวนรูปครอบครัวของเรา   กับปฏิทินพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงก็พอ   นอกจากนั้นฉันจะหาของเก่ามาประดับเอง”

                        พฤตร้องว่า

                        “โธ่! คุณพ่อจะทำให้เป็นคฤหาสน์แดรกคูล่าจนได้”

                        ภคินีเสริมว่า

                        “นีก็ว่าบ้านหลังนี้มันทึบทึมอยู่แล้ว   มีผีอยู่กี่ตัวก็ไม่รู้”

                        ทิพาเอ็ดว่า

                        “เป็นคนกลัวผีแล้วยังพูดหลอกตัวเองอีก   ในโลกนี้มีคนตายมาแล้วไม่รู้จักกี่ล้านคน   ไม่ใช่จำเพาะเจาะจงว่าจะตายที่บ้านหลังนี้”

                        ภคินีทำเสียงอ่อยว่า

                        “คุณพ่อกับพี่รามไม่กลัวผี   แต่คนอื่นเขากลัวนี่”

                        พิรามพูดยิ้มๆว่า

                        “คุณแม่บอกว่ามีผีเลี้ยงพี่มาแต่เล็กแล้ว   ตอนอยู่บ้านเก่าพี่นั่งเล่นอยู่กลางห้อง   กลิ้งกระป๋องนมไป   แล้วมันก็กลิ้งกลับมาทุกครั้ง   และเล่นอะไรคนเดียวทุกอย่าง   หัวเราะเอิ๊กๆอ๊ากๆเหมือนมีเพื่อนเล่นที่ถูกใจยังงั้นแหละ”

                        ภคินีบ่นว่า

                        “พี่รามนอนห้องเดียวกับนี   อย่าชวนผีมาเล่นด้วยล่ะ   นีไม่สนุกไปด้วยหรอก”

                        “นีอย่ามายุ่งกับรูปเขียนของพี่ก็แล้วกัน”

                        ทุกคนในครอบครัวรู้ว่าพิรามใฝ่ฝันจะเป็นศิลปินเขียนภาพเป็นหนักหนา   เธอเขียนรูปติดไว้ในห้องเช่าหลังเก่ารอบบ้านไปหมด   ทั้งที่ฝีมือยังไม่เข้าขั้น   ซึ่งเจ้าตัวก็รู้   แต่ก็ยังไม่ท้อเมื่อน้องๆล้อเลียนเธอ

                        เธอวาดหวังว่า

                        “รามจะแต่งห้องให้เนี้ยบเชียว   ปักผ้าปูโต๊ะคลุมโต๊ะตัวเก่าของเรา   แล้วจะปลูกต้นไม้ดอกสวยๆที่สนามเพื่อจะตัดมาปักแจกัน   ติดรูปเขียนอย่างไว้ฝีมือเลย   แล้วใครๆจะอิจฉา”

                        พฤตขัดคอว่า

                        “สอบเข้ามหา’ลัยให้ได้ก่อนเถอะค่อยคุย”

                                                                                     

                        “พี่ไม่ได้มโนไปเอง   ถ้าสอบปีนี้ไม่ได้ก็จะสอบใหม่ปีหน้า   ไม่ได้อีกก็จะสอบไปเรื่อยๆ   ไม่ไปสอบเข้าที่อื่นหรอก”

                        พิรามชื่นชมจักรพันธ์   โปษยกฤต   และเฉลิมชัย   โฆษิตพิพัฒน์   เฝ้าติดตามผลงานอย่างสม่ำเสมอ   เธอพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะเดินตามรอยเท้าของศิลปินมีชื่อ   ทว่าคงไม่ง่ายนักที่จะทำได้   การสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปกรรมนั้นเธอจะต้องแข่งขันกับคนอื่นอีกมากมาย   ซึ่งเธออาจสู้คนเหล่านั้นไม่ได้

                        หากถึงอย่างไรเธอก็จะลองสู้ดูสักตั้ง

                        ข้าวของเครื่องใช้ที่ขนมา   โกศลกะที่วางไว้แล้ว   ตู้   โต๊ะ   เตียงซึ่งเป็นของหนักๆจึงให้คนรับจ้างวางไว้ตามจุดต่างๆ   ส่วนที่มีน้ำหนักเบาสมาชิกในครอบครัวก็ยกไปวางในห้องพักของตนเอง

                        เมื่อเรียบร้อยแล้วต่างก็นั่งพักเหนื่อยกัน   โกศลบอกว่า

                        “วันนี้ไม่ต้องหุงข้าวทำกับข้าวหรอก   ไปที่ร้านสะดวกซื้อ   หาอาหารสำเร็จรูปมากินดีกว่า   เขามีทั้งข้าวผัด   มักโรนี   เกี๊ยวกุ้ง   และอะไรต่อมิอะไรสารพัด   ซื้อน้ำแข็งมาด้วยก็แล้วกัน   ตู้เย็นเราเพิ่งเสียบปลั๊กน้ำยังไม่เย็น”

                        ทิพาอาสาว่า

                        “ฉันไปเองค่ะ   รามจดซิว่าใครจะกินอะไร”

                        พิรามจดรายการอาหารมื้อเย็นดังที่คนเหล่านั้นต้องการแล้ว   ก็ส่งให้ภคินีออกจากบ้านไปกับมารดา

                        เธอถามโกศลว่า

                        “คุณพ่อไม่ถือหรือคะที่บ้านนี้เลขที่ ๑๓ ?”

                        เขาพยักหน้า

                        “จะถือไปทำไม   ตัวเลขเป็นเรื่องที่คนเราสมมติกันขึ้นมา   ฝรั่งเขาถือว่าเป็นอัปมงคล   และเรียกแก้เคล็ดว่าลักกี้นัมเบอร์   แต่เราไม่ใช่ฝรั่ง”

                        “ค่ะ   รามเคยเห็นตามตึกสูงๆเขามีชั้นที่ ๑๒ แล้วก็ ๑๒ เอ.   ต่อจากนั้นก็เป็นชั้นที่ ๑๔ เลย”

                        “จัดข้าวจัดของให้เรียบร้อยแล้ว   ทำบุญเลี้ยงพระขึ้นบ้านใหม่เสียก็ดี   จะได้เป็นสิริมงคล”

                   พฤตกล่าวว่า

                        “คุณพ่อซื้อสร้อยคอให้พฤตสักเส้นซีครับ   พฤตจะได้ห้อยตะกรุดกันผีที่หลวงลุงให้มา”

                        พิรามขัดคอว่า

                                                                                                           

                        “อยากได้สร้อยก็บอกเถอะ   พี่ทายว่าถ้าไม่ถูกวิ่งราวก็เอาไปขายเอาเงินเล่นเกม”

                        “เกลียดจริงคนรู้ทันนี่”

                        เมื่อทิพากับภคินีกลับมาพร้อมกับถุงใส่ของและนำไปวางบนโต๊ะในครัว   ผู้เป็นมารดาก็สั่งว่า

                        “ฉันให้เขาเวฟมาเรียบร้อยแล้ว   ใครสั่งอะไรก็มาเอาไปกิน   ใส่จานด้วยนะ   อย่ามักง่ายกินทั้งในกล่อง”

                        พฤตเป็นฝ่ายที่รี่เข้าหาถุงใส่อาหารก่อน   เมื่อเปิดถุงขึ้นมาเขาก็ร้องว่า

                        “คุณแม่หยิบถุงสับกับคนอื่นแล้วครับ   นี่มันไม่ใช่ของกินสักหน่อย”

                        “จะไปสับกับใคร   ในร้านไม่มีลูกค้าอื่นเลย”

                        เด็กชายหยิบของในถุงออกมา   มันคืออุปกรณ์ในการเขียนรูป   ตั้งแต่สีน้ำมัน   พู่กันหลายขนาด   ผ้าใบ   ตลอดจนจานสีและอื่นๆซึ่งไม่ใช่เป็นอาหารการกินเลย

                        ทิพาเดินมาดูแล้วทำหน้าพิศวง

                        “น่าแปลก   ฉันก็ยืนดูอยู่อยู่ตลอดเวลาที่พนักงานหยิบของที่เราซื้อใส่ถุงและคิดเงิน   ไม่รู้ทำไมมันจึงกลายเป็นของพวกนี้ก็ไม่รู้”           

                        ภคินีอาสาว่า

                        “คุณแม่เหนื่อยแล้วไม่ต้องไปหรอกค่ะ   นีจะนำไปเปลี่ยนเอง”

                        เธอเก็บของใส่ถุงแล้วออกจากบ้านไปอีกครั้ง   ครู่หนึ่งก็เดินหน้าตื่นกลับมา

                        “คนที่ร้านเขายืนยันว่าไม่ได้เอาของพวกนี้ใส่ถุงให้เราเลยค่ะ   และในร้านก็ไม่ได้ขายอุปกรณ์การเขียนรูปด้วย”

                        ทิพาขมวดคิ้ว

                        “เอ๊ะ! มันเป็นไปได้ยังไง?”

                        “นีเลยซื้อไข่ไก่กับปลาทูน่ากระป๋องมา   ข้าวสารเรามีอยู่แล้ว   เจียวไข่กับทำยำปลาทูน่ากินไปก่อนสักมื้อนะคะ”

                        พฤตพูดยิ้มๆว่า

                        “ ฝีมือปรุงอาหารของพี่รามกับพี่นี   หิวๆพอแหลกล่ายอยู่แล้ว”

                   ทิพาเงื้อมือ   ขณะที่พฤตหลวูบ   เธอจึงบ่นว่า

                        “ดูซิมันจะใช้แม่ไปเสียทุกอย่าง   ขาดแต่ให้ตักข้าวใส่ปากเคี้ยวเท่านั้น”

                        “งั้นอุปกรณ์เขียนรูปเหล่านี้ยกให้รามก็แล้วกัน”

                        พิรามเสนอด้วยสีหน้ากระหยิ่ม   ก่อนจะหอบถุงดังกล่าวเข้าไปในห้องพักของเธออย่างไม่รอช้า

                                                ๐                      ๐                      ๐

                                                                                                           

                        หลังจากกินอาหารเรียบร้อยแล้ว   ต่างคนต่างเข้าห้องซึ่งเป็นสิทธิ์ของตน   ห้องของโกศลกับทิพาอยู่ชั้นบนใกล้บันได   ห้องของพิรามกับภคินีอยู่ใกล้กัน   ส่วนห้องของพฤตอยู่ตรงกันข้าม

                        ส่วนชั้นล่างนอกจากห้องโถงกลางก็มีระเบียงกั้นด้วยลูกกรงสลักเสลาด้วยไม้อย่างสวยงาม   หากสีซีดและมีรอยถลอกตามกาลเวลา   ด้านในเป็นห้องอาหารกับห้องครัว   โกศลคิดว่าเขาจะทยอยซ่อมแซมไปทีละหน่อย   ต่อไปก็จะสมบูรณ์ตามที่ใจชอบ

                        พิรามกับภคินีถูกจัดให้นอนด้วยกันเพราะเป็นผู้หญิง   เช่นเดียวกับอยู่บ้านเก่า   ที่จริงพิรามอยากอยู่คนเดียวเพื่อจะใช้สมาธิในการเขียนรูป   แต่ก็ไม่มีทางเลือก   เนื่องจากห้องนอนจำกัดอยู่เพียง ๓ ห้องเท่านั้น

                        เมื่อเปิดไฟฟ้า   ซึ่งผู้ขายนำหลอดมาใส่   เป็นหลอดแรงเทียนต่ำอันไม่เหมาะสำหรับการเขียนรูป   เพราะสีจะเพี้ยน   เธอจึงจดไว้เพื่อจะซื้อใหม่   รวมทั้งข้าวของต่างๆที่จะซื้อเพิ่มเติมด้วย

                        จะว่าไป   บ้านเก่าๆเช่นนี้ก็น่ากลัวอยู่บ้าง   โดยเฉพาะตอนกลางคืน   แม้ผู้ขายจะตกแต่งให้ดูดีขึ้นก็ตาม   เธอเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับวิญญาณที่ออกจากร่างแล้ว   แต่ยังวนเวียนอยู่ในบ้านด้วยความผูกพัน   แม้จะรู้ว่าที่ไหนๆก็มีคนตายทั้งนั้น   หากบางแห่งก็ยังมีสัมภเวสีวนเวียนเหมือนกัน

                        ถ้าในบ้านนี้มีดวงวิญญาณสิงอยู่อยู่จริง   คงจะไม่เป็นอริกับเธอ   อย่างน้อยเมื่อเธอก้าวเข้ามาวันแรก   ก็เกิดปรากฎการณ์แปลกๆอาทิของที่นำมาจากร้านสะดวกซื้อ   กลายเป็นสิ่งที่เธอต้องการอย่างยิ่งคือเครื่องมือในการเขียนรูป

                        เธอเป็นคนไม่กลัวผี   หลังจากเคยเล่นกับสิ่งที่ไม่มีตัวตนในวัยเด็กแล้ว   เธอก็คิดว่าตนมีสัมผัสที่หก   คือสามารถสื่อสารกับบางสิ่งบางอย่างอันเร้นลับ   และได้รับการช่วยเหลือในบางครั้งอย่างน่าพิศวง

                        เธอเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ไม่คัดค้านการตกลงใจของบิดาในการซื้อบ้านหลังนี้   ด้วยว่ามันอยู่ในงบประมาณที่โกศลกับทิพาสามารถวางเงินดาวน์จำนวนหนึ่ง   และที่เหลือผ่อนกับธนาคารได้   แทนที่จะซื้อบ้านจัดสรรใกล้ๆกันซึ่งออกแบบบ้านสวยงามทันสมัย   จึงกลายเป็นบ้านหลังเดียวที่ขัดกับสิ่งแวดล้อมที่สุด

                        โกศลให้เหตุผลว่า

                        “ถ้าไปซื้อบ้านจัดสรร   ก็ล้วนแต่วางเงินดาวน์สูงๆ   และไหนจะต้องผ่อนด้วยเงินจำนวนมากอีก   ถ้าไม่เอาหลังนี้   อีกกี่ปีกี่ชาติก็ไม่รู้ที่จะมีบ้านเป็นของเราเอง”

                        ในเมื่อไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น   ทุกคนก็ต้องยอมรับ   และพยายามทำใจว่าอยู่ไปอีกหน่อยก็คงชินเอง

                                                                                                           

                        ภคินีนอนลงบนเตียงแล้วบิดตัวแก้เมื่อย   พิรามจึงปรามว่า

                        “จะนอนทั้งยังงี้ไม่ได้นะ   เหนื่อยเหงื่อออกมาทั้งวัน   ไปอาบน้ำก่อนไป๊”

                        น้องสาวทำหน้านิ่ว

                        “กลัว”

                        “กลัวอะไร?”

                        “ถามอยู่ได้   พี่รามก็รู้ไม่ใช่หรือ?” เจ้าตัวบ่นอุบ “ทำไมเขาไม่ทำห้องน้ำในตัวก็ไม่รู้ซี”

                        “บ้านโบราณไม่มีอะไรมากนักหรอก   ถ้าจะหวังห้องน้ำในตัว   เครื่องทำน้ำอุ่น   หรือติดแอร์ละก็   รอไปเถอะ”

                        “พี่รามเดินไปเป็นเพื่อนนีหน่อยซี”

                        “จะบ้าแล้ว   ถ้ายังงั้นนีเข้าห้องน้ำทีไรต้องหนีบพี่ติดไปทุกครั้ง   เป็นไม่ต้องทำอะไรกัน”

                        ภคินีกระบิดกระบวนอยู่ครู่หนึ่งจึงคว้าผ้าขนหนูมานุ่งกระโจมอก   หยิบชุดนอนมาเพื่อจะเปลี่ยน   หากไม่วายบอกว่า

                        “ถ้าพี่รามได้ยินเสียงนีร้องดังๆละก็   วิ่งไปช่วยทันทีเลยนะ”

                        พิรามอดหัวเราะไม่ได้

                        “ไม่ช่วยหรอก   ปล่อยให้นีวิ่งโทงๆหนีผีเอาเอง”

                        ฝ่ายนั้นออกจากห้องไปแล้ว   พิรามก็เตรียมตัวอาบน้ำบ้าง   เธอทำเหรียญตกจากกระเป๋าเสื้อกลิ้งเข้าไปใต้เตียง   จึงก้มลงมองเพื่อหามัน

                        เธอเห็นอะไรอย่างหนึ่งตะคุ่มๆอยู่ใต้เตียง   จึงเอื้อมมือเข้าไปดึงวัตถุค่อนข้างหนักนั้น   เมื่อประจักษ์แก่ตาก็เห็นเป็นรูปเขียนเก่าแก่มีฝุ่นจับอยู่เต็ม   เธอปัดฝุ่นออกก็เห็นเป็นรูปของผู้ชายวัยชรา   ผมสีขาวโพลน   แต่งกายด้วยผ้าโจงกระเบนกับเสื้อราชปะแตน   ถือไม้เท้าหัวเงินมองตอบเธอมาราวกับมีชีวิต

                        คงจะเป็นเจ้าของบ้านเดิม   ท่าทางมีอำนาจแสดงว่ามียศศักดิ์พอสมควรในสมัยโน้น   น่าเสียดายที่ถูกทิ้งขว้างมาเป็นเวลานาน   เห็นได้จากฝุ่นจับเขรอะ   แต่ก็ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์   ไม่น่าจะนำมาทิ้งๆขว้างๆเช่นนี้

                        เธอเกรงว่าถ้าภคินีมาเห็นเข้าจะกรี๊ดกราดอีก   จึงดันเข้าไปไว้ยังที่เดิมและรีบกวาดฝุ่นที่ติดมากับรูปออกจากพื้น

                        เธอนึกว่าจะนำรูปนั้นไปไว้ที่ไหนดี   คนในครอบครัวคงไม่ยอมให้นำมาแขวนไว้ภายในบ้านหรอก   แต่เธอเชื่อว่าชายชราเจ้าของภาพน่าจะคุ้มครองครอบครัวของเธอมากกว่า

                                               

                        ตอน ๒                                                 

 

                        วันรุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์   โกศลไปรับเชลงยังบ้านของเจ้าตัว   เพื่อไปเดินหาซื้อวัตถุโบราณที่มีปะปนอยู่กับข้าวของนานาชนิดที่คลองถม

                        เชลงไม่ชอบของเก่า   แต่ก็สามารถเดินได้เป็นชั่วโมงๆกับเพื่อน   เพราะบางทีเขาก็เจอของแปลกๆซึ่งนำไปซ่อมแซมและใส่ตู้โชว์ไว้ดูเล่นด้วยเหมือนกัน

                        โกศลเคยซื้อแผ่นสีทองคล้ายสังกะสีฉลุลวดลายสวยงาม   และนำไปดัดให้โค้งเข้าหากัน   ก่อนนำไปจ้างร้านทำเครื่องไฟฟ้าให้ทำฐานติดกำแพง   กลายเป็นโคมไฟสวยงามราวกับของมีราคาน่าชม   และเคยซื้อโคมไฟสี่เหลี่ยมที่ติดข้างรถสามล้อนำมาใส่หลอดไฟสวยงามได้

                        นอกจากนั้นยังมีโทรศัพท์เก่าแก่   มีระฆังทองเหลือง   หน้ากากยักษ์   โป๊ะไฟเรือเดินทะเล   ตลอดจนรูปสลักนางกินรี   กับของกระจุกกระจิกอีกหลายอย่าง   ที่เมื่อนำไปขัดสีและดัดแปลงก็ทำให้ดูมีค่าขึ้นได้มาก

                        เชลงถามว่า

                        “นายไม่กลัวว่าของเก่าเหล่านี้   วันดีคืนดีเจ้าของเก่าจะมาทวงคืนหรือ?”

                        “คนตายแล้ววิญญาณก็ไปยมโลก   จะมาสิงสู่อยู่กับข้าวของพรรค์นี้ได้ยังไง”

                        “เพื่อนฉันซื้อรถมือสองมาขับ   อยู่ๆมองกระจกส่องหลังก็เห็นคนมานั่งอยู่ที่เบาะหลัง   พอหันไปดูกลับไม่มี  มันเลยขายทิ้งราคาถูกๆไป”

                        “นั่นแสดงว่าเจ้าของเก่าประสบอุบัติเหตุตายโหง   วิญญาณยังผูกพันและหวงแหนของของตัวอยู่   แต่เมื่อถึงเวลา   เขาก็ต้องไป”

                        “นายอยู่บ้านหลังนั้นเป็นยังไงบ้าง?”

                        “หลับสบายดี   คุณทิพาสวดมนต์เสียยืดยาวเชียว   ส่วนลูกๆก็ไม่เห็นมีใครบ่นว่าเจออะไรน่ากลัว”

                   “ตึกโบราณมีอยู่ถมเถไป   อย่างสองข้างถนนราชดำเนิน   เป็นสถาปัตยกรรมล้ำค่า   คนที่อยู่หรือทำงานแถวนั้นเขายังไม่หวาดระแวงอะไรเลย”

                        “ผีก็คือคนนั่นเอง   แต่เป็นคนที่ละสังขารไปแล้ว   เขาจะมาหลอกหลอนคนอื่นอยู่ทำไม   มีแต่จะไปสู่ที่ชอบที่ชอบ”

                        เชลงมองนาฬิกาข้อมือ

                        “ใกล้เที่ยงแล้ว   ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”

                                                                                                           

                        ทั้งสองกลับมายังที่จอดรถ   นำของที่ซื้อมาใส่ไว้ในรถอย่างทะนุถนอม   ทำให้เชลงสัพยอกว่า

                        “นายรักของพวกนี้ราวกับลูก   ก็ดีไปอย่างที่ไม่ได้สะสมแบบตัวเป็นๆให้คุณทิพาตามหึง”

                        “เป็นครูบาอาจารย์จะทำตัวเป็นเฒ่าหัวงูได้ยังไง   ลูกศิษย์จะได้ดูถูกตายห่า”

                        โกศลเป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง   ส่วนเชลงมีความสามารถรอบตัว   แต่ทำงานไม่ค่อยยืด   มักเปลี่ยนงานบ่อยๆเพราะทนเพื่อนร่วมงานหรืองานที่ไม่สบอารมณ์ไม่ได้   ทว่าเขาก็ไม่เคยตกงาน

                        เมื่อนำพาหนะไปถึงร้านค่อนข้างเงียบ   ยังมีลูกค้าไม่มากนัก   เลือกได้โต๊ะกลางๆร้านและสั่งอาหารกับเครื่องดื่ม

                        ครู่เดียวก็มีเสียงทักขึ้นข้างๆจากผู้ที่เข้ามาใหม่ว่า

                        “เฮ้ย! เชลง   มาโต๋เต๋แถวนี้ทำไมวะ?”

                        ผู้ถูกทักหันไปมอง   แล้วก็จับไม้จับมือหัวเราะร่าถามสารทุกข์สุขดิบกับฝ่ายนั้นเป็นครู่   จึงแนะนำเพื่อนทั้งสองให้รู้จักกัน

                        “นี่นายโกศลเพื่อนฉันตั้งแต่ยังเป็นบักหำน่อย   ส่วนศักดิ์ชายเป็นโปลิศที่ถูกเด้งไปอยู่ชายแดนเพื่อนซี้ของฉันเหมือนกัน”

                        ต่างก้มศีรษะให้กัน   โกศลกล่าวว่า

                        “นั่งด้วยกันซีครับ”

                        “ผมนัดกับเพื่อนไว้   แต่เขายังไม่มาก็นั่งคุยกันก่อนได้ครับ”

                        คนพูดนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้กัน   เชลงก็กล่าวว่า

                        “นายสองคนชอบสะสมของเก่าเหมือนกัน   คงคุยกันถูกคอ”

                   ศักดิ์ชายกล่าวยิ้มๆว่า

                        “ผมสะสมแต่นาฬิกาโบราณ   เก็บไว้เป็นห้องโดยเฉพาะเลยครับ”

                   โกศลสนองว่า

                        “ผมสะสมของเก่าทุกอย่าง   แล้วแต่จะหาซื้อได้ครับ  แล้วนำมาซ่อมแซม   ดัดแปลง   จนทำให้น่าดูขึ้นมา”

                        “ผมสะสมนาฬิกาแบบบ้าเลือดเลยครับ   ถ้าเห็นนาฬิกาเก่าๆเป็นต้องรี่เข้าใส่   นำมาขัดสีฉวีวรรณแบบคุณน่ะแหละ   ซื้อมาราคาไม่เท่าไหร่   แต่มีคนมาขอซื้อให้ราคาเป็นหมื่นๆก็มี”

                        “น่าสนใจนะครับ”

                        “ผมรักมันยิ่งกว่าเมียเสียอีก   ใครขอก็ไม่ให้   ซื้อก็ไม่ขาย   บางเรือนอายุร้อย

                                                                                                           

กว่าปี   ยังเดินได้ด้วย”

                        “ผมชักอยากเห็นเสียแล้วละครับ”

                        “กินอาหารเสร็จขับรถตามผมไปซีครับ   บ้านผมอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่”

                        ศักดิ์ชายขอตัวผละไปเมื่อผู้ที่นัดกับเขามาถึง   กระทั่งเวลาผ่านไปนานพอสมควรฝ่ายนั้นก็แยกกับผู้ร่วมโต๊ะ   และเดินกลับมาหาเพื่อนเก่ากับเพื่อนใหม่ของเขา

                        “ไปกันเถอะครับ”

                        ศักดิ์ชายขับรถนำทาง   ส่วนเชลงนั่งรถของโกศลตามไปบนถนนซึ่งรถราไม่ค่อยพลุกพล่านนัก   ใกล้จะออกนอกเมือง   สักครู่ก็เลี้ยวเข้าซอยเล็กๆและจอดลงหน้าบ้านจัดสรรหลังหนึ่ง   และเดินนำผู้มาเยือนเข้าไปในบ้าน  

เขาชี้มือไปยังห้องทางด้านหลัง

“นั่นห้องนาฬิกาของผม   เมียผมยังไม่กล้าเข้าเลยครับ   เขากลัวทำนาฬิกาตกหรือ

เผลอไปโดนให้มันชำรุดเสียหาย   เชิญเลยครับ”

                        ภรรยาของศักดิ์ชายนำแก้วน้ำเย็นมาเสิร์ฟและทักทายกับเพื่อนของสามีเล็กน้อยก่อนกลับเข้าไปข้างใน

                        ผู้เป็นเจ้าของบ้านจึงนำเข้าไปในห้องซึ่งมีนาฬิกาแขวนไว้ละลานตาไปหมด   รูปร่างก็ต่างกันไป   มีทั้งรูปกลม   รูปหกเหลี่ยม   และรูปแปดเหลี่ยม   เรือนเล็กบ้างใหญ่บ้าง   หมุดทุกตัว   กรอบไม้ทุกเส้นสายอยู่ในสภาพเรียบร้อย   แทบดูไม่รู้ว่าบางเรือนอายุกว่าร้อยปีดังเจ้าของกล่าวเมื่อครู่

                        โกศลเดินมองจนรอบห้องด้วยความสนใจ   กระทั่งศักดิ์ชายถามขึ้นว่า

                        “คุณโกศลชอบเรือนไหนครับ?”

                        ผู้ถูกถามชี้ไปที่เรือนหนึ่งซึ่งสมบูรณ์งดงามที่สุด

                        “เรือนนี้แหละครับ”

                        “ผมยกให้คุณ”

                        โกศลคิดว่าเป็นคำพูดเล่น   เมื่อพักใหญ่นี้เองที่ฝ่ายนั้นพูดว่า ‘ขอก็ไม่ให้   ซื้อก็ไม่ขาย’   จะยกของรักของหวงให้เขาง่ายขนาดนี้ได้อย่างไร   เขาจึงยิ้มและเฉยเสีย

                        หากศักดิ์ชายก็ย้ำว่า

                        “ผมให้จริงๆครับ   ไม่ได้บอกขาย   เรือนนี้ผมรักที่สุด   แต่เต็มใจยกให้คุณ”

                        โกศลทำหน้างงๆ

                        “ทำไมคุณให้ของที่คุณรักที่สุดแก่ผมล่ะครับ?”

                        “เอาเถอะครับ   แล้วผมจะบอกภายหลัง”

                        คนพูดเดินไปหยิบกระดาษหนังสือพิมพ์มาวาง   ก่อนยกนาฬิกาออกมาจากที่

                                                                                                           

แขวน   ใช้กระดาษห่อและเชือกฟางผูกอย่างแน่นหนา   จากนั้นก็ยกไปใส่รถของโกศล

                        เชลงเองก็แปลกใจไม่น้อยเหมือนกัน   เขาตั้งคำถามว่า

                        “นายนึกยังไงจึงทำแบบนี้?”

                        “เพราะมันไม่ใช่ของฉันน่ะซี”

                        “อ้าว! ไหนนายบอกว่าไปเที่ยวหาซื้อจากร้านขายของเก่ามาซ่อมแซมเอา?”

                        อีกฝ่ายทำสีหน้าขรึมและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

                        “ของบางอย่างก็อยู่ได้นานแสนนานเพื่อรอคอยเจ้าของที่แท้จริงของมัน   ที่นายคิดว่าวิญญาณไม่อาจสิงสู่อยู่ในวัตถุได้เมื่อร่างกายแตกดับ   แต่ก็ต้องมียกเว้น   ของบางอย่างมีไว้สำหรับคนบางคนเท่านั้น”

                        โกศลไม่อาจคัดค้านต่อไป   จึงได้แต่กล่าวว่า

                        “ขอบคุณมากครับ   มันจะเป็นของสะสมที่ถูกใจผม”

                        กลับมาถึงบ้านแล้ว   โกศลก็ประคับประคองของชอบของเขาเข้าไปในบ้าน   และตอกตะปูแขวนมันไว้ตรงที่สะดุดตาที่สุด

                        เมื่อเล่าให้คนในครอบครัวของเขาฟัง   ภาคินีก็โวยว่า

                        “อยู่คฤหาสน์แดรกคูล่ายังไม่พอ   คุณพ่อยังตกแต่งด้วยวัตถุร่วมสมัยกับบ้านอีก   ขาดอยู่อย่างเดียวคือโลงสำหรับแดรกคูล่าเท่านั้น”

                        ทิพาหยิกแขนบุตรสาว

                        “ฟังพูดเข้า   ยิ่งจะทำให้คนอื่นกลัวหนักขึ้น   แกควรรู้ว่าเราจะต้องอยู่ที่นี่อีกนาน

ถ้าเอาแต่กังวลว่าอยู่กับผีกับสาง   โรคประสาทจะกิน”

                        ภคินีจึงนิ่งไป

                        หากพิรามกลับมองนาฬิกาเรือนนั้นด้วยความรู้สึกว่าคุ้นเคยกับมันมาก   คล้ายกับว่าเธอเห็นมันอยู่ทุกวัน   ได้ยินเสียงมันตีเสียงก้องกังวานเมื่อหมดชั่วโมง   และลูกตุ้มก็แกว่งไปมาอยู่อย่างซื่อสัตย์

                        เธอรีบปัดความรู้สึกเช่นนั้นออกไป   บอกกับตนเองว่าเธออาจคิดมากไปก็ได้

                                                ๐                      ๐                      ๐

                        สนามหน้าบ้านซึ่งรกเรื้อด้วยหญ้าและวัชพืชนานาชนิดถูกถากถางจนเตียน   แต่ก็ยังไม่เรียบร้อยนัก   พิรามคิดว่าเธอจะปลูกต้นมะม่วงตรงหน้าตัวบ้าน   เพื่อจะได้ให้ความร่มรื่น   ส่วนในสนามก็ปลูกไม้ดอกสีต่างๆเพื่อให้ความสดใส   ลดความขึงขังของตัวบ้านลงบ้าง

                        ตอนอยู่ที่บ้านเช่า   เธอลงต้นไม้ไว้หลายต้น   ครั้นย้ายออกมาก็ได้แต่เสียดาย   ครั้นจะลงหลักปักฐานยังบ้านหลังนี้   เธอก็ชุ่มชื่นใจตามประสาคนรักธรรมชาติ   อีกไม่นานหรอกสีสันต่างๆจะสะพรั่งอยู่ในสนามให้คนผ่านไปมามอง   แทนที่เมื่อผ่านแล้วจะเดินหนี

                                                                                                           

                        อากาศค่อนข้างร้อน   แม้แดดจะลบแล้ว   พิรามเหงื่อท่วมตัว   เธอจึงโกยเศษหญ้าลงใส่ในปุ้งกี๋   เพื่อนำไปใส่ถังขยะวางไว้หน้าบ้านให้รถขยะมาเก็บไปทิ้ง

                        มีเสียงทักขึ้นว่า

                        “ใช้กรรไกรตัดหญ้าพื้นจะไม่เรียบนะครับ   ผมจะให้ขอยืมรถตัดหญ้าเอาไหม?”

                        พิรามยกท่อนแขนขึ้นปาดเหงื่อ

                        เธอเงยหน้าขึ้นเห็นเด็กหนุ่มในเครื่องแต่งกายแบบอยู่กับบ้าน   คือกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดคอกลม   คงจะเป็นเพื่อนบ้านของเธอ   จึงยิ้มให้ตามมารยาท

                        “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ   จวนเสร็จแล้ว”

                        เขาพูดต่อไปว่า

                        “คุณจะปลูกต้นอะไรบ้างครับ?   ผมก็เป็นคนรักต้นไม้   พี่ชายผมแยกต้นอ่อนไว้บ้าง   จะแบ่งให้คุณ”

                        “ชอบที่ดอกสีสวยๆและออกดอกตลอดปีค่ะ”

                        “ที่ดูแลรักษาง่ายก็หางนกยูง   ดอกก็สีสวยด้วย   ลีลาวดีก็ทั้งสวยทั้งหอมเย็นๆดี

เดี๋ยวนี้เขาผสมพันธุ์เป็นสีชมพูก็มี”

                   “สีม่วงก็มีค่ะ   ฉันไม่เคยเห็น   แต่เพื่อนจะยกให้ต้นหนึ่ง   ยังไม่ได้ไปเอาเลย”

                   “ผมก็ไม่เคยเห็น   ต้นที่บ้านผมดอกเป็นสีขาวธรรมดา”

                        “คุณอยู่บ้านไหนคะ?”

                        เขาชี้มือ

                        “เยื้องๆกับบ้านคุณแหละครับ   ผมยินดีที่บ้านนี้มีคนมาอยู่ถาวรเสียที”

                        “ก่อนหน้านี้มีอะไรหรือคะ?”

                        เขาทำหน้าพิพักพิพ่วน   ในที่สุดก็ตอบว่า

                        “เจ้าของเดิมเขาให้เช่าครับ   แต่คนเช่าอยู่ไม่ได้นานสักราย”

                   พิรามยกมือขึ้นในท่าปางห้ามญาติ

                        “ถ้าจะเล่าเรื่องที่งมงายฉันไม่ฟังนะคะ   คุณแม่บอกว่าเรื่องอะไรบางอย่างถ้าไม่รู้เสียได้ก็ดีกว่ารู้แล้วไม่สบายใจ”

                        “ถูกต้องครับ”

                        “บ้านมันเป็นแบบโบราณ   คนเห็นอาจจินตนาการไปต่างๆนานา   แต่ถ้าเราคิดดีทำดี   สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะปกป้องคุ้มครองเรา”

                        “คุณเป็นผู้หญิงที่จิตใจเข้มแข็งมากครับ”

                        “ถ้าฉันเห็นสิ่งที่ลึกลับ   คงจะไม่ถึงกับตกอกตกใจมากมาย   แต่ไม่เห็นได้ก็จะเป็นการดีค่ะ”

                                                                                                           

                        “คุยกับคุณตั้งนานยังไม่ทราบชื่อเลย   ผมชื่อสลิลครับ”

                        “ฉันชื่อพิรามค่ะ  จะเรียกว่ารามก็ได้”

                        “ผมยินดีที่ได้เพื่อนบ้านใหม่   มีสิ่งใดจะให้ผมรับใช้ได้บ้างก็ยินดีครับ”

                        สาวน้อยยิ้มบางๆ

                        “คุณพูดเป็นพิธีรีตองเลยค่ะ”

                        “ครับ   แม้อายุผมจะยังเป็นวัยรุ่น   แต่ก็ไม่ชอบภาษาไทยวิบัติที่วัยรุ่นสมัยนี้เขาพูดกัน   ฟรุ้งฟริ้งยังงี้   ฟินยังงี้     มโนยังงี้   ตามเขาไม่ทันเลย   ส่วนชื่อก็เปลี่ยนกันเป็นว่าเล่น   แต่ใช้ตัวอักษรที่ไม่ค่อยใช้กัน   และไม่มีคำแปลในพจนานุกรมด้วย”

                        “คำสแลงมักจะใช้กันอยู่ไม่นานหรอกค่ะ   ยกเว้นบางคำที่ชัดเจนกว่าของเก่า   เช่นคู่รักที่สมัยนี้ใช้คำว่าแฟนก็กลายเป็นคำถาวรไปแล้ว   เพราะมันมาจากคำว่าแฟนนาสติกที่แปลว่าคลั่งไคล้ใหลหลง   คุณแม่บอกว่าสมัยก่อนเขาใช้คำว่าชิ้น”

                        “นี่คุณอยู่บ้านคนเดียวหรือครับ?”

                        “คุณพ่อยังไม่กลับจากงานค่ะ   น้องชายก็ไปเตะฟุตบอลกับเพื่อน   ส่วนน้องสาวขออนุญาตจากคุณแม่ไว้ว่าจะไปซื้ออุปกรณ์ทำการฝีมือกับเพื่อน   เหลือคุณแม่ทำอาหารอยู่ในครัวกับฉันเท่านั้น”

                        “ผมมาชวนคุยนานๆแบบนี้   คุณพ่อคุณแม่ของคุณจะดุไหมครับ?”

                        “ทำไมเพื่อนบ้านจะคุยกันไม่ได้ล่ะคะ?”

                        “เพื่อเป็นเครื่องหมายของความเป็นเพื่อนกัน   ผมจะเอาต้นไม้ในกระถางมาให้คุณก่อนนะครับ   แล้ววันหลังค่อยหาต้นใหญ่ๆที่จะลงดินได้มาให้”

                   หนุ่มน้อยเดินผละไป   ครู่หนึ่งก็ถือไม้ใบสีสวยในกระถางมาส่งให้

                        “ผมมีพวกบอนสีอยู่หลายต้น   คุณเอาวางพอให้มีสีสันไปก่อน   อีกระยะหนึ่งเมื่อจัดต้นไม้ดอกลงดินเรียบร้อยแล้วจึงจะรอวันมันโตจนออกดอกสะพรั่ง   แต่คุณต้องใส่ปุ๋ยทุก ๑๕ วัน   ปุ๋ยเร่งดอกเรียกว่าปุ๋ยสูตรเสมอ”

                        “ขอบคุณค่ะ   ฉันเห็นจะต้องขอตัวไปช่วยคุณแม่ก่อน”

                        พิรามวางกระถางไว้ข้างสนามแล้วล้างมือจากก๊อกน้ำสำหรับสวมสายยางรดน้ำต้นไม้   จากนั้นก็เดินเข้าไปในบ้าน

                        เธอเดินผ่านห้องกลางที่โกศลประดับของเก่าข้างฝาไว้เรียบร้อยแล้ว   ผ่านนาฬิกาซึ่งแขวนอยู่โดยไม่ได้ตั้งให้เดินเพราะแต่ละชั่วโมงมันจะตีเสียงดังมาก   ยังไม่ถึงเวลาบอกชั่วโมงมันก็ตีขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ

                        เหง่ง!

รายละเอียด

บ้านเลขที่ ๑๓

สินี  เต็มสงใส

 

ตอน ๑

 

                        บ้านหลังนั้นอยู่ในละแวกที่เจริญแล้ว   มีทั้งตลาดสด   ร้านสะดวกซื้อ   ร้านอาหารตามสั่ง   ร้านทำผม   ร้านตัดเสื้อ   อู่ซ่อมรถ   อพาร์ตเม้นต์   โรงพยาบาลเอกชน   ตลอดจนโรงเรียนอยู่โดยรอบ

                   โกศลมาซื้อบ้านหลังนี้โดยคำแนะนำของเชลงเพื่อนสนิท   และบอกเล่าว่า

                        “ก่อนหน้านี้ที่นี่เปลี่ยวมาก   เรียกว่านอกเมืองทีเดียว   เป็นที่รกร้างว่างเปล่าซึ่งคนมีเงินซื้อไว้เพื่อขายเก็งกำไร   ต่อมาที่ดินมีราคาสูงขึ้น   และมีโครงการบ้านจัดสรรขึ้นมา   ความเจริญต่างๆก็เกิดขึ้นจนกลายเป็นอยู่กลางเมืองไปแล้ว”

                        “มิน่าล่ะ   บ้านนี้จึงเป็นหลังเดียวที่รูปทรงโบราณ”

                        “ฉันไม่รู้ประวัติความเป็นมาหรอก   เพียงแต่เห็นมีการประกาศขาย   แล้วนายก็ชอบอะไรๆที่โบราณอยู่ด้วย   จึงอยากให้นายมาอยู่   จะได้เลิกย้ายบ้านหนีเจ้าหนี้เสียที”

                        คนฟังตีแขนอีกฝ่ายเบาๆ

                        “ไม่ได้หนีเจ้าหนี้โว้ย   ส่วนมากเจ้าของบ้านขึ้นค่าเช่าทุกปีต่างหาก   นอกนั้นก็มีเพื่อนบ้านเอะอะมะเทิ่ง   ร้องรำทำเพลงกันดึกดื่น   หรือไม่ก็ผัวเมียทะเลาะกัน   ที่ร้ายหนักก็คือขโมยชุมเพราะมีพวกติดยาบ้า   หาความสงบสุขไม่ได้”

                        “นี่คนขายเขาทาสีตกแต่งใหม่   จึงน่าอยู่ขึ้น   ไม่งั้นคงดูน่ากลัว”

                        “เขาปลูกมากี่ปีแล้ว?”

                        “ไม่แน่ใจนะ   แต่คิดว่า ๕๐ – ๖๐ ปีเป็นอย่างน้อย”

                        “ทำไมเขาขายถูกนัก?”

                   “เขาคงคิดว่าดีกว่าปล่อยทิ้งให้โทรมไปเปล่าๆกระมัง   ที่จริงราคาที่ตั้งไว้เป็นเฉพาะค่าที่ดินเท่านั้น   ตัวบ้านไม่มีราคาเลย   นายซื้ออยู่ไปก่อน   พอผ่อนธนาคารครบแล้วจะรื้อปลูกใหม่ก็ได้”

                        “แต่ฉันชอบของเก่าว่ะ”

                        “นอกจากเมีย”

                        “ไอ้บ้า! ประเดี๋ยวเมียที่เคารพของฉันได้ยินเข้า   เป็นได้คุมความประพฤติฉันจนกระดิกตัวไม่ได้เลยหรอก”

                        “นั่นไง   ไหนว่าไม่กลัวเมีย”

                                                                                     

                        เมื่อเพื่อนของเขากลับไปแล้ว   โกศลก็เข้าไปในบ้าน   เห็นสมาชิกในครอบครัวของเขาช่วยกันทำความสะอาดอีกครั้ง   หลังจากทำมาตั้งแต่ยังไม่ย้ายเข้ามาแล้ว   ทิพาผู้เป็นภรรยาใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดบริเวณซอกมุมต่างๆ   ส่วนพิรามบุตรสาวคนโตใส่ผ้าม่านหน้าต่างซึ่งเย็บใช้ชั่วคราว   สำหรับภคินีกับพฤตบุตรรองลงไปก็ช่วยกันจัดหนังสือใส่ตู้

                        โกศลบอกว่า

                        “ที่ผนังแขวนรูปครอบครัวของเรา   กับปฏิทินพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงก็พอ   นอกจากนั้นฉันจะหาของเก่ามาประดับเอง”

                        พฤตร้องว่า

                        “โธ่! คุณพ่อจะทำให้เป็นคฤหาสน์แดรกคูล่าจนได้”

                        ภคินีเสริมว่า

                        “นีก็ว่าบ้านหลังนี้มันทึบทึมอยู่แล้ว   มีผีอยู่กี่ตัวก็ไม่รู้”

                        ทิพาเอ็ดว่า

                        “เป็นคนกลัวผีแล้วยังพูดหลอกตัวเองอีก   ในโลกนี้มีคนตายมาแล้วไม่รู้จักกี่ล้านคน   ไม่ใช่จำเพาะเจาะจงว่าจะตายที่บ้านหลังนี้”

                        ภคินีทำเสียงอ่อยว่า

                        “คุณพ่อกับพี่รามไม่กลัวผี   แต่คนอื่นเขากลัวนี่”

                        พิรามพูดยิ้มๆว่า

                        “คุณแม่บอกว่ามีผีเลี้ยงพี่มาแต่เล็กแล้ว   ตอนอยู่บ้านเก่าพี่นั่งเล่นอยู่กลางห้อง   กลิ้งกระป๋องนมไป   แล้วมันก็กลิ้งกลับมาทุกครั้ง   และเล่นอะไรคนเดียวทุกอย่าง   หัวเราะเอิ๊กๆอ๊ากๆเหมือนมีเพื่อนเล่นที่ถูกใจยังงั้นแหละ”

                        ภคินีบ่นว่า

                        “พี่รามนอนห้องเดียวกับนี   อย่าชวนผีมาเล่นด้วยล่ะ   นีไม่สนุกไปด้วยหรอก”

                        “นีอย่ามายุ่งกับรูปเขียนของพี่ก็แล้วกัน”

                        ทุกคนในครอบครัวรู้ว่าพิรามใฝ่ฝันจะเป็นศิลปินเขียนภาพเป็นหนักหนา   เธอเขียนรูปติดไว้ในห้องเช่าหลังเก่ารอบบ้านไปหมด   ทั้งที่ฝีมือยังไม่เข้าขั้น   ซึ่งเจ้าตัวก็รู้   แต่ก็ยังไม่ท้อเมื่อน้องๆล้อเลียนเธอ

                        เธอวาดหวังว่า

                        “รามจะแต่งห้องให้เนี้ยบเชียว   ปักผ้าปูโต๊ะคลุมโต๊ะตัวเก่าของเรา   แล้วจะปลูกต้นไม้ดอกสวยๆที่สนามเพื่อจะตัดมาปักแจกัน   ติดรูปเขียนอย่างไว้ฝีมือเลย   แล้วใครๆจะอิจฉา”

                        พฤตขัดคอว่า

                        “สอบเข้ามหา’ลัยให้ได้ก่อนเถอะค่อยคุย”

                                                                                     

                        “พี่ไม่ได้มโนไปเอง   ถ้าสอบปีนี้ไม่ได้ก็จะสอบใหม่ปีหน้า   ไม่ได้อีกก็จะสอบไปเรื่อยๆ   ไม่ไปสอบเข้าที่อื่นหรอก”


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (81 รายการ)

www.batorastore.com © 2024