KING SOLOMON’S MINES (ขุมทรัพย์โซโลมอน)

KING SOLOMON’S MINES (ขุมทรัพย์โซโลมอน)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: solomon
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 249.00 บาท

เนื้อหาบางส่วน

บทที่ 1

ผมพบเซอร์เฮนรี่ เคอร์ติส

ก็แปลกดีที่ในวัยนี้—ซึ่งปาเข้าไปห้าสิบห้าปีแล้วเมื่อวันเกิดที่ผ่านมา—ผมกลับพบตัวเองหยิบปากกาขึ้นมาพยายามเขียนประวัติศาสตร์ ผมสงสัยว่าเมื่อเขียนจบมันจะเป็นประวัติศาสตร์ประเภทไหนหนอ ถ้าผมเข็นมันจนจบได้นะ! ผมเคยทำหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต ซึ่งสำหรับผมดูเหมือนจะเนิ่นนานมาแล้ว อาจจะเนื่องจากผมเริ่มทำงานตั้งแต่ยังเด็กมาก ในวันที่เด็กชายคนอื่นๆ อยู่ในโรงเรียนกันผมก็ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นพ่อค้าในเคป อาณานิคมเก่าแก่ของอังกฤษในแอฟริกาใต้ ผมทั้งค้าขาย ล่าสัตว์ ต่อสู้ หรือไม่ก็ทำเหมืองตั้งแต่ตอนนั้น กระนั้นแค่แปดเดือนก่อนนี้เองที่ผมได้เงินเป็นกอบเป็นกำ จะว่าไปแล้วมันเป็นเงินกองใหญ่มาก—ผมยังไม่รู้หรอกว่าใหญ่แค่ไหน—แต่ผมไม่คิดว่าจะผ่านช่วงสิบห้าสิบหกเดือนนั้นอีกครั้งเพื่อมัน ไม่มีทางเสียละ นอกจากผมจะรู้ว่าตอนจบผมจะได้ออกมาอย่างปลอดภัยพร้อมทรัพย์สมบัติและสิ่งอื่นๆ แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมเป็นคนสงบเสงี่ยมไม่ชอบความรุนแรง และยิ่งไปกว่านั้นผมเอียนการผจญภัยเต็มที ผมสงสัยว่าทำไมผมต้องเขียนหนังสือเล่มนี้ มันไม่ใช่แนวทางของผมสักหน่อย ผมไม่ใช่คนในแวดวงวรรณกรรมแม้ว่าจะทุ่มเทความสนใจให้กับพระคัมภีร์เก่าและ “ตำนานอินโกลด์สบี” ซึ่งเป็นหนังสือรวมร้อยแก้วและร้อยกรองขำขันให้แง่คิด ส่วนใหญ่อิงจากนิทานและตำนานยุคกลางด้วย ขอผมลองพิจารณาเหตุผลดูหน่อยซิ แค่เพื่อดูว่ามีอยู่บ้างหรือเปล่า

            เหตุผลประการแรก : เพราะเซอร์เฮนรี่ เคอร์ติสและกัปตันจอห์น กู๊ด ขอให้ผมทำ

            เหตุผลประการที่สอง : เพราะผมนอนป่วยอยู่ที่เดอร์บันนี่ เจ็บขาข้างซ้าย ตั้งแต่ที่โดนเจ้าสิงโตบ้านั่นงับผมก็เลยต้องลำบากแบบนี้ และอาจเพราะตอนนี้แผลอักเสบหนักผมเลยกะเผลกยิ่งกว่าเดิม ในฟันสิงโตต้องมีพิษอะไรสักอย่างแน่ๆ ไม่เช่นนั้นเมื่อแผลคุณสมานแล้วทำไมมันถึงฉีดขาดอีกล่ะ ขอบอกเลยว่ามันเป็นเวลาเดียวกันของปีกับตอนที่คุณโดนกัดนะ เป็นสิ่งที่น่าลำบากใจสุดแสนเมื่อคนที่เคยยิงสิงโตมาแล้วหกสิบห้าตัวเช่นผมกลับมาถูกเจ้าตัวที่หกสิบหกเคี้ยวขาเหมือนก้อนยาเส้น มันทำให้กิจวัตรประจำวันเสียหมด และไม่ต้องพิจารณาเรื่องอื่นหรอก ผมเป็นคนมีระบบระเบียบจึงสุดจะทนแล้ว นั่นแหละ

            เหตุผลประการที่สาม : เพราะผมต้องการให้แฮร์รี่ลูกชายผมที่กำลังเรียนแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลในลอนดอนได้มีบางอย่างให้เพลิดเพลิน กันไม่ให้เขาเล่นอะไรแผลงๆ สักสัปดาห์หนึ่ง บางครั้งงานโรงพยาบาลก็ไม่น่าสนุกและค่อนข้างน่าเบื่อ เพราะแม้แต่การผ่าศพก็ยังทำให้รู้สึกเอียนได้ และเนื่องจากประวัติศาสตร์นี้จะไม่มีวันน่าเบื่อไม่ว่าจะเป็นอย่างไร มันจึงจะทำให้อะไรๆ มีชีวิตชีวาขึ้นสักวันสองวันขณะที่แฮร์รี่อ่านมัน

            เหตุผลประการที่สี่และประการสุดท้าย : เพราะผมกำลังจะเล่าเรื่องราวแปลกประหลาดที่สุดที่ผมรู้จัก มันอาจชอบกลที่พูดอย่างนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิจารณาจากในเรื่องไม่มีผู้หญิงสักคนเดียว เว้นแต่เฟาลาตา แต่หยุดก่อน! มีกากาอูลาด้วยนี่ ถ้านางเป็นผู้หญิงไม่ใช่ปิศาจนะ แต่อายุนางอย่างน้อยก็ปาเข้าไปร้อยปีละ จึงไม่เหมาะที่จะแต่งงาน ผมก็เลยไม่นับ ถึงอย่างไรผมก็พูดได้อย่างปลอดภัยว่าในประวัติศาสตร์ทั้งหมดนี้ไม่มีกระโปรงชั้นในเลย เอาละผมเข้าเรื่องเสียทีจะดีกว่า แบกแอกไว้อย่างนี้หนักชะมัด และผมรู้สึกราวกับว่าติดแน่นอยู่กับเพลา แต่ ซุตเจส ซุตเจสอย่างที่ชาวบัวร์[1] พูดอย่างแผ่วเบา—แหงละผมไม่รู้หรอกว่าพวกเขาสะกดมันได้ยังไง—คิดว่ากลุ่มที่คล่องแคล่วเข้มแข็งคงจะทำสำเร็จในที่สุด หมายถึงถ้าพวกเขาไม่อ่อนเกินไปนะ กับวัวที่อ่อนแอคุณไม่มีวันทำอะไรได้หรอก ทีนี้เริ่มละ

            ผม อลัน ควอเตอร์เมน แห่งเดอร์บัน นาตาล สุภาพบุรุษ ขอให้คำสัตย์และขอบอกว่า—นั่นคือที่ผมจะเริ่มคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรต่อหน้าผู้พิพากษาศาลแขวงเกี่ยวกับการตายอันน่าเศร้าของคิวาและเวนต์เวอเกลผู้น่าสงสาร แต่อย่างไรก็ตามมันดูเหมือนไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องที่จะเริ่มต้นเรื่องเลย และอีกอย่าง ผมเนี่ยนะสุภาพบุรุษ สุภาพบุรุษคืออะไรล่ะ ผมไม่รู้จริงๆ กระนั้นผมก็ต้องจัดการกับพวกนิโกร ไม่สิ ผมจะขีดฆ่าคำว่า “นิโกร” นั่นออก เพราะผมไม่ชอบมันเลย ผมรู้จักชาวพื้นเมืองที่เป็นสุภาพบุรุษ และก่อนที่คุณจะอ่านเรื่องนี้จบคุณจะพูดว่าแฮร์รี่เพื่อนยาก และผมก็รู้จักคนขาวร้ายกาจที่มีเงินมากมายและเพิ่งจากบ้านมาที่ไม่ใช่สุภาพบุรุษเช่นกัน เอาละ จะอย่างไรก็ตามผมเกิดมาเป็นสุภาพบุรุษ แม้ผมจะไม่ใช่อะไรเลยนอกจากพ่อค้านักเดินทางตกยากและนายพรานตลอดชีวิตของผม ผมไม่รู้ว่าผมยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่หรือไม่ เรื่องนั้นคุณต้องตัดสินเอาเอง สวรรค์ทรงทราบว่าผมพยายามแล้ว ผมสังหารคนมากมายในช่วงชีวิตของผม กระนั้นผมก็ไม่เคยจงใจฆ่าอย่างไร้เหตุผล หรือทำให้มือแปดเปื้อนเลือดผู้บริสุทธิ์ แต่เพื่อป้องกันตัวเท่านั้น พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ชีวิตแก่เรา และผมเดาว่าพระองค์ตั้งพระทัยให้เราปกป้องชีวิตนั้นไว้ อย่างน้อยที่สุดผมก็ทำตามข้อนั้นเสมอ และผมหวังว่ามันจะไม่ย้อนกลับมาทำลายผมเมื่อถึงเวลาที่ผมต้องไปพบพระองค์ นั่นอย่างไรล่ะ โลกนี้มันโหดร้ายและชั่วช้า และสำหรับคนขลาดอาย ผมเข้าไปยุ่งกับการเข่นฆ่ามากมาย ผมบอกไม่ได้หรอกว่ามันถูกต้อง แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่เคยขโมย แม้ว่าครั้งหนึ่งจะเคยโกงฝูงปศุสัตว์จากชาวแคเฟอร์หรือคนผิวดำคนหนึ่ง แต่แล้วเขาก็เล่นงานผมอย่างเจ็บแสบ และตั้งแต่นั้นมามันก็รบกวนจิตใจผมยิ่งขึ้นอีก

            เอาละ ประมาณสิบแปดเดือนมาแล้วที่ผมได้พบกับเซอร์เฮนรี่ เคอร์ติสและกัปตันกู๊ดเป็นครั้งแรก และมันเป็นไปในแบบนี้ ผมไปล่าช้างเหนือเขตบามังวาโต (บอตสวานาในปัจจุบัน) แล้วเจอเข้ากับโชคร้าย การเดินทางครั้งนั้นผิดพลาดไปหมดทุกอย่าง และที่ยิ่งแย่คือผมเป็นไข้หนักพอดี ขึ้นไปได้ไม่เท่าไรผมก็เดินป่าไปยังไดมอนด์ฟีลด์ทางตอนเหนือของเคปที่มีเหมืองเพชรหลายแห่ง ขายงาช้างที่ผมมีพร้อมกับเกวียนและวัวเทียม เลิกจ้างพวกพรานแล้วขึ้นรถม้าเช่าไปเคป หลังใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ในเคปทาวน์ ผมก็พบว่าโรงแรมคิดค่าที่พักผมเกินราคา และเมื่อผมได้เห็นทุกอย่างที่มีให้เห็นแล้วรวมทั้งสวนพฤกษศาสตร์ที่ดูเหมือนเป็นไปได้ว่าจะมอบผลประโยชน์ใหญ่ให้แก่ประเทศ และอาคารรัฐสภาหลังใหม่ซึ่งผมคาดว่ามันคงจะไม่ได้ใช้งานแบบนั้นหรอก ผมก็ตัดสินใจกลับไปนาตาลโดยเรือดังเคลด์ ซึ่งจอดรออยู่ที่ท่ารอให้เรือเอดินบะระ แคสเซิล เข้าเทียบท่าจากอังกฤษ ผมซื้อตั๋วแล้วขึ้นเรือ แล้วบ่ายวันนั้นผู้โดยสารที่มาจากเรือเอดินบะระ แคสเซิล จะไปนาตาลก็เปลี่ยนเรือ แล้วเราก็ถอนสมอแล้วออกทะเล

            ท่ามกลางผู้โดยสารที่ขึ้นเรือมามีสองคนที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผม คนหนึ่งเป็นสุภาพบุรุษอายุประมาณสามสิบปี อาจเป็นชายอกล่ำแขนยาวที่สุดที่ผมเคยเห็น เขามีผมสีเหลือง เคราหนาสีเหลือง หน้าตาคมสัน และตาสีเทาคู่โตลึก ผมไม่เคยเห็นคนที่ดูดีอย่างนี้มาก่อน และอย่างไรก็ไม่รู้เขาทำให้ผมนึกถึงชาวเดนโบราณ ใช่ว่าผมรู้เรื่องชาวเดนโบราณมากนักหรอกนะ แต่ผมรู้จักชาวเดนสมัยใหม่คนหนึ่งที่โกงเงินผมไปสิบปอนด์ แต่ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยเห็นรูปภาพของพวกผู้ดีเหล่านั้นบางคน ที่ผมเข้าใจว่าเหมือนซูลูผิวขาว พวกเขาดื่มจากเขาสัตว์อันโต และผมของพวกเขายาวถึงกลางหลัง และขณะที่ผมมองเพื่อนร่วมทางที่ยืนอยู่ตรงนั้นข้างบันไดเรือ ผมก็คิดว่าถ้าเพียงแต่เขาปล่อยให้ผมยาวอีกสักหน่อย สวมเสื้อเกาะอ่อนบนบ่าใหญ่โตของเขา และถือขวานรบกับถ้วยเขาสัตว์ เขาอาจเป็นนายแบบของภาพนั้นได้เลย ว่าแต่มันเป็นเรื่องที่แปลกดีนะ และแสดงให้เห็นว่าสายเลือดมีความมุ่งมั่นอย่างไร ผมค้นพบในภายหลังว่าเซอร์เฮนรี่ เคอร์ติส ชื่อของชายร่างใหญ่ผู้นั้น มีสายเลือดเดนิชอยู่[2] เขายังเตือนให้ผมนึกถึงใครคนหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ตอนนั้นผมนึกไม่ออกว่าใคร

            ชายอีกคนที่ยืนคุยอยู่กับเซอร์เฮนรี่รูปร่างเตี้ยล่ำและคมเข้ม แตกต่างกันมาก ผมสงสัยทันทีว่าเขาเป็นนายทหารเรือ ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่ทหารเรือนั้นยากนักที่จะดูพลาด ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาผมเคยไปล่าสัตว์กับพวกนี้มาหลายคนแล้ว และพวกเขาก็พิสูจน์ตัวเองเสมอว่าเป็นสหายที่เก่งที่สุด กล้าหาญที่สุด และน่าคบหาที่สุดเท่าที่ผมเคยพบ แม้จะชอบใช้ภาษาหยาบคายก็ตาม

            หน้าหรือสองหน้าที่แล้วผมถามว่าสุภาพบุรุษคืออะไร ผมจะตอบคำถามนั่นเดี๋ยวนี้ : นายทหารเรือหลวงนี่แหละ ในแบบทั่วไปนะ แม้แน่นอนว่าอาจมีแกะดำในกลุ่มตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง ผมเดาว่าเพราะท้องทะเลกว้างใหญ่ และสายลมที่เป็นลมหายใจของพระเจ้าที่ชะล้างหัวใจของพวกเขาและพัดความขมขื่นออกจากใจทำให้พวกเขาเป็นชายชาตรีอย่างที่ควรจะเป็น เอาละกลับมาที่ผมอีกครั้ง ผมสอบถามจนแน่ใจว่าเขาเคยเป็นนายทหารเรือ เรือโทในวัยสามสิบเอ็ดปี ผู้ที่หลังจากรับราชการสิบเจ็ดปีก็ลาออกจากราชการทหารขององค์ราชินีโดยไม่ได้รับเกียรติจากยศชั้นผู้บังคับการเรือ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้รับการเลื่อนขั้น นี่คือสิ่งที่ผู้รับใช้องค์ราชินีต้องคาดไว้แล้ว ว่าจะถูกเตะโด่งออกสู่โลกอันหนาวเหน็บเพื่อหาหนทางเลี้ยงชีพตอนที่พวกเขาเริ่มจะเข้าใจงานของตัวเองจริงๆ และกำลังจะถึงช่วงสำคัญของชีวิต เอ้อ ผมเดาว่าพวกเขาคงไม่คิดอะไร แต่สำหรับผม ผมขอหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นพรานดีกว่า อาจจะหาเงินได้ยากเข็ญสักหน่อยแต่ก็ไม่โดนเตะมากมายเท่าไร ผมพบจากการพลิกดูรายชื่อผู้โดยสารว่าชื่อของเขาคือกู๊ด กัปตันจอห์น กู๊ด เขาเป็นคนตัวใหญ่ สูงปานกลาง ล่ำ และค่อนข้างน่าสนใจที่จะมองดู เขาเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก โกนหนวดเคราเกลี้ยงเกลา และสามแว่นตาเดียวที่ตาขวาเสมอ มันดูอย่างกับงอกขึ้นตรงนั้นเพราะไม่มีสาย และเขาไม่เคยถอดมันออกเลยนอกจากเพื่อเช็ด ตอนแรกผมคิดว่าเขาสวมมันนอนด้วย แต่ภายหลังก็พบว่านั่นเป็นการเข้าใจผิด เขาเก็บมันไว้ในกระเป๋ากางเกงตอนเข้านอนต่างหาก พร้อมด้วยฟันปลอม ที่เขามีอย่างดีสองชุด จนผมที่ไม่มีเลยสักชุดเกือบจะละเมิดบัญญัติสิบประการข้อที่สิบที่ต้องไม่ปรารถนาลูกเมียและทรัพย์สินของเพื่อนบ้านอยู่บ่อยครั้ง แต่ผมยั้งใจไว้ไม่ให้มันเกิดขึ้น

            หลังจากเราถอนสมอไม่นานยามเย็นก็มาถึงแล้วนำอากาศเลวร้ายมากมาด้วย ลมแรงจัดพัดมาจากแผ่นดิน และไม่ช้าหมอกหนาแบบสก็อตก็ขับไล่ทุกคนไปจากดาดฟ้า สำหรับเรือดังเคลด์ เป็นเรือท้องแบนและบรรทุกของเบาจึงโคลงเคลงมาก เกือบดูเหมือนว่ามันจะพลิกคว่ำแต่ก็ไม่ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินไปมา ผมยืนอยู่ใกล้ๆ เครื่องยนต์ที่อบอุ่น แล้วทำให้ตัวเองเพลิดเพลินด้วยการเฝ้าดูลูกตุ้มที่ติดตั้งอยู่ตรงข้ามกับตนแกว่งไปมาช้าๆ ขณะที่เรือโคลงเคลง และบันทึกมุมของเรือทุกครั้งที่มันเอียง

            “ลูกตุ้มนั่นผิดแล้ว มันถ่วงไว้ไม่ดีพอ” จู่ๆ เสียงหนึ่งก็พูดขึ้นข้างบ่าผม น้ำเสียงออกจะโมโหหน่อยๆ ผมหันไปเห็นนายทหารเรือที่ผมสังเกตตอนผู้โดยสารขึ้นเรือ

            “หรือครับ อะไรทำให้คุณคิดเช่นนั้นล่ะ” ผมถาม

            “คิดรึ ผมไม่ได้คิดสักหน่อย นั่นไงล่ะ” ขณะที่เรือตั้งตรงหลังจากโคลง “ถ้าเรือเอนถึงองศาที่เจ้านั่นชี้จริงๆ มันคงไม่ได้โคลงอีกแล้ว ก็เท่านั้นละ แต่พวกกัปตันเรือสินค้าก็อย่างนี้แหละ พวกเขาสะเพร่าเป็นบ้าเลย”

            ระฆังบอกอาหารเย็นในตอนนั้นเอง และผมไม่เสียใจเลย เพราะการฟังนายทหารของกองทัพเรือพูดถึงหัวข้อนั้นมันเลวร้ายมาก และผมแค่รู้เรื่องเลวร้ายที่สุดเพิ่มอีกอย่างนั่นคือการได้ฟังกัปตันเรือสินค้าแสดงความเห็นจริงใจเกี่ยวกับนายทหารของราชนาวี

            กัปตันกู๊ดกับผมลงไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน และเราพบเซอร์เฮนรี่ เคอร์ติสนั่งอยู่แล้วที่นั่น เขากับกัปตันกู๊ดถูกจัดให้นั่งข้างกัน และผมนั่งตรงข้ามกับพวกเขา ไม่ช้ากัปตันกับผมก็คุยกันเรื่องยิงปืนและอื่นๆ อีกมากมาย เขาถามผมหลายคำถาม แล้วผมก็ตอบเท่าที่ทำได้ ไม่ช้าเขาก็พูดถึงช้าง

            “อา ครับ” ใครคนหนึ่งที่นั่งใกล้ผมร้องออกมา “เรื่องนั้นคุณคุยด้วยถูกคนแล้ว นายพรานควอเตอร์เมนน่าจะบอกคุณเรื่องช้างได้มากกว่าคนอื่น”

            เซอร์เฮนรี่ที่นั่งฟังเราคุยกันเงียบๆ สะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด

            “ขอโทษครับ” เขาพูด พลางชะโงกตัวข้ามโต๊ะมาแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำซึ่งผมรู้สึกว่าเป็นเสียงเหมาะเจาะที่สุดที่ออกมาจากปอดอันยิ่งใหญ่นั่นว่า “ขอโทษครับคุณ แต่คุณชื่ออลัน ควอเตอร์เมนหรือเปล่า”

            ผมตอบว่าใช่

            ชายร่างใหญ่ไม่พูดอะไรต่อ แต่ผมได้ยินเขาพึมพำอยู่ในเคราว่า “โชคดีจริง”

            ไม่ช้าอาหารเย็นก็สิ้นสุด และขณะที่เรากำลังออกจากห้องอาหารเซอร์เฮนรี่ก็เดินเอื่อยๆ มาถามผมว่าจะไปห้องพักเขาเพื่อสูบยาเส้นไหม ผมตอบรับแล้วเขาก็นำทางไปที่ห้องพักบนดาดฟ้าของเรือดังเคลด์ เป็นห้องพักที่ดีจริงๆ มันเคยเป็นสองห้องมาก่อน แต่ตอนที่เซอร์การ์เน็ต โลว์สลีย์ที่เคยเป็นผู้ว่าการของอาณานิคมนาตาลหรือหนึ่งในพวกคนใหญ่โตนั่นล่องตามชายฝั่งด้วยเรือดังเคลด์ ฝากั้นก็ถูกถอดออกแล้วไม่เคยติดกลับไปอีกเลย ในห้องพักมีเก้าอี้นวมยาวกับโต๊ะตัวเล็กๆ ตรงหน้าเก้าอี้ เซอร์เฮนรี่ส่งพนักงานรับใช้ในเรือไปเอาวิสกี้มาขวดหนึ่ง แล้วเราสามคนก็นั่งลงจุดกล้องยาเส้น

            “มิสเตอร์ควอเตอร์เมน” เซอร์เฮนรี่ เคอร์ติสเอ่ยเมื่อพนักงานนำวิสกี้มาให้แล้วจุดตะเกียง “ผมเชื่อว่าเวลาประมาณนี้ของสองปีก่อนคุณอยู่ที่สถานที่หนึ่งที่เรียกว่าบามังวาโต ทางตอนเหนือของทราน-
สวาล”

            “ใช่ครับ” ผมตอบ ค่อนข้างประหลาดใจที่สุภาพบุรุษผู้นี้รู้ถึงความเคลื่อนไหวของผมเป็นอย่างดี ซึ่งเท่าที่ผมล่วงรู้มันยังไม่ถือว่าเป็นที่สนใจทั่วไป

            “คุณทำการค้าที่นั่นใช่ไหมครับ” กัปตันกู๊ดแทรกขึ้น ในแบบฉับไวของเขา

            “ครับ ผมขนสินค้าเต็มเกวียน ตั้งค่ายพักนอกที่ตั้งถิ่นฐาน แล้วหยุดอยู่ที่นั่นจนกระทั่งขายของหมด”

            เซอร์เฮนรี่นั่งตรงข้ามกับผมบนเก้าอี้สานสไตล์มาเดรา แขนเขาพาดอยู่บนโต๊ะ ตอนนี้เขาเงยหน้าขึ้น ตาสีเทาคู่โตจับจ้องหน้าผมเต็มๆ ผมคิดว่าในสายตานั่นมีความกังวลแปลกๆ อยู่

            “คุณบังเอิญพบกับชายชื่อเนวิลล์ที่นั่นบ้างไหมครับ”

            “อ๋อ ครับ เขาปักหลักอยู่ข้างๆ กับผมสักสิบห้าวันเพื่อพักวัวก่อนจะเดินทางลึกเข้าไปต่อ เมื่อสองสามเดือนก่อนมีจดหมายมาจากทนายความคนหนึ่งถามว่าผมทราบไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ซึ่งผมก็ตอบไปเท่าที่ตอบได้ในเวลานั้น”

            “ครับ” เซอร์เฮนรี่พูด “จดหมายของคุณถูกส่งต่อมาให้ผม คุณบอกไว้ในนั้นว่าสุภาพบุรุษชื่อเนวิลล์ออกจากบามังวาโตตอนต้นเดือนพฤษภาคม ด้วยเกวียนพร้อมคนขับ คนรับใช้ที่ทำหน้าที่ต้อนวัว และพรานชาวแคเฟอร์ชื่อจิม ประกาศเจตนาว่าถ้าเป็นไปได้จะเดินทางไปไกลถึงอินยาติ เมืองท่าค้าขายไกลสุดในประเทศมาตาบีลี ที่ที่เขาจะขายเกวียนแล้วเดินเท้าต่อ คุณยังบอกอีกว่าเขาขายเกวียนไปจริง เพราะหลังจากนั้นหกเดือนคุณเห็นเกวียนคันนั้นอยู่ในขบวนของพ่อค้าชาวโปรตุเกสที่บอกคุณว่าเขาซื้อมันที่อินยาติจากชายผิวขาวที่เขาลืมชื่อไปแล้ว และเขาเชื่อว่าชายผิวขาวผู้นั้นกับคนรับใช้ชาวพื้นเมืองคนหนึ่งได้ออกเดินทางลึกเข้าไปในพื้นทวีปเพื่อไปล่าสัตว์”

            “ใช่ครับ”

            จากนั้นก็เงียบกันไปประเดี๋ยว

            “มิสเตอร์ควอเตอร์เมนครับ” เซอร์เฮนรี่เอ่ยขึ้นกะทันหัน “ผมคาดกว่าคุณไม่รู้หรือไม่สามารถเดาอะไรได้มากกว่านี้ถึงสาเหตุที่มิสเตอร์
เนวิลล์เดินทางขึ้นเหนือ หรือการเดินทางนั้นชี้ไปยังจุดไหนกระมัง”

            “ผมได้ยินข่าวบางอย่างครับ” ผมตอบแล้วหยุด หัวข้อนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่ผมไม่อยากพูดถึง

            เซอร์เฮนรี่กับกัปตันกู๊ดมองหน้ากัน แล้วกัปตันกู๊ดก็พยักหน้า

            “มิสเตอร์ควอเคอร์เมนครับ” คนแรกพูด “ผมกำลังจะบอกคุณเรื่องหนึ่งและขอคำแนะนำจากคุณ และอาจจะเป็นความช่วยเหลือด้วย ตัวแทนที่ส่งต่อจดหมายคุณมาบอกผมว่าผมอาจพึ่งพาความหมายโดยนัยของมันได้” เขาพูด “เนื่องจากคุณเป็นที่รู้จักดีและเป็นที่นับถืออย่างกว้างขวางในนาตาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีชื่อด้านสุขุมรอบคอบ”

            ผมค้อมคำนับแล้วดื่มวิสกี้กับน้ำหน่อยหนึ่งเพื่อซ่อนความสับสน เพราะผมเป็นคนถ่อมตน แล้วเซอร์เฮนรี่ก็พูดต่อว่า

            “มิสเตอร์เนวิลล์เป็นน้องชายผมเองครับ”

            “โอ้” ผมพูดแล้วสะดุ้ง เพราะตอนนี้ผมรู้แล้วว่า เซอร์เฮนรี่ทำให้ผมนึกถึงใครตอนที่ผมเห็นเขาครั้งแรก น้องชายของเขารูปร่างเล็กกว่ามากและมีเคราสีเข้ม แต่ตอนนี้เมื่อมาคิดดูเขามีดวงตาสีเทาเฉดเดียวกันและคมกริบแบบเดียวกัน หน้าตาก็ใช่ว่าจะไม่คล้าย

            “เขาน่ะ” เชอร์เฮนรี่พูดต่อ “เป็นน้องชายคนเดียวของผม และจนกระทั่งห้าปีก่อนผมไม่เคยคิดเลยว่าเราจะแยกจากกันได้เกินหนึ่งเดือน แต่เมื่อห้าปีก่อนนี้เองที่เราโชคร้ายอย่างที่บางครั้งก็เกิดขึ้นในครอบครัวอื่นๆ เราทะเลาะกันอย่างรุนแรง และด้วยความโกรธผมได้กระทำกับน้องชายอย่างไม่ยุติธรรม”

            ตรงนี้กัปตันกู๊ดพยักหน้ากับตัวเองอย่างกระตือรือร้น เรือโคลงเคลงหนัก ตอนนั้นเองกระจกเงาที่ติดตั้งไว้ตรงข้ามกับเราทางกราบขวาเรือเกือบอยู่เหนือศีรษะเราครู่หนึ่ง และขณะที่ผมนั่งเอามือล้วงกระเป๋าและจ้องมองขึ้นไปข้างบนผมจึงเห็นเขาพยักหน้าหงึกๆชัดเจน

            “ผมกล้าพูดได้เลยว่าคุณรู้” เซอร์เฮนรี่พูดต่อ “ว่าถ้าชายผู้หนึ่งตายโดยมิได้ทำพินัยกรรมและไม่มีทรัพย์สมบัตินอกจากที่ดิน ที่ในอังกฤษเรียกว่าอสังหาริมทรัพย์ มันจะตกแก่บุตรชายคนโตของเขา บังเอิญว่าตอนที่เราทะเลาะกันนั้นบิดาของเราเสียชีวิตโดยมิได้ทำพินัยกรรม ท่านผัดการทำพินัยกรรมออกไป จนกระทั่งสายเกินไป ผลก็คือน้องชายของผมที่ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูให้มีความสามารถทำงานอาชีพใดๆ ไม่ได้มรดกสักแดงเดียว แน่ละว่าต้องเป็นหน้าที่ของผมที่จะจัดหาให้เขา แต่ในตอนนั้นการทะเลาะเบาะแว้งของเราหนักหนาสาหัสเสียจนผมไม่—ผมละอายที่จะพูดออกมา (แล้วเขาก็ถอนใจเฮือก)—ไม่เสนอตัวว่าจะทำอะไรทั้งสิ้น ใช่ว่าผมไม่เต็มใจให้ความยุติธรรมแก่เขาหรอก แต่ผมรอให้เขาเริ่มก่อน แต่เขาไม่ทำ ผมขอโทษที่รบกวนคุณด้วยเรื่องทั้งหมดนี้นะครับมิสเตอร์ควอเตอร์เมน แต่ผมต้องบอกเล่าให้กระจ่าง เอ่อ...กู๊ด”

            “จริงทีเดียว จริงทีเดียว” กัปตันพูด “ผมแน่ใจว่ามิสเตอร์ควอเตอร์เมนจะเก็บเรื่องราวประวัติศาสตร์นี้ไว้กับตัวเอง”

            “แน่นอนครับ” ผมพูด เพราะผมค่อนข้างภูมิใจในการระวังปากคำของตัวเอง

            “เอาละ” เซอร์เฮนรี่เล่าต่อ “ในเวลานั้นน้องชายของผมมีเงินสองสามร้อยปอนด์ในบัญชี เขาถอนเงินจำนวนเล็กน้อยนั้นไปโดยไม่บอกอะไรผมสักคำ แล้วเปลี่ยนไปใช้ชื่อเนวิลล์ ออกเดินทางไปแอฟริกาใต้ ด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะร่ำรวย เรื่องนี้ผมมารู้ภายหลัง เวลาผ่านไปสามปี ผมไม่ได้ยินข่าวอะไรจากน้องชายเลยแม้ผมจะเขียนถึงเขาตั้งหลายครั้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจดหมายไม่เคยไปถึงเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมก็ยิ่งกังวลเรื่องเขามากขึ้นทุกที มิสเตอร์ควอเตอร์เมนครับ ผมพบว่าเลือดข้นกว่าน้ำน่ะ”

            “จริงทีเดียวครับ” ผมตอบพลางคิดถึงแฮร์รี่ลูกชาย

            “มิสเตอร์ควอเตอร์เมนครับ” ผมพบว่า ผมยอมยกทรัพย์สมบัติให้ครึ่งหนึ่งเลยเพื่อแลกกับการได้รู้ว่าจอร์จ น้องชายผม ญาติเพียงคนเดียวที่ผมมี ปลอดภัยสบายดี และผมจะได้พบกับเขาอีก”

            “แต่คุณก็ไม่เคยได้พบนี่เคอร์ติส” กัปตันกู๊ดโพล่งขึ้นมาพลางเหลียวมองใบหน้าชายร่างใหญ่

            “เอาละครับมิสเตอร์ควอเตอร์เมน เมื่อเวลาผ่านไปผมก็กังวลมากขึ้นเรื่อยๆ อยากรู้ว่าน้องชายของผมเป็นหรือตาย และถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็อยากพาเขากลับบ้านอีกครั้ง ผมเที่ยวสอบถามแล้วจดหมายของคุณก็เป็นหนึ่งในผลตอบรับ เท่าที่บอกมาในจดหมายก็น่าพอใจครับเพราะนั่นแสดงว่าจอร์จยังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งไม่นานมานี้ แต่มันยังไม่พอ ฉะนั้นพูดสั้นๆ ก็คือผมตัดสินใจออกมาตามหาเขาด้วยตัวเอง และกัปตันกู๊ดก็กรุณามากที่มากับผม”

            “ครับ” กัปตันพูด “คืองี้ ผมไม่มีอะไรอื่นให้ทำน่ะ การเกษียณจากกระทรวงทหารเรือด้วยค่าจ้างครึ่งหนึ่งทำผมแทบอดตาย แล้วทีนี้คุณครับ บางทีคุณอาจบอกเราได้ว่าคุณรู้อะไรหรือได้ยินข่าวอะไร
เกี่ยวกับสุภาพบุรุษที่ชื่อเนวิลล์บ้าง”



[1] พวกฮอลันดาที่อพยพไปอยู่ในแอฟริกาใต้ ทำสงครามกับอังกฤษในปี ค.ศ. 1899

 

[2] ความคิดของมิสเตอร์ควอเตอร์เมนเกี่ยวกับชาวเดนโบราณดูเหมือนค่อนข้างสับสน เราเข้าใจเสมอมาว่าพวกเขาผมสีเข้ม เขาอาจจะกำลังคิดถึงพวกแซ็กซันอยู่ก็ได้

 

 

รายละเอียด

ประวัตินักประพันธ์

H. Rider Haggard

ฮนรี่ ไรเดอร์ แฮกการ์ด ซึ่งกลายมาเป็นหนึ่งในนักเขียนยอดนิยมแห่งยุค เกิดที่เมืองบราเดนแฮม มณฑลนอร์ฟอล์ก ประเทศอังกฤษ วันที่ 22 มิถุนายน 1856 บิดาของเขาคือวิลเลียม เมย์โบห์ม ไรเดอร์ แฮกการ์ด เป็นทายาทของตระกูลเก่าแก่แห่งนอร์ฟอล์ก (พวกแฮกการ์ดอ้างว่าเป็นผู้สืบทอดจากอัศวินชาวเดนนิช) เป็นเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ในชนบทรุ่นที่สามของบราเดนแฮม ประกอบด้วยที่ดินหลายร้อยเอเคอร์ มารดาของเขาคือเอลลา ดอฟตัน แฮกการ์ด เติบโตมาในบอมเบย์ เธอเป็นนักเขียนสมัครเล่น ตีพิมพ์บทกวีที่ชื่อ “Myra, or the Rose of the East : A Tale of the Afghan War” ในปี 1857

            ไรเดอร์เป็นบุตรคนที่แปด (บุตรชายคนที่หก) ของลูกๆ ทั้งสิบคน ในวัยเด็กเขาถูกมองว่าเป็นเด็กช่างฝัน สมองทึบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบิดา แต่มารดาของเขากลับเห็นความคิดสร้างสรรค์บางอย่างเช่นเดียวกับตัวเธอเอง จึงสนับสนุนจินตนาการของเขา นอกจากนั้นลิเลียส บุตรสาวของแฮกการ์ดเล่าในชีวประวัติที่เธอเขียนถึงบิดาซึ่งมันอาจจะไม่ถูกต้องนักว่า ไรเดอร์น้อยสงบลงหรืออย่างน้อยก็ควบคุมอารมณ์ได้ตอนเข้านอน เมื่อพี่เลี้ยงทิ้งให้เขาอยู่ในความดูแลของ “ตุ๊กตาเสียกบาลน่าเกลียดน่ากลัว ตาทำด้วยกระดุมรองเท้าบู๊ต ผมจากขนสัตว์สีดำ และวาดหน้ายิ้มอย่างชั่วร้าย” ตุ๊กตาตัวนั้นชื่อ “เธอ—ผู้—ต้อง—เชื่อฟัง” ชื่อที่ท้ายที่สุดไรเดอร์ แฮกการ์ดก็เอาไปใช้ในวรรณกรรม

            เนื่องจากการดูแคลนของบิดา ไรเดอร์จึงปฏิเสธการศึกษาอันเหมาะสมที่พี่ชายน้องชายของเขาได้รับ แล้วเขาก็ได้รับการสอนแบบตามบุญตามกรรมที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในลอนดอนและโรงเรียนมัธยมอิปสวิช เขาสอบตกในการเข้ากองทัพในปี 1873 บิดาจึงส่งเขาไปลอนดอนยัง “สถาบันกวดวิชา” เพื่อเตรียมเข้าทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ

            ที่ลอนดอนแฮกการ์ดพบกับเลดี้แอนน์ พอเล็ต คนทรงที่เขาไปเข้าร่วมในการเข้าทรงอันน่าตื่นตกใจ จนหลังจากนั้นเขาก็สาบานว่าจะไม่ข้องแวะกับการติดต่อกับวิญญาณผ่านคนทรงเช่นนี้อีก (แม้ว่าเขาจะเขียนถึงมันบ่อยๆ) เขาได้พบและตกหลุมรักกับแมรี่ เอลิซาเบธ แจ็กสัน ที่เรียกกันว่า “ลิลลี่” บุตรสาวของชาวนาผู้ร่ำรวยในยอร์กเชียร์ บิดาของไรเดอร์คัดค้านความรักนั้น และไรเดอร์ที่รู้ตัวว่าไม่มีทั้งเงินและหน้าที่การงานจึงระงับการขอแต่งงานไว้ก่อน

            ในปี 1875 บิดาส่งเขาไปอาณานิคมของอังกฤษที่นาตาลในแอฟริกาใต้ เพื่อเป็นเลขานุการที่ไม่ได้รับค่าจ้างของเซอร์เฮนรี่ บัลเวอร์ รองผู้ว่าการของนาตาล (และหลานของนักเขียนนวนิยาย เอ็ดเวิร์ด บุลเวอร์-ลิตตัน) ตอนที่แฮกการ์ดไปเยือนบริเวณตอนในของดินแดนนั้นเขาได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ภาษา และประเพณีมากมายของชนเผ่าซูลูที่เขาเขียนถึงอย่างน่าทึ่งที่สุดใน King Solomon’s Mines (1885), และเรื่องไตรภาคซูลูของเขา Marie (1912), Child of Storm (1913) และ Finished (1917)

            เขากลายเป็นผู้อยู่ในอุปถัมป์ของเซอร์ธีโอฟีอัส เชปสโตน เลขานุการกิจการชนพื้นเมือง ช่วยเชปสโตนในภารกิจยึดครองทราน-สวาลให้แก่รัฐบาลอังกฤษ เช่นเดียวกับช่วยชักธงชาติอังกฤษในพรีโตเรีย ในปี 1877 ท้ายที่สุดแฮกการ์ดก็กลายเป็นหัวหน้าสำนักทะเบียนราษฎรของศาลสูงของทรานสวาล

            กระทั่งแฮกการ์ดผู้มั่นคงในอาชีพการงานแล้วตั้งใจจะกลับไปอังกฤษเพื่อขอแต่งงานกับลิลลี่ แต่บิดาเขาเขียนถึงเขาอย่างโกรธขึ้ง สั่งให้เขาอยู่ที่เดิมและมุ่งมั่นทำงาน ท้ายที่สุดลิลลี่ก็แจ้งข่าวมาว่าเธอกำลังจะแต่งงานกับคนอื่น แฮกการ์ดยังคงรักเธอจนวันตาย และหวังในใจอยู่ตลอดเวลาว่าพวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันในชีวิตหลังความตาย

            กระนั้นเขาก็ยังกลับไปอังกฤษ ที่ซึ่งเขาพบกับมาริอานา ลุยซา มาร์กิตสัน รู้จักในนาม “ลูอี้” และแต่งงานกันในปี 1880 (ครั้งนี้การคัดค้านมาจากฝั่งหญิง จากลุงคนหนึ่งที่คิดว่าแฮกการ์ดเป็นคู่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับหลานสาวเขา) เขาย้ายกลับไปแอฟริกาใต้ยังทราน-สวาลกับเจ้าสาว ที่ซึ่งแฮกการ์ดเป็นเจ้าของร่วมในฟาร์มนกกระจอกเทศก่อนเกิดสงครามแองโกล-บัวร์ครั้งแรก เมื่อสถานการณ์เริ่มอันตรายพวกเขาก็กลับไปอังกฤษพร้อมบุตรชายคนแรกที่เพิ่งเกิดคือ อาร์เธอร์ จอห์น หรือ “จ๊อก” (พวกแฮกการ์ดมีบุตรสี่คน จ๊อก, แอกเนส แองเจลา, โดโรธี และลิเลียส)

            เมื่อกลับมาบ้านแฮกการ์ดก็ศึกษากฎหมายและได้เป็นทนายความในปี 1884 แต่เขาไม่ค่อยได้ว่าความเนื่องจากติดใจอาชีพนักเขียนเข้าเสียแล้ว โดยหนังสือเล่มแรกของเขาเป็นแนวสารคดีชื่อ Cetywayo and His White Neighbours ; or, Remarks on Recent Events in Zululand พิมพ์ปี 1882 นอกจากนี้เขายังเขียนนวนิยายที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนักสองเรื่อง คือ Dawn (1882) และ The Witch’s Head (1884)

            โชคทางวรรณกรรมและการเงินของแฮกการ์ดเปลี่ยนไปเพราะเดิมพันห้าชิลลิงกับหนึ่งในพี่ชายของเขาว่า เขาจะสามารถ
เขียนนวนิยายที่ประสบความสำเร็จกว่า เกาะมหาสมบัติ ของโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสันได้ แฮกการ์ดจึงเขียนเรื่อง King Solomon’s Mines เสร็จอย่างรวดเร็วภายในหกสัปดาห์ นับว่าเป็นการเขียนอย่างด่วนจี๋และโฆษณา “น่าทึ่งที่สุดที่เคยมีการเขียนขึ้นมา” เรื่องราวกล่าวคือการผจญภัยในแอฟริกา เนื้อหาเด่น เกี่ยวกับการค้นหาเพชรที่สาบสูญ แผนที่สมบัติ ราชาผิวดำผู้สูงส่งถูกเนรเทศ และแม่มดผู้ชั่วร้ายนั้นประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม   ในเดือนกันยายน 1885 นิยายเรื่องนั้นก็ขายในอังกฤษได้ถึงสามหมื่นเล่ม และในช่วงที่แฮกการ์ดยังมีชีวิตอยู่มีการจัดพิมพ์กว่าครึ่งล้านเล่ม

 

 

อารัมภบท

มื่อหนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์แล้วและกำลังจะส่งมอบสู่โลก ความรู้สึกถึงข้อบกพร่องของมัน ทั้งสไตล์และเนื้อหาถ่วงหนักอยู่ในใจผม สำหรับอย่างหลังผมบอกได้แต่เพียงว่ามันไม่ได้มีเรื่องเต็มๆ ของทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำและเห็นมา มีหลายสิ่งเชื่อมโยงกับการเดินทางของเราสู่ดินแดนคูกัวนาที่ผมอยากเขียนถึงอย่างยืดยาวเต็มที่ แต่ปรากฏว่าแทบไม่ได้พาดพิงถึงเลย นอกจากนั้นก็มีตำนานแปลกๆ น่าสนใจที่ผมรวบรวม เกี่ยวกับเกราะอ่อนที่ช่วยชีวิตเราจากหายนะในศึกใหญ่ที่ลู และยังเรื่อง “ผู้เงียบงัน” หรือรูปสลักยักษ์ที่ปากถ้ำหินงอกหินย้อย อีกครั้งถ้าผมทำอะไรตามใจชั่ววูบของตัวเองได้ผมก็อยากพูดถึงความแตกต่างระหว่างภาษาถิ่นของซูลูกับคูกัวนา และอาจมีสักสองสามหน้าที่มอบให้กับการพิจารณาพืชและสัตว์ในท้องถิ่นของคูกัวนา ผมค้นพบกวางแอนทีโลปแปดชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและพืชสายพันธุ์ใหม่อีกมากมาย จากนั้นก็ยังเหลือหัวข้อที่น่าสนใจที่สุด—ที่เข้าไปยุ่งได้โดยไม่ได้วางแผนไว้เท่านั้น—ในเรื่องระบบที่เยี่ยมยอดของการจัดการทางทหารของประเทศนั้น ซึ่งในความเห็นของผมเหนือกว่าการจัดการโดยชากาผู้นำที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของซูลูมาก เนื่องจากมันเปิดโอกาสให้มีการระดมพลที่รวดเร็วยิ่งกว่า และไม่จำเป็นต้องใช้ระบบที่มีผลเสียหายตามมาอย่างการบังคับให้ถือพรหมจรรย์ และสุดท้ายผมแทบไม่ได้พูดถึงขนบธรรมเนียมในบ้านและครอบครัวของพวกคูกัวนาเลย ซึ่งมีหลายอย่างที่แปลกและน่าสนใจมาก หรือเรื่องความเชี่ยวชาญในศิลปะของการถลุงและหลอมโลหะ พวกเขาขัดเกลาศาสตร์แขนงนี้จนสมบูรณ์แบบ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างของ “โทลลา” หรือมีดปาที่มีน้ำหนักมาก ส่วนหลังของอาวุธนี้ทำจากเหล็กตอก และขอบคมของเหล็กอันสวยงามนั่นตีด้วยทักษะอันช่ำชองให้เป็นรูปทรง ผมคิดว่าข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ก็คือ สำหรับเซอร์เฮนรี่และกัปตันกู๊ดนั้นแผนที่ดีที่สุดคือเล่าเรื่องของผมในแบบเรียบๆ ตรงไปตรงมา แล้วทิ้งเรื่องเหล่านี้ไว้ให้จัดการภายหลังด้วยวิธีใดก็ตามแต่ที่ต้องการ แน่นอนว่าในระหว่างนั้นผมจะยินดีให้ข้อมูลที่อยู่ในอำนาจของผมทั้งหมดแก่ใครก็ตามที่สนใจในเรื่องเช่นนี้

            และบัดนี้ก็เหลือแค่ให้ผมขออภัยในวิธีการเขียนแบบทื่อๆ ของผม ผมได้แต่พูดแก้ตัวว่าผมคุ้นเคยกับการถือปืนยาวมากกว่าปากกา และไม่สามารถแสร้งเล่นสำนวนภาษาสวยหรูที่ผมเห็นในนวนิยาย
ได้—บางครั้งผมก็ชอบอ่านนวนิยายนะ ผมเดาว่า—ผู้คนคงชอบอ่านภาษาที่สละสลวย และผมเสียใจที่ไม่สามารถทำให้ได้ แต่ขณะเดียวกันผมอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งเรียบง่ายมักน่าประทับใจที่สุดเสมอ และหนังสือก็เข้าใจได้ง่ายกว่าเมื่อเขียนด้วยภาษาธรรมดาๆ แม้ว่าผมอาจไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นในเรื่องแบบนั้น คำกล่าวของคูกัวนาบอกไว้ว่า “หอกอันแหลมคมไม่จำเป็นต้องลับ” และด้วยกฎเดียวกันนั้นผมจึงเสี่ยงเขียน โดยหวังว่าเรื่องที่จริงแท้ไม่ว่ามันจะแปลกประหลาดแค่ไหนก็คง
ไม่จำเป็นต้องประดับประดาด้วยถ้อยคำสวยหรู

 

อลัน ควอเตอร์เมน


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (71 รายการ)

www.batorastore.com © 2024