Adventures of Huckleberry Finn (การผจญภัยของ ฮักเคิลเบอร์รี่ ฟินน์)

Adventures of Huckleberry Finn (การผจญภัยของ ฮักเคิลเบอร์รี่ ฟินน์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: huckleberry
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 320.00 บาท

เนื้อหาบางส่วน

Adventures of

Huckleberry

Finn

Jim_and_ghost_huck_finn.tif

หนังสือเล่มนี้มีการใช้ภาษาถิ่นหลายภาษาดังนี้ ภาษาถิ่นของชาวนิโกรในมิซซูรี ภาษาถิ่นแบบสุดโต่งในป่าแถบตะวันออกเฉียงใต้ ภาษาถิ่นแบบธรรมดาของไพค์ เคาน์ตี้ และภาษาถิ่นอีกสี่แบบที่แตกออกมาจากภาษาของไพค์ เคาน์ตี้ ภาษาถิ่นต่างๆ นี้ไม่ได้เขียนขึ้นอย่างไม่มีความตั้งใจหรือจากการคาดเดา แต่เขียนขึ้นด้วยความพยายามและได้รับ คำแนะนำที่วางใจได้จากบุคคลที่คุ้นเคยกับภาษาพูดท้องถิ่นเหล่านี้

ผมเขียนคำอธิบายขึ้นด้วยเหตุผลว่า ถ้าผมไม่เขียน ผู้อ่านหลายท่านอาจจะคิดว่าตัวละครเหล่านี้พยายามที่จะพูดแบบเดียวกันโดยที่ไม่ประสบความสำเร็จ

มาร์ก ทเวน

คำเตือน

คนที่พยายามหาแรงจูงใจจากเรื่องนี้จะถูกฟ้องร้อง คนที่พยายามหาศีลธรรมในเรื่องนี้จะถูกเนรเทศ คนที่พยายามหาโครงเรื่องของเรื่องนี้จะถูกยิง

เป็นคำสั่งของผู้เขียน

ผ่าน จี.จี. เจ้ากรมสรรพาวุธทหารบก

คำอธิบาย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่

1

คุณจะไม่รู้จักผม ถ้าคุณยังไม่ได้อ่านหนังสือที่มีชื่อว่า การผจญภัยของทอม ซอเยอร์ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ หนังสือเล่มนั้นเขียนขึ้นโดยมิสเตอร์ มาร์ก ทเวน และเขาก็ได้เล่าเรื่องจริงเป็นส่วนใหญ่ มันมีสิ่งที่เขาปรับเปลี่ยนบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาก็เล่าความจริง มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผมไม่เคยเห็นใครที่ไม่เคยโกหกไม่ว่าครั้งใดก็ครั้งหนึ่ง คนที่ไม่เคยโกหกก็อาจจะมีป้าพอลลี หรือไม่ก็หญิงม่าย หรืออาจจะเป็นแมรี่ ป้าพอลลีคือป้าของทอม ใช่เธอนั่นล่ะ และแมรี่ และม่ายหญิงดักลาสคือผู้บอกเล่าหนังสือเล่มนั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นหนังสือที่เล่าความจริงโดยที่มีการปรับเปลี่ยนบ้างอย่างที่ผมได้พูดไปแล้ว

หนังสือเล่มนั้นจบลงอย่างนี้ ทอมและผมพบเงินที่เหล่าโจรซ่อนไว้ในถ้ำ และมันทำให้พวกเราร่ำรวยขึ้นมา พวกเราได้ทองคนละหกพันดอลลาร์ มันดูเยอะจริงๆ เมื่อวางกองรวมกันไว้ อย่างไรก็ดี เมื่อผู้พิพากษาแธทเชอร์เอามันไปและเอาไปลงทุน มันก็ทำให้เราได้ดอกเบี้ยวันละหนึ่งดอลลาร์ต่อคนเป็นเวลาตลอดทั้งปี มันมากจนไม่สามารถบอกได้ว่าจะเอามันไปทำอะไรดี หญิงม่ายดักลาสเอาผมไปเลี้ยงเหมือนลูก และเธอก็สั่งสอนผม แต่การอยู่ในบ้านตลอดเวลามันลำบากมาก เพราะเธอทำตัวเคร่งครัดและเหมาะสมในทุกๆ ทาง ดังนั้นเมื่อผมทนไม่ได้ผมจึงออกจากบ้าน ผมใส่ชุดเก่าๆ และไปใช้เวลาอยู่ที่ถังใส่น้ำตาลของผมอีกครั้ง ผมรู้สึกเป็นอิสระและพอใจมาก แต่ทอม ซอเยอร์เขาตามหาผมจนเจอและบอกว่าเขาจะตั้งกลุ่มโจรขึ้น ผมจะเข้าร่วมได้ถ้าผมกลับไปหาหญิงม่ายและทำตัวให้น่านับถืออีกครั้ง ดังนั้นผมจึงกลับไป

หญิงม่ายร้องไห้เมื่อผมกลับไป เธอเรียกผมว่าแกะหลงทางที่น่าสงสาร และเธอก็เรียกผมด้วยชื่ออื่นๆ อีกหลายชื่อ แต่มันไม่ได้หมายความว่าเธอคิดร้ายกับผม เธอให้ผมใส่เสื้อผ้าใหม่ๆ อีกครั้ง ผมเหงื่อออกและรู้สึกอึดอัด หลังจากนั้นทุกอย่างก็เริ่มเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง หญิงม่ายสั่นกระดิ่งบอกเวลาอาหารค่ำ ซึ่งเราก็ต้องมาตรงเวลา เมื่อไปถึงโต๊ะเราก็ไม่สามารถทานอาหารได้ทันที ต้องรอให้หญิงม่ายก้มหัวลงและสวดมนต์ อาหารดูจะไม่มีอะไรผิดปกติ ยกเว้นเสียแต่ว่าเธอแบ่งแยกทุกสิ่งทุกอย่างบนจาน ซึ่งมันทำให้ได้รสชาติไม่ดีเท่าตอนที่มันผสมปนเปกันไปและรสชาติก็ผสมกันไปด้วยเช่นกัน

หลังอาหารค่ำเธอเอาคัมภีร์ไบเบิลออกมาและสอนผมเกี่ยวกับ
โมเสสกับบูลรัชเชอร์ ผมตื่นเต้นเมื่อได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเขา แต่เมื่อเธอบอกว่าโมเสสตายไปนานแล้วผมก็ไม่สนใจเขาอีกเลย เพราะว่าผมไม่สนใจคนที่ตายไปแล้ว

ไม่นานนักผมก็อยากสูบบุหรี่ผมจึงขออนุญาตหญิงม่าย แต่เธอไม่อนุญาต เธอบอกว่ามันเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจและสกปรก รวมทั้งสั่งว่าผมจะต้องไม่สูบบุหรี่อีก คนบางคนก็เป็นอย่างนั้น พวกเขามีอคติต่อสิ่งที่เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย เธอมัวแต่สนใจโมเสสที่ไม่ใช่ญาติของเธอ ไม่เป็นประโยชน์ต่อใคร อีกทั้งเขาก็ตายไปแล้ว เห็นไหม แต่เธอก็ยังเห็นว่าสิ่งที่ผมทำซึ่งเป็นสิ่งมีประโยชน์นั้นเป็นสิ่งที่ผิด ทั้งๆ ที่เธอก็สูดยาด้วย แต่แน่นอนว่ามันไม่เป็นไร เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เธอทำ

มิสวัตสันน้องสาวของเธอเพิ่งมาอยู่ด้วยกัน เธอเป็นสาวแก่รูปร่างผอม นิสัยพอทนได้ ใส่แว่นตา และตอนนี้เธอให้ผมอ่านหนังสือสะกดคำ เธอสอนผมเป็นเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง จากนั้นหญิงม่ายก็บอกให้เธอหยุด ผมทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เวลาหนึ่งชั่วโมงนั้นน่าเบื่อมาก ผมอยู่ไม่เป็นสุขแล้ว มิสวัตสันจะพูดว่า “อย่าวางเท้าไว้ตรงนั้น ฮักเคิลเบอร์รี่” และ “อย่างอหลังอย่างนั้น ฮักเคิลเบอร์รี่” หลังจากนั้นไม่นานเธอก็จะบอกว่า “อย่าหาวและบิดขี้เกียจอย่างนั้น ฮักเคิลเบอร์รี่ ทำไมเธอถึงไม่พยายามทำตัวดีๆ นะ” จากนั้นเธอก็เล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับนรก และพอผมบอกว่าอยากไปอยู่ที่นั่น มันทำให้เธอโมโห แต่ผมไม่ได้หมายความ
ไม่ดี ผมแค่ต้องการที่จะไปที่ไหนสักแห่ง ผมแค่ต้องการการเปลี่ยนแปลง ผมไม่ได้อยากไปในที่ที่เฉพาะเจาะจง เธอบอกว่าสิ่งที่ผมพูดมันร้ายกาจมาก เธอบอกว่าเธอจะไม่มีวันพูดอย่างนั้น เธอจะมีชีวิตอยู่เพื่อให้เธอได้ไปสวรรค์ อย่างไรก็ตาม ผมมองไม่เห็นข้อดีในการไปที่ที่เธอจะไป ผมจึงตัดสินใจว่าผมจะไม่แม้แต่พยายามที่จะไปที่นั่น แต่ผมไม่ได้พูดมันออกไป เพราะว่ามันจะก่อให้เกิดปัญหา และไม่ทำให้อะไรดีขึ้น

เมื่อเธอได้เริ่มพูดแล้ว เธอก็พูดต่อไปเรื่อยๆ และเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับสวรรค์ เธอบอกว่าสิ่งที่เราต้องทำที่นั่นก็คือใช้เวลาทั้งวันไปกับการเล่นพิณและร้องเพลงไปตลอดชั่วนิรันดร์ ผมเลยไม่สนใจมากนัก แต่ผมไม่ได้พูดออกมา ผมถามเธอว่าเธอคิดว่าทอม ซอเยอร์จะได้ไปที่นั่นไหม และเธอก็บอกว่าไม่มีทาง มันทำให้ผมดีใจเพราะผมอยากให้เขากับผมอยู่ด้วยกัน

มิสวัตสันเอาแต่สั่งสอนผม มันก็ทำให้ผมเบื่อหน่ายและเหงา 
ไม่นานนักพวกเขาก็เรียกพวกคนดำเข้ามาสวดมนต์ จากนั้นทุกคนก็ไปเข้านอน ผมขึ้นมาบนห้องนอนพร้อมด้วยเทียนไขในมือแล้ววางมันลงบนโต๊ะ จากนั้นผมก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างหน้าต่าง พยายามคิดถึงสิ่งที่มีความสุข 
แต่มันไม่ได้ผล ผมเหงามากจนเกือบจะอยากให้ตัวเองตายไป ดวงดาวเปล่งประกาย มีใบไม้ส่งเสียงกรอบแกรบอย่างเศร้าโศกอยู่ในป่า และผมได้ยินเสียงนกฮูกที่อยู่ห่างไกลออกไปร้องเสียงฮูฮูถึงคนที่ตายแล้ว ได้ยินเสียงนกวิปโปวิลกับสุนัขเห่าหอนถึงคนที่กำลังจะตาย และสายลมก็พยายามกระซิบบอกอะไรกับผมแต่ผมฟังไม่ออก มันทำให้ผมหนาวสั่นไปทั้งตัว ไกลออกไปในป่าผมได้ยินเสียงแบบที่ผีจะร้องออกมาเมื่อมันต้องการจะเล่าบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในใจแต่ไม่สามารถทำให้ใครเข้าใจได้ 
และมันจึงไม่สามารถพักผ่อนอย่างสงบในหลุมศพของมันและต้องโศกเศร้าไปตลอดทั้งคืน ผมรู้สึกซึมเศร้าและหวาดกลัวจนต้องการให้มีคนอยู่ด้วย ไม่นานนักแมงมุมตัวหนึ่งก็ไต่ขึ้นมาบนไหล่ผม ผมดีดมันออกและมันตกลงไปตรงเปลวเทียน และก่อนที่ผมจะช่วยมันได้ทันมันก็ไหม้จนหงิกงอไปแล้ว ไม่ต้องมีใครบอกผมก็รู้ว่ามันเป็นลางร้ายและจะทำให้เกิดโชคร้ายขึ้นกับผม ผมตัวสั่นจนเสื้อผ้าแทบจะหลุดออกจากตัว ผมยืนขึ้น หันหลังกลับ และทำเครื่องหมายกากบาทบนหน้าอกตัวเองสามครั้ง จากนั้นก็ใช้เชือกมัดปอยผมเล็กๆ เพื่อขับไล่เหล่าแม่มดออกไป แต่ผมก็ไม่รู้สึกมั่นใจนัก เพราะเราจะทำอย่างนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราเจอเกือกม้าที่หายไปแทนที่จะตอกมันไว้บนประตู แต่ผมไม่เคยได้ยินใครบอกว่ามันเป็นวิธีไล่โชคร้ายออกไปเมื่อเราได้ฆ่าแมงมุม

ผมนั่งลงอีกครั้ง ตัวสั่นไปหมด แล้วเอาไปป์ของผมออกมาสูบ เพราะว่าบ้านหลังนี้เงียบราวกับความตาย และหญิงม่ายก็จะไม่รู้ หลังจากนั้นเป็นเวลานานผมก็ได้ยินเสียงนาฬิกาที่อยู่ห่างออกไปในเมืองส่งเสียง บูม บูม บูม สิบสองครั้ง และทุกอย่างก็กลับมาเงียบเช่นเดิม เงียบกว่าเดิมอีก ไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงกิ่งไม้หักในความมืดท่ามกลางต้นไม้ข้างล่าง บางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว ผมนั่งนิ่งและฟัง ผมได้ยินเสียงร้อง “เหมียว! เหมียว!” ที่เบามาก มันเป็นสิ่งที่ดีมาก ผมพูดว่า “เหมียว! เหมียว!” เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นผมก็ดับเทียนและปีนออกหน้าต่างไปยังหลังคาห้องเก็บของ ผมไถลลื่นลงบนพื้นและคลานเข้าไปอยู่ท่ามกลางต้นไม้ และแน่นอนว่าทอม ซอเยอร์รอผมอยู่ตรงนั้นแล้ว

 

บทที่

2

วกเราย่องไปตามทางเดินที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ ไปทางด้านหลังสวนของหญิงม่าย โดยก้มตัวลงต่ำเพื่อที่กิ่งไม้จะได้ไม่ขีดข่วนหัวของเรา เมื่อเราเดินผ่านห้องครัวผมก็สะดุดรากไม้ล้มและทำให้เกิดเสียงขึ้น พวกเราก้มตัวลงนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น คนดำตัวใหญ่ของมิสวัตสันที่ชื่อจิมกำลังนั่งอยู่ตรงประตูห้องครัว เขายืนขึ้นและยื่นคอออกมาฟังเสียง จากนั้นเขาก็พูดว่า

“นั่นใคร”

เขาหยุดฟังอีกครั้ง จากนั้นก็ย่องมายืนอยู่ระหว่างพวกเราพอดีจนเราเกือบจะแตะเขา มันรู้สึกราวกับว่าไม่มีเสียงอะไรเลยเป็นเวลาหลายนาที และพวกเราก็อยู่ใกล้กันมาก ผมคันข้อเท้าขึ้นมาแต่ก็ไม่กล้าเกา
หลังจากนั้นผมก็คันหู แล้วก็คันหลังตรงที่อยู่ระหว่างหัวไหล่ มันเหมือนว่าผมจะตายถ้าไม่ได้เกา ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้ว ถ้าเราอยู่กับคนสำคัญๆ หรืออยู่ในงานศพ หรือกำลังพยายามหลับเวลาที่ไม่ง่วง ถ้าเราไปอยู่ที่ไหนก็ตามที่ไม่สมควรเกาเราก็จะคันไปทั้งตัว ไม่นานนักจิมก็พูดว่า

“บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าแกเป็นใคร แกอยู่ที่ไหน ฉันสาบานว่าฉันได้ยินเสียง ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะทำอย่างนี้ ฉันจะนั่งลงตรงนี้จนกว่าจะได้ยินเสียงอีกครั้ง”

เขานั่งลงบนพื้นระหว่างผมกับทอม เขานั่งพิงต้นไม้และยื่นขาออกมาจนขาข้างหนึ่งเกือบมาโดนขาผม ผมเริ่มคันจมูก มันคันมากจนผมน้ำตาไหลแต่ผมไม่กล้าเกา ผมเริ่มคันข้างในจมูก จากนั้นก็คันใต้จมูก ผมไม่รู้ว่าจะอยู่นิ่งๆ ได้อย่างไร ความทุกข์ทรมานนี้ดำเนินต่อไปเป็นเวลา
ยาวนานถึงหกหรือเจ็ดนาที แต่มันรู้สึกราวกับว่ายาวนานกว่านั้นมาก ผมคิดว่าผมคงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว แต่ผมก็กัดฟันแน่นและอดทนไว้ ตอนนี้จิมเริ่มหายใจหนักขึ้น ไม่นานนักเขาก็เริ่มกรน และจากนั้นผมก็รู้สึกสบายตัวขึ้นอีกครั้ง

ทอมส่งสัญญาณมาให้ผม เป็นเสียงเบาๆ จากปากเขา และพวกเราก็คลานออกไป เมื่อเราออกห่างไปได้ประมาณสิบฟุตทอมก็กระซิบบอกผมว่าเขาอยากจะมัดจิมติดกับต้นไม้เล่น แต่ผมไม่เห็นด้วย เขาอาจจะตื่นขึ้นและส่งเสียงรบกวน พวกนั้นก็จะรู้ว่าผมไม่อยู่ที่บ้าน จากนั้นทอมก็บอกว่าเขามีเทียนไขไม่พอ เขาจะเข้าไปในห้องครัวเพื่อไปเอามาเพิ่ม ผมไม่อยากให้เขาทำอย่างนั้น ผมบอกว่าจิมอาจจะตื่นแล้วเข้ามาหาเรา แต่ทอมอยากลองเสี่ยงดู พวกเราเลยเข้าไปข้างในและได้เทียนมาสามเล่ม ทอมวางเงินไว้บนโต๊ะห้าเซนต์เป็นค่าเทียน ผมอยากออกไปมาก แต่เขากลับคลานเข้าไปแกล้งจิม ผมจึงรออยู่คนเดียว มันรู้สึกเหมือนว่าเป็นเวลานาน และเงียบเหงามาก

ทันทีที่ทอมกลับมาพวกเราก็เดินต่อไปตามทางรอบๆ รั้วของสวนและขึ้นไปบนเขาที่อยู่หลังบ้าน ทอมบอกว่าเขาถอดหมวกของจิม
ออกแล้วแขวนมันบนกิ่งไม้ จิมขยับตัวเล็กน้อยแต่ว่าเขาไม่ตื่น ในภายหลังจิมก็เล่าว่าเหล่าแม่มดร่ายมนตร์ใส่เขาและทำให้เขาอยู่ภายใต้มนต์สะกด และพวกแม่มดก็ขี่เขาไปทั่วเมือง หลังจากนั้นแม่มดก็พาเขากลับมาที่ใต้ต้นไม้และแขวนหมวกของเขาไว้บนกิ่งไม้เพื่อเป็นการบอกว่าพวกเธอเป็นคนทำ และครั้งต่อไปที่จิมเล่าเรื่อง เขาก็บอกว่าพวกแม่มดขี่เขาไปถึงนิว ออร์ลีนส์ และหลังจากนั้นทุกครั้งที่เขาเล่าเรื่องเขาก็บอกว่าเขาไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็บอกว่าพวกแม่มดขี่เขาไปทั่วโลกทำให้เขาเหนื่อยจนเกือบตาย และหลังของเขาก็เป็นแผลจากอานม้า จิมภูมิใจกับเรื่องนี้มาก เขาชอบเล่าเรื่องนี้ให้พวกคนดำคนอื่นๆ ฟัง พวกคนดำจะเดินทางมาเป็นระยะทางหลายไมล์เพื่อฟังเรื่องของจิม และเขาก็เป็นที่นับถือมากกว่า
คนดำคนอื่นๆ ในเมือง แม้กระทั่งคนดำที่ไม่รู้จักเขาก็ต้องยืนจ้องเขาอ้าปากค้างราวกับว่าเขาเป็นสิ่งมหัศจรรย์ พวกคนดำมักจะนั่งกันอยู่ในความมืดข้างๆ เตาไฟในครัวและเล่าเรื่องแม่มด แต่เมื่อมีคนพูดถึงและทำเป็นรู้เรื่องเกี่ยวกับแม่มด จิมก็จะเข้าไปและบอกว่า “ฮืม แกจะไปรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับแม่มด” และคนดำคนนั้นก็ต้องนั่งลงและปล่อยให้จิมเล่าเรื่อง จิมห้อยเหรียญห้าเซนต์นั้นไว้ที่คอเสมอ และบอกว่ามันเป็นเครื่องรางที่ซาตานให้เขาเองกับมือและบอกเขาว่าจะใช้มันรักษาใครก็ได้ เรียกแม่มดมาเมื่อไหร่ก็ได้ที่เขาต้องการ เพียงแค่ร่ายมนตร์ใส่มัน แต่ซาตานไม่ได้บอกว่าเขาต้องพูดมนต์ว่าอะไร พวกคนดำมาจากทุกหนทุกแห่งและเอาสิ่งของที่พวกเขามีมาให้จิมเพียงเพื่อที่จะได้ดูเหรียญห้าเซนต์นั้น แต่พวกเขาจับมันไม่ได้ เพราะว่ามันได้ถูกซาตานสัมผัสแล้ว ในฐานะคนรับใช้นั้นจิมก็เกือบจะทำลายตัวเอง เพราะว่าเขาหยิ่งยโสขึ้นมาก เขาเชื่อว่าเขาได้เห็นซาตานและได้ถูกแม่มดขี่มาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ทอมและผมไปถึงเนินเขา พวกเรามองลงมายังหมู่บ้านและมองเห็นไฟกะพริบอยู่สามสี่ดวงซึ่งคงจะเป็นของบ้านที่มีคนป่วย และดวงดาวที่อยู่เหนือพวกเรานั้นส่องแสงระยิบระยับอยู่อย่างงดงาม ตรงหมู่บ้านนั้นมีแม่น้ำที่มีความกว้างถึงหนึ่งไมล์ มันดูนิ่งและยิ่งใหญ่มาก พวกเราเดินลงเขาไปพบกับโจ ฮาร์เปอร์และเบน รอเจอร์สกับเด็กผู้ชายอีกสองสามคนที่ซ่อนอยู่ในโรงฟอกหนังเก่า พวกเราแกะเชือกผูกเรือพายออกและล่องไปตามแม่น้ำเป็นระยะทางสองไมล์ครึ่งเพื่อไปยังผาหินขนาดใหญ่ตรงเนินเขาแล้วขึ้นไปบนฝั่ง

เมื่อพวกเราไปที่พุ่มไม้ ทอมก็ให้เราสาบานว่าจะเก็บเป็นความลับ จากนั้นเขาก็พาเราไปยังรูที่อยู่ตรงเนินเขาตรงส่วนที่หนาที่สุดของพุ่มไม้ พวกเราจุดเทียนแล้วคลานเข้าไป เมื่อเข้าไปได้ประมาณสองร้อยยาร์ด
ก็เห็นว่าถ้ำนั้นเปิดออก ทอมตรวจดูทางเข้าหลายๆ ทาง และไม่นานนักเขาก็มุดเข้าไปใต้กำแพงตรงที่เรามองไม่เห็นด้วยซ้ำว่ามีรูอยู่ตรงนั้น เราเข้าไปตามทางแคบๆ และเข้าไปในห้องที่อับชื้นและเย็น พวกเราหยุดอยู่ในห้องนั้น ทอมพูดว่า

“เราจะก่อตั้งกองโจรขึ้นโดยเรียกมันว่าแก๊งทอม ซอเยอร์ ทุกคนที่อยากเข้าร่วมต้องสาบานตนแล้วลงชื่อด้วยเลือด”

ทุกคนตกลง ทอมเอากระดาษออกมาหนึ่งแผ่นและเขียนคำสาบานลงไปจากนั้นก็อ่านให้พวกเราฟัง มันเป็นคำสาบานว่าเด็กทุกคนจะซื่อสัตย์ต่อกลุ่มและจะไม่เผยความลับออกไป ถ้ามีใครทำร้ายเด็กในกลุ่ม เด็กในกลุ่มหนึ่งคนจะถูกสั่งให้ออกไปฆ่าคนคนนั้นรวมทั้งครอบครัวของเขาด้วย และเด็กคนนั้นจะต้องไม่ทานอาหาร ไม่นอนหลับจนกว่าจะได้ฆ่าพวกเขา หลังจากนั้นก็ให้ทำเครื่องหมายกากบาทซึ่งเป็นสัญลักษณ์กองโจรของพวกเราไว้บนหน้าอกของพวกเขา คนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มจะไม่สามารถใช้สัญลักษณ์นี้ได้ ถ้ามีใครเอาไปใช้คนคนนั้นจะต้องถูกฟ้อง ถ้าเขาเอามันไปใช้อีกเขาจะต้องถูกฆ่า ถ้าคนในกลุ่มเล่าความลับให้ใครฟัง คนคนนั้นจะถูกปาดคอและศพของเขาจะถูกเผา เถ้าถ่านของเขาจะกระจัดกระจายไปทั่ว ชื่อของเขาจะถูกลบออกจากรายชื่อที่เขียนไว้ด้วยเลือด คนในแก๊งจะไม่พูดชื่อของเขาอีก ชื่อของเขาจะถูกสาปแช่งและถูกลืมตลอดไป

ทุกคนบอกว่ามันเป็นคำสาบานที่งดงามมาก และถามทอมว่าเขาคิดขึ้นเองหรือเปล่า เขาบอกว่าเขาคิดบางส่วน แต่ส่วนที่เหลือนั้นได้มาจากหนังสือโจรสลัดและหนังสือกลุ่มโจร กลุ่มโจรชั้นสูงก็ใช้คำสาบานแบบนี้

บางคนเสนอว่าน่าจะฆ่าครอบครัวของเด็กคนที่เผยความลับด้วย ทอมบอกว่ามันเป็นความคิดที่ดี เขาจึงเอาดินสอเขียนลงไป จากนั้นเบน รอเจอร์สก็พูดว่า

“แต่ฮัก ฟินน์ไม่มีครอบครัว เราจะทำยังไงกับเขา”

“เขามีพ่อไม่ใช่เหรอ” ทอม ซอเยอร์พูด

“ใช่ เขามีพ่อ แต่ช่วงนี้เราไม่เห็นเขาเลย เขาเคยนอนเมาอยู่กับพวกสัตว์ในโรงฟอกหนัง แต่เราไม่เห็นเขามาปีกว่าแล้ว”

พวกเขาปรึกษากัน และพวกเขาก็กำลังจะตัดผมออกไป เพราะพวกเขาบอกว่าทุกคนต้องมีครอบครัวหรือมีใครให้ฆ่า ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็จะไม่ยุติธรรมสำหรับคนอื่น ไม่มีใครคิดออกว่าจะทำอย่างไร ทุกคนจนปัญญาและนั่งนิ่ง ผมเกือบจะร้องไห้ออกมา แต่ทันใดนั้นผมก็หาทาง
ออกได้ ผมเสนอมิสวัตสัน พวกเขาฆ่าเธอได้ ทุกคนบอกว่า

“โอ เธอก็ได้ เธอก็ได้ ไม่เป็นไรแล้ว ฮักเข้าร่วมได้”

จากนั้นพวกเขาก็เอาเข็มทิ่มนิ้วเพื่อที่จะลงชื่อด้วยเลือด ผมก็ลงชื่อบนกระดาษด้วยเหมือนกัน

“ทีนี้” เบน รอเจอร์สพูด “แก๊งของเราจะทำอะไรกัน”

“ไม่มีอะไรมาก แค่ปล้นและฆ่า” ทอมพูด

“แต่เราจะปล้นใคร ปล้นบ้าน หรือสัตว์ หรือ...”

“สิ่งของ! การขโมยสัตว์หรืออะไรเทือกนั้นมันไม่ใช่การปล้น มันเป็นการขโมย” ทอม ซอเยอร์พูด “เราไม่ใช่หัวขโมย มันไม่ใช่แนวทางของเรา เราเป็นโจรที่ดักปล้นตามถนน เราจะหยุดรถม้าและรถม้าโดยสารตามถนนโดยที่สวมหน้ากากด้วย แล้วเราก็จะฆ่าผู้คน เอานาฬิกากับเงินของพวกเขามา”

“เราต้องฆ่าคนทุกครั้งเลยเหรอ”

“โอ แน่นอน มันดีที่สุดแล้ว ผู้มีอิทธิพลทางด้านนี้บางคนอาจคิดไม่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วบอกว่าการฆ่านั้นดีที่สุด ยกเว้นบางคนที่เราจะพามาที่ถ้ำนี้และให้พวกเขาอยู่ที่นี่จนกว่าจะได้ค่าไถ่”

“ค่าไถ่ มันคืออะไร”

“ฉันไม่รู้ แต่พวกเขาทำกันอย่างนั้น ฉันเห็นในหนังสือ และแน่นอนว่าพวกเราก็ต้องทำอย่างนั้นด้วย”

“แต่เราจะทำได้ยังไงถ้าเราไม่รู้ว่ามันคืออะไร”

“แล้วทำไมล่ะ ยังไงเราก็ต้องทำ ฉันไม่ได้บอกหรือไงว่ามันอยู่ในหนังสือ นายอยากทำไม่เหมือนกับในหนังสือและทำพังเหรอ”

“โอ พูดได้ดีมาก ทอม ซอเยอร์ แต่คนเหล่านั้นจะทำให้เราได้
ค่าไถ่มาได้ยังไงถ้าเราไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับพวกเขา มันคือสิ่งที่ฉันอยากรู้ ทีนี้นายคิดว่ามันคืออะไร”

“ฉันไม่รู้ แต่บางทีถ้าเราจับพวกเขาไว้จนกว่าจะได้ค่าไถ่ มันอาจจะหมายความว่าจับพวกเขาไว้จนกว่าพวกเขาตาย”

“นั่นไงรู้เรื่องเสียที แค่นั้นแหละ ทำไมก่อนหน้านี้นายถึงพูดอย่างนั้นไม่ได้ เราจะจับพวกเขาไว้จนกว่าพวกเขาจะได้เรียกค่าไถ่ตาย และพวกเขาจะทำเรื่องวุ่นวายด้วย จะกินทุกอย่างและจะพยายามหนีตลอดเวลา”

“ฟังที่นายพูดสิ เบน รอเจอร์ส พวกเขาจะหนีได้ยังไงถ้ามีผู้คุมคอยดูพวกเขา พร้อมที่จะยิงทันทีที่พวกเขาขยับตัว”

“ผู้คุม? เป็นความคิดที่ดีมาก หมายความว่าพวกเราบางคนต้องตื่นอยู่ทั้งคืนและจะไม่ได้นอนเลยเพื่อที่จะดูพวกเขา ฉันคิดว่ามันงี่เง่า ทำไมเราไม่เอาไม้มาตีเอาค่าไถ่จากพวกเขาทันทีที่พวกเขาเข้ามาที่นี่เลยล่ะ”

“เพราะว่ามันไม่ได้อยู่ในหนังสือ นั่นคือเหตุผล เบน รอเจอร์ส นายอยากทำให้ถูกต้องหรือเปล่า นายไม่คิดเหรอว่าคนที่เขียนหนังสือเหล่านั้นรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องทำ นายคิดว่านายจะสอนอะไรพวกเขาได้อย่างนั้นเหรอ ไม่มีทาง ไม่มีทาง เราจะเอาค่าไถ่จากพวกเขาแบบปกติ”

“ก็ได้ ฉันไม่ว่าอะไร แต่ฉันก็ยังคิดว่ามันงี่เง่า แล้วเราฆ่าพวกผู้หญิงด้วยหรือเปล่า”

“เบน รอเจอร์ส ถ้าฉันโง่อย่างนายฉันจะเงียบไว้ ฆ่าพวกผู้หญิงเหรอ ไม่ ในหนังสือไม่เคยเขียนไว้ เราพาพวกผู้หญิงเข้ามาในถ้ำ และเราก็สุภาพกับพวกเธอ ไม่นานพวกเธอจะหลงรักพวกเราและจะไม่อยากกลับบ้านอีกเลย”

“ถ้าต้องทำอย่างนั้นฉันก็ตกลง แต่ฉันไม่ขอยุ่งเรื่องนี้ด้วย ไม่นานถ้ำของเราก็จะแออัดไปด้วยพวกผู้หญิงและผู้ชายที่รอคอยค่าไถ่จนไม่มีที่เหลือสำหรับพวกเรากองโจร แต่พูดต่อไปเถอะ ฉันไม่มีอะไรพูดแล้ว”

มาถึงตอนนี้ทอมมี่ บานส์นอนหลับไป และเมื่อถูกปลุกเขาก็กลัวจนร้องไห้ เขาบอกว่าอยากกลับบ้านไปหาแม่ ไม่อยากเป็นโจรแล้ว

พวกเขาล้อเลียนและเรียกทอมมี่ว่าลูกแหง่ทำให้เขาโกรธและบอกว่าจะออกไปบอกความลับให้คนอื่นฟัง แต่ทอมให้เงินเขาห้าเซนต์เพื่อให้เงียบไว้ และบอกว่าให้พวกเรากลับบ้าน พวกเราจะมาเจอกันอาทิตย์หน้าเพื่อปล้นและฆ่า

เบน รอเจอร์สบอกว่าเขาออกจากบ้านไม่ค่อยได้ ออกได้แค่วันอาทิตย์ และเขาอยากเริ่มอาทิตย์หน้า แต่เด็กคนอื่นๆ บอกว่าการออกปล้นวันอาทิตย์เป็นสิ่งที่ไม่ดี และทุกคนก็เห็นด้วย ทุกคนตกลงกันว่าจะมาพบกันอีกครั้งและจะหาวันให้ได้เร็วที่สุด จากนั้นเราก็เลือกทอม ซอเยอร์เป็นกัปตันใหญ่ และโจ ฮาร์เปอร์เป็นรองกัปตันของแก๊ง และพวกเราก็เดินกลับบ้าน

ผมปีนขึ้นไปบนหลังคาห้องเก็บของแล้วคลานเข้าหน้าต่างห้องก่อนพระอาทิตย์ขึ้นพอดี เสื้อผ้าชุดใหม่ของผมเต็มไปด้วยเหงื่อและโคลนตอนนี้ผมก็เหนื่อยมาก

รายละเอียด

าร์ก ทเวน คือนักเขียนที่ถูกนำมาอ้างอิงถึงบ่อยที่สุดในโลกวรรณกรรม คำพูดอันชาญฉลาดและคำคมของเขายังคงสะท้อนถึงชีวิตในทุกวันนี้ไม่ต่างจากในช่วงเวลาของเขาเอง ประโยคอย่างเช่น “ถ้าเราพูดความจริงเราก็ไม่จำเป็นต้องจดจำอะไร” เขาเป็นผู้ที่ไม่มีความหยิ่งยโส และความเสแสร้งในตัวเอง มาร์ก ทเวนเป็นนามปากกา ชื่อจริงของเขาคือ แซมมูเอล ลองฮอร์น เคลเมนส์ เขาใช้นามปากกาเพราะว่าช่วงเริ่มแรกเขาทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ด้วยและเขาไม่ต้องการให้งานของเขามาปะปนกัน คำว่า มาร์ก ทเวน นั้นเป็นสิ่งที่คนที่อยู่ริมแม่น้ำจะตะโกนออกมาเพื่อบอกว่าน้ำมีความลึกสอง (ทเวน) ยาร์ดบนไม้วัด เพราะว่ามันเป็นระดับน้ำที่ทำให้ตัวเรือผ่านไปได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะชนกับผืนดิน

ทเวนมีชื่อเสียงจากผลงานชิ้นเอกของเขา การผจญภัยของฮักเคิลเบอร์รี่ ฟินน์ (1884) มันได้ชื่อว่าเป็นนวนิยายอเมริกันที่สำคัญที่สุดโดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1876 ทเวนได้ตีพิมพ์นวนิยายก่อนหน้านั้นชื่อ การผจญภัยของทอม ซอเยอร์ ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกที่ได้ทำฉบับร่างด้วยพิมพ์ดีดที่ผลิตโดยเรมิงตันในปี 1873

ทเวนเติบโตที่ปากแม่น้ำมิสซิสซิปปีซึ่งเป็นที่ที่เป็นฉากหลังของนวนิยายของเขา มันเป็นเรื่องราวในอดีตในช่วงก่อนสงครามกลางเมืองในภาคใต้ของสหรัฐอเมริกาซึ่งการค้าขายทาสสมัยนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ในช่วงปลายศตวรรษที่สิบเก้าภาคใต้ของสหรัฐอเมริกายังมีชื่อว่าเป็นพวกล้าหลัง ทเวนรู้ถึงความคิดแบบล้าหลังของบ้านเกิดของเขาเป็นอย่างดีและเรื่องราวที่เขาเขียนก็ได้เก็บความคิดแบบนั้นไว้ ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ในช่วงเวลาที่ผ่านไปนานแล้วก็ตาม สิ่งที่ทำให้เรื่องของเขามีเอกลักษณ์ก็คือการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของเด็ก และการใช้การมองโลกแบบเด็กๆ ของทเวนก็ทำให้ภาษาของเขามีความไร้เดียงสา มีความตรงไปตรงมา และมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก มีหนังสือเล่มที่สามอีกเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า ทอม ซอเยอร์ในต่างแดน (1894) ซึ่งแตกต่างจากหนังสือสองเล่มก่อนหน้านั้นเป็นอย่างมาก มันเป็นเรื่องราวการผจญภัยของทอมและฮักเคิลเบอร์รี่จากการเดินทางด้วยบอลลูน และหนังสือเล่มที่สี่ นักสืบทอม ซอเยอร์ (1896) เป็นนิยายแนวสืบสวนสอบสวนที่มีความคล้ายคลึงกับงานของอาเธอร์ โคนัน ดอยล์และคนอื่นๆ

หนังสือเล่มหลังๆ มีความแตกต่างจากงานเล่มแรกๆ ของเขาซึ่งเกี่ยวข้องกับคุณธรรมพื้นฐานของมนุษย์ ในการผจญภัยของฮักเคิลเบอร์รี่ 
ฟินน์ ตัวละครเอกออกเดินทางไปตามแม่น้ำมิสซิสซิปปีพร้อมกับคนดำที่หลบหนีมาชื่อว่าจิม ในการทำอย่างนั้นฮักเคิลเบอร์รี่ซึ่งเป็นเด็กผู้ชายผิวขาวได้พัฒนาความสัมพันธ์กับคนดำ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเหยียดผิวนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์เราไม่ใช้เวลาที่จะมองข้ามสิ่งที่เรา
ถูกกำหนดมาให้เชื่อ ฮักเคิลเบอร์รี่ไม่ได้มองจิมในแบบที่คนขาวที่เป็นผู้ใหญ่มอง เพราะว่าเขาไม่มีเหตุผลที่ต้องทำให้เขาเหยียดผิว และเมื่อได้สร้างความสัมพันธ์กับจิมเขาก็ได้เติบโตขึ้น (ในหนังสือเล่มต่อๆ มา) โดยที่ไม่ได้มีความคิดเรื่องการเหยียดผิวเหมือนกับคนอื่นๆ ที่ไม่คิดที่จะทำความรู้จักกับสิ่งที่พวกเขาไม่รู้

ถึงแม้ว่าคติที่แฝงไว้ของเรื่องนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียนรู้ที่จะละทิ้งการเหยียดผิวเสียเป็นส่วนใหญ่ มันยังเป็นเรื่องของการที่คนดำได้เรียนรู้ว่าคนผิวขาวนั้นเป็นคนที่เชื่อใจได้อีกด้วย มันเป็นเรื่องราวที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์สามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมนวนิยายเรื่องนี้ถึงได้ชื่อว่าเป็นนวนิยายที่ยิ่งใหญ่ของชาวอเมริกัน ความไม่เท่าเทียมกันทางเชื้อชาตินั้นเป็นปัญหาใหญ่ในอเมริกาและทำให้คนอเมริกันสู้รบกันเองในสงคราม ดังนั้น การผจญภัยของฮักเคิลเบอร์รี่ ฟินน์ จึงเป็นงานเขียนที่สำคัญในยุคหลังสงคราม เพราะว่าสงครามกลางเมืองในครั้งนั้น (1861-1865) ยังคงดำเนินอยู่ต่อไปในความทรงจำของผู้อ่านอีกหลายคน

าร์ก ทเวนมีชื่อเสียงขึ้นมาในช่วงปลายของชีวิตเขา ถึงแม้ว่าหนังสือนิยายของเขาจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีชื่อเสียง แต่เขาก็เป็นนักเล่าเรื่องที่มีเสน่ห์มาก และด้วยเหตุนั้นเขาจึงได้กลายเป็นมิตรกับคนที่มี
ชื่อเสียงทางด้านต่างๆ ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป

นอกจากนวนิยายแล้วเขายังเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ 
ที่ไม่ใช่นิยาย งานของเขามักจะมีความเป็นปรัชญา มีความคิดอันหลักแหลม และมีอารมณ์ขันซึ่งทำให้ตัวเขาดูมีความชาญฉลาดและมีไหวพริบซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนชื่นชอบ ทเวนยังเป็นผู้มีความสนใจทางด้านการเมืองอีกด้วย เขาต่อต้านการใช้สัตว์ในการทดลอง สนับสนุนสิทธิสตรี ต่อต้านการค้าทาสและความไม่เท่าเทียมกันทางเชื้อชาติ และต่อต้านสงคราม ความคิดเห็นของเขาถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มไปด้วยความรู้สึก ซึ่งทำให้เขาเป็นคนที่น่าสนใจและเป็นที่นิยมในสังคม

คำพูดของเขาได้รับการนำมาอ้างถึงเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับความสนใจในการแสวงหาความรู้ของเขา คำพูดที่นิยมนำมาอ้างถึงเช่น “การเล่นกอล์ฟคือการทำลายการเดินออกกำลังที่ดี” “ผมไม่เคยปล่อยให้การได้รับการสั่งสอนเข้ามาขัดขวางการแสวงหาความรู้ของผม” และ “มันไม่ใช่ขนาดของหมา แต่เป็นความกล้าต่างหากที่สำคัญในการต่อสู้” ทเวนได้รับการจดจำในฐานะตัวแทนของความจริงในประวัติศาสตร์ เป็นนักปราชญ์ และเป็นนักเขียนนวนิยายที่ไร้ที่ติที่สุดของสหรัฐอเมริกา

ทเวนทำตัวเป็นกลางต่อเรื่องสงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกา สงครามเริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาอายุได้ยี่สิบปี แต่มิซซูรีนั้นเป็นรัฐที่อยู่ตรงจุดข้ามซึ่งไม่ชัดเจนว่าเป็นรัฐทางเหนือหรือรัฐทางใต้ถึงแม้ว่าจะยอมรับให้มีการค้าขายทาสก็ตาม เขาได้เข้าร่วมกลุ่มคอนฟิเดอเรตอยู่สองสามสัปดาห์ แต่กลุ่มย่อยของมิซซูรี สเตท การ์ดที่เขาเข้าร่วมนั้นถูกยกเลิก อย่างไรก็ตาม เขาเป็นยูเนียนนิสท์อย่างเห็นได้ชัด และความรู้สึกเช่นนั้นก็แสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดในงานวรรณกรรมของเขา

เช่นเดียวกับหลายๆ คน ในช่วงวัยรุ่นทเวนยังไม่แน่ใจว่าเขามี
ความคิดเป็นเช่นไรกันแน่ เขาใช้เวลาในการบ่มเพาะและสะสมความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เมื่อความมั่นใจในตัวเองและความเคารพในตัวเองเพิ่ม
มากขึ้น พร้อมกับการที่เขาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เขาก็แสดงความคิดเห็นออกมาและมีความมั่นใจในความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมมากขึ้น อาจจะพูดได้ว่าคนที่ตอนแรกได้ทดลองคิดเกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรม และการเมืองในหลายๆ แบบจะสามารถเข้าใจปัญหาได้มากขึ้นเมื่อพวกเขา
รู้ว่าตัวเองนั้นมีความคิดอย่างไร เพราะว่าพวกเขาสามารถมองสิ่งต่างๆ ได้จากหลายมุม สิ่งนี้อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่มีความเชื่อในเสรีนิยมและผู้มีจิตใจเป็นอิสระ เพราะมันเป็นแนวคิดที่ว่าเราไม่สามารถมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งใดได้โดยที่ไม่ได้ทดลองพิจารณาและทำความเข้าใจถึงแนวคิดที่ตรงกันข้ามและแตกต่างกันเสียก่อน

ฉะนั้นทเวนจึงเป็นตัวแทนของสิ่งที่ประเทศสหรัฐอเมริกายุคใหม่ยึดมั่น ซึ่งก็คือประชาธิปไตย เสรีภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ โอกาสที่เท่าเทียมของประชาชน การคำนึงถึงผู้ที่เสียเปรียบในสังคม ความคิดที่เปิดกว้าง และอื่นๆ เขาเป็นตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการของสหรัฐอเมริกาที่เกิดขึ้นมาหลังสงครามกลางเมืองและต้องการแข่งขันกับสหราชอาณาจักรในโลกสมัยใหม่

Mark_Twain.tif

Mark Twain

ชื่อเสียงของมาร์ก ทเวน

 

คำนำสำนักพิมพ์

ารผจญภัยที่เต็มไปด้วยอันตราย การใช้ไหวพริบ การวางแผน ความหวัง และมิตรภาพ ที่ปรากฏในหนังสือที่มีชื่อว่า การผจญภัยของ ฮักเคิลเบอร์รี่ ฟินน์ เล่มนี้จะพาท่านผู้อ่านร่วมเดินทางไปพร้อมๆ กับฮัก ฟินน์และจิม ทาสผิวดำที่หลบหนีมา ร่วมล่องไปตามแม่น้ำมิสซิสซิปปีบนแพขนาดใหญ่ที่ให้ความรู้สึกเป็นอิสระ และเผชิญกับหลากเรื่องราวอันตรายที่ทำให้ได้รู้จักการพึ่งพาอาศัยกัน และความดีงามที่ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติและสีผิว

อีกหนึ่งวรรณกรรมทรงคุณค่าที่สะท้อนภาพสังคม และค่านิยมเหยียดสีผิวในอดีตผ่านเรื่องราวอันแยบยล ผลงานจากปลายปากกาของ มาร์ก ทเวน นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ผู้ซึ่งได้รับการจดจำในฐานะตัวแทนของความจริงในประวัติศาสตร์ เสรีภาพ และความเท่าเทียม

ร่วมเอาใจช่วยฮักเคิลเบอร์รี่ ฟินน์ และเพื่อนผิวดำผู้นั้นไปพร้อมๆ กันในหนังสือเรื่อง การผจญภัยของฮักเคิลเบอร์รี่ ฟินน์ (Adventures of Huckleberry Finn)”

ด้วยความจริงใจ

แอร์โรว์ คลาสสิกบุ๊คส์

 

คำนำผู้แปล

ด็กๆ นั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความบริสุทธิ์ พวกเขายังไม่แปดเปื้อนไปด้วยความคิดและค่านิยมแบบผู้ใหญ่ พวกเขามองโลกด้วยสายตาที่ไม่แบ่งแยก แต่เมื่อเด็กเติบโตขึ้นก็ได้ถูกหล่อหลอมโดยสังคมว่าพวกเขาควรจะมีความคิดและความเชื่อเป็นอย่างไร ฮัก ฟินน์เป็นเด็กผู้ชายที่ยังไม่แปดเปื้อนมากนักจากความคิดและความเชื่อของสังคมที่เขาอาศัยอยู่ และเขาได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ที่มีความสับสนระหว่างสิ่งที่เขาได้ถูกสอนสั่งมากับสิ่งที่เขารู้สึกได้ด้วยตัวเอง แต่ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะทำในสิ่งที่เขารู้สึกว่าเขาสมควรทำ โดยที่ไม่สนใจว่ามันจะทำให้คนอื่นในสังคมคิดว่าเขาเป็นคนไม่ดีหรือว่ามันจะเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าจะทำให้เขาตกนรกก็ตาม (ซึ่งเขาถูกปลูกฝังมาให้เชื่ออย่างนั้น)

การผจญภัยของฮักเคิลเบอร์รี่ ฟินน์จะทำให้ผู้อ่านได้กลับไปสู่อดีตอีกครั้ง ได้รู้สึกถึงสายน้ำและการดำรงอยู่อย่างเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความเงียบเหงาและดวงดาวที่มีอยู่เต็มท้องฟ้า และการผจญภัยที่เต็มไปด้วยอันตราย ความตาย และมิตรภาพ จากการเล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมาผ่านสายตาของเด็กผู้ชายที่พร้อมจะเผชิญโลกใบนี้ด้วยความกล้าหาญและความหวัง

อรดา ลีลานุช


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (76 รายการ)

www.batorastore.com © 2024