ทาสรักเจ้าทะเลทราย (นางแก้ว) (EBOOK)

ทาสรักเจ้าทะเลทราย (นางแก้ว) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: ทาสรักเจ้าทะเลทราย
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ตอนที่1  นาคิน กับบารี

 

            ลมพายุพัดกรรโชกหมุนคว้างรุนแรง หอบเม็ดทรายรวมเข้าเป็นกลุ่มก้อน หมุนเป็นลูกข่างขึ้นสู่ท้องฟ้า ภูมิประเทศในเขตทะเลทรายมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยน คือการดำรงชีวิตของชนเผ่าบารีต่างๆในดินแดน ซึ่งยังคงดำรงจากรุ่นสู่รุ่นด้วยการร่อนเร่ การต่อสู้ การแย่งชิง เพื่อให้ชีวิตตนเองและคนในครอบครัวได้อยู่รอดต่อไป

            ม้าอาหรับซึ่งได้ชื่อว่าเป็นม้าสายพันธุ์ดีที่สุด มีความแข็งแรง ได้สัดส่วน และมีความอดทนอย่างเป็นเลิศ ไม่แปลกเลยที่มันจะเป็นพาหนะในการเข้าร่วมการต่อสู้ทุกครั้งที่มีศึกสงคราม

ที่ทะเลทรายด้านทิศตะวันตกของ เมืองอะส่าน ม้าอาหรับแสนรู้กำลังพานาคิน ลูกชายหัวหน้าเผ่าวาลิดเขาได้รับบาดเจ็บไปจากถูกคมมีดคมมีดกรีดที่แผ่นหลังเป็นแผลยาว เป็นฝีมือของ อะมัร ศัตรูตัวฉกาจ พร้อมสมุนชายแต่งกายชุดดำรุ่มร่ามทั้งห้าคน เวลานี้นาคินถูกไล่ล่า ต้อนเข้าไปจนถึงหุบเขาหินทราย

            แม้ม้าแสนดีและซื่อสัตย์จะพยายามจนสุดความสามารถแล้ว มันยังไม่อาจพานายของมันหนีพ้นคนไล่ล่าได้ ดังนั้นเวลาต่อมา มันและเจ้าของผู้ได้รับบาดเจ็บ ต่างตกอยู่ในวงล้อม บาดแผลของหนุ่มคงฉกรรจ์ไม่น้อย เพราะมีหยาดเลือดสีแดงเข้มไหลย้อยลงมาที่พื้นทราย จนย้อมที่ตรงนั้นเป็นสีแดง

 เสียงห้าวของ อะมัร ผู้เป็นทั้งหัวหน้าเผ่า และเป็นหัวหน้ากลุ่มคนร้าย โอบล้อมนาคิน บุตรชายคนโตของเผ่า วาลิด อะมัรตะคอกขู่ชายหนุ่มผู้กำลังเสียทีด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย ด้วยความลำพองใจกับชัยชนะที่รออยู่แค่ปลายดาบโค้ง คมกริบของเขาอยู่แล้ว

            “ยอมให้ข้าตัดหัวเสียดีกว่านาคิน เจ้าจะได้ไม่ต้องทรมานมากไปกว่านี้”

            ชายหนุ่มกัดฟันข่มความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ถูกฟันที่ด้านหลังชายโครงข้างซ้าย บัดนี้เขาเจ็บปวดบาดแผลจนแทบทนไม่ไหวอยู่แล้ว หากแต่ว่า สายเลือดนักรบ มิอาจให้ใครมาเหยียดหยามหรือดูแคลนได้ง่ายนัก เขาจึงต้องยืนหยัด แม้ใกล้จะล้มแล้วตามที! นาคินจึงตะโกนตอบโต้ออกไปอย่างไม่หวาดหวั่นต่อการข่มเหงของผู้เป็นศัตรูด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

 “ไม่ต้องพล่ามไอ้อะมัร ถ้าแกมั่นใจว่ามีฝีมือมากพอที่จะฆ่าข้าได้ ก็เข้ามาเลย”

เมื่อถูกท้าทายเยี่ยงนั้นแล้ว พวกอะมัรจึงไม่รั้งรอที่จะแกว่งดาบโค้ง  ล้อมวงแคบ พลางกรูกันเข้าไปหาชายหนุ่มเป็นจุดเดียว

 ดวงอาทิตย์สาดแสงสะท้อนกับคมมีด เกิดประกายวัววาว นาคินชักบังเหียนม้า ควบคุมไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมือขวากวัดแกว่งมีดโค้งออกป้องกันตัวเอง เขาพยายามตีฝ่าวงล้อมออกมา แต่ว่าไม่มีช่องทางใดเลยที่จะเปิดออกให้เขาหนี

 หากแล้วจู่ๆเกิดเสียงวัตถุอย่างหนึ่งแหวกอากาศเสียง วิ้ว ก่อนที่จะมีเสียงหนักตามมา

“ฉึก”

            “อ๊าค...” หนึ่งในห้าถูกลูกธนูพุ่งเข้าปักที่กลางหลังอย่างแม่นยำ มันทะลุผ่านปอดปักแน่นอยู่ตรงนั้นทำให้ตกเลือดอย่างแรง ชายผู้ถูกคมธนูสะท้านไปทั้งกาย มืออ่อน ปล่อยมือจากอาวุธและเชือกบังเหียน ร่วง แอก ลงมานอนทับลูกธนูที่ปักกลางหลังมันอีกครั้ง ลูกน้องอะมัร ชักดิ้น ชักงอด้วยความเจ็บปวด ครู่หนึ่งต่อมา วิญญาณของมันก็ออกจากร่างเพราะบาดแผลจากคมธนูทะลวงจุดสำคัญ

พวกที่เหลือทั้งหมดรวมทั้งนาคินต่างหันไปมองยังแหล่งที่มาของธนูลึกลับ พวกเขาได้เห็นเด็กชายวัยรุ่น อายุไม่น่าจะเกินสิบสี่ ถึงสิบหกปี สวมชุดสีซึ่งแยกไม่ได้ว่าเป็นสีขาว หรือสีน้ำตาลเข้มเพราะดูซอมซ่อ สกปรกและรุ่มร่ามที่สุด  ผ้าโพกหัวของเด็กรุ่นหนุ่มคนนั้น ดูห้อยรุ่งริ่งเหมือนเอาเศษผ้ามาพันไว้หลายๆชิ้น

เจ้าคนนี้อาจจะเป็นบารีเผ่าใดเผ่าหนึ่งเป็นได้ แต่ที่ดูแปลกกว่าบารีทั่วไปคือ เจ้าบารีคนนี้มีฝีมือในการต่อสู้  ซึ่งตามความเป็นอยู่ของชาวบารี ชอบทำการเลี้ยงสัตว์หรือการเป็นขโมย ใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ ร่อนเร่ค้าขายไปทั่วแถบทะเลทราย

 ร่างบอบบางของผู้ที่ทุกคนกำลังเดาว่าเป็นคนเผ่าบารี กำลังยืนอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่ง ในบริเวณภูเขาหินขนาดย่อม ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่กำลังต่อสู้กันนัก บารีร่างเล็กยังอยู่ชัยภูมิที่เหมาะสมกับการรุกและหลบหนีเป็นอันมาก  อะมัรไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าบารีมอมแมมคนนั้นจึงตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเขา  ที่เขาคิดเช่นนั้น เพราะเจ้าบารีลึกลับกำลังเล็งเป้ามายังกลุ่มของอะมัร ก่อนที่จะปล่อยลูกธนูออกมาอีกดอกหนึ่ง

“เฮ้ย! ไอ้เด็กเวรนั่นเป็นใคร”อะมัรร้องถามเสียงดัง แต่ไม่มีใครตอบ เพราะต่างต้องรีบพาชักม้าหนีให้พ้นจากวิถีแห่งธนู

นาคินอาศัยช่องว่าที่เปิดออก เขาควบม้าทะยานออกไป เป็นหนีอีกครั้งหนึ่ง เขารู้ตัวดีว่าร่างกายของเขากำลังแย่แล้ว นาคินเล็ดลอดออกไปจนได้ อะมัรจึงร้องสั่งให้แบ่งกำลังติดตามเป็นสองฝ่าย หนึ่งคือล่านาคิน อีกทางหนึ่ง คือ ตามไปเอาเรื่องเจ้าของธนูที่สามารถล้มพวกของตนได้คนหนึ่ง

เด็กบารีคนนั้นไม่มีความหวาดกลัวต่อคนที่กำลังเข้ามารุกราน บารีคนแปลกกระโจนหนีจากก้อนหินอีกก้อน ไปอีกก้อนหนึ่ง ซึ่งดูจากการกระโดดของเขามากมีความสามารถอย่างน่าทึ่ง เพราะทั้งตัวเบา และมีฝีมือยิงธนูอย่างเป็นเลิศ

ขณะที่โดดเขายังเลี่ยงหลบพวก อะมัร หนำซ้ำยังหันไปแผงฤทธิ์ด้วยการยิงธนูโต้คืนได้เป็นหลายครั้ง  ซึ่งทำให้พวกที่กำลังเป็นผู้ล่า ต่างต้องคอยหลบคนลึกลับ ที่ยิงลูกธนู ที่สวนมาเป็นระยะ

 ความชำนาญของอีกฝ่ายามารถบอกได้ว่า เด็กคนนี้ต้องโตมากับลูกธนูเป็นแน่แท้

บารีจอมมอมแมมกระโจนไปบนก้อนหิน ก้อนแรก ก้อนที่สอง  จนถึงก้อนที่สาม แล้วจึงไต่ขึ้นอย่างรวดเร็ว

ความแคล่วคล่องว่องไว มีมากเสียจนกลายเป็นสิ่งประหลาด เพราะดูราวกับว่ามีบันไดให้ร่างเล็กๆนั้นได้ป่ายปีน ทั้งที่คนของ อะมัร ต่างได้เห็นว่า บนที่บารีคนนั้นไต่ขึ้นไป เป็นแต่หินตะปุ่มตะป่ำเท่านั้น พวกนักล่าได้แต่จ้องมองตาค้าง เพราะถึงแม้อีกฝ่ายแสดงความเป็นปฏิปักษ์ กับพวกตน แต่พวกเขาอดนึกชมความปราดเปรียว และความสามารถเกินตัวของเจ้าบารีคนนั้นอย่างเสียไม่ได้?

บารีคนกล้า วิ่งหนีไปตามก้อนหิน ก้อนใหญ่ ก้อนน้อย เข้าซอกนั้น ออกซอกนี้ ราวกับว่าภูเขาหินนี้เป็นบ้านที่แสนคุ้นเคยไม่ปาน

 ร่างคล่องแคล่วไต่ขึ้นก้อนหินสูงอีกครั้ง แล้วเหลือบสายตาคู่คมไปเห็นม้าของนาคิน ซึ่งเขาควบอยู่ ชายหนุ่มกำลังจะหมดสติ เพราะเลือดออกมากจากบาดแผล เด็กบารี คาดคะเนกำลังของตัวเอง แล้วกระโดดตัวลอย แรงส่งให้ไปที่หลังม้าให้จงได้ ร่างของเขาเหินลอยจากที่สูงลงมา แต่ผิดจากเป้าที่คาดว่าต้องลงพอดีกลางหลังม้า หากเป็นเพราะน้ำหนักตัวเบา จึงไปเกาะที่บั้นท้ายม้าแทน

แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรค เพราะบารีคนกล้าอาศัยความไวเป็นเลิศของตนคว้าจับเอวนาคินยึดไว้ พร้อมพยายามจะขึ้นไปนั่งบนหลังม้าให้ได้ นาคิน เกือบฟุบกับหลังม้า หากสติสัมปชัญญะบางส่วนยังมีความรู้สึกอยู่บ้าง เขาถามอีกฝ่ายออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“แกเป็นใครไอ้หนู”

“เจ้าก้มตัวลงได้มั้ยข้าจะได้ควบม้าถนัดกว่านี้” เสียงของเขาเล็กและใสไม่เหมือนเสียงเด็กหนุ่มที่น่าจะกำลังมีเสียงที่แตก เพราะดูอีกฝ่ายเหมือนเด็กรุ่น และเป็นฝ่ายสั่งนาคิน

ไม่เพียงแต่สั่งเท่านั้น หากบารีใช้เข่าเสยร่างของนาคินที่ทำท่าจะร่วงลงจากหลังม้าให้กลับขึ้นมานอนฟุบกับหลังม้าได้อีกครั้ง มือข้างที่ว่างของเขาดึงเสื้ออีกฝ่ายยึดไว้แน่น อีกมือชักบังเหียนควบม้า ห้อตะบึงสุดฝีเท้า

ผู้ล่าเหลือสองคนตามมา แต่พวกเขาต้องรีบวกม้ากลับในทันทีที่เห็นพายุทรายก่อตัวอยู่เบื้องหน้าห่างไม่เท่าไหร่ เขาไม่อาจตามต่อไปได้อีก นอกจากแช่งให้นาคิน และ บารีจอมวุ่นคนนั้น ถูกพายุทรายหอบพัดให้ตายไปเสียเลย

            บารีผู้ไม่มีที่มา หากเขากำลังรู้ที่ไป ดังนั้นจึงได้พาม้าวกหมุนกลับไปอีกทาง เพื่อเลี่ยงกับพายุข้างหน้า ทิศทางที่มันไปเป็นพื้นที่แห้งแล้ง พันธุ์ไม้แห่งทะเลทราย เกิดเป็นพุ่มระเกะระกะไปหมด บารีคนกล้ายังควบม้าสุดฝีเท้าห่างออกไปทุกที ทุกที ขณะที่นาคิน หมดสติไปแล้ว

            เวลาผ่านไปตามวิถีโคจรแห่งโลก

             ความมืดโรยตัวลงมาปกคลุมรอบอาณาบริเวณทุ่งข้าวสาลี ออกรวงเหลืองอร่าม  เสียงแกะ และแพะร้องดังแว่วๆเข้ามา ทำให้นาคินรู้สึกตัว เขาร้อนผ่าวไปทั้งหน้า และกาย ความร้อนรุ่มราวกับว่ามีกองไฟสุมอยู่ในตัวของเขากระนั้น ความเจ็บปวดบาดแผลที่ชายโครงด้านหลัง มีมากเสียจนชายหนุ่มต้องกัดปากไม่ให้เสียงร้องดังออกมาได้ เวลานี้เขากำลังนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นหญ้าแห้งๆ อยู่ใต้เพิง ซึ่งมีกิ่งไม้แห้งตั้งเป็นเสา และพาดเป็นหลังคาเตี้ยๆ คลุมด้วยหญ้า และฟาง หรือเศษไม้ตามแต่จะหาได้ มากั้นกันน้ำค้างเท่านั้น

เบื้องหน้านอกเพิงหญ้ามีกองไฟเล็กๆก่อจากกิ่งไม้ และท่อนไม้แห้ง สุมให้แสงว่างและความอบอุ่น

นาคินยังรู้สึกงงอยู่ว่าเขามานอนที่แห่งนี้ได้อย่างไร มีความรู้สึกอีกอย่างซ้อนขึ้นมา นั่นคือ กำลังมีใครบางคนกำลังยุ่งอยู่กับบาดแผลที่ชายโครงด้านหลังของเขา และคนๆนั้นกำลังกดแผลของเขาอย่างแรง เขายิ่งแสบร้อน และ เจ็บตึงที่บาดแผล ราวกับว่าเขาถูกบางอย่างมาพอกบาดแผลอย่างหนามาก

นาคินรู้สึกหนักอึ้งทีเดียว ชายหนุ่มฝืนทนความเจ็บไม่ได้ จึงต้องเปล่งเสียงร้องออกมาเต็มที่ หากแต่มือที่พันเศษผ้าของคนที่ยุ่งกับบาดแผลของเขารีบส่งเข้ามาอุดปากนาคินอย่างรวดเร็วเช่นกัน  ดังนั้นเขาจึงกัดงับมือพันเศษผ้า ซึ่งนาคินไม่ได้ใส่ใจหรอกว่ามันสกปรกหรือไม่สกปรก แต่รสชาติที่แตะถูกลิ้นเค็มแปร่งเลยทีเดียว

นาคินกัดโดยแรงเพื่อสะกดไม่ให้เสียงดังลอดออกไป ครู่หนึ่งจึงได้เหลียวหน้าไปดูผู้ที่กำลังทำตัวเป็นหมอยามยาก

ภาพที่ชายหนุ่มได้เห็น คือ เจ้าบารีหน้าอ่อน ทำหน้าเหยเก กำลังกัดริมฝีปากข่มความเจ็บ จากการที่ถูกนาคินกัดมือ นาคินเห็นแล้วสงสารจับใจ จึงได้ปล่อยปากออก แล้วสู้ฝืนทนสะกดความเจ็บปวด ข่มเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เมื่อมือของบารีหน้าสวย ได้รับอิสระ นาคินเห็นอีกฝ่ายสะบัดมือเร่าๆ สูดปากห่อเสียกลม เปล่งเสียงร้อง

“อูย อูย”

บัดนี้นาคินไม่หวาดระแวงการช่วยเหลือของอีกฝ่ายเลยสักนิด เพียงแต่เขารู้สึกประหลาดใจว่าทำไมเจ้าหนุ่มน้อยคนนี้ต้องทุ่มเทการช่วยเหลือเขาอย่างมากถึงเพียงนี้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้ถามเพื่อให้คลายสงสัยว่า

            “เจ้าเป็นใครแน่เจ้าหนุ่มน้อย เจ้ามีเหตุผลอะไรจึงช่วยข้าล่ะ”

            “เจ้าหิวมั้ยเจ้าคนเจ็บ”บารีหนุ่มน้อยไม่ตอบคำถาม แต่ย้อนไปถามนาคินอีกเรื่องหนึ่ง

นาคินจำได้ว่าอีกฝ่ายไม่เคยตอบเขาคำถามของเขาเลยสักครั้ง เพราะเมื่อนาคินถามไป เขาจะต้องโดนถามกลับมาทุกทีไป แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มยังขืนถามออกมาอีกประโยคหนึ่ง ด้วยความหวังว่าบารีคนนี้จะมีคำตอบมาให้เขาบ้างสักข้อว่า

            “นี่ที่ไหน แล้วเจ้าช่วยข้าไว้ทำไม เจ้าหนู” นาคินต้องเรียกว่าเจ้าหนูมากกว่าสรรพนามอื่น เพราะหน้าสวย ดูอ่อนใสของอีกฝ่ายทำให้คะเนอายุได้ว่าน่าจะประมาณสิบสามปี

 แต่เจ้าบารีย้อนถามเขากลับมา โดยไม่ตอบคำถามของนาคินเช่นเดิมว่า

“ข้ามีนมแพะ และขนมปังอยู่อีกนิดหน่อยเจ้ากินเสียก่อนเถอะจะได้มีแรง” เสียงใส พูดออกมายืดยาว 

นาคินจึงได้สังเกต  ท่าทางการนั่งของบารีไปในตัว ซึ่งเจ้าคนนี้นั่งแปลกกว่าชาวทะเลทราย ที่มักจะนั่ง  หรือไม่นั่งขาถ่างๆ ยกเข่าชันขึ้นมาข้างหนึ่ง ซึ่งเป็นการนั่งที่ดูสบายกว่าการนั่งพับขา ทับส้นเท้าอย่างที่เจ้าบารีคนนี้กำลังนั่งอยู่ 

เห็นแล้วนาคินรู้สึกเมื่อยแทน แต่บารีร่างบางกลับนั่งอย่างสบายๆ พลางเลื่อนตัวไปหยิบภาชนะดินเผาแตกที่มีนมแพะอุ่นๆใส่อยู่ไว้เกือบเต็ม การเคลื่อนไหวโดยยังนั่งอยู่ท่าเดิม ทำให้ดู เหมือนกับว่า

 บารีหนุ่มน้อยนั่งบนของกลมๆที่หมุนได้

มือเรียวเล็กยื่นชามส่งมาที่ตรงหน้านาคิน แต่เขากำลังนอนคว่ำอยู่ จึงไม่สามารถที่จะกินได้ถนัด เออถ้านอนหงายยังพอทำเนาหรอก  และที่สำคัญสุดคือ เขาเป็นลูกชายหัวหน้าเผ่าวาลิด  ตระกูล วาลิด ความลือชื่อเรื่องความร่ำรวย จากการยึดครองโอเอซิสกว้างมาช้านาน และยังมีทองคำมากค่า

ทำให้เผ่าวาลิด มีศักดิ์ศรี และต้องคอยระวังโจรจากเผ่าอื่นเข้ามาโจมตี ศักดิ์ศรีตระกูล วาลิดของเขาเวลาไม่เหลืออยู่เลย เพราะเจ้าบารีคนแปลก ทำเหมือนเขาเป็นคนพิการไปเสียแล้ว

…ดูอีกฝ่ายช่างเจ้ากี้เจ้าการ ทั้งให้ความช่วยเหลือสารพัดเรื่อง แม้แต่การทำแผลให้ยอมเจ็บตัวโดยยอมให้นาคินกัดมือแทน

...ซึ่งนาคินไม่เข้าใจว่า ทำไม?อีกฝ่ายจึงต้องเสียสละให้คนแปลกหน้ามากขนาดนี้...

ขณะนั้นชายหนุ่ม ขยับกายฝืนที่จะลุกขึ้นนั่งให้จงได้  ถึงแม้ว่าเขาจะยังมีความเจ็บปวดบาดแผลอยู่มากตามที  บารีหนุ่มน้อยรีบประคองภาชนะแตกที่ใส่นมวางบนบนพื้นหญ้าที่ปูนอน ซึ่งเขาจัดวางด้วยความระมัดระวังราวกับสิ่งนี้มีค่ายิ่งนัก เมื่อวางเรียบร้อยแล้ว จึงหันไปประคองร่างของนาคินให้ลุกขึ้นนั่ง เพื่อความสะดวกในการกิน และคลายความเมื่อยลงไปบ้าง

ความเจ็บยามขยับตัวทำให้เขาพริ้มตาคล้ายสะกดตัวเองไม่ให้รู้สึกเจ็บตามความเป็นจริง แต่อดทำหน้าย่น และสูดปากระบายความเจ็บจากภายในออกมาเสียไม่ได้  เขาหลับตา แน่นขึ้นและกัดริมฝีปากกลั้นความเจ็บที่มีมากขึ้นกว่ายามนอนหลายเท่า  แต่ในที่สุดเขาฝืนนั่งจนสำเร็จ

นาคินเริ่มสังเกตหนุ่มน้อยบารี แล้วจึงแปลกใจ ที่เห็นผิวพรรณขาว ไม่ยักดำอย่างคนพื้นเมืองที่เห็นกันทั่วไป ยิ่งมองผ่านคราบขี้ไคลหนา ยิ่งเห็นผิวขาวละมุนซ่อนอยู่ และ แววตากลมโตดำขลับ คู่นั้น มีประกายสุกใส ระยิบระยับ ซึ่งบ่งบอกถึงความฉลาด และจากการกระทำของหนุ่มหน้ามลคนนี้ ทำให้นาคินคิดว่า  อีกฝ่ายมีความรอบคอบเกินหน้าตาที่อ่อนเยาว์เสียด้วยซ้ำ

 บารีหนุ่มน้อย ค่อยๆ ประคองภาชนะใส่นมแพะขึ้นมาส่งให้นาคินอีกครั้ง ครานี้เขารับด้วยความเต็มใจ เนื่องจากความอ่อนโยนในการปรนนิบัติของเจ้าบารีคนเก่งนี่เอง!

            กลิ่นคาว และน้ำนมสีข้น ทำให้นาคินรู้ว่าเป็นนมชนิดใด เขาจึงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าสงสัย คิ้วยาวดกดำหนาขมวดเข้ามาหากัน

            “นี่นมแพะ...แล้วเจ้าไปเอามาจากไหนบารี”

            “พวกไอ้อะมัรคงตามมาไม่ถึงที่นี่” ดูเหมือนหนุ่มน้อยพอใจที่จะคุยกับนาคิน ไปคนละเรื่องมากกว่า

บัดนี้นาคินไม่อยากจะถือสากับการทำเหมือนคนหูตึงของอีกฝ่าย  แต่ว่าเขารู้สึกสะดุดหู เมื่อหนุ่มน้อยพูดถึงชื่ออะมัร ซึ่งทำให้นาคินรู้ว่าบารีคนนี้รู้จักอะมัร

ดังนั้นจึงต้องถามอีก ครานี้อยากรู้ และต้องการคำตอบให้จงได้

“เจ้าเป็นใครกันแน่ แล้วเจ้ารู้จักอะมัรด้วยหรือ”

“เจ้าควรกินนมรองท้องอีกหน่อย” ดูเถอะ เจ้าหนุ่มน้อยคนนี้ใส่ใจที่จะฟังเขาซะที่ไหนกัน ซึ่งการไม่ยอมตอบคำถามของชายหนุ่มเลยสักคำตอบเดียว ทำให้นาคินอดคิดว่าอีกฝ่ายยั่วเสียไม่ได้

ในเมื่อนาคินไม่ถาม เจ้าหมอนั่นหุบปากสนิท แต่เมื่อนาคินถามออกไป  เจ้าเด็กหนุ่มตัวเหม็นเป็นเสตอบไปคนละเรื่องทุกที!

การกระทำของหนุ่มน้อยจึงทำให้นาคินไม่พอใจนัก แต่นาคินได้แต่คิดเท่านั้น เพราะเวลานี้เขาไม่มีแรงจะไปก่อเรื่องกับคนที่ช่วยเขาไว้  แม้จะอยากสำแดงว่า เขาไม่ใช่คนขี้แพ้ออกมาให้อีกฝ่ายได้เกรงขามเสียบ้างตามที

เมื่อชายหนุ่มรู้ตัวว่า ไม่อยู่ในสถานภาพที่ต่อปากต่อคำกันกับอีกฝ่าย นาคินจึงเลือกที่จะเงียบเสียดีกว่า  ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ถามอะไรออกมาอีก และยกนมแพะจากภาชนะดินเผาแตกๆนั้นขึ้นมาดื่ม เพื่อเสริมสร้างกำลัง หากแล้วเมื่อดื่มหมดเขานึกถึงที่มาของนมแพะอีกครั้ง

            “เจ้าเอานมแพะมาจากไหนกันบารี”

            “กินขนมปังอีกสิ อ่ะ ! ข้ามีตั้งสามก้อน” กล่าวพลางบิก้อนขนมปังเก่าๆส่งให้นาคิน เขาปิดปาก ไม่ยอมรับด้วยความขัดใจ พลางจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่กะพริบตา ชายหนุ่มขัดใจจนสุดทนไหวกับการที่เด็กหน้าสวยคนนี้ไม่ยอมตอบคำถามของเขาเอาเสียเลย อีกฝ่ายทำราวกับอยากยั่วให้เขาโมโหไม่ปาน

เมื่อจ้องมองเด็กหน้าสวย ครานี้นาคินสังเกตเห็นอีกฝ่ายมากกว่าเดิม

ท่ามกลางแสงสลัวของเปลวไฟมองได้ว่า ภายใต้ความมอมแมมของบารี  หน้าของอีกฝ่ายมีลักษณะเรียว ดวงตากลมโต จมูกโด่ง คิ้วเรียวยาวจรดหางตาดำสนิท หน้าเหมือนเด็กผู้หญิง มากกว่าผู้ชาย แต่กลิ่นสาปแรงราวกับอีกฝ่ายไม่ได้อาบน้ำมาสักเดือน นาคินรู้สึกเวียนหัวแทบทนไม่ไหวทีเดียว

ที่สำคัญ เขาตัดประเด็นเรื่องที่อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงออก เพราะเขาคิดได้ว่า ไม่มีผู้หญิงเผ่าไหนเก่ง และที่สำคัญ ไม่ว่าผู้หญิงเผ่าไหนในดินแดนแถบใกล้ ทั้งสิบเอ็ดเผ่า น้อยใหญ่ แล้วแต่อยู่ในเขตการปกครองใดจะมีความสารถมากขนาดนี้ และมีอิสรเสรีได้เท่า 

ดังนั้นเขาจึงสิ้นข้อกังขาในความสวยเกินชายของอีกฝ่าย โดยคิดว่าเป็นความน่าสงสารที่เด็กหนุ่มเกิดมาผิดเพศ เพราะพวกผู้ชายชาวทะเลทราย หากไม่มีหนวดเครา ดูไม่สมกับชายชาตรี

เจ้าเด็กคนนี้ ผิวละเอียดแม้มีความสกปรกปดปิดไว้

ถึงไม่มีขนแขนขา หรือไรหนวดเคราเมื่อเข้าวัยหนุ่มอย่างชาวทะเลทราย แต่เจ้าบารีคนนี้มีฝีมือธนูอย่างแม่นฉมังนัก เจ้านี่คงเกิดมาผิดเพศ แต่เด็กหนุ่ม เก่งอย่างหาตัวจับยาก

เจ้านี่เป็นใครมาจากไหน!!

เขาอยากรู้  ถ้าเขาถาม  เจ้าบารีต้องให้เขากินอะไรต่ออะไรเข้าไปอีก ซึ่งหนุ่มน้อยใช้วิธีเบนความสนใจในการเลี่ยงที่จะตอบ ดังนั้นนาคินจึงตกลงใจที่จะไม่ถาม และดูเจ้าหนุ่มน้อยเฉย ซึ่งดูเหมือนจะพอใจที่นาคินไม่ซักถามอะไรออกมาอีก

เมื่อกระแสลมโชยพัด หอบกลิ่นตัวของบารีหนุ่มน้อยเข้ามาเต็มจมูก กลิ่นสาปรุนแรงจนนาคินเบือนหน้าหนี ไปถอนหายใจขับไล่กลิ่นไม่พึงประสงค์

เจ้าบารี เปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ เผยรอยยิ้ม โชว์ฟันขาวเป็นระเบียบ รอยยิ้มหวานเกินชาย ยิ่งทำให้หน้าหวานดูสวยมาก สวยเสียจนนาคินเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ใช่ผู้หญิง  แต่...เขาเสียดายอีก เพราะถ้าบารีเป็นผู้หญิงเด็กมากฝีมือคนนี้ต้องอยู่เฝ้ากระโจม ถักทอผ้า หรือไม่ทำหน้าที่หุงต้ม และอายุเท่ากับเจ้าหนุ่มคนนี้ อาจจะต้องเป็นเมียใครสักคน มีลูกได้แล้วด้วย

...ดีที่บารีเป็นผู้ชายฝีมือดี แม้จะอาภัพที่เกิดมาสวยตามที!

เมื่อนาคินนิ่งเฉย ไม่มีความอยากรู้อยากเห็นอีกแล้ว ชายหนุ่มกลับได้ยินเสียงใสๆของอีกฝ่ายบอกเล่า เรื่องของตนเองออกมาด้วยความเต็มใจ ว่า

            “ข้าไม่ได้อาบน้ำมาสิบห้าวันแล้ว เพราะไม่มีที่ให้อาบ เมื่อเจ้าหายใจไม่ออก เจ้าหันหน้าไปทางอื่นเสียสิ เฮ้อ...”ท้ายประโยคเจ้าคนเก่งถอนใจทำราวกับหนักหนักใจเสียเต็มประดา ก่อนเปรยออกมาว่า

“ความจริงข้าจะขโมยม้าของไอ้อะมัรไปขายสักสามสี่ตัว แต่มันมัวแต่ตามล่าเจ้า แล้วเจ้าเป็นใคร ไปขโมยอะไรของมันเข้าล่ะ เจ้าอะมัรถึงตามฆ่าเจ้าอย่างบ้าเลือดขนาดนั้น”

            “ขโมย นี่เจ้าเป็นหัวขโมยหรอกหรือ”

            “ข้าขโมยเฉพาะคนที่ข้าไม่ชอบ ถ้าข้าไม่ชอบเจ้าข้าจะขโมยเจ้าด้วย” หนุ่มน้อยหน้าสวยตอบด้วยท่าทีงอน หางเสียงสะบัดหน่อยๆ

กิริยาอาการแง่งอนของหนุ่มน้อย ช่างเหมือนเด็กสาวๆ จนทำให้นาคิน รู้สึกร้อนวูบวาบในช่องท้องขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ซึ่งนาคินติดว่า อาจจะด้วยความร้อนของพิษไข้ หรือด้วยความรู้สึกแปลกในตัวเจ้าหัวขโมยบ้าๆบอๆคนนี้ แต่ทำให้เขารู้สึกร้อนขึ้นมาได้จริงๆ

            หนุ่มน้อยมีจริต ไม่เหมือนผู้ชาย และไม่มีความเป็นผู้หญิงอย่างที่นาคินเคยรู้จักมาก่อน

ผู้หญิงชาวทะเลทรายในแดนของเขาหรือข้างเคียง ต่างมีกฎประเพณีเคร่งครัด ห้ามพูดกับผู้ชายที่ไม่ใช่คนในครอบครัว ห้ามทำตาเล็กตาน้อยหัวเราะร่วนแม้จะมีเรื่องให้ขำจนปวดท้องก็ต้องกลั้นเสียงไว้ 

เจ้าบารีคนนี้ เหมือน คนประหลาดมากกว่า แต่เป็นความประหลาดที่สร้างความรู้สึกร้อนวูบวาบให้นาคินได้ ด้วยรอยยิ้ม ท่าทางค้อนขวับๆอย่างไม่ตั้งใจ ทั้งยังส่งรอยยิ้มแสนหวานมาให้บ่อยๆ  จนเขาต้องตัดบท

            “เอาล่ะข้าจะไม่ทำให้เจ้าเกลียดข้า พอใจมั้ย และข้าขอบใจที่ช่วยชีวิตข้า”

            หนุ่มหน้าสวยพยักหน้ารับหงึกๆ แล้วยิ้มในสีหน้าขณะพูด ยิ่งส่งให้ใบหน้าหวานสวยใสอย่างจับใจ นาคิน ต้องรีบเบนสายตาหันไปมองทางอื่น

“ข้าพอใจจะช่วยข้าช่วย และข้าเดาว่าคนที่เป็นศัตรูกับเจ้าอะมัร ต่างเป็นคนดีทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ขโมย ว่าแต่เจ้าเป็นขโมยมาจากต่างถิ่นหรือ”

            “ข้าไม่ใช่ขโมย แต่ข้าเป็น ลูกชายหัวหน้าเผ่า วาลิด ชื่อ นาคิน”เขาหันขวับมาตอบทันที

          “อะไรนะ ท่านเป็นลูกชายหัวหน้าเผ่าเชียวหรือ” มันพลั้งปากออกมาอย่างคาดไม่ถึง มือแตะที่ชายพกด้านในของตนเองซึ่งซ่อนของสำคัญอย่างลืมตัว พลางนึก ดีแล้วที่ได้ช่วย ดีแล้ว

          หากความคิดกับการกระทำของเจ้าตัวดีแสดงออกคนละอย่างกันทีเดียว

            “ทำไมล่ะ หรือท่าทางข้าดูเหมือนหัวขโมยมากกว่า” เขาเอ่ยถามออกมาด้วยท่าทางเอาจริง หากแฝงรอยยิ้มอย่างนึกขบขันกับท่าทีแตกตื่นของอีกฝ่าย ก่อนที่บารีหน้าสวยจะเอ่ยออกมาเบาๆ

            “ข้าคิดว่าเจ้าไปขโมยม้าของไอ้อะมัร และโดนมันตามฆ่า” กล่าวแล้วพลางหันกายคล้ายจะยุติการสนทนา แต่ยังบ่นงึมงำเรื่องเดิมกับตัวของตนเองว่า “ข้าน่าจะอยู่ตามปะสาขโมยของข้า ไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องการแย่งชิงระหว่างเผ่าของพวกเจ้าเลยจริงๆ”

            นาคินยังอยากสนทนาต่อ ไม่ต้องการยุติดื้อๆ จึงหาเรื่องพูดไปว่า

            “เจ้าใส่ยาพอกแผลให้ข้าหรือ ข้าจึงรู้สึกค่อยหายปวดลงบ้างแล้ว”

            แต่เจ้าบารี ที่นาคินแอบคิดว่า  เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้มีนิสัย บ้าบอ เพราะอีกฝ่ายไม่หันกลับมาตอบ และทำหลับนิ่ง ไม่ยอมพูดกับเขาอีกเลย

            นาคินให้รู้สึกแปลกใจในนิสัยประหลาดของอีกฝ่ายยิ่งนัก เพราะบทจะพูด พูดได้รวดเดียวจบ และบทไม่พอใจ เจ้าหนุ่มน้อยจอมประหลาด เงียบเหมือนคนเป็นใบ้ ที่สำคัญ บารีหน้าสวยไม่สนใจว่า นาคินเป็นลูกชายหัวหน้าเผ่าด้วยซ้ำไป เพราะว่าถ้าบารีจะสนใจ โดยแค่ไปส่งเขากลับเผ่า เจ้าหัวขโมยคนนี้จะได้รางวัลตอบแทนอย่างงดงามกว่าการขโมยม้าสามตัวอะไรของเขาเสียอีก!

 

ห่างจากเพิงของผู้หลบภัยอย่าง นาคิน และ บารีตัวเหม็นไปมากพอควร มีกระโจมหลังใหญ่ของผู้เลี้ยงแกะ และเป็นเจ้าของนาข้าวสาลีตั้งอยู่ ความใหญ่ของกระโจมเป็นการบ่งบอกถึงฐานะผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี และด้านห่างกระโจมออกมาทางทิศใต้ มีกระโจมครัวซึ่งผู้หญิงของบ้าน จะมีหน้าที่ทำอาหารเลี้ยงดูคนในครอบครัว

 เวลานี้เมียหลวงเจ้าของกระโจม พร้อมเมียน้อยอีกสองกำลังจุดเตาไฟ ซึ่งทำโดยการวางหินเป็นหกก้อนขนาดเท่าๆกัน ล้อมเข้าทำเป็นที่หุงต้มอาหารอย่างเรียบง่าย  เวลานี้เส้าไฟทั้งสามได้ถูกก่อไฟเตรียมพร้อมไว้แล้ว นางเมียใหญ่ เดินไปดูอาหาร ปากบ่นว่าเมียคนรองซึ่งมีหน้าที่อบขนมปังว่า

            “เมื่อวานเจ้าทำขนมปังหายไปสามก้อน เจ้าคงไม่ได้แอบเอาไปให้ลูกชายเจ้ากินเพิ่มหรอกนะ”

            “ท่านพี่อย่าดูแคลนว่าข้าจะรักแต่ลูกของข้าเพียงคนเดียวเลยนะคะ เพราะลูกของพวกท่านข้าเอ็นดูไม่น้อยกว่าลูกข้าสักนิด แต่ก้อนขนมปังที่ข้าอบไว้ มันหายไปได้อย่างไรข้าไม่รู้เหมือนกัน แต่วันนี้ข้าจะเฝ้าจนอบเสร็จเลยทีเดียว”

เมียคนที่สามเปรยขึ้นอย่างไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่

            “หมาเฝ้าแกะ เฝ้าแพะไม่เคยเข้ามายุ่มย่ามข้างใน ช่างน่าแปลกที่อาหารหายไปได้”

ขณะเดียวกันนั้นนางเมียหลวงเลื่อนกายไปหยิบใบชาจากภาชนะบรรจุซึ่งห่อผ้าเก็บไว้อย่างดีนางจึงเห็นว่ามันหายไปเกือบครึ่ง นางจึงเอะอะขึ้นมาว่า

            “นี่ใบชาหายไปไหน ใครแอบมาต้มกินเวลากลางคืนหรือเปล่า” นางถามพลางกวาดสายตาหาสิ่งของที่นางฉุกคิดได้ว่าน่าจะมีขโมยเข้ามารุกล้ำมาลักเอาไป และสิ่งที่นางคาดไว้เป็นจริง เพราะว่า หม้อดินของนาง พร้อมชามดินเผาหายไปอย่างละหนึ่งลูก นางเมียคนที่สามรีบเข้าไปดูเนื้อแกะแห้งของตนเอง ซึ่งปรากฏกว่ามันได้หายไปครึ่งหนึ่งเช่นกัน นางคนรองเห็นท่าไม่ดีเสียแล้ว จึงรีบดูที่หมักแป้งขนมปังดิบซึ่งเป็นหน้าที่ของนางบ้าง และในภาชนะที่หมักก้อนแป้งไว้ถูกแบ่งออกไปเกือบครึ่ง


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (74 รายการ)

www.batorastore.com © 2024