กรรมของสัตว์ (ม.มธุการี)

กรรมของสัตว์ (ม.มธุการี)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789742532956
ผู้แต่ง: ม.มธุการี
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 240.00 บาท 60.00 บาท
ประหยัด: 180.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

พั้งค์ส่องกระจกดูหน้าตัวเองก่อนเข้านอนในดินนั่น ยังแสบร้อนไฝหาย

ตามผิวหน้าที่คูกแดดลมกลางทะเลแผดเผาเสียจนเสียโฉมไปหมด จมูกเริ่ม

ตกกระและหลุดลอกออกมาเป็นแผ่น พั้งค์นั่งดึงเพราะคิดว่าอาจจะได้สีผิว

ใหม่ที่ขาวกว่าเดิม แต่มันก็ไฝใช่เซ่นนั่น เขาเป็นไอ้ลิงดำ! ถ้าอยู่ในกลุ่มสิง ๆ

 ด้วยกันเขาจะถูกเหยียดผิวสักเพียงไหน? นี่โซคดียังอยู่ในกลุ่มของหมา ๆ

แมว ๆที่คงไม่รู้ถึงปมด้อยและความแตกต่างกนสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่าง

ยิ่งเจ้าเพนมันก็ผิวดำเหมือน ๆ เขาวนี่แหละ ข้างแม่กำไลแม้จะต่างผิวออกไป

แต่ใครจะรู้เจ้าสองตัวนี่ตาบอดสีและไฝเห็นอะไรเลยก็ได้นอกจากสี

ขาวกับสีดำ

เขาเดินแขนลากดินออกไปตรวจพล ลมทะเลพัดเย็นสบายและทุกคนก็ดู

จะนอนหลับกันอุตุ เจ้าเพนนั่นไม่ต้องห่วงเพราะนอนน้ำลายไหลยืดและลิ้นออกมา

ห้อยย้อย มันคงเหน็ดเหนื่อยทั้งวันจากการวิ่งวุ่นอยู่ในเรือ เขาไม่เห็นกำไล ณ ที่ใด

แม่นั่นคงโชคดีได้เล็กๆกันคุณวนาลี พั้งค์แอบรักคุณวนาลี สักวัน

หนึ่งถ้าพั้งค์จะแต่งงานกับลิงสักตัว พั้งค์จะหาลิงสาว ๆ ที่สวยน่ารักเหมือนคุณ

วนาลี แต่มันจะอย่างไร พั้งค์มองเห็นชีวิตหนุ่มของตัวเองที่จะต้องอยู่กับ

ความจ้างจ้างเรื่อยไป ไม่มีลิงข้างบ้านให้พั้งต์ตามจีบ เจ้าเพนกันแม่กำไลลังหาคู่

ได้ง่ายกว่าพั้งค์เสียอีก ดูซิ...ไม่ทันไรกำไลได้ลูกมาดูเล่นอีกสองตัว แถมลังเลี้ยงลูก

ไม่เป็นเสียอีกต้องให้พั้งค์ช่วยเลี้ยงให้ ทั้งคู่รักทั้งเจ้าแพรและเจ้าไพรขนาดเอามา

นอนตัวบ่อยๆ เจ้าสองตัวก็ติดพั้งค์เสียด้วยและรบกวนให้พั้งค์คอยหาหมัดให้ไม่ได้

ว่างเว้น

พูดถึงหมัด พั้งค์ก็มองเห็นประโยชน์ของตัวเองที่สุดแสนจะภาคภูมิใจ แม้

 

จะทำอะไรไม่ได้มากแต่ความชำนาญในการหาหมัดทำให้เพื่อนฝูงไม่เคยรังเกียจเขา

สักตัว และพั้งค์ก็พยายามเร่งสถิติทำเวลาการหาหมัดให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ทุกสิ่งมัน

ต้องมีการพัฒนา...พั้งค์คิด...โลกคงไปไม่ถึงไหนถ้าไม่มีการพัฒนาทางด้านแรงงาน

เอาเลย...

 

เอามือไพล่หลังและเดินกลับไปกลับมาอย่างนักคิดทั่ว ๆไป มันเป็นอิริยาบถ

ที่พั้งค์ชอบทำยามอยู่ตัวเดียวและต้องใช้ความคิดหนัก เนยถ้อนกลม ๆ สีเหลืองลอย

อยู่บนฟ้ามีดมีด อิกหน่อยก็คงถูกตัวกระต่ายบนนั้นแทะกินจินจนเว้าแหว่งและหมด

ก้อนในที่สุด มันจะแหว่งไปทุกคืนจนกว่าจะหมดแล้วจะมีเนยก้อนใหม่เพิ่มชิ้นมา

พั้งค์ว่ามันช่างเป็นกระต่ายที่โชคดีและไม่มีวันจะอดตาย''

อนาคต...เป็นคืนที่พั้งค์เริ่มคิดถึงอนาคตของตัวเอง ลิงกำพร้าที่พ่อแม่ถูกจับ

ไปเล่นละครสิงและพั้งค์ก็ถูกขายทอดตลาดในราคาแสนถูกไม่ต่างอะไรกับทาสผิวดำ

ในความเป็นทาสอันเจ็บปวดขมขื่น พั้งค์ถูกทรมานเพื่อใช่งานสารพัดโดยคุณธนา

บัดนี้ พั้งค์มีอิสระแล้ว แต่เหตุใดในส่วนลึกพั้งค์จึงรูสกขมขื่นไม่เว้นวาย เหมือน

ชีวิตของพั้งค'ไม่ได้อยู่ที่นี่...ชีวิตของพั้งค์ควรจะอยู่ในป่าในแวดวงของพวกเดียวกัน

และมีสิทธิเสรีตามแบบฉบับของลิงทั่วๆ ไป พั้งค์ไม่ใช่เพนหรือกำไลที่ได้พบบ้านอัน

 อบอุ่นของตัวเองแล้ว พั้งค์มีบ้าน...พั้งคิด...และห้านของพั้งค์ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่...

เสียงเพนพลิกตัวกลับอีกทิศทางหนึ่งตามมาด้วยเสียงยกขาชิ้นเกาหมัด มัน

คงมีหมัดใหม่ ๆ เพิ่มชิ้นมาอีกแล้วแล๓งไม่พนเป็นหน้าที่ของพั้งค์อีกตามเคย

เจ้าเพนอ้าปากหาววอด มันคงเห็นพั้งค์เข้าแล้วเพราะเห็นทำตากะพริบถี่

จากนั้นก็พลิกตัวลุกขึ้นนั่ง มันเห่าถามว่าพั้งค์ลุกมาทำอะไรดึก ๆ ดื่น ๆ พั้งค์ก็ตอบ

มันไปว่านอนไม่หลับ

“อะไรวะตึกดื่นค่อนคืน” เพนว่า “เดินกุกกักอยู่ได้ หนวกหูชาวบ้านเขา

จะนอน”

พั้งค์ตัดสินใจเล่าให้เพนฟังถึงความกลัดกลุ้มทั้งมวลแต่เพนก็ดูจะไม่เข้าใจ...

มีห้านอยู่สบาย ๆ แต่อยากจะไปอยู่ป่า...เพนคิด...สิงอะไรแบบนี้ก็มีด้วย! มี

แต่ลิงเขาอยากสบาย ในป่าจะมีอะไรนอกจากสิงสาราสัตว์เขี้ยวลากดินทั้งนั้น อย่าง

เจ้าพั้งค์จะไปสู้อะไรใครเขาได้ อย่างดีก็ไปเป็นเหยื่อสัตว์อื่นถูกมันกินสบายไป...

 

สำหรับเพนคุณวิรามคือบาน ไมว่าคุณวิรามอยู่ที่ไหนเพนจะไปอยู่ที่นั้นด้วย

จะเป็นในบ้านหรือในเรือ แต่สำหรับเพนนั้นคือบ้านอย่างที่เขาว่า

‘Home is Where the Heart is!’

และหัวใจของเพนก็ซื่อตรงต่อคุณวิรามเท่านั้นแหละ

ป่าไม่ใช่สิ่งที่เพนพิสมัยสักนิด ในป่ามีหมากันแต่ก็ไม่ใช่พวกเดียว

อะไรกับเพน มันมีหมาป่า...หมาจิ้งจอก หมาดุร้ายที่คอยจ้องจะกินสัตว์รวมทั้ง

หมาบ้านอย่างเพนด้วย แล้วหน้าอย่างเพนจะไปสู้รบตบมืออะไรกับมันได้ เขี้ยวก็

ไม่ค่อยจะมี อย่างดีก็กัดได้แต่คน จะไปสู้กับไอ้พวกนั้นก็จะต้องคอยให้เขี้ยวลากดิน

เสียก่อน...ก็แล้วจะเป็นเมื่อไหร่กัน? ชีวิตที่ไม่ได้ต่อสู้ฟาดฟันอะไรกับใครเขาทำให้

เขี้ยวที่เคยมีอยู่หดสั้นลงไปทุกที อีกหน่อยก็เหลือแค่นิดเดียว ยิ้มทีก็เก๋เหมือน

เขี้ยวคน อย่างไรก็อย่างนั้น ทุกวันนี้เพนก็ว่าเพนยิ้มเหมือนคุณวิรามเข้าไปทุกที

แล้ว...

เฮ้อ! คิดไปคิดมาก็ถอนใจดังเฮือกหาเรื่องให้ต้องปวดกะโหลก

ไปอีกตัว ถามถึงการตัดสินใจแน่แน่วของเจ้าพั้งค์ มันก็ว่ามันยังไม่ได้ลงมดีอะไร

แน่ชัด อยากขอเวลาคิดอีกหน่อย แต่หน้าตาของมันก็บอกถึงความอึดอัดพอแรง

มันว่ามันคิดถึงพ่อกับแม่ก็ถูกจับอยู่ละครสัตว์ อยู่ละครสัตว์ มันอยากตามหาพ่อแม่ให้

พบและพาหนิ'ไปอยู่ป่าด้วยกัน...

ทำงานละครสัตว์ยังได้ค่าแรง เพนว่า...ก็ได้กล้วยไง! ดังด้วย! เพนเองยัง

ชอบดู เรื่องอะไรนะ... ที่เปิดผอบออกมาพบนางโมราน่ะ!

ถูกเขาตี...เอาหวายเฆี่ยนหลัง! มันจะคุ้มกันหรือ พงค์ว่า...เล้า'ของเก็บ

เงินคนดู พาอแม่แต่กล้วย เงินทองจะเก็บก็ไม่มีสักแดง ยังงี้ไม่เรียกว่าเอาเปรียบ

แรงงานลิงแล้วจะเรียกว่าอะไร...

เพนพูดไม่ออกเหมือนกัน คิดไปถึงสัตว์ที่เล่นหนังเล่นละคร ทำให้เจ้าของ

รารวยน่าดูแต่ตัวเองไม่เห็นได้อะไร แค่กินอยู่ไปวันๆ มันก็น่าน้อยใจเหมือนกัน

แหละ ขนาดคุณวิรามคิดจะเอาเพนไปใบ้หวยให้คนและเก็บเงินด้วย อ้างว่าจะหา

งานให้เพนทำ ไปๆมาๆมันคงไม่พ้นเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองละน่า...มีหรือเพนจะ

 

แม้จะรู้ทันคุณวิรามอยู่บาง แต่ความที่ฝ่ายนั้นดีกับเพนมาโดยตลอดและ

ช่วยเหลือเพนในทุกสิ่งทุกอย่างเรื่อยมา ทำให้เพนพอจะทักกลบลบหนี้กันไปได้บ้าง

คงไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปทุกสิ่ง...เพนแน่ใจอย่างนั้น แค่ความรักที่คุณวิรามมีให้

เพนมันก็ดูจะเพียงพอแล้ว

พรุ่งนี้จะได้ฤกษ์เอาเรือเข้าฝั่ง เพนคงคิดถึงทะเลแทนดาย อีกทั้งคิดถึง

เพื่อนฝูงที่ดีดสอยห้อยตามมาด้วย เพื่อนทุกตัวรักทะเล ข้างแม่กำไลนั้นไม่ต้องห่วง

เพราะเขาจะปีนป่ายขึ้นไปนั่งบนเสากระโดงเรืออย่างสบายใจเฉิบ มันเป็นปมด้อย

อย่างหนึ่งของเพนที่ป่ายปีนไม่ได้เหมือนแม่กำไลกับเจ้าพั้ง อย่างดีก็ไดแต่นั่งเห่า

อยู่ข้างล่างด้วยจิตริษยา และแช่งมันให้ตกลงมาตายวันละหลายร้อยครั้ง ธรรมชาติ

ทำไมจะต้องไม่เป็นธรรมถึงขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้...

เลยลุกขึ้นมานั่งตาแข็งสองตัวกับเจ้าพั้งค์เพราะนอนไม่หลับ เพนก็เป็นอย่าง

นี้แหละ ถ้าลงได้ติดเครื่องลุกขึ้นมานั่งคิดกลางดึกแล้วก็มักจะเข้าป่ากู่ไม่กลับพอๆ

กับคุณวิรามเหมือนกัน อาจจะเป็นโรคประสาทชนิดเริ่มต้น เพราะเพนรู้ว่าเล้าโรค

นี่มันติดต่อกันได้ดีนักแล ถ้าไม่พยายามระวังตัวเพนคงได้เชื้อชนิดนี้มาจากคุณ

วิรามนั้นเอง แม้ว่าตอนนี้คุณวิรามเองก็ทำท่าว่าจะหายแล้ว เพราะได้คุณหมอ

โรคจิตอย่างคุณวนาลีเลยกลายเป็นหันไปติดหมอแจไปเลย แต่รอบนี้เพนไม่รู้สึก

หวงแหนคุณวิรามเหมือนคราวไปติดคุณพีลดา อาจเป็นเพราะเพนรู้ว่าคุณพิลดา

เกลียดเพนมาแสนนานแล้วก็ได้ เอากาแฟร้อนๆสาดหน้าเพนวันนั้นขนาด

ตาบอดไปข้างหนึ่งเลย จนทุกวันนี้เพนก็ไม่อาจลืมความใจร้ายชนิดนั้นของคุณ

พิลดา..

นั้งจนพระอาทิตย์ที่ขึ้นที่ขอบฟ้าและเพนก็เฝ้ามองมันด้วยความตื่นเต้น เจ้า

พั้งค์บอกว่าเล้าลูกกลม ๆ ลูกนั้นมีชีวิตและเป็นพระเล้า ล้าไม่มีมันโลกจะหนาวเย็น

และจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่รอดได้เลย เพนถามมันว่ามันรูได้อย่างไร มันก็ว่ามัน

คิดเอาเองอาศัยที่ดูทีวิมาก มันจึงเอามาประกอบกับความเข้าใจของมันเอง มันว่า

ถ้าสิ่งหนึ่งมีอิทธิพลต่อความเป็นความตายของโลกมนุษย์เรามากเพียงนั้นก็น่าจะ

เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สมควรแก่การนั่งกราบไหว้บูชา

เออ...น่าจะไล่ไปเป็นลูกพระอาทิตย์เลียเลย! เพนไม่รู้มากเท่าเล้าพั้งค์หรอก

 

ก็เลยอดหมั้นไส้มันไม่ได้ เหมือนมันจะพยายามหาความหมายของทุกสิ่งรอบตัวก็

ไม่ปาน ความขี้สงสัยของสิงนั้นก็ได้ที่เป็นบรรพบุรุษของพวกคนๆทั้งหลาย รอ

อีกหน่อยได้ข้อมูลเพิ่มเติมมันก็อาจจะกลายเป็นคนไปเลยก็ได้ เพนช่างมองเห็น

เส้นใยแห่งสายสัมพันธ์ระหว่างคุณวิรามกับเจ้าพั้งค์ในด้านความคล้ายคลึงกัน...

โน่น...ออกมาแล้ว...กำลังคิดถึงก็เดินงัวเงียออกมัน ผมยุ่งเป็นกระเซิง

เหมือนเจ้าพั้งค์ไม่มีผิด เพนเห็นคุณวิรามออกมายืนเกาะเชือกแล้วอ้าปากหาวหวอด

เหมือนเจ้าพั้งค์ไม่มีผิด! ข้างเจ้าพั้งค์พอเห็นคุณวิรามก็รีบเดินเกาะสีข้างเข้าไปหาทีเดียว

เท่านั้นไม่พอกังโหนตัวขึ้นไปนงอยู่บนไหล่คุณวิรามเสียอีก!

นี่ถ้าเพนทำอย่างนั้นบ้างคุณวิรามคงไล่เตะออกมาไม่ทัน แค่จะเลียหน้าเลีย

ปากก็ยำโกรธเกรี้ยวโกรธาหาว่าถูกหมาเสียปากไปโน่น...มันทำทำว่าจะไม่มีความ

เป็นธรรมเกิดขึ้นในบ้านเสียแจ้วสิ คุณวิรามให้ความสำคัญบรรพบุรุษอย่างเจ้าพั้งค์

มากไปกว่าเพนหรือเปล่า?

เลยได้แต่นั่งหมอบมองอยู่ห่างๆ แทนการเข้าไปเคล้าแข้งขาอย่างที่เคยทำ

พานให้รู้สึกน้อยใจขึ้นมาตงิด ๆ ในวาสนาความเป็นหมาของตัวเอง ทำทำว่าจะไม่มี

ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงแม้กระทั่งในหมู่สัตว์ ๆ  ไอ้เรารึหลงจงรักภักดี...

มันเป็นจุดเริ่มแรกที่ความรู้สึกชนิดนี้ผ่านวูบเข้ามาในความคิดของเพนจน

ต้องหมอบเอาจมูกซุกกับสองขาตัวเองรู้สึกอย่างเซ็ง ๆ หูแว่วเสียงคุณวิรามหัวเราะกับ

ไอ้พั้งค์ ไอ้พั้งค์มันหัวเราะก็เป็นห้าอะไรก็เป็นอย่างคนแทบทุกอย่างแจ้ว เพนเสีย

อีกที่หัวเพราะยังไม่เป็นเลยสงสัยว่าจะด้องหัดหัวเราะให้เสียงตัง ๆ เรียกร้องความ

สนใจจากคุณวิรามบ้าง

คิดได้อย่างนั้นก็ลุกขึ้นนั่งอ้าปากหัวเราะเสียงดังสนั่นหวนไหวจนคุณวิรามหัน

มามองคิ้วขมวดยุ่ง

“แกเสือกหอนขึ้นมาทำไมวะไอ้เพน...ผู้คนเขากังไม่ตื่นกันเลย!”

อ้าว! เพนหุบปากได้ ก็ว่านั่งหัวเราะมั่งทำไมกลายเป็นหอนไปได้? เพน

สนหน้าไปมาให้หายงง...ไม่ไหว...ขนาดนี้กังเข้าใจกันไม่ได้เลย เรื่องง่าย ๆ แท้ๆ!

เพนลุกขึ้นแสะบัดกันเดินไปทางหนึ่งอย่างงอน ๆ หางสีดำเป็นพวงโบกสะบัด

แรง ๆให้รู้ด้วยว่าไม่พอใจ นี่จ้าพูดเป็นคงด่าให้แจ้ว อะไรกันมาเฮิร์ทฟิลลิ่งกันแต่

 

เช้าเชียว

พั้งค์มองตามเจาเพนไปอย่างหงอย ๆ โทรจิตที่ติดต่อถึงกันได้ทำให้เขาเข้าใจ

ความรูสกส่วนลึกของเจ้าเพนทุกอย่าง ใครจะรู้ล่ะว่าเจ้าเพนหวงนาย...พั้งค์ก็อยาก

แสดงความรักต่อคุณวิรามบ้างเท่านั้นเอง...

รีบไต่ลงมายืนที่พื้นอย่างรู้สึกตัว คราวหน้าคงตัองระวังใบ้มากกว่านี้ที่จะไม่

ทำร้ายเพื่อนสัตว์ด้วยกัน ก็อย่างที่พั้งค์คิดเอาไว้ไม่มีผิด...บ้านของพั้งค์ไม่ได้อยู่ที่นี่

เสียแจ้ว...

วนาลีเดินอุ้มเจ้ากำไลออกจากเรือและมองไปรอบตัวอย่างงงๆ หล่อนเดิน

ผ่านไปที่วิรามที่ยืนเกาะเชือกอยู่มุมหนึ่งและเขวก็หันมามอง

“ได้ยินเสียงเพนค่ะ...หอนดังเชียว...” หล่อนว่า “เป็นอะไรไปรึเปล่าคะ?”

“มันหอนพระอาทิตย์ขึ้นฮะ...อาจจะนึกว่าผี” เขาพูดยิ้ม ๆ “คุณเลยตื่นเลย ...

กำไลด้วย...”

กำไลทำตาหยีดูพระอาทิตย์และมองหน้าคุณวิราม ยังงัวเงียไม่หายง่วงเลย

เส้นตื้นอะไรแบบนั้น อะไรกันนัก!นาก!

ซุกหน้ากันจ้อมแขนคุณวนาลีและทำท่าจะหลับต่อ กำไลเกลียดที่สุดก็คือ

เรื่องตื่นนอนเข้า ลูกก็กวนกินนมทั้งคืนจนไม่ได้เป็นอันจะทำอะไรอยู่แล้วแถมเจ้า

เพนยังมาปลุกแต่เข้าเสียอีกแน่ะ!

“พระอาทิตย์สวยจังนะคะ

กำไลได้ยิงเสียงคุณวนาลีพูดพึมใกล้หู

“นี่ถ้าไม่ติดว่ามีธุระต้องทำผมคงอยู่ต่อไปอีกนาน”

คุณวิรามพูดตอบมาเสียงโรแมนดิกน่าดู

“แต่ก็ดีฮะ...พาสัตว์ๆ มาเที่ยวตากสมอง เขาก็เจออะไรกันมาแยะนะ...ทุก

ตัวเลย...ทั้งเจ้าเพน...เจ้าพั้งค์...และแม่กำไล แทบเอาชีวิตกันไม่รอด ผมอยากเห็น

เขามีความสุขกันมาก ๆ ความทุกข์ที่ผ่านมาก็อยากจะให้ลืม ๆ กันไปเสีย...”

นี่แหละ...กำไลรักคุณวิรามก็เพราะเหตุนี้แหละ เพราะคุณวิรามไม่ได้มอง

พวกสัตว์อย่างกำไลต่ำต้อยอะไรเลย ดูเอาเถอะเรียก ‘เขา’ อย่างโน้นอย่างนี้ เหมือน

 

๑๓

พวกกำไลเป็นคนก็ไม่ปาน ช่างให้เกียรติกันถึงเพียงนี้

“กำไลเขาก็สบายใจขึ้นแยะแล้วนะคะ กลับมาใหม่ๆก็เสียขวัญไปหมด เป็น

ขี้เรื้อนเต็มตัว หวาดผวาไม่กล้าข้าหน้าใครไปพัก คงกลัวถกทำราย ตอนนี้ก็ค่อย

เข้าหาและดีขึ้นเยอะ”

“ผมว่าทั้งคนและสัตว์น่ะมีธรรมชาติที่ดีงามนะถ้าไม่ถูกร้ายเข้าให้ ถ้าเรา

แน่ใจว่ามันเป็นโลกที่อบอุ่นปลอดภัยจะสงบและเชื่องมากกว่าเดิม สิ่งแวดล้อมเป็น

สิ่งสำคัญ สัตว์อยู่ในป่า ถ้ามันต้องต่อสู้สัตว์อื่นตลอดเวลาเพื่อปกป้องตัวเองและ

การอยู่รอดมันก็มักจะดุร้าย แต่ถ้าเอามาเลี้ยงให้ความอบอุ่น ไม่ต้องระแวงระวังภัย

มันก็เชื่องและแสนดีเหมือนเจ้าเพนกับเจ้าพั้งค์อย่างนี้แหละ อย่างเจ้าเพนถ้าเอาไป

ปล่อยอยู่กลางป่ามันก็คงจะดุน่าดูเหมือนกัน ขนาดนี้มันยังฮึ่ม ๆ...แฮ่ ๆ...”

ใช่...อันนี้กำไลเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์เลย. สนิทสนมกันมากพอที่จะรู้ว่าเพน

เป็นหมาใจร้อนน่าดู เพนไม่ค่อยทนอะไรเหมือนกำไลหรอก ถ้าขัดใจขัดอารมณ์เพน

จะฮึ่มแฮ่เข้าใส่ไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหมเหมือนกัน ดูแต่คุณธนาสิ พอเพนรู้

เท่านั้นว่าเขาทำร้ายพั้งค์กับกำไลยังไงบ้างก็ยังอุตส่าห์ตามไปกัดเสียจมเขี้ยวไปเลย

มันทำให้กำไลไม่อยากติเตียนอะไรมากนักเพราะเพนเป็นคนเอ๊ย...เป็นหมาที่รัก

พวกรักพ้อง จะเปลี่ยนเพนให้เป็นอะไรได้ล่ะในเมื่อนิสัยของเพนมันเป็นแบบนั้น...

ว่าจะนอนต่อเสียหน่อยก็'เลยนอนไม่หลับ กำไลพลิกตัวจากอ้อมแขนคุณ

วนาลีลงไปยืนบิดขี้เกียจโย้หน้าโยหลังอยู่ที่พื้นสองสามทีพอให้เส้นสายมันยืด นอน

ขดตัวนาน ๆ มันก็เมื่อยแบบนี้เอง อายุกำไลอาจจะเพิ่มมากขึ้นแล้วก็ได้...

เดินดมกลิ่นหาเจ้าเพนก็เห็นไปแอบนั่งซึมอยู่ในลังเก่า ๆ หน้าตาของเพน

เศร้าหมอง ติดต่อถามไถ่กันทางโทรจิตจึงได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร...โทรจิตมันดีอย่างนี้

เองตรงที่มันโกหกก่นไม่ได้เอาเลย เพนไม่อาจซ่อนเร้นสิ่งที่อยู่ในหัวใจ มันต่างจาก

คนก็ตรงนี้แหละ สัตว์ชั้นตาอย่างคนยังอยู่กับความโกหกหลอกลวงกันมากมายเสีย

เหลือเกิน

กำไลรับรู้ความในใจของเพนอย่างพลอยเศร้าไปด้วย พยายามปลอบเพนว่า

พั้งค์เขาก็,พลัดถิ่นมาและกำลังเหงา คงไม่มีเจตนาจะมาแย่งความรักและความสนใจ

อะไรจากคุณวิรามหรอก...

 

(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024