Customer Reviews

5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ตามสูตรหนังสือสร้างความสุขหรือความสำเร็จในชีวิตคือ สร้างแรงบันดาลใจ กำหนดเป้าหมายหรือความฝัน ลงมือทำด้วยความมุมานะทุ่มเท รอคอยวันเวลาที่ความสำเร็จหรือความสุขที่ต้องการมาถึง ถ้าทำได้ครบถ้วนตามที่กล่าวมานี้รับประกันได้เลยว่าเราจะสำเร็จตามสิ่งที่เราต้องการแน่นอน หนังสือ ชีวิตเนรมิตได้ ก็ถูกออกแบบมาด้วยหลักการเดียวกันนี้ โดยมีความมุ่งหมายสำคัญที่จะเน้นไปที่เนื้อหาเกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจเป็นหลัก ผ่านการบอกเล่าประสบการณ์และเรื่องราวชีวิตของคนต้นแบบ 5 คน ที่เราต่างรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของพวกเขาเป็นอย่างดี ภายใต้คอนเซปที่บอกไว้ในหนังสือว่า หนังสือดีๆเล่มเดียว ถ้าดีพอก็เปลี่ยนคนให้เป็นยอดคนได้ คนต้นแบบดีๆหนึ่งคน ถ้าดีจริงก็อาจทำให้เกิดคนดีขึ้นมาอีกนับร้อยนับพันคนก็ได้
ท่านอาจารย์ ว.วชิรเมธี พระนักเทศน์ นักคิดและนักเขียนชื่อดัง ต้นแบบในทางธรรม หรืออาจจะเรียกว่าเป็นต้นแบบของการเป็นคนดีมีคุณธรรมก็ว่าได้ ท่านอาจารย์ได้ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับความสำคัญของแรงบันดาลใจในการทำให้คนเราสามารถลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ฝันให้สำเร็จ โดยได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวท่านเองที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือที่ท่านอ่าน จากผู้คนรอบกาย ทำให้ท่านได้กลายมาเป็นพระนักคิดนักเขียนที่เรารู้จักกันดีอย่างในทุกวันนนี้
อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ต้นแบบของศิลปินที่ประสบความสำเร็จในเส้นทางที่ตัวเองศรัทธา นอกจากอาจารย์จะเลือกเดินบนเส้นทางของศิลปะตั้งแต่เด็ก จนประสบความสำเร็จทั้งในระดับสากลและในระดับชาติ ได้รับยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติแล้ว อาจารย์เฉลิมชัยยังเป็นต้นแบบของคนที่ประสบความสำเร็จทางโลกที่สามารถประยุกต์ใช้ธรรมะ เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะ เป็นศิลปินที่สามารถผสมผสานความสวยงามทางศิลปะภาพวาดและความสวยงามทางธรรมให้เข้ากันได้อย่างลงตัว
ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา อดีตวิศวกรนาซ่า และปัจจุบันท่านเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนสัตยาไส ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีรูปแบบการสอนที่แตกต่างจากโรงเรียนในระบบทั่วไป อาจารย์อาจอง เป็นหนึ่งในตัวอย่างของคนที่เลือกเส้นทางชีวิตในสายวิทยาศาสตร์ในตอนแรก แต่สุดท้ายได้ค้นพบแนวทางที่ทำให้ท่านมีความสุขอย่างแท้จริงและท่านได้ใช้โอกาสที่ท่านมีเผยแพร่แนวทาง วิธีคิดที่น่าสนใจ ให้กับเด็กๆคนรุ่นใหม่ ผ่านโรงเรียนสัตยาไส
ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ท่านเป็นอดีตวิศวกรนาซ่าอีกคนที่ค้นพบสัจธรรมของชีวิต และผันตังเองไปสู่เส้นทางของการเผยแพร่พุทธศาสนา ผ่านการบรรยายให้กับองค์กรต่างๆ เป็นตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในทางโลกอีกคนหนึ่งที่ผันตัวเองสู่ทางธรรม
บัณฑิต อึ้งรังสี คุณบัณฑิต เป็นต้นแบบแรงบันดาลใจในแง่ของการทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงจุดสูงสุด แม้ว่าจะต้องพบเจอกับอุปสรรคขวากหนามต่างๆนานา การได้อ่านชีวิตของเขาสามารถปลุกไฟในตัวเองได้ดีเลยทีเดียว

5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ถ้าจะพูดถึงการปลูกฝังคุณธรรมให้เกิดขึ้นกับคนในสังคม การใช้คำว่าปลูกฝังคุณธรรมน่าจะเหมาะสำหรับเด็กๆมากกว่าปลูกฝังคุณธรรมให้ผู้ใหญ่ เพราะอย่างที่ภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก การสร้างตัวตนควรเริ่มตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก เพราะโอกาสที่เด็กจะซึมซับเอาข้อคิดความดีงามต่างๆนั้นมีมากกว่าผู้ใหญ่ จริงๆแล้ววิธีการปลูกฝังคุณธรรมนั้นคงมีมากมายหลายวิธี โดยอาจเริ่มตั้งแต่สถาบันพื้นฐานอย่างครอบครัว แล้วค่อยพัฒนาขึ้นสู่การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมในโรงเรียน เพื่อให้เด็กๆได้เรียนรู้วิธีการที่จะอยู่ร่วมกันกับคนอื่นในสังคมที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ การสร้างคุณธรรมจากครอบครัวนั้น อาจเริ่มต้นด้วยการปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองก่อน เช่นการเป็นคนขยันอดทน การเป็นคนรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง การเป็นคนตรงต่อเวลา มีความซื่อสัตย์ มีกิริยามารยาทที่ดีงาม เป็นต้น เมื่อเข้าสู่รั้วโรงเรียนจึงค่อยพัฒนาสู่คุณธรรมเพื่อการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น อย่างเช่น การเป็นคนตรงต่อเวลา ไม่โลภมาก การเป็นคนเสียสละ มีความเที่ยงธรรม มีความสามัคคี มีความกตัญญู เป็นต้น จะเห็นว่าวิธีการปลูกฝังคุณธรรมที่กล่าวมาทั้งสองแบบนั้นมีมากมายหลายวิธี แต่มีวิธีหนึ่งที่ง่ายและนิยมใช้กันมากที่สุดคือการใช้นิทานนั่นเอง หนังสือเรื่องนิทานคุณธรรมเล่มนี้เป็นหนึ่งในความพยายามที่จะเผยแพร่การสร้างคุณธรรมให้เกิดขึ้นกับคนในสังคมทั้งคุณธรรมในระดับตนเองและในระดับสังคม โดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาสังคมในภาพรวมให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ถ้าจะพูดว่าผู้เขียนหวังให้นิทานเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงสังคม ฟังแล้วอาจดูเป็นเรื่องไร้สาระ และเป็นไปไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงเราต่างรู้ดีว่าปัญหาสังคมที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ล้วนมีสาเหตุมาจากความบกพร่องทางคุณธรรมและจริยธรรมด้วยกันทั้งนั้น แม้เราไม่อาจคาดหวังให้ทุกคนมีคุณธรรมเทียบเท่ากันหมด แต่เราก็สามารถคาดหวังให้คนมีคุณธรรมมากขึ้นได้ การพัฒนาสังคมด้วยการเริ่มจากการพัฒนาคนนี่แหละจะเป็นวิธีการพัฒนาที่ยั่งยืนและสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากที่สุด

อย่างที่บอกไปแล้วว่านิทานเล่มนี้จะแบ่งเนื้อหาออกเป็นสองส่วนหลักคือเนื้อหาที่เกี่ยวกับคุณธรรมเพื่อการพัฒนาตนเอง เช่น การเป็นคนตรงต่อเวลา มีความซื่อสัตย์ มีกิริยามารยาทที่ดีงาม การเป็นคนมีเชาน์และไหวพริบ การเป็นคนใฝ่รู้ พึ่งตนเอง และคุณธรรมเพื่อการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เช่น การรู้จักพอ ไม่โลภ ความสามัคคีไม่แตกแยก และความกตัญญู โดยลักษณะของนิทานแต่ละเรื่องจะมีเนื้อหาที่อ่านได้ทุกเพศทุกวัย ไม่จำกัดเฉพาะเด็กๆเท่านั้น การเล่าเรื่องก็มีความคมคายทั้งในแง่เนื้อหาคุณธรรมและภาษาที่ใช้ ตัวอย่างเช่นนิทานเรื่องตาปูดัดนิสัย เป็นเรื่องราวที่พ่อสอนลูกชายของตนว่าทุกครั้งที่ลูกโมโหหรือทะเลาะกับใคร ให้ลูกตอกตาปูลงไปตัวหนึ่งบนรั้วที่ลานบ้าน วันแรกลูกชายของเขาตอกตาปูลงไป 37 ตัว วันต่อๆมาเขาเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ได้มากขึ้น ทำให้ตาปูที่ตอกก็ค่อยๆลดลง จนไม่เหลือตาปูซักตัวที่ตอกลงไปอีก จากนั้นพ่อก็สอนลูกอีกว่าจากนี้ไปถ้าวันใดลูกไม่มีอารมณ์โกรธให้ไปถอนตาปูออกทีละตัว เวลาผ่านไปตาปูก็ค่อยๆถูกถอนออกจนหมดเกลี้ยง แล้วพ่อก็พาลูกมาที่รั้วแล้วสอนลูกว่า จงดูรอยตาปูบนรั้วนั้นสิ มันเป็นเหมือนรอยแผลที่ไม่มีวันฟื้นฟูให้กลับมาเหมือนเดิมได้ เหมือนกับที่ลูกไปทะเลาะกับคนอื่นมา ลูกได้สร้างบาดแผลไว้ในใจเขา ซึ่งยากที่จะทำให้หายสนิท ฉะนั้นลูกต้องหลีกเลี่ยงที่จะทำร้ายจิตใจคนอื่น
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

คงไม่มีใครปฏิเสธว่าความปรารถนาสูงสุดของมนุษย์ทุกคนนั้นคือการมีชีวิตที่มีความสุข และก็เชื่อว่ามนุษย์ 99.99% คงอยากมีความสุขด้วยการ่ำรวยเงินทอง แม้ว่าจะมีคำกล่าวว่าเงินซื้อไม่ได้ทุกอย่าง แต่เงินก็เป็นที่มาของความสุขหลายอย่างได้ เมื่อความเชื่อเช่นนี้ได้ฝังรากลึกลงไปในจิตใจของมนุษย์ เราทุกคนจึงต่างเลือกเดินในเส้นทางที่จะไปสู่ความร่ำรวยเหมือนๆกัน จนเริ่มรู้สึกว่าเส้นทางสายนี้จะคับแคบ แออัดลงไปทุกขณะ เรามักมองความสุขโดยผูกโยงมันเอาไว้กับเป้าหมาย นั่นหมายความว่าตราบใดที่เรายังไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้เราก็ยังไม่มีความสุข แสดงว่าเรากำลังมีทัศนคติในการมองความสุขเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องที่ต้องไขว่คว้าเพื่อให้ได้มา เพราะฉะนั้นการจะมีความสุขในสังคมสมัยนี้จึงกลายเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญเพราะมีปัจจัยหลายอย่างเหลือเกินที่จะทำให้เรามีความสุขได้
หนังสือสุขง่ายๆ สร้างได้ด้วยตนเอง เล่มนี้ กำลังจะบอกเราว่าบางทีการได้มาซึ่งความสุขนั้นก็ไม่ได้ยากเย็นแสนเข็ญอะไรขนาดนั้น ในทางตรงข้ามความสุขสามารถเกิดขึ้นได้โดยง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปากซะอีก วิธีการสร้างสุขที่ง่ายและได้ผลทันใจที่สุดนั้นต้องเริ่มจากตัวเราเองก่อนเป็นอันดับแรก หมายความว่าเราต้องกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง โดยเริ่มจากการเข้าใจตัวตนของเราก่อน เข้าใจว่าเราต้องการอะไร มีเป้าหมายหรือสิ่งที่อยากทำหรืออยากเป็นคืออะไร แล้วไม่ไขว้เขวกับเป้าหมายนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องพื้นฐานที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าเราไม่ชัดเจนในแนวทางที่เราจะเดิน โอกาสที่เราจะถูกจูงออกไปโดยสิ่งแวดล้อมต่างๆก็เกิดขึ้นได้โดยง่าย อย่างที่สองคือ ต้องเป็นคนมองโลกในแง่ดี ซึ่งหมายความว่าถ้าเรามองโลกในแง่ดี เราก็จะมีพลังใจในการฝ่าฝันปัญหาอุปสรรคต่างๆไปได้ ไม่จมอยู่กับความท้อแท้สิ้นหวัง สองขั้นตอนนี้ผู้เขียนเขียนไว้ในหัวข้อแรกเลยคือเรื่องเติมใจให้เป็นสุข
หัวข้อที่สองจะเป็นเรื่องภูมิต้านทานทุกข์ ส่วนนี้ผมคิดว่าก็จะเป็นส่วนที่ต่อเนื่องมาจากส่วนแรกคือพอเรามีเป้าหมายชัดเจน มีแรงบันดาลใจที่เกิดจากการมองโลกในแง่ดีแล้ว เราก็ต้องรู้จักรับมือกับความทุกข์ ซึ่งหมายรวมถึงปัญหาอุปสรรคต่างๆนั่นเอง รู้จักรับมือกับอารมณ์ทางลบ ความผิดหวังและการสูญเสียต่างๆ
หัวข้อที่สามคือการสร้างสุขรอบตัว ส่วนนี้เป็นมุมมองด้านความสุขจากเรื่องง่ายๆที่ทุกคนสามารถทำได้ เช่น การสร้างมิตรภาพ การมีอารมณ์ที่ดี การหัวเราะ การไม่ผูกติดความสุขกับวัตถุสิ่งของ เป็นการย้ำเตือนว่าสุขนั้นเป็นเรื่องง่ายสามารถสร้างได้ด้วยตนเอง ทั้งหมดก็เป็นเนื้อหาที่ผมสรุปได้จากหนังสือเล่มนี้ ภาพรวมผมว่าหนังสือเล่มนี้อ่านสนุกดี เป็นความสนุกบนพื้นฐานความรู้ทางวิชาการโดยคณาจารย์จากคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ลับคมให้สมองพัฒนาความคิดสร้างสรรค์
4
ลับคมให้สมอง พัฒนาความคิดสร้างสรรค์
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 11 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ กล่าวไว้ว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ อ่านแล้วก็อาจจะเข้าใจยากซักหน่อย แต่ในเบื้องต้นก็คงพอจะเข้าใจความหมายได้ว่า เราต้องใช้จินตนาการหรือความคิดสร้างสรรค์เพื่อต่อยอดความรู้ที่เรามีออกไปหรือเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับโลก ในแง่นี้จินตนาการหรือความคิดสร้างสรรค์จึงเปรียบเสมือนเครื่องมือสำคัญที่ทำให้โลกมีพัฒนาการหรือหมุนไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา พลังแห่งจินตนาการหรือความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้เลยทีเดียว เมื่อความคิดสร้างสรรค์เปลี่ยนโลกได้มากขนาดนั้นลองมองย้อนกลับมาที่ตัวเราเองบ้างความคิดสร้างสรรค์ก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเราได้อย่างไม่ต้องสงสัย คำถามก็คือแล้วเราจะสร้างจินตนาการหรือความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร สร้างได้แล้วจะจัดการกับมันหรือเอามันไปใช้ประโยชน์อะไร ผู้อ่านสามารถหาคำตอบได้จากหนังสือเล่มนี้
หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมไอเดีย 52 ไอเดีย ที่เกี่ยวกับการฝึกฝนพัฒนาให้ตัวเองเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ภายใต้หลักการที่ผู้อ่านต้องจำให้ขึ้นใจคือการเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์ แต่เป็นเรื่องที่เกิดจากการฝึกฝนตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้นผู้อ่านต้องมีวินัยและหมั่นเอาเทคนิควิธีเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้อย่างสม่ำเสมอ การเริ่มต้นก็ง่ายนิดเดียวโดยการปรับเปลี่ยนมุมมองและทัศนคติต่อสิ่งรอบตัวเสียใหม่
ต่อไปก็จะขอยกเอาเทคนิคบางเทคนิคที่คิดว่าน่าสนใจมารีวิวให้อ่านกัน
1. ลองทำอะไรใหม่นอกกรอบดูบ้าง
2. การจำกัดตัวเลือกหรือทางเลือกให้กับตนเอง เพื่อฝึกให้เราใช้ไอเดียจากสิ่งที่มีอยู่อย่างจำกัด เช่น การวาดรูปจากสีเพียงสีเดียว เป็นต้น
3. กล้าที่จะทิ้งผลงานที่ดีที่สุดออกไปเพื่อรักษาสมดุลของงานที่เหลือ
4. ดื่มกินเที่ยวกลางคืนหนักๆ ลางานตอนเช้า ลองทำเรื่องร้ายๆ ดู แล้วค่อยเริ่มต้นอย่างสร้างสรรค์
5. ลองสวมบทบาทสมมติเป็นคนอื่น จะช่วยให้ค้นพบสิ่งใหม่เกี่ยวกับตนเองและคนรอบข้าง
6. ใช้ภาษาที่ไม่มีเหตุผล สร้างเรื่องใส่ไข่ขึ้นมาเพื่อทดสอบขีดจำกัดของไอเดีย
7. ลองใช้เครื่องมือผิดประเภท เป็นการฝึกฝนความเป็นช่างประดิษฐ์
8. หัวเราะเยอะๆ
9. ทำตัวเหมือนเด็ก มองหาความแตกต่างระหว่างความสุขของผู้ใหญ่และความสุขของเด็ก
10. ตั้งคำถามตลอดเวลา อย่าหลงติดกับความสำเร็จในอดีต

ข้อดีของหนังสือเล่มนี้นอกจากจะได้วางเทคนิคในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และขยายความเทคนิคเหล่านั้น
ออกมาให้เข้าใจแล้วยังได้นำเสนอแบบทดลองหรือไอเดียในการฝึกฝนตามเทคนิคที่ให้ไว้ด้วย เช่น เทคนิคทำตัวเหมือนเด็ก ผู้เขียนได้เสนอให้ลองพยายามอธิบายงานของตัวเองด้วยภาษาง่ายๆ ให้เด็กเล็กๆ ฟัง ซึ่งจะช่วยเรื่องการหามุมมองใหม่ๆ ต่องานที่เราทำ ตรงนี้เองที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นหนังสือที่เน้นแต่ทฤษฎี
4
รู้แล้วเหยียบไว้
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 11 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ถ้าจะให้อธิบายความแตกต่างระหว่างมายากล จิตวิทยา และมายาจิต ว่าต่างกันอย่างไร ดูจะเป็นคำถามที่ยากเอาการเหมือนกัน ถ้าพูดถึงมายากลเราน่าจะพอเข้าใจได้ว่าเป็นศาสตร์ที่ต้องอาศัยเทคนิคในการหลอกตา ความรวดเร็วของนักแสดงและอุปกรณ์เสริมต่างๆ เพื่อทำการแสดงให้ผู้ชมเชื่อว่านักมายากลทำในสิ่งที่น่าเหลือเชื่อหรือเป็นไปไม่ได้ ต่อมาถ้าจะให้อธิบายคำว่า จิตวิทยา คำนี้น่าจะเริ่มยากขึ้นเพราะคงมีความหมายกว้างขวาง แต่ถ้าเอาตามความเข้าใจเบื้องต้นก็น่าจะหมายถึง ศาสตร์ที่มุ่งศึกษาจิตใจและความคิดของมนุษย์ ส่วนคำว่า มายาจิต ซึ่งเป็นคำที่ วิน ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คิดขึ้น คงเป็นคำที่ยากจะอธิบายเข้าไปใหญ่ แต่วินได้อธิบายกับผู้อ่านว่า มายาจิต หมายถึงศาสตร์ที่อาศัยการผสมผสานความรู้ทางจิตวิทยา วิทยาศาสตร์และการแสดง เพื่อทำในสิ่งที่เหลือเชื่อ น่าอัศจรรย์ เป็นเรื่องของเทคนิคในการจูงใจคนให้ทำในสิ่งที่เราต้องการ
วิน บอกว่ามายาจิต ไม่ได้มีประโยชน์ แค่เอาไว้แสดงโชว์สนุกๆ เรียกเสียงปรบมือเท่านั้น แต่ได้อธิบายว่ามายาจิต เป็นเทคนิคการชักจูงใจคนและสังเกตพฤติกรรมของเขา ในชีวิตประจำวันเราก็ถูกชักจูงใจให้ทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา โดยที่เรารู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง ความสามารถในการชักจูงใจผู้อื่นจึงเปรียบเสมือนกับการมีขุมทรัพย์ มีอำนาจอยู่ในมือ การอ่านเทคนิคที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้จะทำให้ผู้อ่านรู้ทันและสามารถชักจูงคนอื่นได้
อยากให้ลองอ่านโฆษณาชวนเชี่ออันนี้ดู “ ผม(วิน) เคยไปออกเดทกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผมเริ่มจากการเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่ง ผมจะทำตามเธอทุกอย่างเหมือนผมเป็นเงาของเธอ แม้กระทั่งจังหวะการหายใจเข้าออก เทคนิคนี้ทำให้เธอรู้สึกว่า เธอและผมมีอะไรเหมือนกัน และเมื่อทำอย่างนี้ไปสักพัก เธอก็จะเริ่มทำท่าทางตามผมโดยไม่รู้ตัว และนั่นเป็นสัญญาณที่ดีว่าเธอกำลังจะเชื่อใจผม ระหว่างที่คุยกันหากเป็นเรื่องที่ทำให้เธอหัวเราะ ผมจะเอามือจับที่ติ่งหูผมทุกครั้ง และเมื่อใดที่เราคุยกันเรื่องเครียดๆ ผมก็จะจับที่ติ่งหูผมเหมือนเดิม ผมสังเกตเห็นว่าเธอรู้สึกผ่อนคลายลง เทคนิคนื้ทำให้เธอชอบผมไปโดยอัตโนมัติ ”
เทคนิคที่ 1 เสน่ห์สร้างได้ เนื้อหาส่วนนี้ที่น่าสนใจคือ การสะท้อนบุคลิกตามที่ยกตัวอย่างไปก่อนหน้านี้
เทคนิคที่ 2 หวังอย่างไรก็ได้อย่างนั้น การจะชักจูงใจตัวเองหรือคนอื่นต้องเริ่มจากการแสดงความคาดหวังในตัวเองและตัวคนคนนั้น
เทคนิคที่ 3 ให้เพื่อรัก พูดง่ายๆ ก็คือเป็นเรื่องของการสร้างบุญคุณ
เทคนิคที่ 4 ตามกระแส ก็เป็นการใช้กลุ่มหรือคนจำนวนมากในการจูงใจ
เทคนิคที่ 5 ความคุ้นเคย หากเราคุ้นเคยกับใคร เราจะถูกจูงใจโดยคนคนนั้นได้ง่าย
เทคนิคที่ 6 กลัวเสียมากกว่าได้ ความกลัวสูญเสียทำให้เราถูกชักจูงใจได้ง่าย
เทคนิคที่ 7 เลือกง่ายไว้ก่อน เมื่อสมองต้องวิเคราะห์ข้อมูลหลายทางพร้อมๆกัน ธรรมชาติของสมองจะเลือกเส้นทางที่ง่ายที่สุด
เทคนิคที่ 8 อำนาจของภาษา ใช้ทักษะทางภาษาชักจูงคน
เทคนิคที่ 9 การมีส่วนร่วม ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่ามีส่วนร่วมในเรื่องที่ตัวเองกำลังเล่าเพื่อจูงใจ
โดยสรุปทั้ง 9 เทคนิค บางเทคนิคน่าสนใจ แต่วิธีการที่เป็นตัวอย่างน้อยไปหน่อย น่าจะลองเพิ่มการทดลองจริงๆ ลงไปเยอะๆ คงจะช่วยให้อ่านสนุกได้มากขึ้น
จูงใจใครก็คึกและฮึกเหิม
4
Motivate People จูงใจใครก็คึกและฮึกเหิม
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 11 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อันที่จริงเวลาเรานึกถึงหลักการเรียนหรือหลักการทำงานอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ เรามักนึกถึงความรักความพอใจในสิ่งที่ทำเป็นหลักการลำดับแรกๆ ในทางพุทธศาสนาเองก็จะเห็นว่า ฉันทะ หรือ ความพอใจในสิ่งที่ทำ นั้นคือหลักธรรมประการแรกในหลักอิทธิบาท 4 หรือหลักธรรมในการทำงาน เรื่องความพอใจในสิ่งที่ทำหรือการมีแรงจูงใจในการทำสิ่งต่างๆนี้เป็นเรื่องที่เราเข้าใจว่ามีความสำคัญอย่างไร ในเบื้องต้นเราจะเห็นว่าการมีแรงจูงใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นเหมือนกำลังภายในที่ทำให้เราสามารถทำงานนั้นได้จนบรรลุผลสำเร็จโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยหรือพูดอีกอย่างคือไม่รู้สึกว่าต้องอดทนทำหรือฝืนใจทำ อาจกล่าวได้ว่าเราทำไปด้วยความสนุกด้วยความหลงใหล เหมือนมีแรงขับบางอย่างให้เรามีความกระตือรือร้นและจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าอยู่ตลอดเวลา นี่คือความสำคัญเบื้องต้นของการมีแรงจูงใจที่ผู้อ่านสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากในหนังสือเล่มนี้
แต่เนื้อหาของหนังสือไม่ได้มีเพียงแค่การอธิบายความสำคัญและวิธีการสร้างแรงจูงใจให้กับตัวเองเป็นการเฉพาะตัวเท่านั้น ผู้เขียนยังให้ความสำคัญกับหลักการสร้างแรงจูงใจในการทำงานร่วมกับผู้อื่นด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยให้พวกเขาเหล่านั้นสามารถช่วยเหลือตัวเองได้หรือถ้าจะให้ดีมากกว่านั้นก็คือช่วยให้พวกเขาสามารถสร้างแรงจูงใจให้กับผู้อื่นต่อไปเป็นทอดๆได้
นอกจากเรื่องแรงจูงใจแล้ว หนังสือยังพูดถึงหลักการที่เป็นองค์ประกอบอื่นๆของการทำงานอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตั้งเป้าหมายในการำงาน การหาเพื่อนร่วมงานที่ดีมาเป็นส่วนหนึ่งของทีม การฝึกอบรมและการสอนงาน เป็นต้น โดยภาพรวมคิดว่าหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาหลักอยู่ที่การสร้างรงจูงใจให้กับตนเองและสร้างแรงจูงใจให้กับคนรอบข้างดังที่กล่าวมาแล้ว เป็นเนื้อหาที่ครอบคลุมดี ลงรายละเอียดไปยังสถานการณ์ต่างๆที่คนทำงานอาจต้องเจอในชีวิตประจำวัน ดังนั้นผู้อ่าน โยเฉพาะคนทำงาน อ่านแล้วสามารถนำไปประยุกต์ใช้จริงในชีวิตการทำงานของคุณได้ เรื่องการสร้างแรงจูงใจนี้มีลักษณะเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยการเรียนรู้และหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ ซึ่งถ้าใครทำได้จนชำนาญย่อมสามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าประทับใจได้ ที่ประทับใจอีกอย่างเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ก็คือ ในแต่ละหัวข้อจะมีการนำกรณีศึกษาต่างๆมาอธิบายเพิ่มเติมเพื่อเสริมความเข้าให้ผู้อ่าน โดยประยุกต์เหตุการณ์มาจากสถานการณ์จริง แล้วก็จะมีหัวข้อเรื่อง ลองทำดู ซึ่งจะเป็นการนำแบบฝึกหัดมาให้ผู้อ่านได้ทดลองทำ ลองตั้งคำถามกับตัวเอง แล้วก็มีหัวข้อเรื่อง ฉลาดคิด ซึ่งจะเป็นการเน้นย้ำหลักการที่เป็นทฤษฎีสำคัญๆของเรื่อง มาอธิบายให้อยู่ในรูปแบบที่กระชับ ตรงประเด็น และเข้าใจง่ายมากขึ้น
เหมือนจะแพ้แต่ก็ไม่
3
เหมือนจะแพ้ แต่ก็ไม่
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 09 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ความทุกข์กับความสุขเป็นของคู่กัน หากไม่มีทุกข์ก็จะไม่มีสุขและในทำนองเดียวกันหากไม่มีสุขก็จะไม่มีทุกข์ เป็นสัจธรรมของโลก แต่คนส่วนใหญ่มักจะมองหาหนทางที่จะมีแต่ความสุขอย่างเดียวและพยายามที่จะกำจัดทุกข์ให้พ้นไปจากชีวิต การกำจัดความทุกข์ให้หมดไปนั้น ในทางศาสนาเป็นเรื่องที่เราได้ยินกันจนคุ้นหูและถือเป็นสุดยอดเป้าหมายที่พร่ำสอนกันมาตลอด แต่คงไม่ต้องพูดถึงถ้าเรายังเป็นคนธรรมดาสามัญที่ใช้ชีวิตทำมาหากินอยู่ในสังคม การที่เราจะหมดทุกข์ตัดกิเลสได้หมดสิ้นก็ดี การที่เราจะละทิ้งทางโลกเพื่อมุ่งสู่เส้นทางของธรรมะก็ดี เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ถ้าพูดกันตามตรง สิ่งที่ปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆพอจะทำได้ในการที่จะใช้ชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยไปได้ตลอดรอดฝั่ง ก็คงมีเพียงการเรียนรู้ที่จะอยู่กับสุขและทุกข์ที่มาๆไปๆสลับกันอยู่แบบนี้ให้เป็น เข้าใจธรรมชาติของมัน ปรับตัว ปรับใจ ให้สามารถรับมือได้ทุกสถานการณ์อย่างมีสตินั่นเอง
หนังสือเรื่องเหมือนจะแพ้แต่ก็ไม่เล่มนี้ ก็พยายามจะบอกหลักการที่ว่าไป เป็นหนังสือที่ไม่ได้จะมาสอนให้เราพ้นทุกข์ ไม่ใช่หนังสือธรรมะลึกซึ้ง แต่เป็นหนังสือให้แง่คิด ให้กำลังใจ ให้ความหวัง กับเรื่องง่ายๆใกล้ตัวที่อาจทำให้ผู้อ่านหลายคนต้องทุกข์กายทุกข์ใจ เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ความจริงแล้วไม่มีอะไรแปลกใหม่ เป็นการเล่าเรื่องง่ายๆในชีวิตประจำวันที่ใครหลายคนพบเจอ ในเชิงธรรมะ ถ้าจะพูดถึงความคมคายก็ไม่ได้มีมากมายอะไร อ่านได้เรื่อยๆมากกว่า ในเชิงของข้อคิดสอนใจ ถ้าจะพูดตามตรงก็คือแทบจะไม่ต้องอ่านเนื้อเรื่องว่าพูดถึงอะไร เอาเป็นว่าแค่อ่านหัวเรื่องในแต่ละตอนก็พอเดาได้แล้วว่าจะสอนอะไร ผมเลยรูสึกว่าข้อบกพร่องของหนังสือที่กล่าวมานี้ ทำให้หนังสือดูน่าเบื่อ ไม่ลึกซึ้งในทุกแง่มุมอย่างที่บอกมา เป็นการใช้ตรรกะงายๆมาสอนกัน เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าหนังสือเล่มนี้ถ้าถูกออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์ในการสอนให้คนรู้จักจัดการกับความทุกข์ได้ สร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ เตือนสติได้ อะไรทำนองนี้ คิดว่าหนังสือเล่มนี้ยังไม่ตอบโจทย์ที่ว่าไปซักเท่าไหร่
พูดถึงข้อดีที่พอมีบ้าง อย่างแรกก็น่าจะเป็นเรื่องเนื้อหาหลากหลายดี มีทั้งเรื่องรัก เรื่องเหงา เรื่องงาน ความล้มเหลว เป้าหมายในชีวิต เศรษฐกิจ หนี้สิน โรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ อย่างที่สองก็คือเรื่องวิธีนำเสนอในแต่ละตอนก็จะเริ่มด้วยการพูดถึงปัญหาก่อน (ผู้เขียนใช้คำว่าเหมือนจะแพ้…) แล้วก็ตามด้วยการพูดถึงทางออกของปัญหาว่าจริงๆแล้วไม่แพ้หรอกถ้าคุณ… คิดว่าเป็นไอเดียที่ดีเหมือนกันในเรื่องของการเขียน
สุขให้เป็น เย็นให้ได้
4
สุขให้เป็น เย็นให้ได้
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 06 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เวลาเรานึกถึงธรรมะ เราจะนึกถึงอะไรหรือใครเป็นอันดับแรก คำตอบของคนส่วนใหญ่คงเป็นวัดกับพระสองอย่างนี้ คำตอบแบบนี้สะท้อนให้เห็นความคิดหรือความเข้าใจของคนไทยชาวพุทธว่าธรรมะไม่ใช่ของที่หาได้ทั่วไป แต่ธรรมะเป็นของศาสนา ธรรมะเป็นของพระพุทธเจ้า และสาวกของพระองค์เป็นผู้ทำหน้าที่นำธรรมะเหล่านั้นมาส่งต่อให้กับเราๆท่านๆ อีกทอดหนึ่ง ด้วยความเข้าใจแบบนี้ทำให้ระหว่างเรากับธรรมะมีช่องว่างที่ห่างกันพอสมควรอยู่ เราส่วนใหญ่ใช้การทำพิธีกรรมทางศาสนาเป็นเครื่องมือเชื่อมต่อช่างว่างดังกล่าวโดยเชื่อว่านั่นเป็นทางที่จะทำให้เราได้ใกล้ชิดธรรมะได้มากที่สุด เรามักพบเห็นคนที่นุ่งขาวห่มขาวเข้าวัดไปปฏิบัติธรรมด้วยความศรัทธา แต่พอกลับออกมาสู่โลกของความเป็นจริงคนเหล่านั้นหลายคนกลับไม่ได้พกธรรมะติดตัวออกมาด้วยเลย หลายคนได้ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มคนที่ทำธุรกิจพุทธพาณิชย์ หลงงมงายไปกับเรื่องการสร้างบุญสร้างกุศล สร้างสิ่งศักดิ์สิทธิของขลัง บริจาคเงินเข้าวัดสร้างโบสถ์วิหารใหญ่โต เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำไปนั้นคือการสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ ยิ่งทำมากก็ได้บุญมาก ยิ่งได้บุญมากก็ยิ่งสุขมาก ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในลักษณะดังกล่าว ยิ่งทำให้ธรรมะถูกยกระดับกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ ใหญ่โต ซึ่งขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับหลักการที่ควรจะเป็น หนังสือสุขให้เป็น เย็นให้ได้เล่มนี้ แม้จะไม่ได้บอกโดยตรงว่าธรรมะคืออะไรและไม่ใช่อะไร แต่สิ่งที่ผมได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้คือความเรียบง่ายตามธรรมชาติของธรรมะ ซึ่งหมายความว่าเราสามารถเรียนรู้ธรรมะได้จากตัวเราและสิ่งแวดล้อมง่ายๆรอบตัว โดยไม่ต้องลงทุนหรือลงแรงใดๆเลย แต่อาจมีสิ่งหนึ่งที่เราต้องใช้คือการลงความคิด หมายความว่าเราสามารถเข้าใจธรรมจากความคิดพิจารณาตัวตนของเราเอง จากการคิดพิจารณาสิ่งรอบตัวเริ่มจากเรื่องเล็กๆน้อยๆ จนไปถึงเรื่องระดับสังคม ระดับชาติ ในแง่นี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าธรรมะก็เหมือนยาดำที่แทรกตัวอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะหยิบจับขึ้นมาพิจารณาเอาประโยชน์จากมันหรือไม่เท่านั้นเอง นอกจากนี้การอ่านหนังสือเล่มนี้ยังทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองช่างสังเกตมากขึ้น ไม่มองผ่านเรื่องเล็กน้อยใกล้ตัว ไม่มองผ่านเรื่องที่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ แต่พยายามอยู่กับสิ่งนั้นอย่างเข้าใจและใช้เวลาครุ่นคิดถึงที่มาที่ไปของมัน เวลาเราได้ใช้ความคิดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือการกระทำของคนใดคนหนึ่ง นอกจากเราจะได้รู้จักสิ่งนั้นหรือคนๆนั้นมากขึ้นแล้ว ในเวลาเดียวกันมันก็ได้เรียนรู้ตัวเราเองไปด้วย และเมื่อเราเข้าใจ นั่นแหละน่าจะเป็นที่มาของความสุข อันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าตรงตามความหมายของชื่อหนังสือรึเปล่า แต่อ่านแล้วเข้าใจแบบนี้
กินกบตัวนั้นซะ! (วีเลิร์น)
4
กินกบตัวนั้นซะ
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 06 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ความอยากของคนๆหนึ่งนั้นมีนับไม่ถ้วนจริงๆ ลองนับกันดูเล่นๆว่าวันหนึ่งๆเราอยากทำอะไรบ้าง แล้วถ้าเป็นสัปดาห์หนึ่งละ ถ้าเป็นเดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง หรืออีกสิบปี เราต่างรู้สึกว่าเรามีสิ่งที่อยากทำมากกว่าเวลาที่เรามีเสมอ สิ่งที่เราต้องทำมักมาก่อนสิ่งที่อยากทำ แล้วเราก็เป็นทุกข์กับเรื่องแบบนี้เพราะเราต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ต้องทำเพื่อปากท้องหรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่ และเราก็ต้องทุกข์จากการที่เราต้องเฝ้าคอยเวลาที่เราจะมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ การจะแก้ปัญหาแบบนี้ คิดไปคิดมาก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย บางคนบอกว่าในเมื่อเรามีทั้งสิ่งที่ต้องทำและสิ่งที่อยากทำ เราก็ต้องขยันทุ่มเทและอดทนกับทุกสิ่งสิ แต่ในความเป็นจริงแล้วเราต่างก็รู้ดีว่าเราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เลย เพราะเราต่างมีเวลาที่จำกัดซะเหลือเกิน ยกตัวอย่างง่ายๆว่าถ้าคุณต้องทำงานหกวันต่อสัปดาห์ แถมยังเรียนหนังสือภาคค่ำไปด้วยอีก วันอาทิตย์ก็ต้องไปเรียนเพิ่ม หากคุณต้องการไปเที่ยว ไปดูหนัง อ่านหนังสือนิยายที่อยากอ่าน ไปกินข้าวกับเพื่อนๆของคุณ ต่อให้คุณขยันมากแค่ไหน คุณก็ไม่สามารถทำสิ่งที่คุณต้องการได้ทั้งหมด หรือแม้จะทำได้ก็ไม่มีทางที่จะทำมันได้ดีทุกเรื่อง หนังสือเล่มนี้ก็เลยเสนอแนวคิดที่จะช่วยปรับเปลี่ยนทัศนคติในการบริหารจัดการเวลาของคุณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเปรียบเทียบเรื่องยากๆที่คุณต้องทำในชีวิตเป็นเหมือนกบ ที่มีหน้าตาน่ารังเกียจ น่ากลัว ไม่อยากเข้าใกล้ ผู้เขียนอธิบายว่าเรื่องยากๆก็เป็นเหมือนกบ ที่เราต่างไม่อยากเข้าใกล้ หรือไม่อยากทำนั่นแหละ เรามักจะทิ้งเรื่องยากๆเอาไว้ทำทีหลัง แล้วไปสนใจเรื่องเล็กๆง่ายๆก่อน เพราะแน่นอนมันง่ายมันสบาย ทำเสร็จแล้วเห็นผลไวทันใจ ผิดกับเรื่องยากๆที่เราต้องใช้เสองใช้เวลากับมัน ต้องอดทน ต้องทุ่มเททั้งกายและใจทำถึงจะสำเร็จ พูดง่ายๆก็คือผู้เขียนต้องการให้เรากำหนดเป้าหมายใหญ่ของเราให้ชัดเจน แล้วโฟกัสกับเป้าหมายนั้นอย่างแน่วแน่แม้จะรู้ว่ามันเหนื่อยและยากกว่าก็ตาม จากนั้นตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิตออกไป โดยให้คิดถึงผลลัพธ์ที่ใหญ่กว่าหากสามารถทำเป้าหมายใหญ่นั้นได้สำเร็จ จริงๆแล้วหนังสือเล่มนี้ไม่ได้วางแนวทางในการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จด้วยหลักการที่ยุ่งยากซับซ้อนอะไรมากมายเลย เพียงแต่เป็นการกระตุ้นเตือนให้เรารู้จักการเริ่มต้นนับหนึ่งที่ดีนั่นเอง หมายความว่า ถ้าเรารู้แล้วว่าเป้าหมายหลักของเราคืออะไร แล้วโฟกัสหรือจดจ่อไปที่เป้าหมายนั้นจนสำเร็จ เราจะรู้สึกได้เองว่าชีวิตเราง่ายขึ้น ไม่ถูกบีบด้วยเว
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 06 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หากจะบอกว่าสังคมไทยเป็นสังคมด้อยพัฒนา โยเฉพาะอย่างยิ่งความด้อยพัฒนาทางการเรียนรู้และการทดลอง คงเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงเลย เพราะเมื่อมองไปรอบตัวแม้สังคมไทยจะเป็นสังคมไทยที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทันสมัยไม่แพ้ชาติอื่นๆ แต่ลักษณะโดยรวมของสังคมไทยก็ยังเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความเชื่อ ค่านิยมดั้งเดิม ขนบธรรมเนียมและประเพณีโบราณที่ทำตามต่อๆกันมาโดยปราศจากการตั้งคำถามถึงที่มาที่ไป ความสำคัญหรือความจำเป็นที่ต้องทำแบบนั้น ใครบังอาจสงสัยหรือตั้งคำถามกับเรื่องที่เป็นความเชื่อก็มักจะถูกประนามด้วยคำพูดสุดคลาสสิคที่ว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ทั้งที่ในความเป็นจริงที่ถูกต้องคือ ไม่เชื่อก็ต้องพิสูจน์มากกว่า ลักษณะแบบนี้สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์น้อยมาก
ลองมองภาพที่เล็กลงมาหน่อย นึกถึงตอนที่เราเรียนหนังสือในชั่วโมงวิทยาศาสตร์ หลายคนคงเคยมีประสบการณ์ทำงานทดลองกับเพื่อนๆในกลุ่ม ซึ่งก็จะเห็นว่าปัญหาที่เป็นอุปสรรคสำคัญคืออุปกรณ์การทดลองไม่เพียงพอกับจำนวนนักเรียน คนที่ได้ลงมือทำจริงๆมีเพียงไม่กี่คน คนที่เหลือก็ได้แต่นั่งดู นั่งฟัง พอไม่เข้าใจจะถามอาจารย์ก็ถูกข้อจำกัดเรื่องเวลาทำให้ไม่มีโอกาสถามหรือถ้ามีโอกาสถามก็อายที่จะถามอีก สุดท้ายก็ได้แต่ท่องจำทฤษฎีตามตำราเพื่อเอาไปสอบ เป็นวิธีการเรียนในแบบที่ไม่ส่งเสริมให้นักเรียนคิด รู้จักค้นคว้าลงมือทำด้วยตนเอง เพื่อให้เห็นภาพจริง ประสบการณ์จริง นักเรียนที่เป็นผลผลิตของการศึกษาแบบนี้จึงมักจะเป็นนักทฤษฎี เป็นนักวิชาการที่แม่นตำรา แต่ไม่สามารถต่อยอดความรู้เพื่อสร้างเป็นนวัตกรรมใหม่ได้ ประเทศไทยก็เลยต้องตกอยู่ในฐานะประเทศผู้นำเข้าเทคโนโลยี ไม่ใช่อยู่ในฐานะประเทศผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยี
ทั้งหมดจึงเป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเป็นการรวบรวมเอาการทดลองทางวิทยาศาสตร์สนุกๆมานำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ทำได้จริง เพราะใช้อุปกรณ์ธรรมดาๆที่สามารถหาได้ภายในบ้านมาเป็นเครื่องมือในการทดลอง ไม่ต้องเสียเงินเสียทองปื้ออุปกรณ์ราคาแพงจากที่ไหนทั้งสิ้น ในแง่ของเรื่องที่นำมาทดลองก็เป็นเรื่องน่ารู้ใกล้ตัว พ่อ แม่ ลูกสามารถใช้เวลาร่วมกันในการทำการทดลองตามหนังสือเล่มนี้ได้ ยกตัวอย่างเช่นการทดลองเรื่องการเคลื่อนที่ ผู้เขียนได้นำเอานิทานเรื่องกระต่ายกับเต่ามาเปรียบเทียบ โดยทำการทดลองว่าระหว่างขวดเปล่าไม่ใส่น้ำกับขวดที่ใส่น้ำครึ่งใบเมื่อกลิ้งลงมาตามทางลาดขวดใบไหนจะถึงพื้นก่อนกัน ซึ่งผลการทดลองก็คือขวดเปล่ากลิ้งลงมาถึงพื้นก่อนเหมือนกับกระต่ายในนิทาน แต่ขวดที่ใส่น้ำถึงแม้จะกลิ้งมาถึงพื้นช้ากว่าแต่ก็ไปได้ไกลกว่าเหมือนกับเต่าในนิทาน ในการทดลองแต่ละเรื่องก็จะมีลักษณะทำนองนี้คือมีเนื้อเรื่อง มีอุปกรณ์ มีวิธีการทดลอง มีผลการทดลอง และมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ถึงผลการทดลองนั้น ซึ่งอ่านแล้วก็สนุก ไม่ยาก เหมาะกับเด็กๆที่ต้องการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในแบบที่จับต้องได้ ไม่น่าเบื่อ ผู้ปกครองสามารถใช้การทดลองในหนังสือสอนลูกทั้งเรื่องวิทยาศาร์และข้อคิดผ่านนิทานที่แฝงอยู่ได้ด้วย
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 06 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ก่อนอื่นต้องขอกล่าวถึงที่มาของหนังสือเล่มนี้ก่อนว่า หนังสือเล่มนี้มีที่มาจากปัญหาความแตกแยกของคนในสังคมไทยอันสืบเนื่องมาจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาคนในสังคมไทยถูกแบ่งแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่ากันอย่างชัดเจน แล้วเราก็ไม่ยอมเปิดใจที่จะรับฟังฝ่ายตรงกันข้าม เราถูกปิดหูปิดตาหรือจะเรียกให้ถูกคือเราปิดหูปิดตาตัวเอง ไม่ยอมรับรู้รับฟังข้อมูลจากรอบด้าน แต่เราเลือกที่จะเสพเฉพาะข้อมูลข่าวสารของฝ่ายที่เราจงรักภักดีเท่านั้นและนี่เองคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ปัญหาความแตกแยกของคนในสังคมยิ่งหยั่งรากลึกลงไปจนยากจะแก้ไขให้กลับดีขึ้นดังเดิม มาถึงตรงนี้ผู้อ่านคงพอเดาความหมายของชื่อหนังสือเล่มนี้ได้แล้วว่าหมายความว่าอย่างไร โดยสรุปก็คือมองลึกก็หมายความว่า มองให้ลึกลงไปกว่าที่ปรากฏต่อสายตาเรา ให้ใช้สติปัญญามองไม่ใช่ใช้ตามอง จะได้ไม่หลงผิดกับภาพลวงตาที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า นึกไกลก็หมายความว่า อย่านึกถึงแต่ประโยชน์ของตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่ให้นึกถึงประโยชน์ของผู้อื่นที่อยู่ร่วมในสังคมเดียวกันด้วย และสุดท้ายใจกว้างก็หมายความว่า การมีใจเปิดกว้างยอมรับความแตกต่างในทุกมิติ ไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลจนไม่ยอมเหลือพื้นที่ในการรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างจากตน
ผมมองว่าหนังสือเล่มนี้มีคุณค่าทั้งในทางวรรณกรรมและในทางการใช้สื่อเพื่อสะท้อนปัญหาและสร้างสรรค์สังคม เป็นมุมองของผู้ที่มองทะลุจนเห็นสาเหตุสำคัญของปัญหาและมุ่งไปสู่การแก้ไขที่สาเหตุนั้นด้วยวิธีการแบบพุทธ ผมคิดว่าท่าน ว.วชิรเมธี กำลังทำตัวเป็นต้นแบบชั้นยอดให้กับคนในสังคมไทย กล่าวคือในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง ท่านตระหนักถึงปัญหาของบ้านเมืองและพยายามช่วยหาทางออกให้กับปัญหา ในแง่ของบทบาทหน้าที่ของการเป็นพระ ท่านเข้าใจสถานะของตัวเองว่าตัวเองมีบทบาทหน้าที่อะไร และไม่พาตัวเองไปเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา แต่กลับใช้บทบาทของตัวเองเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อท่านเป็นพระในพุทธศาสนา ท่านก็ย่อมมองปัญหาและวิเคราะห์ทางออกให้กับปัญหาด้วยวิธีการแบบพุทธ กล่าวคือด้วยการมุ่งไปที่ต้นตอสาเหตุแล้วแก้ไขมันด้วยปัญญา วิธีการแบบนี้การันตีได้ว่าจะไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย เป็นการแก้ปัญหาแบบสันติวิธีและตรงประเด็นที่สุด ผมคิดว่าเมื่ออ่านหนังสือธรรมะแล้วได้แง่มุมอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากหลักธรรมคำสอนเป็นอะไรที่ถือว่ากำไรสำหรับผู้อ่าน หากคุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ได้มีโอกาสทบทวนบทบาทหน้าที่ของตัวเองใหม่ด้วยการประยุกต์จากท่านอาจารย์ บางทีปัญหาของประเทศที่เป็นอยู่ตอนนี้อาจจะคลี่คลายลงไปโดยง่าย
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 06 สิงหาคม พ.ศ. 2557

คนไทยเรียนภาษาอังกฤษตังแต่ระดับอนุบาลจนถึงปริญญาตรีในระดับมหาวิทยาลัย รวมเวลาแล้วก็เกือบๆ 20 ปี แต่จะมีคนไทยซักกี่คนที่สามารถพูดภาษาอังกฤษในระดับที่สามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติในชีวิตประจำวันได้ ปัญหานี้เป็นปัญหาที่สั่งสมนานในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย โดยเฉพาะการเรียนการสอนในระบบหรือในโรงเรียน สาเหตุที่คนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ก็น่าจะมาจาก
1. เราเรียนภาษาอังกฤษเพื่อสอบ ไม่ได้เรียนเพื่อเอาไปใช้ เพระไม่รู้จะเอาไปใช้ที่ไหน ในขณะที่ฝรั่งบางคนที่มาอยู่เมืองไทยไม่กี่ปีกลับสามารถพูดภาษาไทยได้
2. คนไทยขี้อายเกินไปที่จะพูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงแบบเจ้าของภาษา ในขณะที่เวลาฝรั่งพูดภาษาไทยแบบผิดๆถูกๆ เขากลับไม่อาย และคนไทยยังมองว่าน่ารัก
3. หลักสูตรการศึกษาไม่เอื้อต่อการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของเด็ก
ปัญหาเหล่านี้จึงเป็นที่มาของความพยายามจากทางอื่นๆนอกจากคนในวงการการศึกษาในการที่จะทำให้คนไทยเก่งภาษาอังกฤษขึ้น โดยเฉพาะความพยายามจากคนที่มีประสบการณ์ตรงจากการใช้ภาษาอังกฤษ ถ้าพูดถึงอาจารย์สอนภาษาอังกฤษเก่ง ครูเคท เนตรปรียาคงเป็นชื่อที่ใครหลายคนนึกถึงเป็นคนแรกๆ อาจเรียกได้ว่าเธอเป็นผู้บุกเบิกการปฏิรูปการการสอนภาษาอังกฤษของคนไทยเลยก็ว่าได้ หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในความพยายามของเธอที่จะเป็นผู้ช่วยฝึกภาษาอังกฤษ การฝึกภาษาอังกฤษในแบบหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่การฝึกจากผู้เชี่ยวชาญทางภาษา ไม่มีทฤษฎีหรือแกรมม่าให้งง แต่เป็นเพียงการเรียนรู้จากคนไทยคนหนึ่งที่พูดภาษาอังกฤษได้เหมือนฝรั่งเจ้าของภาษาโดยไม่ต้องคิดผ่านระบบภาษาไทย โดยเป็นการแนะนำเทคนิคต่างๆในการฝึกภาษาอังกฤษ เป็นการบอกเล่าประสบการณ์จากการตอบคำถามลูกศิษย์ เช่นเรื่องเทคนิคการท่องศัพท์ เทคนิคการสัมภาษณ์งาน การใช้ดิคชันนารี เป็นต้น เป็นเทคนิคที่ง่ายและใช้ได้จริง นอกจากนี้หนังสือยังสะท้อนทัศนคติและความคิดของเธอต่อการเรียนภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ และแตกต่างไปจากความเชื่อเดิมของคนไทยในการเรียนภาษา ยกตัวอย่างเช่น คนไทยเชื่อว่าการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศน่าจะเป็นวิธีการเรียนภาษาที่ได้ผลมากที่สุด แต่ครูเคทกลับมองว่าไม่ต้องไปเรียนถึงต่างประเทศก็สามารถเก่งภาษาอังกฤษได้ เธอเล่าให้ฟังว่าครอบครัวเธอเองและอีกหลายครอบครัวใช้การฝึกภาษาอังกฤษที่บ้านนั่นแหละ วิธีการคือให้สมาชิกในครอบครัวพูดคุยภาษาอังกฤษกันไปเรื่อยๆเหมือนที่เราพูดคุยภาษาไทยกัน ตอนแรกๆลูกๆก็ยังพูดไม่ได้ แต่พอนานไป การฝึกฝนบ่อยๆ การฟังบ่อยๆ ก็จะเกิดกระบวนการเรียนรู้ แล้วกลายเป็นทักษะที่สามารถพูดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผมว่าหลักการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของครูเคทอยู่บนพื้นฐานของการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ ความสม่ำเสมอในการฝึกฝน เพื่อให้เกิดเป็นทักษะ ความกล้าที่จะลองผิดลองถูก ซึ่งเป็นหลักการที่ควรนำไปใช้ในระบบการศึกษา อยากให้ลองอ่านดูเพราะคุณจะได้ทัศนคติใหม่ๆในการเรียนภาษาอังกฤษ ได้แรงบันดาลใจในการลุกขึ้นมาหัดพูดภาษาอังกฤษอย่างจริงๆจังๆ
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 06 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ถ้าถามว่าทำไมประเทศไทยยังเป็นประเทศกำลังพัฒนาอยู่ เราได้ยินคำนี้มานานแล้ว ทำยังไงประเทศไทยถึงจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้ คำตอบหลักๆก็คงมีอยู่สองคำตอบคือ หนึ่งเราต้องแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นให้ได้ และข้อสองก็คือ เราจะต้องปฏิรูปการศึกษาของประเทศเพราะการศึกษาคือพื้นฐานสำคัญของการแก้ไขปัญหาทุกเรื่อง ผมว่าทุกคนก็คงเคยได้ยินคำตอบประมาณนี้ แต่คำถามคือทั้งที่เราต่างก็รู้สาเหตุว่าทำไมประเทศไทยถึงยังล้าหลังอยู่แบบนี้ แล้วทำไมเราถึงยังแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย ผมว่าคำถามแบบนี้เริ่มยากขึ้นและหลายคนคงหาคำอธิบายไม่ได้ แม้จะพยายามหาจากกูเกิ้ลแล้วก็คงไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมามากนัก ผมว่าคนที่น่าจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ดี น่าจะเป็นคนที่เติบโตมาในสังคมไทยมานานระยะหนึ่งซึ่งนานพอที่จะเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยได้หลากหลายมิติรอบด้าน แล้วก็ต้องเป็นคนที่มีบทบาทหรือนำพาตัวเองไปสู่การทำงานเพื่อสังคมส่วนรวมด้วย ถึงจะมีมุมมองที่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นนักวิชาการคนหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นนักปราชญ์ของประเทศ เพราะไม่เพียงแต่อาจารย์จะเป็นนักประวัติศาสตร์ แต่อาจารย์ยังเป็นนักสังคมวิทยาที่มีความรู้ความเข้าใจในสังคมไทยในหลากหลายมิติทั้งวัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง และที่สำคัญคือการศึกษา หนังสือเล่มนี้เป็นมุมมองของอาจารย์เกี่ยวกับวัฒนธรรมการศึกษาของสังคมไทยในแง่มุมต่างๆที่ครอบคลุมรอบด้าน ทั้งในด้านความเป็นครูในสังคมไทย นักเรียน โครงสร้างทางการศึกษาแบบไทย วัฒนธรรมการเรียนการสอนแบบไทย ซึ่งเดิมเคยเป็นบทความที่ถูกเขียนไว้ในมติชนสุดสัปดาห์ ซึง่เนื้อหาก็เป็นการวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมการศึกษาของประเทศ มุมมองของอาจารย์ที่มีต่อเรื่องนั้นๆเป็นอย่างไร ทัศนะในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นปัญหา เป็นต้น
ในภาพรวมของหนังสือเล่มนี้ ผมประทับใจตรงที่ เป็นการนำเสนอความจริงอย่างตรงไปตรงมา เป็นเนื้อหาที่สะท้อนให้เห็นถึงอุปสรรคสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาของประเทศซึง่คุณภาพและทัศนคติโบราณที่มีอยู่ในตัวบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษาไทย การเรียนแบบไทยๆเป็นการเรียนเพื่อตอบสนองความต้องการทางเศรษฐกิจของตนเองหรือเพื่อรับใช้ระบบเศรษฐกิจและการเมือง มากกว่าเป็นการเรียนเพื่อเอาความรู้ไปรับใช้สังคม และที่สำคัญการปฏิรูปการศึกษาที่ทำกันอยู่ก็เน้นการเรียนการสอนในห้องมกกว่าการปฏิรูปเพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างแท้จริง ส่วนตัวแล้วผมชอบเรื่องวัฒนธรรมวิทยาศาสตร์มากที่สุด เพราะเมื่อมองไปรอบตัว สังคมไทยแม้จะมีความเจริญทางเทคโนโลยีที่ไม่ถึงกับขี้เหร่ ไม่น้อยหน้าประเทศอื่นมากนัก แต่สังคมไทยก็ยังเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความเชื่อ คนในสังคมยังไม่มีความกล้าหาญทางความคิดมากพอที่จะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นในสังคม เรายังเป็นสังคมที่ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมและค่านิยมที่ล้าหลังมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในสังคมโลก แม้แต่ครูวิทยาศาสตร์หรือคนที่เรียนจบวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่อาจสอนหรือคิดให้เป็นวิทยาศาสตร์ได้ แล้วเราจะไปคาดหวังอะไรให้สังคมไทยเป็นสังคมในวัฒนธรรมวิทยาศาสตร์ สุดท้ายคือถ้าคุณอยากอ่านมุมมองของนักวิชาการคนหนึ่งต่อปัญหาการศึกษาของประเทศอย่างเป็นจริงที่สุด ผมแนะนำว่าคุณไม่ควรพลาดหนังสือเล่มนี้
คิดแบบ CEO สำเร็จด้วยกฎ CRS
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 06 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ความเข้าใจก่อนอ่านหนังสือเล่มนี้คือ ธุรกิจสีขาวในความเข้าใจโดยทั่วไปน่าจะหมายถึงการทำธุรกิจที่ให้บริการหรือจำหน่ายสินค้าที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับสังคมหรือผู้บริโภค เป็นสินค้าที่ไม่มอมเมาหรือสร้างค่านิยมแบบผิดให้กับคนในสังคม แต่ในความเป็นจริงเราต่างก็ทราบกันดีว่าในแวดวงธุรกิจนั้นไม่ได้มีแค่ธุรกิจที่ดีงามแบบนั้นเพียงแบบเดียว ในสังคมธุรกิจมีบริษัทห้างร้านมากมายที่ขายสินค้าหรือให้บริการแบบสีเทา หมายความว่าเป็นกิจการที่มีกฎหมายรองรับ แต่อาจมีความก้ำกึ่งในแง่ของศีลธรรมทางการค้า ยกตัวอย่างเช่นบรรดาสินค้าน้ำเมาทั้งหลาย เครื่องดื่มชูกำลัง หรือผลิตภัณฑ์ความงามบางประเภท เป็นต้น ธุรกิจเหล่านี้เติบโตมาก สร้างกำไรได้ปีละมากมายมหาศาล แล้วก็ยังเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม ไม่เพียงแต่สังคมไทยเท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงสังคมโลกด้วย การสื่อสารทางการตลาดถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินกิจการและประชาสัมพันธ์สินค้าหรือบริการขององค์กรไปสู่สังคม จนเราในฐานะผู้บริโภคก็หลงลืมภาพความไม่เหมาะสมของสิ่งที่ธุรกิจประเภทนั้นกำลังทำอยู่ พูดง่ายๆก็คือเรามองข้ามเรื่องไม่ดีไปเลย สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเทคนิคทางการตลาด ที่เรียกว่า CSR ซึ่งหมายถึงการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีงามขององค์กร แล้วสื่อสารไปยังสังคมส่วนรวม เพื่อให้สังคมหรือผู้บริโภคเกิดภาพจำขององค์กรนั้นไปในทิศทางที่องค์กรต้องการ พูดง่ายๆก็คือเป็นการสร้างภาพนั่นเองเทคนิควิธีการประชาสัมพันธ์ตัวเองแบบนี้ดูเหมือนจะได้ผลดีมากในสังคมไทย ไม่แน่ใจว่าคนไทยรู้ไม่ทันหรือทำเป็นไม่รู้กันแน่ การแจกผ้าห่มกันหนาวแก่ผู้ยากไร้ การรณรงค์ส่งเสริมให้รักษาสิ่งแวดล้อม โครงการปลูกป่า โครงการส่งเสริมนักเรียนด้อยโอกาส เรื่องทำนองนี้มีให้เห็นอยู่โดยตลอด จริงต้องเรียกว่ามีให้เห็นจนเกล่อเลยก็ว่าได้ ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะสังคมไทยนิยมชมชอบการทำบุญเอาหน้าด้วยมั้ง CSR จึงกลายเป็นวิธีที่นิยมใช้กัน เพราะเข้ากับลักษณะนิสัยของคนไทยดี
ความเข้าใจใหม่หลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้ CSR คือการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงหลักจริยธรรมและคุณธรรม โดยอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมซึ่งความรับผิดชอบต่อสังคมในที่นี้ถูกกระจายให้แก่บุคลากรในองค์กรทุกระดับ และยังมีการแบ่งแยกประเภทของความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ในแง่ของความรับผิดชอบต่อสังคมของบุคลากร ก็เช่นถ้าคุณเป็นผู้บริหารคุณต้องมีระบบการบริหารจัดการที่โปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ ถ้าคุณเป็นพนักงาน องค์กรก็ต้องคุ้มครองคุณเรื่องสวัสดิการต่างๆให้เหมาะสม เป็นต้น ในแง่ของประเภทความรับผิดชอบ ก็เช่น ความรับผิดชอบที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ความรับผิดชอบที่มีต่อบุคลากรในองค์กรเอง การดูแลเอาใจใส่สังคมและตอบแทนหรือคืนความสุขให้แก่สังคมทั้งในระดับชุมชนและระดับชาติ เป็นต้น
ผมเองมีความรู้ความเข้าใจเรื่อง CSR แบบผิดๆถูกๆมาก่อน แต่พออ่านหนังสือเล่มนี้แล้วก็ทำให้เข้าใจเรื่องนี้ได้ถูกต้องมากขึ้น จริงๆเนื้อหาในเล่มยังมีอีกมากมายหลายประเด็น ครอบคลุมรายละเอียดเกี่ยวกับ CSR แทบจะอบด้านเลยก็ว่าได้ ที่สำคัญคือมีการเปรียบเทียบระหว่าง CSR ของไทยแลของต่างประเทศด้วย
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 06 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หากเราอยากมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เราก็ต้องหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายก็มีหลายระดับตามแต่วัตถุประสงค์ของคนๆนั้นว่าจะออกกำลังกายเพื่ออะไร อย่างเช่นคนที่เป็นนักกีฬาก็จะออกกำลังกายหนัก แล้วก็มีเทคนิควิธีต่างๆในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เสริมสร้างกำลังให้แข็งแรง นอกจากนี้ก็ต้องมีการเสริมด้วยการกินอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ ตามหลักวิทยาศาสตร์ และต้องมีการพักผ่อนอย่างเพียงพอ เรียกว่าทุกอย่างต้องมีแบบแผน มีวิธีการที่เป็นระบบ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะทำให้นักกีฬาคนนั้นเป็นสุดยอดนักกีฬาที่สมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะ ความแข็งแกร่งของร่างกาย และความสมบูรณ์ของจิตใจ ฉันใดก็ฉันนั้นหากเราต้องการจะฝึกสมองของเราให้แข็งแรงเหมือนกับที่นักกีฬาฝึกซ้อมร่างกาย เราก็ต้องมีวิธีการฝึกฝนสมองของเราอย่างเป็นระบบเช่นกัน
เชื่อว่าไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียนนักศึกษา เป็นคนหนุ่มสาววัยทำงาน หรือแม้แต่เป็นคนวัยทองที่สูงอายุ ทุกคนล้วนต้องการมีมันสมองที่ชาญฉลาด มีความคิด ความจำที่แม่นยำ ถ้าเป็นนักศึกษาคงไม่ต้องปฏิเสธว่า ถ้าคุณมีสมองที่ดีก็จะมีประโยชน์ต่อการเรียน ถ้าคุณเป็นคนทำงานก็จะมีประโยชน์ต่อการทำงานของคุณ ทำให้คุณสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และถ้าหากคุณเป็นผู้สูงวัย การฝึกสมองให้แข็งแรงก็จะเป็นผลดีที่จะทำให้สมองของคุณไม่เสื่อมถอยไปตามอายุที่มากขึ้น หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณเปลี่ยนความคิดของคุณใหม่ว่า เรื่องความฉลาดและเรื่องความจำที่ดีนั้นเป็นเรื่องของพรแสวงมากกว่าพรสวรรค์ ซึ่งเราสามารถพัฒนากันได้
หนังสือเล่มนี้จะช่วยกระตุ้นให้คุณตื่นตัวในการพัฒนาความสามารถของตัวเอง โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของสมองมนุษย์ ศักยภาพของสมองเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ โดยเฉพาะเรื่องการจดจำ เนื้อหาก็จะเป็นการรวบรวมเทคนิควิธีต่างๆในการฝึกฝนเพื่อพัฒนาความจำของตนเองให้จำแม่น จำเก่ง และจำไว ยกตัวอย่างเช่น การคิดบวกช่วยเสริมศักยภาพความจำ อาหารเพิ่มพลังความจำ การใช้ศิลปะพัฒนาความจำ ดนตรีเพิ่มพลังความจำ ฝีกสร้าง mind map พัฒนาความจำ เป็นต้น ซึ่งผู้อ่านจะเห็นว่าเทคนิควิธีที่นำเสนอนั้นเป็นเรื่องง่าๆยที่ทุกคนสามารถลงมือทำได้เลยทันที ไม่ต้องลงทุนเตรียมการอะไร นอกจากนี้ยังมีอีกสองส่วนที่น่าสนใจคือเทคนิคการคิดละการจดจำแบบยอดอัจฉริยะอัลเบิร์ตไอน์ไสตน์ และส่วนสุดท้ายคือการรู้จักหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆที่จะเป็นตัวการทำลายสมองของคุณ โดยส่วนตัวผมประทับใจเรื่องเทคนิคการคิดและจำแบบไอน์ไสตน์ เพราะผมรู้สึกว่าไอน์ไสตน์เป็นอัจฉริยะจากการที่เค้าเป็นนักค้นคว้ามากกว่าที่เค้าจะเป็นอัจฉริยะมาแต่กำเนิด หลังจากที่ไอน์ไสตน์เสียชีวิต ได้มีการผ่าตัดสมองของเค้า ซึ่งก็พบว่าสมองของเค้าก็เหมือกับสมองของมนุษย์ทั่วไป แต่ด้วยความที่เค้าใส่ใจการเรียนรู้ด้วยตนเองทำให้เค้าแตกต่างจากคนอื่น ซึ่งผมคิดว่าประวัติการที่ไอน์ไสตน์เกลียดการไปโรงเรียนในวัยเด็ก แต่ชอบที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่เขาสนใจจริงๆด้วยตนเองนี่แหละ เป็นแรงบันดาลใจให้เราฝึกนิสัยการเป็นคนใฝ่รู้ การค้นคว้าหาคำตอบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการพัฒนาสมอง ผมว่าหนังสือเล่มนี้มีคุณค่าในการสร้างแรงบันดาลใจมากๆเลย
www.batorastore.com © 2024