Gypsophilla's Love ร้อยรักพันร้ายยัยจอมแสบ
ประหยัด: 149.25 บาท ( 75.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 3 รายการราคา 75.00 บาท - 150.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
Gypsophilla…เป็นดอกไม้แทนความน่ารัก
หากอยากบอกว่าเขาหรือเธอน่ารักน่าประทับใจเพียงใด
ก็จงให้ดอกยิปโซฟิลลาแก่เขา...
คนที่บ้าแล้วทำความผิดทางอาญามีให้เห็นไม่น้อย
เป็นที่รู้กันดีว่าการรับผิดทางอาญาต้องคำนึงถึง ‘เจตนา’ เป็นหลัก
ทำให้ถ้าคนบ้าทั้งหลายทำความผิดไปโดยไม่เจตนาและไม่รู้เนื้อรู้ตัว
จะได้รับการยกเว้นโทษสำหรับความผิดนั้น
แม้จะถึงขั้นทำให้คนอื่นเลือดตกยางออกหรือตายไปก็ตาม
ควรใช้วิจารณญาณในการอ่านเพื่อตัดสินว่านางเอกของเรื่องร้ายหรือบ้า!
บทนำ
นางเอกที่ถูกกระทำ
“เอิ่ม...”
“โอ้ แม่หญิง ท่านช่างงามปานล่มเมืองยิ่งนัก”
“ขอโทษนะยะที่ฉันสวย แล้วนายเป็นใครน่ะ”
“ข้าคือนายจันหนวดเขี้ยวขอรับ เหตุใดท่านจึงหลงลืมกันราวกับคนแก่เยี่ยงนี้”
ฟังไปฟังมายิ่งจะคุยไปคนละเรื่องเดียวกัน แต่จะสลัดยังไงก็ไม่อาจหลุดพ้นจากกรรมเวนนี้ได้!
“ขอบใจกับคำตอบ แล้วที่นี่ที่ไหน”
“แม่หญิงสติฟั่งเฟือนไปแล้วหรือ ที่นี่ก็คือค่ายบางระจันของเราอย่างไรเล่า”
บทสนทอนาอันพิลึกพิลั่นนั่นว่ากันตามจริงแล้ว คนแรกก็มีสติดีอยู่หรอก ส่วนคนหลังอาการออกจะสาหัสเกินแกง เพราะเขาถึงกับหมอบกราบแทบเท้า เสร็จแล้วก็ร่ายรำท่ากระบี่กระบองชวนให้คู่สนทนามองอยู่ด้วยความรู้สึกสุดทน
แต่ถึงอย่างนั้นบางทีเธอก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมตัวเองถึงถูกจับมาอยู่รวมกับคนพวกนี้ อีกทั้งชุดที่ใส่ให้เธอยังเป็นชุดคนไข้สีชมพูสะเหล่ออีกต่างหาก และไม่ว่าจะมองไปทางไหน ทุกคนที่เดินหน้าตาเลื่อนลอยรอบกายต่างก็มองเธอด้วยสายตาคล้ายกับจะยอมรับกลายๆ ว่าเราคือพวกเดียวกัน!
นี่คือความคิดในใจที่ไม่อาจร้องออกจากริมฝีปากบางสีสดของยิปโซ คุณหนูผู้มีใบหน้าสวยเก๋ไก๋คล้ายนางเอกซีรี่ส์เกาหลีอย่างคูฮเยซอน นัยน์ตากลมโตสีดำสนิทกลอกกลิ้งไปมาเหมือนอยากจะบ้า หรืออันที่จริงตอนนี้เธอบ้าไปแล้วก็เลยถูกจับตัวส่งมาที่นี่ก็ไม่แน่ใจ
ที่นี่คือโรงพยาบาลศรีธัญญา ตึกผู้ป่วยจิตเวช และเธอคือหนึ่งในผู่ป่วยทางจิตที่ยังต้องได้รับการเยียวยารักษาอย่างใกล้ชิด
“กรี๊ด! แกใช่มั้ยที่ขโมยลูกของฉันไป!”
เสียงกรีดร้องของหญิงวัยกลางคนในชุดคนไข้ ใบหน้าถมึงทึง เธอปราดเข้ามาพร้อมกับเอามือบีบคอยิปโซที่นั่งดูนายจันหนวดเขี้ยวรำดาบอยู่อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เธออ้าปากหวอเพื่อจะสูดอากาศ แต่ทว่าลำคอกลับตีบตันไปหมด มือเรียวขาวบอบบางที่ไม่เคยถูกใช้งานหนักเลยนอกจากออกแรงตบหน้าคนของเธอพยายามงัดแงะฝ่ามือหยาบกร้านของหญิงสติไม่สมประดีเป็นพัลวัน
“อ่อก!!”
“เอาลูกของฉันคืนมา ไม่งั้นแกตาย!”
จะเอาลูกตบจากฉันหรือไงหา บัดซับเอ๊ย! เธอเพียงแต่คิดเพราะตอนนี้ลำพังจะหายใจยังยาก แล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาบอกเล่าเป็นคำด่าที่อยากจะพรั่งพรูออกมาราวกับเม็ดฝนได้ล่ะ
“ปะ...ปล่อย อ่อกๆ”
“แกตายย!!”
“ชิชะ!! นางผีตะเบ็งมาน! กล้าทำร้ายแม่หญิงถึงค่ายบางระจันของข้าเชียวรึ หยามหน้ากันชัดๆ”
จะมัวรำดาบกิ่งไม้อีกนานมั้ยยะ ไม่ช่วยก็ไปไกลๆ เลย ไอ้บ้า!!! เธอใช้สายตาด่าชายหนุ่มผู้หลงนึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในยุคกรุงศรีฯ แตกสุดฤทธิ์แต่ทำไปก็เท่านั้น คนสติเลื่อนลอยไหนเลยจะเข้าใจคนสติดีอย่างเธอได้ งานนี้สงสัยคงต้องช่วยตัวเองซะล่ะมั้ง
ในเมื่อมองไปทางไหนก็มีแต่คนไร้ประโยชน์ เพราะที่นี่มีแต่คนบ้าทั้งนั้น เธอเลยตัดสินใจเล็งเป้าหมาย จากนั้นก็ยกท่อนขาเรียวยาวเตะเสยร่างอวบอูมของป้าสติวิปลาสกระเด็นหวือไปกระแทกกำแพงทันทีด้วยความตั้งใจ
พลั่ก!!!
“โอ๊ยยย”
ยิปโซนวดคอตัวเองเพื่อคลายความรู้สึกเจ็บหนึบๆ ก่อนจะได้ยินเสียงบุรุษพยาบาลวิ่งกรูกันมาทางนี้พอดี เหมือนตำรวจที่ต้องมาจับผู้ร้ายเอาตอนจบเรื่อง
“ชิ ทีอย่างนี้ล่ะรีบแห่กันมาเลยนะยะ” เธอบ่นอุบอิบ
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันเนี่ย”
หนึ่งในสองคนนั้นเอ่ยถามเสียงเขียว เธอเงยหน้ามองตอบด้วยความสงสัยว่าเขาถามคนบ้าที่นั่งกุมท้องบนพื้นหรือถามเธอ
“ว่าไงยศสิตา ผมถามว่าเกิดอะไรขึ้น”
อ้อ ที่แท้ก็ถามเธอนี่เอง เขาเรียกชื่อที่ปักอยู่บนหน้าอกเสื้อของเธอประหนึ่งเธอเป็นเด็กอนุบาล พร้อมกับถลึงตาใส่เหมือนจะดุ แต่ขอโทษที่เธอ...กลัวตายล่ะ!
“ยัยป้านั่นเข้ามาบีบคอฉันก่อน แถมยังร้องหาลูก บ้าบอสิ้นดี!” เธอกระแทกเสียงใส่อย่างวางมาด
“จริงนะๆ แม่หญิงของข้ามิผิดนางผู้นั้นต่างหากที่เป็นคนเริ่มก่อน
ชิ้ง!
“อะ...เอ่อ ข้าเองก็มิคร้านจะต่อความอันใด เชิญท่านขุนซึกทั้งสองออกแนวหน้าเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ลูกน้องด้วยเถิด”
บุรุษพยาบาลสองคนต่างหันมองนายจันหนวดเขี้ยวที่ดูจ๋องไปหลังจากเห็นพวกเขามา ก็อย่างว่าแหละนะ คนไข้ที่ไหนจะชอบเจอคนดูแลที่วิ่งไล่จับกรอกยาทุกวันกันล่ะ
“เดี๋ยวนายพาป้าสมใจกลับห้องไปก่อน ส่วนเธอต้องไปพบหมอ ตามฉันมา”
บุรุษพยาบาลคนแรกสั่ง ยิปโซย่นหน้าก่อนจะต้องจำใจเดินตามเขาไปยังห้องของคุณหมอผู้ดูแลเธอด้วยความไม่สบอารมณ์
เธอมาหยุดยืนที่หน้าห้องตรวจด้วยสีหน้าเซ็ง ไม่รู้หนนี้หมออ้วนท่าทางไร้จรรยาบรรณที่เคยสอบถามอาการของเธอจะว่ายังไง เธอครุ่นคิดไม่ทันไรบุรุษพยาบาลก็เคาะประตูเป็นสัญญาณ ก่อนจะได้รับอนุญาตให้เธอเข้าไปตามลำพัง
“เชิญ”
แอ๊ดดด!
ในห้องนั้นมีเตียงนอนสำหรับตรวจคนไข้อาการฉุกเฉินจัดไว้ตรงมุมสุดแยกเป็นสัดส่วน ซึ่งเธอไม่เคยทดลองใช้บริการเตียงนั้นเลยสักครั้ง เนื่องจากส่วนมากที่มาพบคุณหมอ เธอก็แค่ถูกเชิญให้นั่งตรงเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงานของคุณหมอ แล้วก็ถูกซักไซ้เรื่องราวคร่าวๆ ก่อนจะจบลงด้วยความเห็นที่ว่าเธอเป็นคนจิตไม่ปกติ
ยิปโซทำหน้าฉงนเมื่อคุณหมอที่เจอคราวนี้เป็นคนละคนกับที่ผ่านมา เมื่อเธอเดินไปหยุดตรงหน้าคุณหมอในชุดกาวน์ เขาก็เงยใบหน้าอ่อนวัยขึ้นมอง เธอแอบสงสัยว่าเขาคงอายุไม่เกินสามสิบ ที่สำคัญเขาจัดว่าเป็นหมอที่หน้าตาท่าทางดูดีที่สุดเท่าที่เธอเคยพบมาเชียวล่ะ
“เชิญนั่งครับ”
เธอนั่งลงพร้อมกับแอบพินิจพิเคราะห์เขาอยู่ครู่ใหญ่ บนโต๊ะมีเพียงแฟ้มรายงานประวัติคนไข้กับปฏิทินตั้งโต๊ะเท่านั้น เขาส่งรอยยิ้มเป็นมิตรให้เธอก่อนจะเริ่มต้นตั้งคำถาม
“ดูจากแฟ้มประวัติ อายุขนาดคุณไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้เลยนะครับ ผมสงสัยจังว่าเด็กอายุสิบเจ็ดอย่างคุณมีสภาพจิตใจแปรปรวนถึงขั้นที่เขียนไว้ในรายงานได้ยังไง”
เขาเอ่ยอย่างใจเย็นและทำเหมือนว่ากำลังสอบถามเรื่องราวง่ายๆ สบายๆ แต่เธอกลับเริ่มขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงฉุน
“ฉันไม่ได้บ้าค่ะหมอ”
“อืม แต่ทางบ้านคุณส่งตัวคุณมาที่นี่หนนี้เนื่องจากคุณเอาแจกันลายครามสมัยราชวงศ์ชิงฟาดหัวแม่เลี้ยงขอบคุณแตกเลือดอาบ แถมคุณยังเอาหัวเธอโขกพื้น พร้อมกับเอาพรมเช็ดเท้ายัดปากไม่ให้เธอส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แต่โชคดีที่คนรับใช้มาเห็นเข้าและล็อกตัวคุณเอาไว้ แม่เลี้ยงของคุณถึงรอดมาได้”
เขาอ่านรายงานอย่างใจเย็นอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้เธอหัวเราะคิกคักเมื่อหวนนึกถึงวีรกรรมนั้น
“คิก สมน้ำหน้า”
“นี่คุณไม่รู้สึกผิดกับการกระทำของคุณบ้างเหรอ”
“ไม่เลยสักนิด โอ๊ะ หรือว่าฉันต้องบอกใครต่อใครว่าฉันทำไปเพราะไม่รู้ตัวคะหมอ”
เขาจดอะไรบางอย่างในรายงานด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอเองก็ไม่ยี่หระกับเรื่องนี้เลยสักนิด ตรงข้าม เธอกลับรู้สึกว่าเรื่องที่ทำไปมันแค่เรื่องขี้ผง ถ้าออกไปได้จะเอาให้แสบกว่านั้นอีกด้วยซ้ำ
“ผมสรุปได้แล้วว่าคุณไม่ได้บ้า”
“เอ๋?”
คุณหมอคนนี้ทำให้เธอแปลกใจเหลือขนาด ที่ผ่านมาไม่มีหมอคนไหนเชื่อเธอเพราะแต่ละคนได้รับสินบนจากแม่เลี้ยงที่กล่าวหาว่าเธอบ้าเข้าขั้นจนต้องส่งตัวมาอบรมบ่มนิสัยที่โรงพยาบาลเป็นการด่วน กว่าเธอจะออกไปได้แต่ละครั้งก็ต้องพึ่งอาหญิงซึ่งมีเพื่อนเป็นทนายช่วยวิ่งเต้นให้ และคราวนี้ดูเหมือนว่าเธอจะเจอมิตรที่น่าคบเข้าให้ซะแล้ว
“คุณหมอแน่ใจได้ยังไงคะเนี่ย น่าทึ่งจริงๆ ฮิๆ”
“คนบ้าไม่มีเจตนาในการกระทำ แต่สำหรับคุณผมเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยเจตนาชัดเจนมาก และต้องขอแสดงความยินดีด้วยที่ผมจะเขียนใบอนุญาตให้คุณออกจากที่นี่ได้ภายในวันนี้”
“โอ๊ะโอ แบบนี้ฉันคงต้องไปลานายจันหนวดเขี้ยวสักหน่อยแล้วนะคะ”
“ตามสบายครับ”
เธอบอกด้วยน้ำเสียงกระชุ่มกระชวยสุดจิต ไม่คิดว่าจะได้ออกไปเร็วกว่าที่คิด เธอส่งยิ้มหวานให้คุณหมอสุดหล่อก่อนจะเดินกรีดกรายออกจากห้องพลางฮัมเพลงไป
นี่คือการมาเยือนครั้งที่เท่าไหร่เธอเองก็ขี้เกียจจะนับ
แต่ก็เอาเถอะ คิดซะว่าการมาพักผ่อนที่นี่ก็เหมือนการมาพักบ้านตากอากาศ หึๆ
สงสัยใช่มั้ยล่ะว่าทำไมเธอยังหัวเราะด้วยน้ำเสียงแฝงนัยชั่วร้ายได้อยู่ ก็เพราะแต่ละครั้งที่เธอเดินเข้ามานอนเล่นที่นี่ ก่อนหน้านั้นเธอได้ทำให้ใครบางคนที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตของเธอเลือดตกยางออกไปแล้วน่ะสิ
แลกกับเรื่องนั้น... บอกได้คำเดียวสั้นๆ ว่า...สะใจ!!!
1
ดีมาดีไป...แต่ถ้าร้ายใส่ก็ได้เลย!
บรื้นนน!!!
รถเบนซ์สีดำคันงามแล่นผ่านประตูที่ส่องแสงเรืองรองด้วยประกายสีทองระยิบระยับอันเป็นการแสดงถึงฐานะและความร่ำรวยสุดจะหาตระกูลใดเปรียบ พอรถแล่นผ่านถนนเข้าไปราวหนึ่งกิโลเมตรก็จะเจอกับสวนหย่อมที่ไม่น่าจะเรียกว่าหย่อมได้ เพราะพื้นที่ของสวนกว้างขวางประหนึ่งสนามกอล์ฟคันทรี่คลับสุดหรูซึ่งได้รับการตกแต่งและจัดสวนเป็นอย่างดี แต่ที่น่ารื่นรมย์มากที่สุดก็เห็นจะเป็นลานน้ำพุใหญ่สุดอลังการซึ่งสร้างขึ้นตามหลักฮวงจุ้ย ที่ใครต่อใครได้เห็นจะต้องบอกว่ามันลงตัวและดูเป็นสง่าราศีให้กับสวนแห่งสรวงสวรรค์บนพื้นดินแห่งนี้ นี่ถือเป็นการวัดระดับรสนิยมของผู้มีอันจะกินอย่างหนึ่ง การที่สวนของบ้านสวยงามเป็นหลักประกันได้ว่าทรัพย์สินของเจ้าของบ้านมีมากพอที่จะเจียดมาจัดการกับเรื่องเล็ๆ น้อยๆ เหล่านี้ได้อย่างไม่ถือว่ามันสิ้นเปลือง
เอาล่ะ พอเลยผ่านสวนสวยไป รถก็เลี้ยวเข้าไปตรงลานหินอ่อนซึ่งตรงกับทางเข้าคฤหาสน์หลังงามที่ตกแต่งด้วยศิลปะโกธิคสีขาวงดงามปานหิมะโปรยไปทั้งหลัง ราวกับเสกขึ้นมาด้วยเวทมนตร์ ยอดของโดมกึ่งกลางประดับประดาด้วยมุกสลักรูปนกเหยี่ยวกางปีกสยาย บ่งบอกถึงอำนาจบารมีที่คนทั่วไปยังต้องเกรงขาม
ที่ทุกคนกำลังได้ประจักษ์อยู่นี่ก็คือคฤหาสน์หลังงามของตระกูลวิจิตรลักคณา ตระกูลมหาเศรษฐีผู้มีกิจการบ่อน้ำมันร่วมทุนกับประเทศตะวันออกกลาง และถือสิทธิ์ขาดในการเป็นผู้รับสัมปทานกิจการค้าน้ำมันดิบในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
นี่คือตระกูลของฉันที่ผู้คนรู้จักกันดีในชื่อเรียกอันกิ๊บเก๋ว่าคุณหนูยิปโซ หรือยศสิตา วิจิตรลักคณะ ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลอันร่ำรวยมั่งคั่งติดหนึ่งในสามของประเทศ
เอี๊ยด! ปัง!!!
ฉันเปิดประตูลงทันทีที่คนขับรถจอดรถตรงทางเข้าประตูด้านในคฤหาสน์ ก่อนจะเดินเฉิดฉายไปตามทางปูหินอ่อนเย็นเยียบผ่านประตูโดยไม่เสียเวลาแม้แต่จะปรายตามองเหล่าคนรับใช้ที่ยืนตัวสั่นน้อยๆ ก้มหน้างุดไม่ยอมสบตา เหมือนฉันเป็นบุคคลอันตรายที่ทางการออกหมายจับ ชิ! ฉันนึกสบถในใจ จากนั้นก็ย่ำเท้าเดินขึ้นบันไดเวียนไปยังห้องของตัวเอง
“คุณหนูกลับมาแล้วเหรอเจ้าคะ”
เสียงของป้าอิ่มเอ่ยทักตรงตีนบันได ฉันหยุดเท้าก่อนจะเหลียวหันกลับไปมองแล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ค่ะ หนนี้ฟ้าไม่เข้าข้างนางแม่มดนั่นค่ะป้า โชถึงถูกปล่อยให้กลับมาคิดบัญชีเร็วกว่าที่คิด นี่ยังดีนะที่คนขับรถบ้านนี้ยังพอจะทำตามคำสั่ง
(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)