Black Iris รัก ลวง ร้าย จับตายหัวใจ (กุ๊กกาโร่ว)
ประหยัด: 119.25 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
บทนำ
(ไพรด์ Talks)
คฤหาสน์กว้างใหญ่ที่ไร้ผู้คนทำให้ผมนั่งทอดถอนหายใจอยู่คนเดียวอย่างเบื่อหน่าย ผมเอนหลังพิงหน้าต่างเหม่อมองไปรอบๆ ห้อง ในใจได้แต่หวังว่าจะมีเรื่องอะไรสนุกๆ ให้ทำบ้าง
ผม...ไพรด์ครับ ชีวิตวนเวียนอยู่กับกิจวัตรเดิมๆ มาหลายวันแล้ว ใครๆ ก็รู้ว่าผมชอบเรื่องสนุกๆ ผมหลงรักมันจนถอนตัวไม่ขึ้น แต่นี่อะไร...ทำไมหลายวันที่ผ่านมาชีวิตผมถึงได้ห่อเหี่ยวเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ เฮ้อ...ยิ่งพูดยิ่งเซ็ง
แล้วถ้าคุณกำลังจะเสนอให้ผมไปเที่ยวกลางคืนตามผับตามบาร์ หาสาวๆ สักคนมานอนกอด นั่นก็เป็นอีกอย่างที่ผมเบื่อจนอยากจะอาเจียนออกมาเป็นข้าวต้มกับน้ำส้มคั้นที่เพิ่งกันไปเมื่อเช้า ถึงผมจะเป็นพวกไม่จริงใจกับคนอื่นสักเท่าไหร่ แต่ผมรู้สึกว่าสาวๆ ที่คบผมเพราะหวังแต่ได้ด้วยชื่อเสียงและเงินทองนั่น ไม่จริงใจและน่ารังเกียจกว่าเป็นไหนๆ จริงมั้ยล่ะครับ
แล้วถ้าภายในไม่กี่วันนี้ไม่มีเรื่องสนุกหรือน่าตื่นเต้นเข้ามา ผมต้องลงแดงจนอยากจะโดดหน้าต่างตายแน่ๆ!
ตึง! โครม!
ระหว่างที่ผมนั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียวนั่นเอง เสียงสั่นสะเทือนเหมือนสิ่งของชนกันเข้าอย่างจังก็ทำให้ผมละสายจากภายในห้องแล้วหันออกไปมองนอกหน้าต่างจนได้ เพราะผมเป็นพวกที่ชอบลอบสังเกตการกระทำของคนอื่นอยู่ตลอดเวลาเลยสร้างให้ห้องบนชั้นสองยื่นออกไปติดรั้วบ้าน จะได้เห็นข้างนอกได้ชัดๆ
และตอนนี้ผมก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังกอดเด็กตัวเล็กๆ ด้วยร่างกายที่สั่นเทา ผมได้แต่จ้องมองเธออย่างสงสัย แต่พอลองสังเกตสถานการณ์โดยรอบ ผมก็เขาถึงเหตุการณ์ได้ไม่ยาก ผู้หญิงคนนี้เอาตัวไปบังเด็กในอ้อมแขนของเธอไว้ไม่ให้ถูกรถชน และเป็นเธอเสียเองที่ถูกรถเฉี่ยวเข้าเลือดไหลเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด
เสียงเด็กร้องไห้และเสียงร้องให้ช่วยของเธอทำให้ผมผุดลุกขึ้นยืนมองพิจารณาใบหน้ารูปไข่ได้เป็นอย่างดี ผิวของเธอขาวละเอียดจนติดจะซีด ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอฉายแววตื่นตระหนก จมูกกับริมฝีปากรับกันได้อย่างเหมาะสม และถึงแม้ว่าตอนนี้ตัวของเธอจะเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด แต่เธอก็ยังดูสวยจริงๆ
อา...ไม่ปฏิเสธหรอกนะ ว่าผมเองก็ชอบผู้หญิงสวยๆ แต่สิ่งที่แปลกคือ ผมเริ่มถูกชะตากับเธอขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
แต่ก็มีบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ...
วี้หว่อ... วี้หว่อ...
เสียงหวอรถพยาบาลดังขึ้น หลังจากนั้นทีมแพทย์กับพยาบาลก็พากันลงมาจากรถคันนั้นและช่วยกันหามร่างอันไร้เรี่ยวแรงของเธอไว้ ผมเห็นเธอหันไปมองเด็กที่ช่วยชีวิตไว้ด้วยรอยยิ้ม และสิ่งนั้นเองที่ทำให้ผมยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่
คนเราสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้โดยไม่หวังผลตอบแทนจริงๆ งั้นเหรอ...
ผมถามตัวเองในใจและได้แต่ส่ายหน้า...เป็นไปไม่ได้หรอก...หลายคนเคยบอกไว้ว่าของฟรีไม่มีในโลก แต่ผู้หญิงคนนี้ทำให้ความเชื่อของผมเริ่มเปลี่ยนไป ทั้งยังทำให้หัวใจที่ห่อเหี่ยวและกำลังเบื่อหน่ายของผมเต้นแรงอย่างมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง และทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ ผมบอกได้เลยว่าเรื่องสนุกๆ กำลังจะเกิดขึ้นแล้วล่ะ หึๆ
บางที...เธอคนนี้อาจจะเป็นเหยื่อที่ผมกำลังตามหาก็ได้ ผมจดจำใบหน้าของเธอได้อย่างแม่นยำ เพราะงั้นมันไม่ยากเลยสำหรับคนอย่างผมที่จะควานหาตัวเธอจากเมืองเล็กๆ แห่งนี้
หึๆ ในเมื่อของเล่นชิ้นใหม่ออกเดินทางมาหาผมถึงที่ มีหรือที่ผมจะปล่อยให้มันลอยผ่านหน้าไปโดยไม่คว้าไว้ เอาล่ะ ได้เวลาที่มันสมองกลของผลที่ได้รับฉายาว่า ‘จอมวางแผน’ จะเริ่มทำอะไรสนุกๆ ที่คาดไม่ถึงข้างหน้าแล้ว
เหยื่อตัวน้อยๆ ที่น่ารักของผม... ^^
1
(แมนดี้ Talks)
ฉันก้าวมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องซ้อมของภาคดนตรีตะวันตก มองประตูไม้สักบานใหญ่ที่ปิดสนิท สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ จากนั้นก็ผลักประตูให้เปิดออกช้าๆ ด้วยหัวใจที่เต้นรัวเร็ว
ภาพที่เห็นคือวงดนตรีตะวันตกกำลังซ้อมเพลงกันอย่างยิ่งใหญ่อยู่บนเวที แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันตามหา ฉันกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะพบกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมักจะมายืนหลบมุมอยู่หลังม่านด้านหลังห้องเป็นประจำ ฉันถอนหายใจและลอบมอง ‘เขา’ พร้อมกับกระตุกยิ้มบางเบาให้โดยที่เขาไม่เคยมองเห็น
ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งกี่หนก็ไม่รู้เบื่อ แม้ใครๆ จะบอกว่าเขาเจ้าเล่ห์ ลึกลับ และไร้ที่มาที่ไป แต่ฉันก็ไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย เขาเป็นชายหนุ่มที่มีผมสีดำสนิทแต่ทว่าโดดเด่น ดวงตาสีดำสนิทของเขากำลังทอประกายและมองตรงไปที่เวที จมูกของเขาโด่งเป็นสัน และริมฝีปากเรียวได้รูปที่กำลังกระตุกยิ้มบางๆ อย่างเจ้าเล่ห์อยู่นั้นทำให้หัวใจฉันแทบละลายกลายเป็นไอน้ำระเหยขึ้นไปในอากาศตั้งแต่แรกพบกันเมื่อหลายวันก่อน
ฉันเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่มีสาเหตุและลอบมองเขาอยู่นานแสนนาน
จนกระทั่ง...
“มาดูฉันซ้อมเหรอ แมนดี้”
เสียงใสๆ ของโมโน เพื่อสนิทของฉันดังขึ้นด้านหลัง เธอกำลังเดินตรงมาหาฉัน ในมือมีไวโอลินคันโปรดที่เข้ากับเธอได้ราวกับเป็นอวัยวะชิ้นที่สามสิบสามของร่างกาย เธอส่งยิ้มให้ฉันอย่างร่าเริง
โมโนเป็นผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่ง เวลาที่เธอใส่กระโปรงยาวๆ แบบยิปซี เธอจะสวยราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยายเชียวล่ะ ใบหน้าของเธอเรียวเล็กเป็นรูปไข่ แม้ผิวจะขาวซีดด้วยโรคประจำตัวแต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอดูหมองลงเลย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกาย ขนาดฉันเป็นผู้หญิงยังต้องยอมรับเลยว่าเธอสวยเอามากๆ
แต่วันนี้โมโนคงเดินลำบากหน่อย เพราะเธอเพิ่งเอาตัวเองไปขวางรถเพื่อช่วยเด็กที่ไหนไม่รู้ไว้จนกระดูกร้าวที่ขาซ้าย โชคดีที่หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก เข้าเฝือกไม่นานก็หาย...ยัยนี่มักจะชอบทำอะไรเกินตัวแบบนี้แหละ
“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ได้มาหาเธอ”
ฉันตอบและนั่นก็ทำให้โมโนหุบยิ้มอย่างรวดเร็วก่อนจะเบ้ปากงอนๆ
“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าเธอจะต้องไม่ยุ่งกับผู้ชายคนนั้น...”
โมโนพูดและฉันไม่เข้าใจเธอจริงๆ เธอรู้ว่าฉันชอบผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ในห้องนี้ และเธอมักจะพูดกับฉันด้วยสีหน้าจริงจังทุกครั้งว่าฉันไม่ควรไปข้องเกี่ยวกับเขา เพราะหมอนั่นคือตัวอันตราย แต่ฉันมองไม่ออกเลยว่าเขาจะอันตรายตรงไหน
เพราะเขาน่ะหล่อจะตาย ไม่มีทางเป็นคนร้ายไปได้อย่างแน่นอน
“ฉันบอกไม่ถูกหรอกนะว่าทำไม...แต่สายตาของเขา ทุกครั้งที่มองมามันเหมือนมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ และฉันเชื่อว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ” โมโนบอกฉันอย่างจริงจัง แต่ฉันก็ไม่เชื่อ
“อย่าเว่อร์น่าโมโน เธอกำลังบอกว่าเธอเกลียดขี้หน้าเขาและจะให้ฉันเกลียดด้วยงั้นสิ”
“ไม่ใช่...ฉันไม่ได้เกลียดขี้หน้าเขานะ แต่เซ้นส์ฉันบอก”
โมโนพยายามพร่ำบอกฉันด้วยแววตาจริงจัง เธอพ่นลมหายใจออกมากับความดื้อด้านของฉัน แต่ถ้าโมโนจะมีเหตุผลแค่นี้ล่ะก็...ฉันคงไม่จำเป้นต้องเชื่อเธอหรอก...จริงมั้ย
“ฉันไม่อยากพูดกับเธอแล้ว เธอจะมาเหมารวมไม่ได้หรอกนะว่าทุกอย่างบนโลกนี้ต้องเป็นไปตามที่เธอคิดน่ะ”
“ฉันพูดจริงๆ นะแมนดี้!”
“เธอไม่เห็นเหรอว่าเขาออกจะสุภาพ ยิ้มแย้ม เธอต้องลองมองเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทของเขาแล้วเธอจะรู้ว่าเขาเป็นคนดี อีกอย่างนะดูเหมือนเขาจะเคร่งศาสนานิดๆ ด้วย เขาห้อยไม้กางเขนรูปทรงแปลกๆ ที่คอด้วยนะ เธอไม่เห็นเหรอ...”
พอฉันพูดมาถึงตรงนี้โมโนกลับเงียบไม่ตอบอะไร เธอเบิกตากว้างขึ้นและมองข้ามไหล่ฉันไป
“ฉันคิดว่าเธออาจจะกำลังพูดถึงฉันอยู่หรือเปล่า...”
เสียงนุ่มทุ้มที่ดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลทำให้ฉันสะดุ้งเฮือก ฉันหันขวับกลับไปมองทันที ก่อนจะรีบก้มหน้าต่ำลงเพื่อหลบดวงตาสีดำสนิทของเขาซึ่งมองตรงมาที่ฉันอย่างเปิดเผย
“เอ่อ...คือว่า...”
“ฉันไม่ว่าอะไรเธอหรอกนะ...สาวน้อย”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และเป็นเพราะฉันไม่ได้มอง ฉันจึงไม่รู้ว่าตอนนี้เขาทำหน้ายังไง แต่ที่แน่ๆ โมโนที่ยืนอยู่ถัดออกไปกำลังก้าวเท้าเดินปึงปังออกไปจากตรงนั้นแล้ว ไม่สิ...ไม่ใช่เดินปึงปัง ต้องบอกว่าเดินเป๋ๆ ออกไปมากกว่า
“เพื่อนเธอดูจะไม่ชอบฉันเอาซะเลยนะ”
เขาพูดและนั่นทำให้โมโนชะงักฝีเท้าลง แต่ก็ยังคงหันหลังให้ฉันและเขา
“ฉันขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการนะ...ฉันชื่อไพรด์ ฉันเรียนฝั่งอาร์ตเพิ่งย้ายมาไม่นาน ฉันก็แค่หวังว่าจะมีเรื่อง ‘สนุกๆ’ เกิดขึ้นที่นี่...ก็เท่านั้นเอง”
โมโนไม่ยิ้มอีกเลยตั้งแต่เจอหน้าไพรด์ และเธอก็ไม่พูดกับฉันสักคำเลยด้วย ทว่าช่างเถอะ โมโนไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลอยู่แล้ว อีกเดี๋ยวเธอก็คงมาพูดกับฉันเองนั่นแหละ
ฉันและโมโนเรียนอยู่ที่ลาโฟลจูนเน่ยูนิเวอร์ซิตี้ มหาวิทยาลัยที่สอนดนตรีและศิลปะครบวงจรครบทุกแขนงแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ซึ่งมหาวิทยาลัยเราจะแบ่งออกเป็นหลายภาคมากๆ ยกตัวอย่างเช่น ภาคดนตรีตะวันตก นาฏศิลป์ ประติมากรรม จิตรกรรม วิจิตรศิลปิ์ แต่จะหลักๆ อยู่สองฝั่งคือฝั่งอาร์ตกับฝั่งดนตรี ให้ฉันพูดถึงที่นี่เป็นวันๆ คงไม่จบ เพราะที่นี่มีทุกอย่างจริงๆ ส่วนฉันนั้นอยู่ฝั่งดนตรี ภาคดนตรีตะวันตกเหมือนๆ กับโมโน ขณะเดียวกันไพรด์สุดหล่อที่เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ไม่นาน...เขาอยู่ฝั่งอาร์ต เท่ซะไม่มี
ทุกๆ ปีที่นี่จะมีการจัดการแสดงโชว์เคสร่วมของทุกภาควิชา ซึ่งจะเริ่มซ้อมตั้งแต่ต้นเทอม แต่แสดงจริงๆ ปลายเทอม คนที่ได้รับโอกาสขึ้นแสดงนั้นจะถือว่าได้ก้าวหน้าไปอีกขึ้นในเส้นทางสายนี้ มีหลายคนบอกฉันว่าถ้าได้เกิดมาเป็นนิสิตของลาโฟลจูนเน่แล้วไม่ได้ขึ้นโชว์เคสนั้นถือว่าเสียชาติเกิดมากๆ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากเสียชาติเกิด รวมถึงฉันด้วย
ดังนั้นทุกคนที่มีรายชื่อเป็นนักเรียนของที่นี่จึงมีเป้าหมายอยู่ที่การ์โชว์เคสนั่นเอง แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ขึ้นโชว์เคส จะมีนิสิตเพียงยี่สิบคนเท่านั้นที่ถูกเลือก...ฟังดูยิ่งใหญ่ขึ้นมาแล้วใช่มั้ยล่ะ! เพราะงั้นทุกคนจึงทำทุกวิถีทางเพื่อโชว์ศักยภาพให้ตัวเองได้ขึ้นไปเฉิดฉายบนเวทีครั้งสำคัญ จนบางครั้งก็แข่งกันมากเกินไปจนฉันรู้สึกกลัวและขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
“นี่นายจะซ้อมหนักไปแล้วนะ ไปพักบ้างก็ได้”
ยัยโลโลผู้หญิงที่อยู่ฝั่งดนตรีตะวันตกเหมือนกับฉันหันไปบอกหนุ่มแว่นที่ได้แต่ถอนหายใจออกมาและบอกเสียงสสั่นเหมือนจะร้องไห้ หวังว่าเขาจะไม่ใช่เกย์หรอกนะ และด้วยความสงสัยฉันเลยลอบมองอยู่ห่างๆ
“เธอรู้มั้ยว่าปีนี้ฉันจะอายุยี่สิบห้าแล้ว ฉันจะจบการศึกษาแล้ว และถ้าปีนี้ฉันไม่ได้ขึ้นเวทีล่ะก็ ความฝันฉันคงดับสลาย หมดโอกาสกันแล้วทีนี้ ฉันไม่อยากเสียชาติเกิดอ่ะ พ่อแม่ที่คอยอยู่บ้านจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ฮือ”
นายแว่นร้องไห้เป็นตุ๊ดเลย แต่ได้ฟังแล้วฉันก็แอบสะเทือนใจอยู่เล็กๆ โชคดีนะที่ฉันเพิ่งอายุยี่สิบและยังเรียนอยู่ปีสองเท่านั้น
“เอางี้สิ ทำไมนายไม่ลองไปขอพรล่ะ”
นายแว่นเบิกตากว้างขึ้นทันทีพร้อมกับมองหน้าเพื่อนสาวที่เริ่มขยับตัวเข้าไปใกล้และกระซิบบอกเขา ฉันขยับตัวตามเข้าไปอย่างอยากรู้อยากเห็นเช่นเดียวกัน หวังว่าสองคนนี้คงไม่หันมาตบกะโหลกแมนดี้ที่น่ารักคนนี้หรอกนะ
“นายเคยได้ยินหรือเปล่า...เรื่องห้องน้ำห้องที่สามบนชั้นเจ็ดตึกดนตรีน่ะ เขาว่ากันว่าถ้านายไปเคาะประตูห้องน้ำห้องนั้นสามครั้งตอนเที่ยงคืน และบอกว่าความปรารถนาของนาย ถ้ามีเสียงตอบกลับมา คำของของนายจะเป็นความจริง”
“จริงๆ เหรอ O_O” นายแว่นอุทานพร้อมกับทำตาโต
“ใช่...แต่ว่านะ นายจะขอพรได้เพียงข้อเดียวเท่านั้น เมื่อขอแล้วนายจะไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก แต่ถึงยังไงมันก็น่าสนใจดีไม่ใช่เหรอ...หรือนายคิดว่าไง”
“ใช่ น่าสนใจมากๆ ด้วย”
นายแว่นแสดงท่าทางตื่นเต้นมากไม่ต่างจากฉันที่อ้าปากค้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ก่อนที่นายแว่นจะได้พูดอะไรเพิ่มเติม กระดาษม้วนหน้าจากด้านหลังก็เหวี่ยงมาตบกะโหลกของเขาเสียงดังปั้ก
“โอ๊ยยย โมโน ตบหัวฉันทำไม”
“นายเชื่อที่ยัยนี่บอกก็โง่แล้ว ไม่มีเทวดาที่ไหนช่วยนายได้หรอกนะ หวังจะพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์? สมองของนายคิดได้แค่นี้หรือไง ถ้าคิดได้แค่นี้ล่ะก็ฉันบอกได้เลยว่านายไม่มีวันได้ขึ้นโชว์เคสแน่ๆ โง่เอ๊ย!”
โอ้โห...เจ็บแทน เมื่อโดนคำพูดต่อว่าที่แสนจะเจ็บแสบจากโมโนซึ่งดูเหมือนเธอจะไม่ได้รู้สึกว่าคำพูดของตัวเองรุนแรงเลยสักนิด เจ้าตัวก็เริ่มเดือดขึ้นมาแล้วที่อยู่ๆ ก็ถูกด่าว่าโง่เข้าจังๆ
แต่โมโนก็เป็นแบบนี้ เธอเป็นคนจริงใจ โผงผาง ตรงไปตรงมา ถึงภายนอกจะดูแข็งๆ แต่เธอก็เป็นคนดีมากๆ ไม่งั้นคงไม่ทำเรื่องบ้าๆ อย่างวิ่งเข้าไปบังเด็กแปลกหน้าที่กำลังจะถูกรถชนหรอก จริงๆ แล้ววีรกรรมมเธอยังมีอีกเยอะ จนบางทีไม่รู้จะเรียกโง่ บ้า ฉลาด หรือดีเกินไปดี
“เธอก็พูดได้สิโมโน ก็เธอมันระดับเทพ ไม่ต้องหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรอยู่แล้ว!”
“แล้วนายคิดว่าก่อนที่ฉันจะเก่ง ฉันไปสวดมนต์ขอพรให้ตัวเองเก่งหรือไง”
“ฉันไม่รู้ แต่นั่นเป็นทางออกเดียว” นายแว่นพูดเหมือนจะร้องไห้
“เอาเวลาที่คิดเรื่องไร้สาระงี่เง่าพวกนี้ไปซ้อมจะดีกว่านะ แล้วเรื่องห้องน้ำนั่น ถ้านายเชื่อ นายก็เพ้อเจ้อแล้วล่ะ”
โมโนพูดพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ เหอะๆ นอกจากโมโนจะด่าอีตาแว่นนั่นแล้วยังมากระทบถึงฉันด้วยนะเนี่ย ก็มันออกจะน่าเชื่อนี่นา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันได้ยินเรื่องนี้หรอกนะ และเอาเข้าจริง ไปลองดูมันก็ไม่เสียหายไม่ใช่หรือไง
“อ่ะแฮ่ม” เสียงกระแอมของไพรด์ที่ยืนพิงกรอบประตูอยู่เรียกความสนใจของหลายๆ คนได้ดี เขาค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาในห้องแล้วก็กวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดลงที่ใบหน้าของโมโนซึ่งกำลังขมวดคิ้วจนหน้ายู่ไปหมด
“ท่าทางเธอจะมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลยนะว่าเรื่องขอพรเป็นเรื่องโกหก...เธอเคยลองงั้นเหรอ” เขาถามและยิ้มกว้าง
“ฉันไม่สนใจและก็ไม่คิดจะลองด้วย”
“งั้นเธอเองก็ไม่ควรพูดพล่อยๆ เหมือนกัน ในเมื่อตัวเองยังไม่แน่ใจในคำตอบร้อยเปอร์เซ้นต์”
ไพรด์พูดเสียงเย็นเฉียบ แต่มุมปากของเขายังคงยกขึ้นและมีรอยยิ้มประดับไว้เหมือนเดิม ผู้ชายคนนี้ก็แอบน่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ย ทั้งๆ ที่ปากกกำลังต่อว่าคนตรงหน้า ทว่ากลับยังยิ้มได้เหมือนเดิม แต่ไม่เป็นไร... ผู้ชายหล่อร้ายฉันก็โอเค
“ฉันไม่ได้พูดพล่อยๆ แต่คนที่ไม่ศรัทธาในตัวเองแล้วเอาความหวังของตัวเองไปทิ้งไว้กับใครไม่รู้ คนประเภทนั้นคือคนที่จะไม่เหลือความเชื่อมั่นในตัวเองอีกต่อไป”
คำตอบที่หนักแน่นและใบหน้าที่จริงจังของโมโนทำให้ไพรด์กระตุกยิ้มพอใจ
“พูดได้ดี แต่เธอก็รอดูต่อไปแล้วกันว่าคนเราจะเชื่อความคิดตัวเองหรือเชื่อคำพูดคนอื่นมากกว่ากัน หึๆ”
โมโนเม้มริมฝีปากแน่นพร้อมกับจ้องมองไพรด์นิ่งๆ ฉันมองพร้อมกับครุ่นคิดบางอย่างในใจ
แล้วฉันล่ะ...จะเชื่อใครดี
คลาสเรียนทฤษฎีดนตรี 8.12 A.M.
“โมโน...” ฉันสะกิดเรียกเพื่อนสาวที่กำลังฟุบหลับอยู่กับโต๊ะ
“หืม?”
โมโนครางในลำคอพร้อมกับหันมามองหน้าฉัน เธออ้าปากหาวหวอดใหญ่ก่อนจะซบหน้าลงบนแขนของตัวเองอย่างง่วงเหงาหาวนอนและหลับตาลงอีกรอบ ให้ตายสิ...เธอไม่สนใจฉันเลยอ่ะ งอนแล้วนะ
“ถ้าไม่มีอะไรสำคัญเอาไว้ทีหลังนะ ฉันจะนอน” เธอบอกพร้อมกับยกมืออีกข้างขึ้นมาโบกเหมือนรำคาญนิดๆ
“สำคัญสิ! สำคัญมากด้วย คือว่าเมื่อคืน...ฉันไปขอพรมา แล้วมัน...มีเสียงตอบกลับมาจริงๆ ด้วยอ่ะ!”
“หา?”
และได้ผล...โมโนลืมตาตื่นขึ้นทันทีที่ฉันพูด หัวของเธอตั้งตรง ดวงตาเบิกกว้างมองหน้าฉันด้วยสายตาที่เจือแววไม่พอใจระคนเป็นห่วงนิดๆ
“เธอขออะไร”
“ลองเดาดูสิ เธอคิดว่าฉันขออะไร”
“อย่าบอกนะ...ว่าขอให้ไพรด์ชอบเธอ” โมโนถามพร้อมกับหรี่นัยน์ตาลง และมันก็ทำให้ฉันมองหน้าเธออย่างทึ่งๆ
“โอ๊ะ! เธอเป็นแม่หมอหรือเปล่าเนี่ย เดาได้ถูกเผง”
คำตอบของฉันทำให้โมโนพ่นลมหายใจออกมาพร้อมกับกลอกตาไปมาอย่างระอาใจ
“ไม่ต้องเป็นแม่หมอหรอก ถ้าไม่ได้โง่ก็น่าจะเดาได้น่ะนะ”
“เอาน่า...ฉันก็แค่อยากลองดูเฉยๆ ว่ามันจะเป็นจริงมั้ย”
“ยอมรับมาเถอะว่าเธอก็หวังว่ามันจะเป็นจริง”
“ยอมรับก็ได้ แหะๆ”
หลังจากหมดคาบเรียนวิชาวอยซ์ คอหอยฉันก็แทบพังเพราะวันนี้เราเรียนร้องโอเปร่าที่ต้องใช้เสียงสุงมาก และแน่นอนว่าการที่ฉันมีเพื่อนเป็นโมโนซึ่งร้องเพลงเก่งมากๆ ก็ถือเป็นการกดดันอีกทาง วันหลังฉันจะไปยืนข้างๆ คนอื่น ไม่ยืนข้างโมโนแล้ว
ตอนนี้ฉันและโมโนเดินลงมากินข้าวที่คาเฟ่ทีเรีย ฉันอาสาไปซื้อน้ำให้ แต่พอกลับมาที่โต๊ะฉันก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นใครบางคนนั่งอยู่ด้วย เขากำลังกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนทุกที ก่อนจะเงยหน้ามองตรงมาที่ฉัน
อร๊าย...ไพรด์มองฉัน
“มาพอดีเลย ฉันตามหาเธออยู่พอดี แมนดี้”
“นะ...นายตามหาฉันงั้นเหรอ”
ฉันถามเสียงสั่น รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิภายในร่างกายที่พุ่งขึ้นสูงปรี๊ดอย่างรวดเร็ว ฉันมองหน้าไพรด์ที่กำลังยิ้มหวานอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง หัวใจเต้นรัวเร็วราวกับมีวงออเคสตรามาบรรเลงอยู่ในหน้าอกข้างซ้าย ยิ่งได้เห็นใบหน้าขาวเนียนละเอียดของเขาใกล้ๆ หัวใจของฉันก็เหมือนจะถูกเขาขโมยไปอย่างง่ายดาย
ฉันรีบยกมือขึ้นตบแก้มตัวเองแรงๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป หนุ่มฮอตฝั่งอาร์ตอย่างไพรด์พูดเองกับปากว่าเขามาที่นี่เพื่อมาตามหาฉัน ให้ตายเถอะ...แมนดี้คนนี้จะลอยติดเพดานอยู่แล้ว
“ว่าแต่...มีอะไรกับฉันเหรอ”
ฉันถามอย่างขัดเขินพร้อมกับหันไปมองโมโนที่เพียงแต่ยักไหล่และตักลูกชิ้นเข้าปาก แต่วินาทีต่อมาเธอก็แทบสำลักบะหมี่ตาย
“ฉันชอบเธอ...แมนดี้ คบกับฉันนะ” พะ...ไพรด์พูดออกมา...
“แค่กๆๆ”
โมโนยกฝ่ามือขึ้นตบที่หน้าอกตัวเองและสำลักบะหมี่จนหน้าเปลี่ยนสี ไพรด์ยิ้มนิดๆ พร้อมกับหันไปหยิบขวดน้ำมายื่นให้เธอด้วยรอยยิ้มขบขัน ดวงตาสีดำสนิทของเขาโค้งเป็นรอยยิ้มน่ารักจนฉันแทบละลาย โอ๊ยยยย เขิน
“ถึงกับสำลักเลยเหรอ โมโน...ฮึ?”
พอได้ดื่มน้ำ โมโนก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ เธอยกนิ้วชี้ขึ้นปาดน้ำตาที่คลออยู่ที่ขอบตาซึ่งเกิดจากการสำลักบะหมี่อย่างลวกๆ พร้อมกับพ่นลมหายใจเบาๆ และมองหน้าไพรด์อย่างจับผิด แต่ไพรด์ก็แกล้งทำเป็นไม่เห็น
“ตกลงเธอจะคบกับฉันมั้ยแมนดี้”
“เอ่อ...อื้อ”
ฉันตอบรับอย่างขวยเขิน และนั่นทำให้ไพรด์ฉีกยิ้มกว้างออกมา เขาเหลือบไปมองหน้าโมโนและเริ่มพูดกับเธออีกครั้ง
“ทำไมถึงได้ทำหน้าแบบนั้นล่ะ เพื่อนเธอสมหวังในความรัก เธอก็ควรจะดีใจสิ จริงมั้ย”
“อื้อ...ดีใจด้วยแล้วกัน”
โมโนบอกเสียงเรียบ แม้ว่าปากเธอจะแสดงความยินดี แต่ใบหน้าเธอไม่ได้บอกแบบนั้นเลยสักนิด
“หลังจากวันนี้คงมีเรื่องสนุกอีกเยอะเลยจริงมั้ย แมนดี้”
ถึงแม้คำพูดของไพรด์จะฟังดูแปลกๆ แต่ฉันก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม โมโนที่ก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ต่อเหลือบขึ้นมามองหน้าไพรด์อีกครั้งอย่างไม่วางใจ
“เพื่อนเธอเป็นผู้หญิงขี้ระแวงหรือไงนะ” ไพรด์ถามฉันที่ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ อย่างขวยเขิน
“โมโนก็แบบนี้แหละ อย่าคิดมากเลยนะ จริงสิ ฉันลืมหยิบตะเกียบ เดี๋ยวฉันมานะ”
ฉันพูดพร้อมกับลุกออกไปจากโต๊ะ ทิ้งให้โมโนกับไพรด์ฉะกันไปสักพัก สองคนนี้ท่าทางจะไม่ชอบขี้หน้ากันจริงจัง
“ฉันก้แค่หวังว่านายจะรักเพื่อนฉันจริงๆ”
โมโนขู่ฟ่อและไพรด์ก็เริ่มกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาก่อนจะยื่นหน้าไปพูดกระซิบอะไรบางอย่างกับโมโน ซึ่งฉันไม่มีทางได้ยินแน่ๆ เพราะเดินออกมาไกลแล้ว พวกเขาคุยอะไรกันนะ
“อืม งั้นเธอรู้หรือเปล่าว่ามันมีคำตอบสองอย่างสำหรับความหวัง หนึ่งก็คือสมหวัง หรือสองคือผิดหวัง”
“นายกำลังจะบอกอะไร!”
“ก็กำลังจะบอกว่า...ความหวังของเธอไม่จำเป็นต้องเป็นจริงยังไงล่ะ”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็ม)
รายละเอียด
รีวิว (2)
22/12/2014
นิยายวัยรุ่นอีกแล้ว ปีนี้แอบอ่านเยอะ เพราะว่าพอมาอ่านอีกทีก็รู้สึกว่าเฮ้ย! นิยายวัยรุ่นนี่ไอเดียมันดีเหมือนกันนะ และเรื่องนี้ก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี ในส่วนที่ชอบ เราชอบในเรื่องความรู้เรื่องภาคดนตรี และมันดูเก๋ดีที่ตัวละครเรียนอยู่ภาคดรตรี แต่มันก็เข้ากันกับบุคลิกพระเอก มาถึงตัวละคร อาจจะดูไม่สมเหตุสมผล คือนางเอกนี่เหมือนถอดมาจากละครน้ำเน่าเลยล่ะ ดีดี๊ดี แสนดีกับเพื่อนอย่างยัยแมนดี้เหลือเกิน และพระเอกก็ถอดมาจากละครเกาหลีได้อย่างดีงาม ฮ่าๆ คือเหมือนเอาละครเกาหลีมาผสมละครน้ำเน่านั่นแหละ แต่ก็อย่างว่าพลอตแบบนี้มันเป็นที่ชื่นชอบอยู่แล้ว ยิ่งพออ่านมาถึงผมของพระเอก ปมที่จะทำให้เราเช้าใจเรื่องราวทั้งหมด คอเป็นอะไรที่น้ำเน่า แต่ก็นะ ก็สนุกดีอยู่นะ ถึงจะน้ำเน่าก็ถือว่าเป็นน้ำเน่าที่เอามาแต่งตัวใหม่เป็นน้ำเน่าไอโซ ซึ่งจะว่าไปมันก็เก๋ดีนะ แต่ในส่วนที่ไม่ชอบ และถือว่าไม่ชอบมากคือการสลับบทของตัวละคร คือเปลี่ยนคนเล่าเรื่อง ตอนนี้โมโนพูด ตอนนี้แมนดี้เล่าและอีกตอนนึงไพรซ์เล่า ความรู้สึกโน่นนั่นนี่ มันงงค่ะ ถ้าอ่านข้ามไปหน่อยนี่งงเป็นไก่ตาแตกแน่ แล้วบางครั้งเหมือนตามไม่ทันด้วย ซึ่งเราว่ามันไม่ช่วยให้เราซาบซึ้งมากขึ้นหรอก มีแต่จะทำให้งงมากกว่า แล้มอีกเรื่องที่ไม่ชอบคือปมในเรื่องมันดูไม่สมเหตุสมผลเท่าที่ควร แต่ก็ยังพอจะมองข้ามไปได้อยู่ โดยรวมถือว่าโอเคอ่านได้เพลินๆค่ะ
31/10/2014
BLACK IRIS รัก ลวง ร้าย จับตายหัวใจ อ่านนิยายเซตนี้ครบแล้วค่ะเพิ่งได้มาจากงานหนังสือเรื่องนี้เป้นเรื่องที่พี่ลูกชุบเขียนอยากจะบอกว่าสำหรับเราแล้วนิยายเซตนี้ก็สนุกในระดับหนึ่งนะคะแต่ที่อ่านมามีความรู้สึกว่าไม่ค่อยสนุกเท่าเซตก่อนๆ อ่านแล้วยังงงในบางจุดอยู่อ่ะค่ะเหมือนเขียนปมเรื่องมาไม่ค่อยเคลียแล้วก็ไม่ค่อยกระจ่างเท่าไหร่แต่ชอบตรงที่อ่านแล้วได้แง่คิดดีค่ะตัวละครมีคาแร็กเตอร์ที่สมเหตุสมผลมีความคิดชอบตรงที่นักเขียนสร้างให้ตัวละครมีฝันและสานฝันเป็นของตัวเองตรงจุดนี้เหมือนเป็นเรื่องราวที่เอามาจากชีวิตจริงแต่ก็มีเรื่องรักๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทำให้นอกจากได้แง่คิดแล้วเนื้อเรื่องยังมีสีสันเพิ่มมากขึ้นแล้วก็ยังคงเป็นแนวเลิฟซีรี่ โดยรวมเนื้อเรื่องก็ไม่ค่อยหนักจนเกินไปแต่เรามีความคิดว่าเนื้อเรื่องทำให้พระนางดูกุ๊กกิ๊กน้อยลงรึเปล่า แต่ก็สนุกดีค่ะ การดำเนินเรื่องสำหรับเราๆ คิดว่ายังมีอะไรในเรื่องที่ไม่ค่อยเคลียในบางจุดชื่อตัวละครน่าเบื่อไปแล้วก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่คือตัวละครเป็นคนไทยหรือเป็นลูกครึ่ง ก็ยังแอบบงงๆอ่ะค่ะเวลาอ่านแต่ละฉากก็ยังมีสีสันของเรื่องมาให้ยิ้มให้หัวเราะกันอยู่เรื่อยๆ ใครที่ยังไม่เคยอ่านเซตนี้ก็ลองหามาอ่านดูนะคะเป็นนิยายที่เพิ่งออกใหม่สำหรับบางคนอาจจะสนุกมากกว่านี้ก็ได้อันนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นเฉยๆ แหะๆ แต่ก็ยังอ่านนิยายของพี่ลูกชุบเหมือนเดิมค่ะโโยรวมนิยายเซตนี้เราก็ชอบทั้งเซตนี้เนื้อเรื่องสนุกแตกต่างกันออกไป