ขอรักเรานั้นนิรันดร (นางแก้ว)

ขอรักเรานั้นนิรันดร (นางแก้ว)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: ขอรักเรานั้นนิรันดร
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ตอนที่1 อดีตชาติ

             ราชธิดาผู้เลอโฉมแห่งเมืองคราม  คือเจ้านางอุษาวดี พระนางมีความงามเลิศล้ำ จนเป็นที่เลื่องลือทำให้กษัตริย์หลายเมืองส่งราชสาสน์สู่ขอเจ้านางไปเป็นมิ่งเมือง   แต่พระราชบิดาของเจ้านางยังไม่มีพระประสงค์ยกให้แก่ผู้ใด  รวมทั้งกษัตริย์สี่นครที่ส่งราชสาสน์มาสู่ขอ กันก่อน และทุกเมืองล้วนได้รับการปฏิเสธ ดังนั้นกษัตริย์จากสี่แคว้นทางใต้ซึ่งเป็นพันธมิตรกัน  จึงได้ทำการสาบานโดยการร่วมดื่มน้ำพิพัฒสัตยา เพื่ออ้างสาเหตุที่พ่อเจ้าเมืองครามไม่ยอพระราชธิดาให้ จึงพร้อมใจกันนัดหมายเข้าสู่ขอพร้อมกันทั้งสี่เมืองอย่างคนพาล  และทำสัตยาบันต่อกันว่าหากผู้มีอำนาจเหนือแว่นแคว้นใดแคว้นหนึ่งได้เจ้านางนี้ไป   อีกสามแคว้นจะอวยชัยด้วยความยินดีอย่างไม่มีข้อกังขา   ทรงความชราภาพมากแล้ว เกิดความพิโรธยิ่งนัก  เพราะหญิงเดียวมิอาจเป็นชายาของกษัตริย์สี่นครได้การส่งสาสน์เช่นนี้จึงเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรีของพระองค์อย่างร้ายแรง ด้วยความทิฐิมานะของหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์จึงต้องรักษาเอาไว้ด้วยชีวิต

ดังนั้นสงครามจึงเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางเลี่ยง  

                 เมืองครามเป็นเมืองที่มีป้อมปราการสร้างจากศิลาแรง ก่อเป็นกำแพงงกั้นถึงสามชั้น และมีความแข็งแกร่งเพราะทั้งหนาและสูง   ถ้าหากเมืองหนึ่งเมืองใดในทั้งสี่เมืองสามารถเปิดประตูเมืองเข้าไปได้ก่อนเป็นทัพแรก กษัตริย์ผู้นำทัพนั้นจักได้ครอบครองเจ้านางอุษาวดี ทั้งยึดเมืองครามเป็นเมืองขึ้น

กิเลสตัณหานำมาซึ่งความหายนะและความตาย  แต่ไม่ว่าศึกจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม  เมื่อมีการรณรงค์ในสงครามแล้วไซร้  ความฮึกเหิมลำพองยิ่งทำให้กล้าประจัญไม่มีฝ่ายใดผละหนี  คราใดที่ดาบคมกริบได้ดื่มเลือดจากข้าศึก กลิ่นคาวเลือดยิ่งสร้างความกระหายใคร่กำชัยชนะให้ได้โดยเด็ดขาด 

 เพลานี้ พื้นพสุธา เมืองคราม เจิ่งนองไปด้วยหยาดโลหิตของชายชาติทหารผู้มาจากต่างถิ่นแดนไกลและผู้ทำหน้าที่พิทักษ์แดนดินถิ่นตน    

ทัพเมืองครามเริ่มปรากฏลางพ่ายแพ้  ถึงแม้ทหารยังใจฮึกเหิมกล้าแกร่ง   แต่เมื่อเวลายิ่งยาวนานออกไปเพียงใดกำลังแรงกายยิ่งอ่อนล้าลงทุกที    มีเพียงทัพเดียวหรือจักสู้สี่ทัพได้

 กลองศึกจากไพรีกระหน่ำรัวด้วยความลำพองใจ เพราะใกล้พิชิตศึกเข้าไปทุกทีแล้ว  ฝ่ายสี่กษัตริย์ผู้นำทัพรุกราน เริ่มแก่งแย่งชิงดีกันที่จะเข้าเขตุพระนครให้ได้เป็นทัพแรก

…เพราะใครเปิดประตูเมืองได้ก่อน ผู้นั้นจะได้ทั้งเมืองและอิสสตรีผู้เลอโฉมไปครอบครอง

แต่ท่ามกลางการรบพุ่งกันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น กลับปรากฏว่ามีชายฉกรรจ์ร่างเล็ก แต่งชุดสีครามราวทหารของเมืองคราม ตีฝ่าวงล้อมทัพผู้รุกรานได้  และเขาสามารถเข้าไปถึงหน้าเมือง ร้องตระโกนบอกข่าว บรรดาทหารที่รักษาประตูแม้เห็นว่าแต่งกายเช่นเดียวกันก็ยังไม่วางใจ จนกระทั่งชายร่างเล็กผู้นั้นชูสาสน์ และตะโกนก้องอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่ดังไม่สมกับตัวของมัน และเมื่อคนผู้นั้นได้เอ่ยอ้างนามเจ้าของสาสน์ฉบับนั้นต่อทหารผู้รักษาประตูเมืองแล้ว นายทหารรับทราบถึงที่มาแล้ว จึงรีบหย่อนเชือกป่านลงมารับราชสาสน์ จากนั้นจึงนำขึ้นถวายเจ้าเมืองครามในทันที   

 เจ้าเมืองครามแม้ดวงพระเนตรฝ้าฟางไปมากแล้วก็ตาม แต่เมื่อทอดพระเนตรอักขระที่ปรากฏนั้น กลับทรงทอดพระเนตรได้ชัดยิ่ง ทรงมีความปีติในดวงพระหฤทัยชราขึ้นอย่างท่วมท้น

 รังสิมันตุ์พ่อเจ้าจอมอหังการทรงยกทัพมาช่วยเมืองครามแล้ว ความพ่ายแพ้จักมิปรากฏ ชัยชนะต้องเกิดขึ้น

 เพราะได้เป็นที่เลื่องลือไปทุกแว่นแคว้นแดนดินถิ่นใกล้ แลไกล ให้ได้ทราบโดยทั่วว่า   กำลังด้านการทหารของน่านฟ้ามีความเข้มแข็งยากหากองทัพใดเข้าต้านทาน  และรังสิมันตุ์พ่อเจ้าผู้ครองนครน่านฟ้า ทรงขยายพระราชอำนาจโดยการปล่อยม้าอุปการ    หากบ้านเมืองใดรับม้าพระองค์ด้วยไมตรี พระองค์ท่านนับเป็นมิตร   แต่ต้องส่งส่วยบรรณาการตามแต่ทรงพอพระทัย  และหากเมืองใดกระทำการเพิกเฉย จะทรงนำสาเหตุนั้นเข้าโจมตี โดยออกล่าเป็นเมืองขึ้นอย่างไร้ความปราณี

  บัดนี้รังสิมันตุ์พ่อเจ้าทรงนำกองทัพเคลื่อนสู่ เมืองครามในฐานะมิตร   พระองค์บัญชาการให้ทัพแยกออกเป็นสี่ส่วน  ทำหารโอบล้อมทัพของกษัตริย์สี่นครเพื่อมิให้มีหนทางหลบหนีไปทางใดทางหนึ่งได้

                   แม่ทัพผู้ชาญการศึกทั้งสี่นายล้วนมีชื่อลือไปทั้งแผ่นดิน  ซึ่งพวกเขามีความกล้าแกร่งดังเสือหิว   และทุกคนกระหายในการทำศึกเพื่อสนองพระเดชพระคุณขององค์เหนือหัวของตน อย่างยอมตายถวายชีวิต

 องค์รังสิมันตุ์เองนั้นเล่า เมื่อมีการย่างพระบาทเข้าไปในภูมิประเทศที่ไม่คุ้นเคย ก็มิได้เคยเป็นอุปสรรคสักครั้ง  เพราะพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถในการแก้ปัญหาได้ทุกสถานการณ์  จนยากที่จะหาใครเสมอเหมือนได้   และเมื่อทรงเลื่องชื่อระบือพระนามขนาดนี้ กษัตริย์สี่นครเพียงยินข่าว ว่าพ่อเจ้ารังสิมันตุ์ทรงกรีฑาทัพมาเพื่อทำการป้องกันเมืองคราม   จึงทำให้กษัตริย์ทั้งสี่นครถึงกับขวัญหาย   เพราะไม่มีพระองค์ใดคาดไปถึงว่า องค์รังสิมันตุ์เจ้าจะเข้ามาปกป้องเมืองคราม ซึ่งไม่เคยมีความสัมพันธ์ใดๆกันมาก่อน และที่พ่อเจ้ารังสิมันตุ์ยกทัพมาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ อาจเป็นไปได้ว่าทรงดำริจะมาชิงเจ้านางอุษาวดีตั้งแต่แรก หากแต่ยุทธวิธีเปลี่ยนไปเพราะกษัตริย์สี่นครเข้ามารุกรานก่อน  และพ่อเจ้ารังสิมันตุ์จึงทำไมตรีโดยการออกพระนามช่วยเหลือเมืองครามที่กำลังอับจนหนทาง ทั้งที่พ่อเจ้าเมืองครามอาจจะทรงทราบว่าจุดหมายหนึ่งเดียวขององค์รังสิมันตุ์มิได้แตกต่างจากกษัตริย์องค์อื่น หากว่าพระองค์ท่าน หาทางเลี่ยงไม่ได้แล้วนอกจากรับพระราชไมตรีเท่านั้น...รังสิมันตุ์พ่อเจ้าต้องการครอบครอง....เจ้านางอุษาวดี  ไม่แตกต่างจากคนอื่น       

                 เจ้าเมืองครามโดย เสด็จเคียงข้างด้วยพระมเหสี  ประทับเหนือป้อมปราการเมือง  เหล่าเสนาอำมาตย์เข้าเฝ้า กันอย่างพร้อมหน้า ที่มีกำลังต่างออกรบพุ่งรักษาเกียรติของเมืองอย่างมิได้เห็นแก่ความกลัวตายสักน้อยนิด

ลานกว้างห่างไกลออกไปมีการรบพุ่งอย่างดุเดือด   เสียงโลหะประทะกันดัง  เคล้ง เคล้งเสียดแทงเข้าไปในโสตประสาท การห้ำหั่นของสงครามที่เกิดขึ้น มิอาจจำแนกได้ชัดว่าใครเป็นใคร การรบเป็นไปอย่างดุเดือด การเข้าตะลุมบอนนำมาซึ่งการสูญเสียทั้งสองฝ่าย  และอย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่า รังสิมันตุ์พ่อเจ้าทรงเหี้ยมโหดนัก   ทั้งทรงออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหาร   หาญ   จึงมิต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดทหารเมืองน่านฟ้าจึงถวายชีวิตเป็นราชพลี    ทรงรบภาคพื้นกับเจ้าเมืองสองนครที่เข้ามารุม   เพื่อหวังเอาชนะพ่อเจ้ารังสิมันตุ์ให้จงได้  หากฝีพระหัตถ์แตกต่างกันราวว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างทารกอ่อนด้อยประสบการณ์ ที่บังอาจกล้าต่อกรกับคนระดับมือชั้นครู  และแล้วเมื่อพระเนตรคมดุของรังสิมันตุ์เจ้า   เปล่งประกายแดงฉานสาดแสงเข้าใส่คู่ต่อสู้    เพลานั้นฝ่ายตรงข้ามหนาวยะเยือกทั้งกายดังถูกสะกดจิต   เมื่อชะงักการเคลื่อนไหวเพียงชั่วพริบตาเดียว   พระแสงดาบวาววับในพระหัตถ์รังสิมันจ้าว ตวัดเข้าใส่ก้านพระศอเจ้าเมืองคู่ต่อสู้ทันที

“ฉับ”

โลหิตแดงฉานสาดกระจาย เป็นฟู่ฝอย    ดาบเดียวตัดพระเศียรนั้นหลุดกระเด็นจากพระอังสะ   เศียรราชาเจ้ากลิ้งไปอยู่แทบบาทรังสิมันตุ์พ่อเจ้า   อีกองค์ที่เหลือทรุดเพลาลงกับพื้นยอมหมอบกราบลนลานร้องขอชีวิต แม้จะไม่มีหวัง เพราะทราบกันดี รังสิมันตุ์พ่อเจ้าไม่ไว้ชีวิตศัตรู

“เว้นชีวิตข้าบาทเถิดพะเจ้าข้า”

พระองค์หาได้มีความสงสารแม้สักนิด   พระพักตร์เครียดขมึง  ทรงตวัดสายพระเนตรใส่ ซึ่งแม้ว่าบัดนี้คู่ต่อสู้จะไร้พิษสงแน่แล้วแล้ว  แต่ยังมีพระดำรัสก้องอย่างไร้ความปราณี

“ตัดไม้หรือจักไว้รากได้”พร้อมเงื้อพระแสงดาบสูงสุดหล้า ก่อนจะตวัดลงมาที่ก้านพระศอของกษัตริย์คู่ต่ออย่างสุดแรง

        

กษัตริย์ผู้ยอมสิโรราบแล้วเบิกพระเนตรค้างตื่นตะลึง ตะโกนก้องสุดเสียง

 พ่อเจ้าพระแสงดาบฟันแหวกอากาศลงฉับที่ก้านพระศอจอมกษัตริย์  

ฉับคมดาบดื่มเลือดจมชุ่มโชก

เหล่าทหารเหลือบเห็นนายด้าวดิ้น พระเศียรถูกตัดขาดกระเด็นสิ้นชีพอย่างน่าอนาถ   ต่าง ขวัญหายผละหนีเอาตัวรอดในทันที    ทัพน่านฟ้าเห็นมีชัยจึงโถมทะยาน   เข้าขับไล่    ที่หนีได้หนีไป    หากที่หกล้ม ล้วนต้องสังเวยคมดาบอย่างเหี้ยมโหด    ข้าศึกตายเกลื่อนกราด    กษัตริย์ที่เหลือเห็นว่ามิอาจต้านทานได้จึงสั่งการให้ลั่นกลองรัวแรงหย่าศึก ถอนกำลังพลแตกพ่ายไม่เป็นขบวน

ครานั้นเหล่าทหารทั้งนาย   และไพร่ของน่านฟ้า    ต่างกู่ร้องเสียงอึงคะนึง    ยินดีในการศึกที่พิชิตได้ในเวลาอันรวดเร็ว  

 “น่านฟ้ามีชัยแล้ว”ทหารม้าเร็ว สะบัดธงสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ   ห้อตะบึงทั้งร้องตะโกนตลอดทาง มุ่งหน้าเข้าสู่ประตูเมืองคราม

 กษัตริย์เมืองครามดีพระทัยยิ่งเมื่อทอดพระเนตรเห็นสถานการณ์พลิกผันได้สมกับพระทัย   จึงรีบนำเสด็จลงจากป้อมปราการ ทั้งมีพระราชกระแสรับสั่งให้เปิดประตูเมืองรับเพื่อทัพน่านฟ้า   และทัพของเมืองครามกลับเข้าสู่ภายในพระนครโดยเร็ว 

อาณาประชาราษฎร์แห่แหนกันมาเฝ้ารับเสด็จ รอชมพระบารมีด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาที่คุณของพ่อเจ้าเมืองน่านฟ้าเข้ามาปกป้องเมืองของตนมิให้ตกอยู่ในเงื้อมมือของอริราชศัตรู

รังสิมันตุ์พ่อเจ้าทรงประทับบนหลังอาชาสีหมอก เสด็จเข้าเมืองคราม   ยามนี้มี เสโทไหลย้อยตามหากพระพักตร์คมคายได้รูป พระขนงเข้มหนา  รับด้วยดวงพระเนตรคมดุจ้องมองไปเบื้องหน้าอย่างมิหวั่นเกรงผู้ใด พระนาสิกโด่งเป็นสันตรง  รับกับพระโอษฐ์หนาปิดสนิท พระองค์มีความสง่างาม สมชายชาติเชื้อกษัตริย์ ทรงมีวรกายสูงใหญ่มั่นคง พระพาหากว้างแข็งแรง พระฉวีสองสีดูคมคาย    เส้นพระเกศายาว ผูกรัดด้วยเส้นทอจากดิ้นทอง   ทรงได้ชัยชนะโดยเด็ดขาด และเป็นการประกาศถึงความกล้าแกร่งได้สมกับคำร่ำลือ  และพระองค์ไม่รั้งรอสรงสนานดั่งเช่นประเพณีหลังการศึกอย่างที่ผ่านมา  ทั้งที่พระวรกายท่อนบนเปลือยเปล่า มีคราบโลหิต ปนเปื้อน อุระเบื้องขวาปรากฏบาดแผลจากคมดาบ พาดเฉียงยาวประมาณสามนิ้ว  แม้ไม่ลึกมาก แต่พระโลหิตยังรินไหลปริ่มๆเป็นทางยาว หากรังสิมันตุ์พ่อเจ้า มิได้แยแสสนพระทัย  เพราะทรงมาดหมายไว้ในพระทัยว่า บาดแผลที่ทรงได้รับนี้ มีแต่เจ้านางอุษาวดีเท่านั้นที่คู่ควรถวายรักษาแด่พระองค์ ดังนั้นรังสิมันตุ์พ่อเจ้าจึงทรงรีบเสด็จเข้าเมืองพร้อมแม่ทัพคนสนิททั้งสี่ 

พระองค์ใคร่ยลโฉม  เจ้านางอุษาวดี ว่ามีความงามสมกับเหล่าบุรุษทุกคนที่ยอมเอาชีวิตแลก  แม้แต่พระองค์ ยังยกทัพมารบเพื่อนางหรือไม่?

และหลังจากนี้ไปทัพของพระองค์จะเข้าริบเมืองทั้งสี่เป็นประเทศราชอย่างแน่นอน

ตลอดสองข้างทางมีประชาชนชาวเมืองหมอบกราบกับพื้นด้วยสำนึกในพระกรุณา ที่รังสิมันตุ์จ้าวกรีธาทัพมาช่วยจนได้รับชัยชนะ  เสียงสรรเสริญดังไม่ขาด

          “ทรงพระเจริญ   ทรงพระเจริญ”  

         เจ้าเมืองครามรีบเข้าไปรับรังสิมันตุ์จ้าวเมื่อเข้าประตูเมืองมาแล้ว  รังสิมันตุ์พ่อเจ้าลงจากหลังอาชา   เจ้าเมืองครามเสด็จนำพระมเหสี  และนางสนมกำนัลเข้าเฝ้าแทบเบื้องพระพักตร์  ตรงเข้าไปทรุดวรกายกราบแทบเบื้องพระบาท  เอื้อมพระหัตถ์ยกบาทรังสิมันตุ์พ่อเจ้า ผู้ผ่านแผ่นดินนครน่านฟ้าวางไว้บนพระเศียรแห่งตนด้วยความเคารพสูงสุด   บ้านเมืองพ้นความพินาศด้วยพระบารมีอันยิ่งใหญ่...

           “เมืองครามได้เป็นทาสเมืองน่านฟ้าแล้ว พระบาทเจ้า”ทรงตรัสเสียงสั่น รังสิมันตุ์พ่อเจ้าทรงประคองร่างชราทั้งสองกษัตริย์ขึ้นประทับยืน   สีพระพักตร์ปราณีต่อสองกษัตริย์ตรัสด้วยสุรเสียงกังวานประหลาด ฟังดูทรงอำนาจยิ่ง

           “เราเต็มใจมาช่วยเมืองครามในฐานะมิตร จักยึดเอาเมืองครามเป็นทาสหลังสงครามก็หาไม่”

           “พระบารมีปกเกล้า”

            พระโอษฐ์หนาหยักรอย แย้มสรวลนิด   พระพักตร์คร้ามดุ คลายไป  ทรงมีรอยพระสรวลสวยอย่างน่าพิศวง  พระเนตรคมกวาดไปทั่วแลหา เจ้านางผู้เลอโฉมมิได้เห็นผู้ใดงามสมคำลือสักคน

เจ้าผู้ครองนครคราม   เข้าพระทัยในองค์รังสิมันตุ์ว่าต้องพระประสงค์สิ่งใด   พระองค์จึงแลลอบสบพระเนตรกับพระมหาเทวี   เป็นการอ่านความในพระทัยต่อกันด้วยสายพระเนตร

...ไม่มีทางได้คัดค้านความประสงค์ขององค์รังสิมันตุ์ได้   เพราะพ่อเจ้าพระองค์นี้มาช่วยเพื่อหวังสิ่งตอบแทน   หากน้ำได้ท่วมพระโอษฐ์ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น    มิอาจถอยคืนด้วยเกรงพระราชอำนาจของเมืองน่านฟ้า  จึงก้มพักตร์กราบบังคมทูลเชิญ    เสด็จพ่อเจ้ารังสิมันตุ์

“เชิญเสด็จที่ท้องพระโรงเถิดพ่อเจ้า”

รังสิมันตุ์เจ้ารับคำทูลเชิญ ย่างเยื้องพระบาทงามสง่าสู่ท้องพระโรงที่ประทับ ท่านแม่ทัพคนสนิท ทั้งองครักษ์นายกองเฝ้าดูแลอารักษ์ขามิได้ห่าง

ราชวังเมืองครามมีความงดงามยิ่ง  เชื้อพระวงศ์ และนางกำนัลข้าหลวง นำพานดอกไม้มารอเฝ้ารับเสด็จถ้วนหน้า    รังสิมันตุ์พ่อเจ้าทอดพระเนตรแลหา...เจ้านางที่มีความงามล้ำพิลาสทั้งหมดนั้น มีความงามลดหลั่นกัน   หากไม่มีสักคนที่มากค่าจนกระทั่งเหล่ากษัตริย์ต่างแคว้นทำศึกแย่งชิง  

ความงามแค่นี้มีค่าควรเมือง..ช่างหน้าหัวร่อ   ทรงดำหริหยามหยันในอุระทั้งของพระองค์ที่วางแผนมาอย่างดิบดี ทั้งราชาครองแคว้นที่นำชีวิตมาสังเวยความงามที่พระองค์ยังไม่เห็น

อินทิราเทวีของพระองค์มีความงามกว่านี้...พระองค์ยังไม่พอพระทัย

ไหนเล่าขุนพลกอบหล้าขุนพลคู่พระทัยทูลบอก   เจ้านางงามพิลาสเหนือสตรีทั้งแผ่นดิน และ มีแต่องค์รังสิมันตุ์จ้าวเท่านั้นคู่ควร เปรียบดั่งพระลักษมีควรคู่ด้วยองค์นารายณ์เท่านั้น

เจ้านครเมืองครามนำเสด็จสู่ท้องพระโรงแล้วจึงเชิญเสด็จรังสิมันตุ์จ้าวประทับเหนือบัลลังก์ หากรังสิมันตุ์พ่อเจ้ากลับประทับนั่งในที่ชั้นรอง   เจ้าผู้ครองนครจึงต้องนั่งลงกับแท่นที่ต่ำกว่า   เชื้อพระวงศ์และข้าราชบริพารทั้งนั้นจึงนั่งหมอบลดหลั่นกันตามแต่ฐานะ

“ผู้ใดคืออุษาวดี”พ่อเจ้ารังสิมันตุ์ดำรัสถามก้องท้องพระโรง

มหาเทวีผู้เป็นเอกอัครมเหสีรีบกราบทูลเสียงสั่น พระพักตร์ถอดสีทั้งวัยชราและเกรงกลัวพระบารมี

“เจ้านางน้อยมิได้อยู่ที่นี้เพคะพ่อเจ้า”

พระพักตร์คมบึ้งตึงทันทีด้วยความขุ่นพระทัยที่เห็นว่าเมืองครามบังอาจล่วงเกินมิได้ให้อุษาวดีเข้าเฝ้าโดยเร็ว   ทุกคนต่างขวัญหาย  โดยเฉพาะพ่อเจ้าเมืองครามรู้สึกผิดที่มิได้รีบนำอุษาวดีราชธิดามาเข้าเฝ้าแต่แรก   จึงรีบกราบทูลก่อนที่จะเห็นพ่อเจ้ารังสิมันตุ์เคืองยุคลบาทยิ่งกว่านี้

“เจ้านางถูกคุมไว้ที่วังลับพระเจ้าข้า”

รังสิมันตุ์พ่อเจ้ากระตุกพระขนงมุ่น ตรัสว่า

“เหตุใดจึงทำเช่นนั้นเล่าพ่อเจ้า”

“เพราะความเขลา   ข้าน้อยจึงคิดว่า   หากมิอาจพ้นจากอริราชแล้วไซร้   จักมิให้พวกใจหยาบเหล่านั้นได้ยลอุษาวดีเช่นกัน”

พ่อเจ้ารังสิมันตุ์ทรงนิ่งขึงไปทันทีกับพระดำริของเจ้านครเมืองครามที่คิดให้พระราชธิดาตายตกตามเมืองหากต้องแพ้สงคราม   เวลานี้พระองค์หายอมได้ไม่   อย่างไรต้องได้ยลพระรูปโฉม   และถ้าหากไม่มีความงามล้ำให้เป็นที่ต้องพระทัยแล้วไซร้   พระองค์เองจักประหารนางเสีย เพราะนางเป็นสาเหตุให้ชายชาตรีต้องหลั่งเลือดชโลมดิน

“ข้าจักไปหานางบัดเดี๋ยวนี้”

“พ่อเจ้า”แม่ทัพเดโช แม่ทัพคู่พระทัยทูลท้วงไว้ แต่จอมกษัตริย์หนุ่มมิได้รับฟัง

ขุนพลกอบหล้ากระซิบพอได้ยินกันตามลำพังทั้งเจ้าและนาย

“ต้องให้เห็นกับสายพระเนตร   ว่าทรงพระสิริโฉมสมคำร่ำลือไหม”เขาแสร้งเอ่ยไปอย่างนั้นเอง เพราะว่าเขาได้เห็นกับตาว่าเจ้านางมีพระสิริโฉมงดงามยิ่งและเขาเป็นคนไปกราบทูลว่าเจ้านางนี้คู่ควรกับองค์รังสิมันตุ์เท่านั้น

พ่อเจ้าชักสีพระพักตร์ปลายสายพระเนตรปรามๆ ไปทางขุนพลกอบหล้าหากมิได้พิโรธจริง  ขุนพลคู่พระทัยยังเอ่ยสืบต่อ

“หากไม่สมพระทัย จักได้ยกทัพกลับโดยเร็ว” พ่อเจ้าคลายพระทัยที่นิ่งขึงลงบ้าง เพราะทั้งเมืองน่านฟ้า มีแต่ขุนพลกอบหล้าที่กล้าทูลทีเล่นทีจริงกับองค์รังสิมันตุ์เจ้าได้เป็นกรณีพิเศษ

  ทรงตรัสให้เจ้านครเมืองครามนำพาพระองค์ไปยังวังลับ  แม่ทัพเดโช แลขุนพลรีบตามเสด็จพร้อมทั้งสี่นาย

   องค์มหาเทวีพระทัยเริ่มหวาดหวั่น เมื่อทรงเห็นว่ารังสิมันตุ์พ่อเจ้าเอาแต่พระทัยอย่างยิ่งยวด   ถึงแม้พระองค์ท่านมีคุณได้ช่วยเหลือแผ่นดินให้รอด   แต่องค์ทมหาเทวีทรงทราบเหตุผลดีว่า...มิได้ต่างจากกษัตริย์สี่นครสักนิด   

หากพระนางจนปัญญาที่จะทัดทาน หรือ ทำการสิ่งใดได้แล้ว  เพราะกองทัพน่านฟ้าแม้มิได้บอกเข้ายึดครอง แต่บัดนี้เมืองครามได้เปิดประตูต้อนรับ จึงเปรียบเสมือนได้ตกเป็นเมืองขึ้นแล้วกระนั้น

พ่อเจ้าเมืองครามนำเสด็จไปที่ตำหนักฝ่ายใน   ซึ่งบัดนี้มีความวังเวงจนเหมือนตำหนักร้าง   กลางผืนห้อง   มีผ้ากำมะหยี่สีแดงขนาดกว้างยาวสองศอกเท่ากันปูพื้นไว้ พ่อเจ้าเมืองครามตบพระหัตถ์เป็นสัญญาณแก่ทหารรักษาพระองค์   แม่ทัพเดโช และแม่ทัพอีกสามนาย รีบถลันเข้าล้อมพ่อเจ้ารังสิมันตุ์ระวังเหตุ   หากพ่อเจ้ามิได้มีความครั่นคร้ามสักนิดเดียว   ทรงจ้องพระเนตรมองดูการกระทำอย่างเงียบๆ

ราชองค์รักษ์สองคนเข้าไปตลบผืนผ้ากำมะหยี่สีแดง    ปรากฏเป็นแผ่นไม้ปิดพ่อเจ้ารังสิมันตุ์ไม่ขยับพระวรกายทรงทอดพระเนตรนิ่ง   แม่ทัพเดโชผู้มีใบหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจทูลถามพ่อเจ้าเมืองคราม

“เจ้านางประทับในที่นี้หรือพระเจ้าข้าพ่อเจ้า”

“นางได้อยู่กับนางกำนัลพี่เลี้ยงในที่นี้นับแต่เกิดศึก   นางจักตายหากเมืองครามพ่ายสงคราม”

พ่อเจ้ารังสิมันตุ์ถลันพระกายเข้าไปผลักทหารเมืองครามสองนายให้พ้นห่าง สี่แม่ทัพเมืองน่านฟ้าเข้ารายล้อมป้องกัน   รังสิมันตุ์พ่อเจ้าเห็นช่องไม้จึงสอดพระหัตถ์ออกกำลังยกขึ้น แผ่นไม้หลุดออก ปรากฏเป็นช่องลับพระองค์จะเสด็จลง   แต่แม่ทัพเดโชมิอาจให้ทรงทำเช่นนั้นได้จึงทัดทานไว้พร้อมกราบทูล

“พ่อเจ้าทรงเชิญเสด็จเจ้านางขึ้นมาเถิดพระเจ้าข้า”

ขุนพลกอบหล้ากลับทูลพอได้ยินตามลำพังกับพ่อเจ้ารังสิมันตุ์

“พระทัยร้อน   อยากประหารเจ้านางโดยเร็ว”

เสียงสนทนาดังอยู่ด้านบน ก้องลงไปในห้องลับข้างล่าง   สลานางกำนัลพี่เลี้ยงก้าวออกมาจากซอกเหลือบลับก้าวเดินมาแหงนมองช่องว่างด้านบน   ชายฉกรรจ์หลายนายรายล้อมจ้องมองลงมา  หนึ่งนั้นทำให้นางตื่นเต้นยินดีจนมิอาจระงับรีบทรุดกายลงกราบกราน

“พ่อเจ้า”

“อุษาวดีอยู่ดีหรือไม่”

“เพคะพ่อเจ้า   เอ่อ”นางอึกอักเมื่อเห็นชายแปลกหน้าห้าคน   คนหนึ่งนั้นเปี่ยมล้นบารมีจนนางต้องรีบหลบสายตาไม่กล้าสานสบคิดคาดการณ์ไปว่า เมืองนางได้ตกเป็นเมืองขึ้นแล้ว   แต่นางไม่ต้องวิตกนานเพราะพ่อเจ้าเมืองครามมีรับสั่งให้เชิญเสด็จอุษาวดีเทวีขึ้นมาพร้อมตรัสเสริม

“ให้อุษาวดีมาถวายบังคมเจ้าชีวิตนางบัดเดี๋ยวนี้”

นางสลาเร้นกายไปซอกเหลือบลับกราบทูลเจ้านางอุษาวดีตามรับสั่งของพ่อเจ้าเมืองครามทุกประการ     ครู่เดียวจึงนำหน้าออกมา   องครักษ์สองนายช่วยให้นางสลาขึ้นมาจากห้องลับข้างล่าง  

อีกหญิงสูงศักดิ์ที่เสด็จปรากฏโฉม    สวมชุดทรงเยี่ยงนางเชื้อพระวงศ์สูงส่ง    เกล้าเกศาสูง สวมปลอกทองคำครอบไว้   ดวงพักตร์เรียวรูปไข่งดงามหมดจด   ขนงเนตรงามรับกันอย่างยิ่ง  พระนาสิกเล็กๆโด่ง

งามอย่างได้ส่วน และที่มีความงามน่าประทับใจ คือริมพระโอษฐ์มีสีชมพูสดอ่อนหวานราวกลีบดอกไม้  ดูรูปลักษณ์ของพระนางแล้วไม่มีสักส่วนที่เป็นตำหนิ   ทรงฉลองพระองค์สีทองดันพระถันเป็นเนินเต็มอิ่ม   ผ้าคลุมอังสะบางเบาถักทอจากดิ้นไหมสีทองล้ำค่าคลุมยาวจดพระบาท   ทรงพระภูษายาวกรอมพระบาทสีดำขลิบทอง  สีชุดทรงส่งให้พระฉวีสีมะปรางสุกงดงามพิลาสล้ำเหนือกว่าสตรีใดในแหล่งหล้า   ทรงมีความงดงามงามผุดผาดประมาณการได้ถึงพระสุรัสวดีมเหสีสีของพระพรหมมาดา

เมื่อพระนางแหงนเงยขึ้นมาทางด้านบน   ทำให้รังสิมันตุ์พ่อเจ้าถึงกับย่อพระกายคุกพระชานุกับพื้น  ส่งพระกรลงไปใคร่โอบอุ้มพระนางสู่อ้อมอุระอย่างลืมองค์  กิริยาชายแสดงแจ้งชัดดังนั้นแล้ว ทำให้เจ้านางอุษาวดี ถดพระกายหนี  พ่อเจ้าเมืองครามรีบตรัสสั่ง

“รีบกราบพระบาทพ่อเจ้ารังสิมันตุ์บัดเดี๋ยวนี้อุษาวดี”

ดำรัสพระราชบิดาคือคำประกาศิต   เจ้านางอุษาวดีทั้งเคืองขุ่นทั้งขามเขินพระทัย  เพียง แรกพบพักตร์  พระนางได้ถูกชายแปลกหน้าต้องวรกายเสียแล้วทำให้พระนางอดสูพระทัยยิ่งนักแม้พระกรที่โอบประคองขึ้นมาจะมีความทะนุถนอมก็ตามที   เมื่อทรงขึ้นมาข้างบนเรียบร้อย รังสิมันตุ์พ่อเจ้ายังไม่ปล่อยพระหัตถ์ให้พระนางเป็นอิสระ   กลิ่นโลหิตจากบาดแผลของพระองค์ทำให้พระนางวิงเวียนพระเศียรจะซวนทรุด รังสิมันตุ์พ่อเจ้ายิ่งรัดพระกรแน่นเข้า   พ่อเจ้าเมืองครามย่อมเห็นกิริยาที่ทรงเห็นว่ามิได้ให้เกียรติทั้งพระองค์และพระราชธิดา หากมิอาจทำประการใดได้แต่บังคับเสียงให้เรียบตรัสประชดว่า

“เมืองครามมีธิดาที่เป็นภัยแก่บ้านเมือง   ถ้าอุษาวดีอยู่เมืองครามต่อไป   เห็นจะมีภัยมิได้หยุด    ข้าบาทขอถวายนางแทนเครื่องบรรณาการ   ขอพระบาทเจ้าอย่าได้ทรงรังเกียจหญิงผู้มีความงามที่เป็นภัยแก่ตัวเยี่ยงอุษาวดีเลยพระเจ้าข้า”

กษัตริย์หนุ่มแห่งเมืองน่านฟ้าพระทัยเต้นรัวแรง   ความอุธัจอัดแน่นจนหายพระทัยลำบาก ยังทรงกอดประทับเจ้านางอุษาวดีไว้เช่นนั้นด้วยความลืมองค์

แม่ทัพเมืองน่านฟ้าย่อมเห็นพ้องต้องกันว่า   พระนางมีความงามเลิศล้ำสมควรเอาชีวิตเข้าแลกแล้ว   ทรงทำให้ดวงหทัยบุรุษทุกนาม หยุดเต้นไปชั่วคราว  ไม่มีสักผู้ไม่เกิดความกำซาบทั่วกายด้วยความยินดี    ชายชาติทหารถอนใจลึก  อย่าว่าแต่ยินดีในการมีชีวิตอยู่รอดเลย  แม้เกิดสงครามที่ใดอันมีเหตุมาจากพระนาง  พวกเขาล้วนเอาความตายเป็นประกัน  

ในพระทัยของพ่อเจ้าแห่งน่านฟ้านครกระตุกครั้งแล้วครั้งเล่า  ความกำซาบยินดีบังเกิดขึ้นไม่คลาย

แม้เปรียบเทียบกับเมื่อครั้งพ่อเจ้าประกาศพระนามพระองค์ขึ้นครองแผ่นดิน   ความยินดียังมิได้สักครึ่งของในเวลานี้ 

พระเนตรคมจ้องจับไปที่เจ้านางอุษาวดีมิได้วางสักนาที    นางงามผู้เลอโฉมดังนี้สมควรแล้วที่เหล่าบุรุษต่างยอมตายเพียงเพื่อได้ครอบครองเป็นเจ้าของชีวิตนาง  

เจ้านางอุษาวดีใคร่ดิ้นรนให้พ้นอ้อมพระกร หากมิอาจทำได้ดังพระทัย ทรงอึกอัก   ทั้งประหม่า  ทั้งหวาดกลัว   มิอาจทอดพระเนตรพระพักตร์รังสิมันตุ์เจ้า  จึงได้แต่ก้มพักตร์   แลทอดดวงเนตรที่ปลายพระบาทพ่อเจ้าเท่านั้น   รอบกายตกอยู่ในความเงียบเพราะพ่อเจ้ารังสิมันตุ์ไม่ขยับพระจริยาจนกระทั่ง เจ้านางอุษาวดีช้อนพระเนตรพราวระยับ    ซึ่งมีความงามดั่งดาวในราตรีอันมืดมิดขึ้นสานสบพระเนตรคม  กราบทูลด้วยเสียงอ่อนหวาน   เป็นความไพเราะที่รังสิมันตุ์เจ้าชื่นพระทัยอย่างประหลาด

“ทรงเมตตาอุษาวดีสักนิดเพคะ”

“ที่มานี้ย่อมเมตตาเจ้าอยู่แล้ว”ทรงตอบอ่อนโยน อย่างที่แม่ทัพทั้งสี่ไม่เคยได้ยินมาก่อน“เพราะพ่อเจ้าของเจ้า ได้บอกว่า เจ้าถูกขังอยู่วังลับ พี่จึงได้รีบมา”

พระนางก้มพระพักตร์ หลบพระเนตรทูลตอบ ด้วยความรู้สึกอดสูพระทัยยิ่ง เพราะพระนางเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่มิเคยมีชายใดได้แตะต้อง หากจู่ๆรังสิมันตุ์พ่อจ้าวกลับล่วงเกินต่อหน้าธารกำนัลอย่างเอาแต่พระทัย

“ข้าแต่พระบาทเจ้า...ชีวิตอันมีค่าน้อยนิดของอุษา   ตกเป็นทาสรับใช้ของพระองค์   นับแต่เยื้องพระบาทมาช่วยชาวเมืองครามแล้วเพคะ”

 รังสิมันตุ์เจ้ามิได้ปล่อยร่างนั้นเป็นอิสระ  ทรงโอบประคองอย่างทะนุถนอม   ดำรัสตอบด้วยพระเสียงทรงอำนาจ   หากทุกคนที่ได้ยินต่างเห็นพ้องต้องกัน มีความอ่อนหวานในที

 “พี่เข้ามาแผ่นดินนี้ในฐานะมิตร   มิใช่อริราช   เมื่อพี่มีชัย   อย่าคิดว่าพี่จะจับเจ้าเป็นทาสเชลย

โดยเด็ดขาด   พี่จะเชิญเจ้าไปน่านฟ้าในฐานะเทวีแห่งพี่   เจ้าจะว่าเยี่ยงไรอุษาวดี”

 เจ้านางทรงแอบทอดพระเนตรเหลือบไปทางพระราชบิดา   แลเห็นพระองค์ท่านพยักพระพักตร์รับนิดหนึ่ง เป็นความหมายให้เจ้านางยอมทุกประการ   ดังนั้นเจ้านางจึงทำใจให้กล้า เอื้อมพระหัตถ์เรียว แตะต้องบาดแผล เบื้องอุระขวาของรังสิมันตุ์เจ้า หยาดโลหิตติดปลายดัชนีของพระนาง   และทรงนำมาแตะเหนือกึ่งกลางระหว่างขนงโค้งเรียวทั้งสอง ปรากฏเป็นรอยแต้มดังเครื่องหมายหญิงผู้มีเจ้าของ  จากนั้นจึงตรัสดังเป็นการประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ว่า

  “รังสิมันตุ์พี่เจ้า บัดนี้ ทรงเป็นแล้วยิ่งกว่าคำว่าพระสวามีของอุษาวดี”

เจ้าผู้ครองเมืองน่านฟ้าจับพระหัตถ์เรียวมาวางทาบเบื้องอุระซ้ายของพระองค์   พระทัยเต้นรัวแรง สานสบเนตรกันเพียงลำพัง  ในหฤทัยเป็นสัญญา

   “แผลนี้ภายนอกพี่ได้มาเพราะเจ้าเป็นเหตุ ส่วนแผลในใจก็พึ่งเกิดขึ้นเมื่อได้พบเจ้า เห็นทีว่าหน้าที่รักษาแผลเป็นของพี่ของเจ้าแล้วอุษาวดีที่ต้องให้หายโดยเร็ว”

 ...ความรักอันยิ่งใหญ่จักปรากฏนับแต่เพลานี้เป็นต้น

         

ขบวนเสด็จอันยิ่งใหญ่หากเป็นระเบียบ โดยมีองค์รังสิมันตุ์จ้าวและเจ้านางอุษาวดีเทวีสองกษัตริย์ประทับบนกูบคอคชสารคู่บารมี เสด็จจากเมืองครามสู่เมืองน่านฟ้า

   สองกษัตริย์อิงแอบแนบข้างไม่ห่างกันแม้เศษเสี้ยวของลมหายใจ  รังสิมันตุ์จ้าวทรงสนิท-

สิเน่หาในองค์เทวียิ่งนัก  สตรีอื่นที่เป็นบาทบริจาริกา นับร้อย  ไม่มีสักนางเดียวเทียบได้  แม้ยามหลับพระเนตร พระกรรัดรึงไว้แนบอุระ หวงแหน เพียงอุษาวดีขยับวรกาย  รังสิมันตุ์จ้าว ทรงลืมพระเนตรแลหาทันที  

 มหานครน่านฟ้า ช่างสวยงามและมีความเจริญยิ่งกว่าเมืองใดๆในผืนปฐพีเดียวกันนี้  ภาพปราสาทราชวังที่ปรากฏตรงหน้า ช่างแข็งแรง และมีความสวยงาม

แม่น้ำสายหลักไหลผ่านกลางเมือง ดังเช่นที่เรียกกันว่าเมืองอกแตก  อีกทั้งทิวทัศน์สองข้างทางร่มรื่นน่าชื่นชมยิ่งนัก  ร้านรวงที่เคยมีการค้าขาย และเปลี่ยนสินค้าซึ่งมีอยู่ดาษดา พร้อมทั้งผู้คนชาวเมือง ต่างพร้อมใจกันหยุด  เพื่อรอชมบารมีพ่อเจ้าผู้ครองนครด้วยความจงรักภักดี  ทั้งยังรอยลสิริโฉมอันงดงามของอุษาวดีเทวี หญิงชาวเมืองต่างวัยต่างถือดอกไม้หอมไว้ในถาดโลหะ เมื่อขบวนเสด็จมาถึง ต่างส่งเสียงสรรเสริญบารมี ทั้งโยนดอกไม้หอมขึ้นสูง ก่อนร่วงลงมาดังฝนทิพย์หลากสีสันและหอมจรุงใจ  อุษาวดีเทวีโปรยรอยแย้มสรวลให้ชาวเมือง  รังสิมันตุ์เจ้าเบิกบานพระทัยยิ่งนัก  เมื่อผู้คนได้ยลโฉมเจ้านางต่างอุทานลืมตัว

     “โอ้นี่ข้าอยู่บนพรหมโลกหรือไร ข้าจึงได้เห็นพระสุรัสวดีเช่นนี้ได้”

  “ภาคหนึ่งของลักษมีเทวี ใช่ฤาไม่”

 “แน่แล้วนี่คือ อุษาวดี เจ้านางผู้เลอโฉม”

การก้าวพระบาทเหยียบแผ่นดินน่านฟ้า ก้าวแรก เจ้านางอุษาวดีมีแต่ความสุขเหลือประมาณ....  

ส่วนอินทิราเทวีมเหสีเอกในรังสิมันตุ์พ่อเจ้าผู้ครองนครน่านฟ้า   ประทับยืนรอเฝ้าพระสวามีด้วยพระทัยจดจ่อ   หากภาพที่ทรงทอดพระเนตรเห็นการเคลียคลอไม่ห่างกันของพระสวามี และหญิงสูงศักดิ์ผู้เลอโฉม  ทำให้พระนางร้อนในพระอุระดั่งมีเพลิงนรกแผดเผา   มิอาจซ่อนความชิงชังไว้ได้ สายพระเนตรดุร้าย ริษยา  เปล่งประกายอาฆาตอย่างเปิดเผย

...เผลอเมื่อใด อย่าพึงหวังรอดเงื้อมมือ ยิ่งรังสิมันตุ์พ่อจ้าวทรงเมตตาเท่าใด  เจ้าจักมีอันตรายจากเรามากขึ้นเท่านั้น

อินทิราเทวีมหาเทวีนิทรามิอาจเป็นสุขได้   นับแต่เจ้านางอุษาวดีเยื้องพระบาทเข้าสู่น่านฟ้านคร....

รังสิมันตุ์พ่อเจ้า ทรงโปรดอุษาวดีเทวี ถึงกับอภิเษกขึ้นดำรงตำแหน่งมหาเทวีฝ่ายซ้าย   และเมื่อนายไม่เป็นสุข บ่าวไพร่ย่อมไม่มีความสุขไปด้วย  นางวิฬาร์ นางกำนัลคนสนิทของอินทิราเทวี เข้ามาหมอบกราบแทบบาทองค์มหาเทวี   ด้านหลังเยื้องไปด้านข้างของนางวิฬาร์ คือชายร่างเตี้ย ปลอมกายในคราบอิสตรี  แต่ดูแล้วยิ่งอัปลักษณ์กว่าสภาพที่มันเคยแต่งกายเป็นบุรุษ   มันผู้นั้นวางถุงผ้าสีดำไว้ข้างกาย  และสิ่งที่อยู่ในถุงนั้นขยับตัวโก่งไปมา  เพราะมันกำลังหาทางออกจากที่กักขัง

“พระแม่เจ้า   บัดนี้สิ่งที่ต้องประสงค์มาถึงแล้วเพคะ”

“เป็นหน้าที่ของเจ้า นังวิฬาร์ทำความภักดีนี้ให้ประจักษ์แก่ข้า”

“เพคะแม่เจ้า”วิฬาร์รับคำ นำพาชายร่างเตี้ยออกจากตำหนักกลางลอบออกไปที่ห้องพักของนาง และถ่ายทอดแผนร้ายให้อีกฝ่ายรับฟัง  

                ณ.เวลาใกล้พลบ   เป็นเวลาที่เจ้านางอุษาวดีเทวี ต้องเข้าห้องสรงสนาน  โดยมีนางสลาพระพี่เลี้ยงตามใกล้ชิด  แมวลายเสือตัวโปรดของอุษาวดีเทวีย่างเยื้องตามมาด้วย 

                 ภายในห้องสรงมีนางกำนัลสามคน ช่วยกันเทน้ำจากคนโทลงในอ่างศิลากลมซึ่งปริ่มขึ้นมาเกือบถึงขอบสระแล้ว   อีกสองนางกำนัลโปรยดอกไม้หอมลงไป  

นางสลาพร้อมทั้งนางอี่คำเข้าไปถวายงาน สลาทำหน้าที่ถอดเครื่องทรงประดับ ถอดรัดเกล้าออกจากพระเศียรทันใดนั้น เส้นเกศาก็พลิ้วสลวยลงมายาวถึงพระขนอง

อี่คำคลายเข็มขัดทองคำปลดเปลื้องผ้าทรงจากพระวรกายจนเปลือยเปล่า  เจ้านางอุษาวดีจึงขยับบาทกำลังจะก้าวลงอ่างศิลากลม

ฉับพลันทันใดนั้นเอง ปรากฏเสียงขู่ฟู่ฟ่อมาจากมุมห้อง พร้อมๆกันกับมีงูเห่าหลายตัวเลื้อยคลานเข้ามารวดเร็ว เจ้านางและนางกำนัลคนสนิท ต่างหวีดร้องด้วยความตกใจ นางกำนัลคนหนึ่งลืมตัวผละวิ่ง ทำให้งูร้ายตัวหนึ่งแผ่พังพานพุ่งฉกใส่ทันทีที่สะโพกของนาง

“กรี๊ด”

เสียงหวีดร้องด้วยความหวาดกลัวสุดขีด  เสียงกรีดร้อง ด้วยความหวาดกลัวดังออกมาจากตำหนักซ้าย จ่าโขลนผู้ทำหน้าที่อารักษ์ขาเยี่ยงองครักษ์รีบวิ่งเข้าไป หากพวกนางยังมีความช้ากว่า องค์รังสิมันตุ์พ่อเจ้าซึ่งกำลังเสด็จมา  พระองค์ถึงกับสาวพระบาทรวดเร็วราวกับสายลมไปที่ต้นเสียง

    ภาพความชุลมุนวุ่นวาย  พรเอมงูร้ายเพ่นพ่านทั่วตำหนัก

อุษาอยู่ที่ใดพระองค์ตรัสหา พลางคว้าจับงูที่พุ่งฉกพระองค์ด้วยพระหัตถ์เปล่า   พร้อมชักพระแสงมีดสั้นจากบั้นพระองค์ เชือดคองูร้าย แล้วขว้างทิ้ง อย่างไม่ไยดี งูร้ายชักดิ้น ชักงอพริบตาเดียวก็ตายคาพื้น

“ตายแล้ว ตายแล้วพี่เจ้า ตายแล้ว”เสียงอุษาวดีเทวีดังมาจากห้องสรงสนานแน่แล้ว   รังสิมันตุ์พ่อเจ้ารีบเสด็จเร็วดังสายฟ้าแลบ 

ภาพพระเทวีฝ่ายซ้ายทรุดนั่งเหยียดพระกาย นางสลาเอาตัวเข้าปกป้อง  แมวลายกล้าทะยานเอาชีวิตเข้าแลก  งูเห่าส่ายแม่เบี้ย  แมวลายพองขนข่มขู่

  บัดดลอสรพิษฉกวูบ เข้าที่คอสัตว์เลี้ยงของพระเทวี  มันหลบปราดกางเล็บตบสู้  หากแล้ว  สัตว์แสนรู้ตัวนั้นมิอาจสู้ได้  มันถูกงูกัดจมเขี้ยว  ด้าวดิ้นทุรนทุราย  อุษาวดีเทวีถลันจะเข้าไป  นางสลากั้นไว้สุดชีวิต  เจ้านางอุษาวดีเรียกหาพระสวามีอย่างคนเสียขวัญ พระนางกลัวจนแทบสิ้นสติอยู่แล้ว

“ตายแล้ว ตายแล้ว พี่เจ้าของข้าอยู่ที่ไหน พี่เจ้า พี่เจ้าช่วยอุษาด้วย ช่วยอุษาด้วย”

งูร้ายตัวใหญ่มาจากมุมหนึ่งเลื้อยปราดตรงไปที่อุษาวดีเทวี   รังสิมันตุ์พ่อเจ้าเยียบเย็นไปทั้งพระทัย  อุษาวดีเทวีทอดพระเนตรเห็นพระผู้เป็นเจ้าชีวิตเสด็จมาถึง  ด้วยความดีพระทัยทำให้พระนางจะขยับพระกาย หากรังสิมันตุ์พ่อเจ้าโบกพระหัตถ์ห้ามไว้   เงาวูบจากเบื้องหลังส่งให้งูร้ายหันขวับกลับมาทางรังสิมันตุ์พ่อเจ้า  มันพุ่งสูงถึงลำพระศอ อุษาวดีกรีดร้องถลันพระวรกาย พลุ่งไปหาพระสวามีสุดชีวิต

“อ๊าย...........พี่เจ้า”

เวลาเดียวกันรังสิมันตุ์พ่อเจ้า เบี่ยงพระองค์หลบอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพระหัตถ์แกร่งคว้าจับคองูเห่าตัวนั้น ชูขึ้น อุษาวดีเทวีปิดพระพักตร์กรรแสงไห้  คิดว่ารังสิมันตุ์พ่อเจ้าถูกกัดแน่แล้ว

“อุษา”ทรงเรียกให้ได้สติ   พระมเหสีฝ่ายซ้ายลดพระหัตถ์ลง   จึงเห็นรังสิมันตุ์พ่อเจ้าใช้พระแสงมีดสั้นปาดฉับที่คองูพิษ   จนเลือดเย็นเยียบของมันสาดกระจาย แล้วทรงโยนทิ้งไปห่าง

                อุษาวดีเทวีโผผวาเข้าไปหาพระสวามี  พระผู้ครองแผ่นดินน่านฟ้ารีบรับขวัญด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่น พระองค์กอดร่างของพระมเหสีแนบพระอุระ 

“พี่เจ้า”

“งูมาจากไหนมากเพียงนี้”

นางสลาหยิบผ้าทรง ถวายอุษาวดีเทวี  พระนางเจ้าหันมารับทรงรับไปพันพระวรกาย   นางสลากราบทูลต่อพ่อเจ้ารังสิมันตุ์ มีความมุ่งหมายไปที่อินทิราเทวีว่า

“ใครไหนเลยจะเข้ามาตำหนักชั้นในได้หากไม่ใช่พวกของ”นางไม่เอ่ยนามคนที่นางเชื่อแน่ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง องค์รังสิมันตุ์เจ้าก็ทรงเข้าพระทัยได้ว่านางมุ่งหมายไปที่ใคร

“เห็นทีชีวิตแม่เจ้าอยู่ในอันตรายแล้วเพคะพ่อเจ้า”

รังสิมันตุ์พ่อเจ้าโอบพระเทวีออกจากห้องสรงสนาน มีรับสั่งให้มหาดเล็กเที่ยวค้นพระตำหนักซ้าย หางูให้เจอ และกำจัด มิให้เหลือแม้แต่ซาก….

ข่าวร้ายได้กระจายไปทั่วทั้งตำหนักในทั้งสองตำหนัก และ

  อินทิราเทวีแค้นพระทัยแทบกระอักพระโลหิต เมื่อมิอาจฆ่าอุษาวดีได้สำเร็จ หนำซ้ำรังสิมันตุ์พ่อเจ้ายังมีพระราชกระแสรับสั่งให้พระนางไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักซ้าย ซึ่งพระนางถือเป็นการหยามเกียรติยิ่งนัก เพราะเทวีฝ่ายซ้ายไม่เคยมากราบเฝ้า  แต่เวลานี้พระนางยังต้องไปตำหนักอุษาวดีเทวีอีกซ้ำ!  

หากจะขัดขืนพระราชโองการก็หาได้ไม่ ดังนั้นพระนางอินทิราเทวีจำต้องเยื้องพระบาทเข้าไปอยู่ท่ามกลางสายตาที่เกลียดชังหลายสิบคู่ของคนในตำหนักซ้าย

   และภาพที่ปรากฏแก่สายพระเนตรขององค์เทวีนั้นเล่า ช่างเหมือนคมมีดกรีดพระทัยให้เกิดแผลฉกรรจ์ ทั้งเจ็บปวดและแค้นแน่นทวี ด้วยอุษาวดีเทวี ประทับนั่งแนบข้างรังสิมันตุ์พ่อเจ้าไม่ห่าง และอุษาวดีเทวียังหยามเกียรติของอินทิราเทวีด้วยการไม่ทำความเคารพ ทั้งที่อินทิราเทวีเป็นพระมหาเทวีมีอำนาจเหนือหญิงทั้งปวงในนครแห่งนี้ และองค์รังสิมันตุ์พ่อเจ้ายังทำเพิกเฉยเหมือนไม่รู้ราชประเพณีอันควรว่า ท้าวนางในแผ่นดินทุกคนต้องถวายบังคมอินทิราเทวี  และเมื่อพระนางไปประทับนั่งยังต้องนั่งพระราชอาสน์ต่ำอุษาวดีเทวี เพราะพระนางไม่ยอมลุกจากราชอาสน์องค์เดียวกับพ่อเจ้ารังสิมันตุ์

เสียงกังวานตรัสออกจากพระโอษฐ์พ่อเจ้าว่า

“อินทิราฟังไว้ให้ดีบัดเดี๋ยวนี้ว่า   แม้งูพวกนี้จะมาจากที่ใดก็ตาม   อย่าให้เราได้ ยินสักนิดว่าเป็นฝีมือเจ้า   หาไม่เราจักประหารเจ้าด้วยมือของเราเอง”

พระมหาเทวีมิอาจระงับกริ้ว  ทรงเค้นพระเสียง สวนพระสวามีทันที

“รู้ทั้งแผ่นดินน่านฟ้าว่า ไม่มีใครที่ทรงโปรดเท่าอุษาวดีแห่งเมืองคราม ถึงแม้นางผู้นี้จะสิ้นชีวิตด้วยวิธีใด ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผลร้ายต่อน้องทั้งนั้น แต่น้องสิเห็นมทีต้องตายก่อนนางเพราะคำครหาเยี่ยงนี้เป็นแน่แท้”

“พูดราวกับว่าเราไม่รู้สันดานริษยาของเจ้า”

“พี่เจ้า”

รังสิมันตุ์พ่อเจ้าขึงพระเนตรใส่ ไร้ความเมตตา

“นางในกี่คนที่ต้องหายตัวไปอย่างลึกลับ เราไม่อยากติดใจเอาความ แต่เราไม่ไปหาเจ้า เจ้าก็น่าจะรู้ตัวดีว่าไม่ว่าเจ้าคิดการใดล้วนทำให้เรารักไม่ได้ทั้งนั้น”

  “โหดร้ายเหลือเกิน โหดร้ายนัก หาเหตุน้องเพราะชิงชังโดยแท้ เมื่อพระไม่ปราณีน้องจำต้องก้มหน้ามองแต่เพียงพื้นตำหนักอยู่แล้ว แต่นี่ทรงบริภาษต่อนางหญิงต่างเมืองดังนี้อีก ไยไม่ฆ่าน้องให้ตายไปเสียเลยเล่าเพคะ”

“ถ้ามีครั้งมีครั้งต่อไป ความตายเห็นจะถึงเจ้าแน่อินทิรา”

“ยุติธรรมต่อน้องบ้างสิเพคะพี่เจ้า”เทวีฝ่ายขวาวิงวอน “พี่เจ้าประจานน้องต่อหน้านางข้าทาส ไม่ไว้หน้า   ยังทรงเอาผิดน้องโดยที่น้องมิได้รู้เห็น”

รังสิมันตุ์พ่อเจ้า เมินพระพักตร์จากพระพักตร์มหาเทวีฝ่ายขวา ก่อนตรัสออกมาว่า

“เราหมดเรื่องเตือนเจ้าเพียงแค่นี้   เจ้ากลับไปได้แล้ว”

อินทิราเทวีกัดพระโอษฐ์แน่น เพื่อบังคับมิให้เปล่งเสียงกร่นด่าอุษาวดีเทวีออกมา  ทั้งยังทรงฝืนพระทัยกราบพระบาทพระสวามี  โดยมีอุษาวดีเทวีประทับนั่งเคียงข้างอยู่ไม่ห่าง จึงดูเหมือนอินทิราเทวีต้องถวายบังคมเทวีฝ่ายซ้ายไปพร้อมกัน พระนางเครียดแค้นในพระทัยมากจนสุดประมาณได้

เจ้าแย่งสวามีข้ายังไม่พอ เจ้ายังทำเย้ยหยันด้วยท่าทีไร้เดียงสา ได้อย่างไม่ละอายใจ

อย่างเจ้าต้องถูกข้าเผาทั้งเป็นจึงสมควร นางอุษาวดี!


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (69 รายการ)

www.batorastore.com © 2024