Andersen's Fairy Tales (เทพนิยายแอนเดอร์เซน)

Andersen's Fairy Tales (เทพนิยายแอนเดอร์เซน)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: andersen
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 460.00 บาท

เนื้อหาบางส่วน

1

นางเงือกน้อย

 

ไกลโพ้นในมหาสมุทร น้ำทะเลเป็นสีฟ้าราวกับดอกคอร์นฟลาวเวอร์[1] ที่ออกสีจัดที่สุด สุกใสราวกับอัญมณี แต่มันลึกมาก ลึกลงไปใต้ล่างเกินกว่าสายใดๆ จะหยั่งถึงได้ หากแม้นำยอดสูงของโบสถ์มาวางซ้อนต่อๆ กันก็ยังไม่อาจลงไปสู่ก้นทะเลจากผิวน้ำได้ ณ ที่แห่งนั้นเองเป็นเมืองที่ชาวเงือกทั้งหลายได้อยู่อาศัย

อย่าได้คิดไปว่าเมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยผืนทรายขาวๆ แต่เพียงเท่านั้น ไม่เลยทีเดียว เหล่ามวลไม้อันตระการตาขึ้นงามที่นี่ มีกิ่งก้านและใบที่ยืดหยุ่น เพียงน้ำกระเพื่อมน้อยนิดก็อาจปลุกให้ต้นไม้เหล่านี้กลับดูมีชีวิตขึ้น เหล่าปลาน้อยใหญ่แหวกว่ายในหมู่ไม้นั้นดังเช่นที่นกโผร่อนในท้องฟ้า ปราสาทราชวังของราชาเงือกตั้งอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของท้องสมุทร กำแพงปะการัง บานหน้าต่างทอดยาวสีอำพันหลังคาเปลือกหอยแมลงภู่ที่เปิดปิดได้ในน้ำนั้นมีลูกเล่นตระการตาด้วยในเปลือกหอยแต่ละเปลือกนั้นบรรจุไข่มุกแพรวพราวเอาไว้และแต่ละเม็ดนั้นควรค่าแก่การประดับลงบนมงกุฎแห่งราชินี

ราชาเงือกนั้นได้ตกพุ่มหม้ายมานานหลายปี มีมารดาผู้แก่ชราของพระองค์ช่วยดูแลราชวังแห่งนี้ นางเป็นสตรีผู้ฉลาดเฉลียวและถือมานะในกำเนิดชั้นสูงของตนเอง นางสวมหอยนางรม 12 ตลับลงบน
หางเงือกในขณะที่นางเงือกชั้นสูงตนอื่นๆ ได้รับอนุญาตไว้เพียง 6 ตลับเท่านั้น นอกจากนี้แล้วนางยังควรค่าแก่การสรรเสริญยิ่งนัก โดยเฉพาะนางเป็นที่รักของเหล่าเจ้าหญิงเงือกน้อยๆ ทั้งหลาย ซึ่งก็คือหลานย่านั่นเอง ซึ่งมีทั้งหมด 6 นาง องค์เล็กสุดท้องนั้นเลอโฉมเป็นที่สุด มีผิวเนียนนุ่มละมุนละไมราวกับกลีบกุหลาบ ดวงตาสีฟ้าดังมหาสมุทรอันลึกล้ำ ทว่าเช่นเดียวกับเงือกอื่นที่ไร้เรียวขาแต่กลับเป็นหางปลาแทนที่

ตลอดทั้งวันพวกนางจะเล่นในโถงใหญ่ที่มีดอกไม้สดเติบโตออกมานอกหน้าต่าง เมื่อผลักบานหน้าต่างออก ปลาก็ได้เวียนว่ายเข้ามาข้างในคล้ายกับนกนางนวลบินเข้ามาในยามที่เราเปิดหน้าต่าง ปลาว่ายแหวกเข้ามาหาเจ้าหญิงเงือกน้อย กินอาหารในมือ และยอมให้ลูบหัวเล่นได้อย่างว่าง่าย

ด้านนอกวังยังมีสวนขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีแดงเพลิงและสีน้ำเงินเข้ม ออกผลเป็นสีทองปลั่ง ดอกเป็นสีแดงเพลิงบนกิ่งก้านที่เคลื่อนไหวไปมาไม่หยุดนิ่ง พื้นเป็นทรายละเอียดชั้นเยี่ยมมีสีฟ้าของฟอสฟอรัส ทุกสิ่งถูกอาบไว้ด้วยสีฟ้าอ่อนอันแสนวิเศษ ลึกลงไปนี้คนเราอาจคิดไปว่ากำลังลอยอยู่ในอากาศ แม้ว่าท้องฟ้านั้นจะอยู่เบื้องบนและเรากำลังอยู่ในมหาสมุทรก็ตามที ในความสงัดเงียบนั้นเราอาจจะต้องแสงอาทิตย์ดังเช่นดอกไม้ม่วงกับธารน้ำแห่งรัศมีแสงที่ส่งมาจากกลีบเลี้ยงของมัน

เจ้าหญิงแต่ละองค์นั้นได้รับการแบ่งส่วนของสวนพฤกษาให้ปลูกสิ่งใดๆ ตามใจชอบได้ เจ้าหญิงองค์หนึ่งปลูกแปลงดอกไม้เป็นทรงปลาวาฬ บางองค์ทำเป็นรูปนางเงือก องค์เล็กสุดนั้นแต่งเป็นทรงกลมดังดวงอาทิตย์ ปลูกแต่เพียงดอกไม้ที่มีสีแดงราวกับลำแสงแห่งดวงอาทิตย์ เธอเป็นเด็กน้อยช่างสงสัย พูดน้อยและชอบใช้ความคิด ในขณะที่พี่สาวคนอื่นๆ นั้นชอบนำสิ่งประหลาดต่างๆ จากซากเรืออับปางมาแต่งสวน เธอกลับไม่มีสิ่งใดนอกจากดอกกุหลาบแดงที่ดูคล้ายกับดวงอาทิตย์เบื้องบน กับรูปปั้นเด็กชายรูปงามที่สลักขึ้นจากหินอ่อนอันขาวบริสุทธิ์ซึ่งได้มาจากซากเรือที่ล่มลง ข้างรูปปั้นนั้นเธอ
ได้ปลูกต้นวิลโลว์น้ำสีแดงกุหลาบที่งอกงามอลังการ กิ่งก้านอ่อนระย้าห้อยลงมาจนเกือบจะถึงผืนทรายสีฟ้า ทอดเป็นเงาสีม่วง ยามใดที่พัดไหวไกวโบกจะเห็นเป็นภาพราวกับกิ่งก้านและรากไม้กำลังแลกปลี่ยน จุมพิตกันอยู่

ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะทำให้เงือกน้อยหรรษาไปกว่าการได้ฟังเรื่องเล่าของมนุษย์โลก เธอขอให้ท่านย่าเล่าเรื่องราวในเมืองมนุษย์ เรือเอยเมืองเอย คนและสัตว์ทั้งหลาย ทุกๆ สิ่งดูเป็นเรื่องที่สวยงามมากสำหรับเธอ ที่ดอกไม้บนดินนั้นมีกลิ่นหอมไม่เหมือนดอกไม้ใต้บาดาล พืชมีสีเขียวมีปลาแหวกว่ายไปมารอบๆ ต้นไม้นั้นสามารถร้องเพลงได้ไพเราะจับใจน่าฟังยิ่ง ท่านย่าของเธอเรียกนกเป็นปลา เพราะเหตุที่เหล่านางเงือกไม่อาจเข้าใจได้เพราะไม่เคยเห็นนกมาก่อน

“เมื่อเจ้าอายุครบ 15 ปี” ท่านย่าเอ่ย “เจ้าจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปยังผิวน้ำ นั่งบนก้อนหินกลางแสงจันทร์ ดูเรือลำใหญ่แล่นผ่าน ได้เห็นป่าและเมืองอีกด้วย”

เจ้าหญิงเงือกผู้พี่คนแรกมีอายุครบ 15 ในปีต่อมา น้องสาวคนต่อๆ มาอ่อนลงไปคนละปี เหลืออีก 5 ปีเต็มที่จะถึงคราวของน้องเงือกสุดท้องที่จะได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปได้ ทุกคนต่างสัญญากันว่าจะนำสิ่งที่เห็นมาเล่าให้น้องๆ ฟังให้หมด และเป็นเรื่องวิเศษเหลือหลายในวันแรกที่ขึ้นไป ท่านย่าของนางไม่ได้เล่ารายละเอียดได้มากเท่าที่นางต้องการทราบ

ไม่มีใครเลยที่ปรารถนาอย่างแรงกล้าเช่นที่เงือกน้องเล็กนั้นใฝ่ฝัน ผู้ซึ่งต้องรอคอยเป็นเวลายาวนาน ด้วยความเป็นคนที่เงียบขรึมและช่างคิด หลายค่ำคืนที่นางเงือกน้องนั่งอยู่ริมหน้าต่าง เหม่อมองไปยังด้านนอกที่ดำทะมึน เห็นปลาแหวกว่ายในน้ำขยับครีบและหางของตน เธอฝันที่จะเห็นดวงจันทร์และดวงดาว ดูซีดจางทว่าเมื่อมองจากใต้น้ำนั้นดูใหญ่กว่าที่คนบนโลกมองด้วยตาเปล่ามากนัก เมื่อเธอได้เห็นเงามืดคืบคลานมาระหว่างเธอและดาว เธอรู้ว่านั่นอาจเป็นเงาของปลาวาฬว่ายน้ำผ่านมา หรือเรือที่นำมนุษย์มาด้วย เชื่อว่าคงไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีเงือกสาวแสนสวยอยู่ใต้ท้องมหาสมุทรกำลังเอื้อมมือไปหา

เจ้าหญิงเงือกองค์โตสุดอายุครบ 15 แล้ว และได้ไปยังเหนือผืนน้ำนั้น เมื่อกลับลงมาก็เต็มไปด้วยเรื่องเล่ามากมาย แต่เรื่องที่น่าปลื้มที่สุดสำหรับเธอนั้นก็คือการได้ทอดกายลงอาบแสงจันทร์บนชายหาดในท้องทะเลสงบ มองดูเมืองใหญ่อยู่ใกล้ฝั่ง มีดาวระยิบระยับนับร้อยดวง ฟังเสียงดนตรี เสียงผู้คนและยวดยานแล่นผ่านไปมา เห็นโบสถ์หอคอยและยอดสูง ได้ยินเสียงระฆังดังกังวาน แต่ทว่าเธอไม่อาจขึ้นไปบนบกซึ่งเป็นสิ่งที่เธอปรารถนามากที่สุด

โอ เจ้าหญิงเงือกน้องเล็กนั้นตั้งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ในยามเย็นวันหนึ่งเธอได้เปิดบานหน้าต่างออกแล้วมองไปยังน้ำทะเลสีครามเข้ม นึกถึงเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงดัง ฝันเพ้อว่าจะได้ยินระฆังโบสถ์ดังแว่วมา

ในปีถัดมา เจ้าพี่หญิงเงือกคนรองได้รับอนุญาตให้ไปบนผิวน้ำที่ใดก็ตามที่ต้องการ พระอาทิตย์กำลังจะตกดินเมื่อนางใกล้จะถึง ช่างงดงามจนเกินบรรยาย เกินกว่าภาพใดๆ ที่เคยเห็นมาก่อนนี้ ท้องฟ้าทั้งหมดเป็นสีทอง หมู่เมฆล่องลอยวิไลล้ำเกินคำใดจะบรรจงเล่าบนฟ้าสีแดงจรัส ฝูงหงส์บินผ่านฟ้าไปเร็วรี่ดูราวกับผ้าคลุมสีขาวแถบยาวเลื่อนบนผิวน้ำไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับ เธอว่ายน้ำตามไป แต่ว่าอาทิตย์ดับแสงไปเสียก่อน ทิ้งไว้เพียงแสงสีกุหลาบบนมวลเมฆาแล้วหายลงไปในน้ำ

 ปีถัดมานั้นพี่สาวองค์ที่สามได้ออกไปไกลกว่าคนอื่นๆ นางไปจนถึงแม่น้ำที่เชื่อมกับมหาสมุทร ว่ายไปยังสายน้ำกว้าง ได้เห็นทิวไม้เลื้อยสีเขียวอันสวยสด พระราชวังและชนบทที่ตั้งตระหง่านอยู่ในป่าอันอุดม ได้ยินเสียงนกร้อง พระอาทิตย์แผดแสงแรงเผาใบหน้าจนนางต้องดำลงไปในน้ำบ่อยครั้ง ที่ปากอ่าวเล็กๆ นางได้พบกับกลุ่มเด็กน้อยเปลือยกายเล่นน้ำ นางอยากเล่นด้วย แต่เด็กเหล่านั้นตกใจวิ่งหนีไป มีสัตว์สีดำวิ่งมา มันคือสุนัข แต่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนเลย มันเห่าขรมมาที่นางจนนางรู้สึกกลัวจึงรีบกลับลงมายังทะเลลึก นางยังตราตรึงต่อความงามในป่า เขาเขียว เด็กน้อยน่ารักที่ลงว่ายน้ำแม้ว่าจะไม่มีหางก็ตามที

พี่สาวองค์ที่สี่นั้นไม่ได้กล้าหาญเท่าใดนัก นางอยู่ในส่วนที่ห่างออกมาในทะเลแล้วบอกว่ามันเป็นจุดที่สวยงามที่สุด นางมองออกมาไกลหลายไมล์ ท้องฟ้าดูเหมือนเป็นหลังคาโค้งกระจกใส นางเห็นเรือจากที่ไกลๆ ดูเหมือนนกนางแอ่น มีโลมากำลังตีลังกาเล่น วาฬยักษ์พ่นน้ำผ่านด้านบนหัวเหมือนน้ำพุพุ่งขึ้นรอบๆ

คราวนี้ก็มาถึงตาพี่สาวองค์ที่ห้า วันเกิดของนางมีขึ้นในฤดูหนาว นางจึงได้เห็นทิวทัศน์ที่ไม่มีใครได้เห็นมาก่อนในคราวที่ขึ้นมาเยือนผิวน้ำเป็นครั้งแรก ทะเลดูเป็นสีออกเขียวและมีก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาลอยอยู่ ดูคล้ายกับไข่มุก แต่ว่าใหญ่กว่าโบสถ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น มันมีรูปร่างที่แสนวิเศษ เปล่งประกายราวกับเพชร นางได้นั่งลงบนก้อนน้ำแข็งก้อนหนึ่ง เรือที่ผ่านไปมานั้นตื่นตกใจที่ได้เห็นนางนั่งอยู่บนก้อนน้ำแข็งปล่อยผมสยายยาวตามสายลม

ในยามเย็นนั้นท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดำทะมึน มันคะนองรัวและแลบปลาบ ก้อนน้ำแข็งยักษ์นั้นพราวแสงจ้า ลอยสูงขึ้นเพราะคลื่นดำลูกโต เรือทุกลำลดใบลง เต็มไปด้วยความอึงคะนึงระรัวไปหมดทุกแห่ง แต่นางกลับนั่งมองอยู่บนก้อนน้ำแข็ง เห็นสายฟ้าฟาดลงบนท้องทะเลอันโชนแสง

ครั้งแรกที่ขึ้นเหนือน้ำของพี่ๆ ทุกองค์นั้นนางทั้งหลายต่างยินดีต่อความงามและภาพดุจนิยายที่ได้เห็น ทว่าเมื่อเติบโตขึ้น มีอิสระที่จะไปแห่งใดได้ตามชอบแล้ว ความโหยหาที่จะไปก็น้อยลงตามไปด้วย นางทั้งหลายคิดถึงบ้าน เพียงเดือนเดียวทุกตนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าบ้านนั้นดีที่สุด ผาสุกยิ่งแล้ว

หลายเพลาเย็นที่เหล่าเจ้าหญิงเงือกได้กุมมือกันขึ้นบนผิวน้ำ พวกนางมีเสียงอันไพเราะกังวานชัดกว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ บนโลก เมื่อเกิดพายุ นางหวังที่จะให้เรืออับปางลงเพื่อขับขานเพลงกล่อมเหล่ากะลาสีให้ไม่ต้องกลัว ทว่าเหล่าลูกเรือไม่อาจเข้าใจในคำที่เอื้อนเอ่ยออกมาได้และคิดไปว่านี่เป็นเสียงแห่งพายุ ไม่อาจเห็นสวรรค์แห่งโลกใต้บาดาล เพราะเมื่อถึงนครชาวเงือกก็สิ้นชีวิตกันหมดแล้ว เมื่อพี่สาวคนโตจับมือเป็นวงกลมเพื่อขึ้นไปยังผิวน้ำ น้องเล็กต้องอยู่เพียงลำพัง มองตามหลังไปด้วยตาแดงแต่มิอาจร่ำไห้เพราะเงือกนั้นไร้น้ำตา จึงต้องทนทุกข์ขื่นขมโดยไร้ทางระบายยิ่งกว่ามนุษย์

“หากเราอายุครบ 15 แล้วละก็” เธอกล่าว “เราจะรู้เสียทีว่าจะหลงรักโลกเหนือน้ำนั้นได้มากเพียงไร แล้วก็เหล่าผู้เป็นมนุษย์ที่อาศัยนั่นด้วย”

ในที่สุดวันเกิดครบ 15 ปีของนางก็มาถึง

“เราจะปล่อยให้เจ้าไปแล้วละนะ” ท่านย่าผู้เป็นใหญ่บอก “มาสิ ให้ย่าประดับเจ้าเหมือนกับพี่ๆ ของเจ้า” แล้วนางก็บรรจงร้อยดอกลิลลี่ขาวที่ผม ทุกๆ กลีบนั้นมีขนาดเท่ากับครึ่งของหอยมุก จากนั้นจึงติดหอยนางรม 8 ตลับลงบนหางของนาง เพื่อแสดงฐานะอันสูงส่ง

“แต่มันเจ็บนะท่านย่า” นางเงือกน้อยกล่าว

“เจ้าต้องยอมทนไว้บ้างเพื่อประดับแพรพรรณ” ท่านย่าตอบ

ครานี้เองที่มาถึงตาของนางที่จะได้สลัดเอาเครื่องประดับออกแล้ววางพวงมาลัยลง ดอกไม้แดงในสวนของเธอนั้นเหมาะกว่ามากนัก แต่นางไม่หาญกล้าจะเปลี่ยนแปลงใดๆ “ลาก่อน” นางเอ่ย ว่าแล้วนางก็พุ่งขึ้นไปอย่างแผ่วเบาราวกับฟองอากาศลอยขึ้นพ้นน้ำ

พระอาทิตย์กำลังตกดินในยามที่เจ้าหญิงเงือกน้อยขึ้นมาพ้นผิวน้ำ เมฆยังคงเป็นสีแดงทองตระการตา ดาวน้อยในยามอัสดงกะพริบพรายแสงสีชมพูระเรื่อ อากาศสดชื่นกำลังดี ทะเลสงบราบราวกับบ่อน้ำโรงสีข้าว เรือที่มีเสากระโดงสามเสาลอยอยู่ใกล้ๆ มีเพียงลำเดียวที่ล่องทะเล กะลาสีนั่งลงที่เชือกระโยงระยาง ที่ไม้พาดตรงเสากระโดงนั้นมีเสียงดนตรีและร้องเพลงบนเรือ ในยามเย็นย่ำที่เยื้องกรายเข้ามา โคมหลากสีสดใสนับร้อยดวงได้ถูกจุดขึ้น ดูราวกับธงทุกชาติกำลังโบกสะบัดในสายลม นางเงือกน้อยว่ายเข้าไปใกล้หน้าต่างห้องในเรือ ทุกครั้งที่เธอถูกระลอกคลื่นพัดให้ลอยสูงนั้นจะได้เห็นบานโปร่งด้านในมีผู้คนแต่งตัวกันอย่างสวยงาม ผู้ที่หล่อเหลาที่สุดในนั้นคือเจ้าชายหนุ่มผู้มีดวงตาดำขลับลุ่มลึก อายุราว 16 ชันษา งานเลี้ยงฉลองนี้จัดขึ้นเนื่องในวันเกิดของเจ้าชาย เหล่ากะลาสีเต้นรำบนดาดฟ้าเรือ เจ้าชายปรากฏตัวขึ้นในหมู่กะลาสี มีการยิงสลุตพลุไฟสว่างราวกับตอนกลางวัน ทำให้นางเงือกน้อยตกใจจนต้องดำหายลงไปในน้ำ แล้วไม่นานนักก็โผล่ขึ้นมาอีก และดูเหมือนว่ารอบกายนั้นดุจมีสายฝนแห่งดวงดาวโปรยปรายอยู่ เธอไม่เคยพบเห็นพลุไฟมากมายเช่นนี้มาก่อนเลย พลุดวงพระอาทิตย์หมุนรอบ พลุไฟรูปปลาลอยบนฟากฟ้า ล้วนส่องสะท้อนมาที่ผิวน้ำอันเป็นเงาพรายกระทบ บนเรือนั้นสว่างไสวจนอาจเห็นเชือกเส้นน้อยๆ ได้ ผู้คนทั้งหลายต่างมีความสุขกันดี เจ้าชายช่างรูปงามยิ่งนัก ดูยามที่พระองค์ทรงสรวลสำราญขณะพูดคุยกับผู้คนทั้งหลายสิ เสียงดนตรีคลอเคลียไปในความมืดของราตรี

จวบจนกลางดึก เจ้าหญิงเงือกน้อยก็ยังไม่อาจละสายตาไปจากเรือและเจ้าชายผู้เลอโฉมนั้นได้เลย โคมหลากสีนั้นได้ถูกดับลง ไม่มีพลุไฟยิงอีกแล้ว สลุตปืนใหญ่หยุดยิง ลึกลงไปด้านล่างมีเพียงเสียงโหยหวนครวญครางแห่งท้องทะเล

 ขณะที่นางเงือกน้อยกำลังโยนตัวขึ้นลงไปตามแรงคลื่นเพื่อแอบมองห้องในเรือนั้นเอง เรือก็ได้ถูกแรงลมขับให้ล่องห่างออกไปไกลขึ้นทุกที คลื่นแรงขึ้นเรื่อยๆ มวลเมฆรวมตัวกัน มีสายฟ้าแลบอยู่ไกลๆ พายุอันบ้าคลั่งจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ทันใดนั้นเองกะลาสีเรือก็ลดใบลง เรือโคลงเคลงไปมา ท้องนทีกำลังพิโรธ คลื่นดำทะมึนก่อตัวสูงราวกับภูเขา สูงพอที่จะกลืนเงือกน้อย ทว่านางมุดลงไปว่ายอยู่ใต้คลื่นราวกับหงส์บินในอากาศ แล้วลอยสูงขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าตามขอบคลื่นยักษ์ นางเงือกน้อยคิดว่านี่เป็นเรื่องสนุกเสียจริง แต่ไม่ใช่กับพวกกะลาสี เรือลั่นเอียดอาดส่งเสียงคำรามดังสนั่นด้วยแรงปะทะ ไม้ใหญ่บิดงอและโค้งลงตามแรงพัด น้ำซัดดาดฟ้าเรือให้แตกออกราวกับฟาดลงไปในทุ่งกกให้ล้มระเนระนาด น้ำทะลักทลายเข้าสู่ลำเรือ

ในวินาทีนั้นเองเจ้าหญิงเงือกน้อยได้เห็นภัยที่เกิดขึ้นต่อเรือตรงหน้า เธอต้องระวังมิให้ซากไม้และท่อนซุงโดนตัว ในขณะนั้นเองเกิดความมืดมิดครอบคลุมจนไม่อาจเห็นสิ่งใด เมื่อสายฟ้าฟาดจึงสว่างจัดและส่องให้เห็นทุกสิ่งบนเรือ ผู้คนต่างเอาตัวรอดกันอย่างสุดกำลัง แต่เงือกน้อยนั้นมองหาแต่เพียงเจ้าชายหนุ่ม เมื่อเรือล่มลง นางเห็นเจ้าชายจมลงในทะเลลึก ในทีแรกนั้นนางค่อนข้างดีใจที่เขาผู้นั้นจะได้มาอยู่ด้วยกันกับเธอ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามนุษย์นั้นมิอาจมีชีวิตอยู่ใต้บาดาลได้ ชายหนุ่มต้องตายไปเสียก่อนจะถึงราชวังของพระบิดาเงือก โอ้ ไม่นะ ท่านต้องไม่ตาย ดังนั้นเงือกน้อยจึงแหวกว่ายไปท่ามกลางลำซุงและซากแผ่นไม้ที่เลื่อนลอยในน้ำ โดยลืมไปเสียว่าอาจพุ่งชนตัวเองได้ เธอดำลึกลงไปในน้ำแล้วโผล่พ้นขึ้นมาบนคลื่น ในที่สุดก็ได้ตัวเจ้าชายผู้สิ้นเรี่ยวแรงที่จะว่ายน้ำต้านพายุอีกต่อไป แขนขาอ่อนเปลี้ย ตาปิดสนิท ชายหนุ่มต้องไม่รอดเป็นแน่แท้หากมิได้นางเงือกน้อยช่วยชีวิตเอาไว้ นางพยุงศีรษะเจ้าชายขึ้นเหนือน้ำนั้น ปล่อยให้คลื่นซัดพัดพาทั้งสองเข้าสู่ฝั่ง

ในยามอรุณรุ่ง พายุได้สงบลงแล้ว ไม่มีร่องรอยเรือหลงเหลือให้เห็น พระอาทิตย์ขึ้นจากน้ำส่องแสงเรืองรอง รังสีสีแดงกุหลาบต้องพระปรางเจ้าชายระเรื่อ ทั้งๆ ที่พระเนตรยังคงหลับอยู่ นางเงือกน้อยบรรจงจูบลงที่ขนง[2] อันงอนงามละเอียดนุ่ม สางพระเกศาที่เปียกชุ่มเจ้าชายนั้นดูราวกับรูปปั้นที่อยู่ในสวนน้อยใต้น้ำของนางเอง นางจุมพิตเจ้าชายอีกครั้งเพียงหวังให้ชายหนุ่มฟื้นขึ้นมา

ในที่สุดนางก็เห็นฝั่งตรงหน้า ภูเขาสีฟ้าปกคลุมด้วยหิมะบนยอดราวกับฝูงหงส์เกาะกุมบนยอดนั้น ใกล้ฝั่งนั้นเป็นป่าเขียวชอุ่มสวยสด ด้านหน้ามีโบสถ์หรือวัดนางก็ไม่อาจแน่ใจ แต่ทว่าเป็นอาคารอะไรสักอย่างหนึ่ง ต้นมะนาวและส้มขึ้นอยู่ในสวนที่มีต้นปาล์มรอบๆ ประตู จุดนั้นเป็นอ่าวเล็กๆ ในทะเลอันสงบแต่ลึกมาก ส่วนที่ลึกนั้นเป็นหน้าผา เมื่อเข้าใกล้จะเป็นทรายขาวละเอียดที่นางว่ายเข้าฝั่งไปพร้อมเจ้าชาย นางวางเขาลงบนชายหาด ระวังให้พระเศียรนั้นต้องแสงแดดอันอบอุ่น

ระฆังดังขึ้นในหอคอยสีขาว แล้วก็มีหญิงสาวออกมาจากสวน เงือกน้อยว่ายกลับลงทะเลซ่อนตัวที่โขดหิน ปกคลุมร่างกายด้วยผมสยายและฟองคลื่นในทะเลเพื่อไม่ให้มีใครมองเห็นใบหน้า แล้วเฝ้าดูว่าใครจะมาพบเจ้าชายผู้น่าสงสาร

เป็นเวลานานกว่าที่จะมีหญิงสาวมาพบเจ้าชายที่ชายฝั่ง ในทีแรกนางดูตกใจทีเดียว แล้วนางก็ไปเรียกคนอื่นๆ มาช่วย นางเงือกเห็นเจ้าชายฟื้นขึ้นแต่มิได้ยิ้มให้นาง ไม่ได้รู้เลยว่านางคือผู้ช่วยชีวิตของเขาผู้นี้ไว้เอง นางเงือกรู้สึกเสียใจนักที่เห็นเจ้าชายถูกพาเข้าไปในตึกใหญ่ นางจึงดำลงไปในน้ำกลับบ้านด้วยความโศกาอาดูร

เงือกน้อยยิ่งเก็บตัวและเงียบงันกว่าที่เคยเป็น พี่สาวทั้งหลายได้ถามถึงสิ่งที่นางเห็นบนโลกมนุษย์ แต่นางมิได้ปริปากเล่าถึงสิ่งใดเลย

หลายทิวาและสายัณห์ที่นางเงือกน้อยได้เวียนว่ายขึ้นไปดูตรงที่ที่ได้พาเจ้าชายไปวางไว้ นางเห็นผลไม้สุกงอมในสวนถูกเก็บไป หิมะบนยอดเขาละลาย แต่ทว่ามิได้เห็นเจ้าชายอีกเลย เธอจึงต้องกลับบ้านไปด้วยความเศร้าเสียใจกว่าทุกๆ ครั้ง ที่บ้านบาดาลปล่อยนั้นเธอจะปลีกตัวไปนั่งเล่นลำพังในสวน ถือรูปสลักหินอ่อนย้ำเตือนให้คิดถึงเจ้าชายหนุ่ม ตอนนี้ท้องทะเลนั้นหม่นหมอง เธอละเลยสวนน้อยๆ ให้ก้านไม้ใบยาวระเกะระกะไปหมด

ในที่สุดนางก็ไม่อาจเก็บไว้ในใจเพียงลำพังอีกต่อไป จึงได้เล่าให้พี่สาวคนหนึ่งฟัง พี่สาวได้เล่าต่อๆ กันไปให้กับคนที่ตนสนิทได้รับรู้ มีคนหนึ่งที่รู้จักเจ้าชายและได้เห็นงานเลี้ยงของเจ้าชายบนเรือ อีกทั้งยังรู้ว่าเจ้าชายนั้นมาจากไหน อาณาจักรของพระองค์อยู่ ณ ที่ใด

“มาเถิดน้องเล็ก” เจ้าหญิงผู้พี่ทั้งหลายเอ่ย พลางเอื้อมมือแตะลงบนไหล่ของกันและกัน แล้วโผขึ้นด้านบนเป็นเส้นตรงยาวไปยังหน้าพระราชวังของเจ้าชาย

วังสร้างขึ้นด้วนหินสีเหลืองอ่อน มีบันไดหินอ่อนอันโอฬารทอดไปสู่สวนพฤกษาที่ยอดโดมสูงทรงกลมปิดทองงามตระการ มีพื้นที่เว้นว่างเอาไว้ตรงกลางระหว่างแถว วนเป็นวงกลมล้อมรอบตึกด้วยรูปสลักหินอ่อนที่ดูราวกับมีชีวิตจริง จากหน้าต่างกระจกใสอาจมองทะลุไปเห็นโถงอลังการที่ตกแต่งด้วยผ้าม่านประดับราคาแพง ที่ตรงกลางท้องพระโรงมีน้ำพุใหญ่พวยพุ่งไปสู่หลังคาโดมกระจกที่ยอมให้ลำแสงอาทิตย์ส่องผ่านลงมาสู่น้ำโดยมีพืชสวยงามเลี้ยงไว้ในอ่างยักษ์

คราวนี้เงือกน้อยได้รู้แล้วว่าเจ้าชายนั้นอยู่ที่ใด นางจึงเวียนมา
ในยามพลบค่ำอยู่บ่อยครั้ง ว่ายเข้าไปใกล้ฝั่งมากเกินกว่าจะมีใครกล้า จนกระทั่งเข้าไปในทางแคบใต้ระเบียงหินอ่อนที่ทอดยาวเหนือน้ำ นางมักจะนั่งเฝ้ามองเจ้าชายซึ่งนึกว่าตนอยู่เพียงลำพังในท่ามกลางแสงจันทร์นวลกระจ่าง

นางได้เห็นเจ้าชายเล่นเรือลำงาม ธงโบกพลิ้วดนตรีบรรเลง นางมักจะแอบมองผ่านทุ่งกกสีเขียวสด แม้หากลมโบกพัดเผยให้ใครมาเห็นเข้าก็จะเข้าใจไปว่านั่นคือหงส์น้อยกระพือปีก

หลายต่อหลายคืนที่นางมองเห็นชาวประมงตกปลาด้วยคบไต้ พูดสรรเสริญความดีของเจ้าชาย นั่นเองที่ทำให้นางเงือกน้อยดีใจเหลือเกินที่ได้ช่วยชีวิตเจ้าชายเอาไว้ ในยามนั้นที่ชายหนุ่มอยู่ท่ามกลางกลียวคลื่น หนุนเศียรลงบนอุระของเจ้าหญิงอย่างแนบชิด จุมพิตที่เปี่ยมเสน่หาของนางที่บรรจงให้กับเจ้าชาย ทว่าเจ้าชายมิได้ทรงรู้ความนี้เลยแต่ประการใด ไม่เคยสักครั้งที่จะฝันถึงนาง

เงือกน้อยยิ่งหลงรักพวกมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ และปรารถนาที่
จะได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนเหล่านั้น ดูเหมือนว่าโลกจะดูกว้างขวางยิ่งใหญ่มากสำหรับเธอ เรือของมนุษย์อาจท่องไปในสมุทร มนุษย์อาจสั่นคลอนภูเขา เมฆา และป่ากว้าง ท้องทุ่งอันกว้างออกไปไกล
จนสุดสายตา ยังมีอีกมากนักที่เจ้าหญิงน้อยต้องการจะไปถึง ทว่าพี่ๆ ของนางไม่อาจให้คำตอบต่อนางได้ในทุกข้อกังขา นางจึงต้องถามท่านย่าผู้รู้จักโลกเบื้องบนนั้นเป็นอย่างดีและสามารถเรียกประเทศเขตแดนเบื้องบนเหนือทะเลนั้นอย่างถูกต้อง

“หากมนุษย์นั้นไม่จมน้ำสิ้นลมไปเสียก่อน” เงือกน้อยถาม “เขานั้นอาจอยู่เป็นนิรันดร์ได้หรือไม่ จะลาโลกดังที่เราเป็นหรือไม่”

“แน่นอนหลานย่า” นางตอบ “มนุษย์นั้นต้องตายเช่นเดียวกับเรา ทว่าช่วงชีวิตมนุษย์นั้นสั้นกว่าเรามากนัก เราอยู่ยืนยาวถึง 300 ปี เมื่อคราต้องแตกดับ เราทั้งผองจะกลายเป็นฟองน้ำลอยในทะเลโดยมิได้ต้องโศกาต่อผู้เป็นที่รักกันมากมายนัก เรานั้นมิได้มีวิญญาณอันเป็นอมตะ ไม่มีอนาคตภายหน้าที่ทอดรอ เหมือนกับสาหร่ายที่ถูกตัดลงแล้วไม่อาจงอกเงยขึ้นมาใหม่ ส่วนพวกมนุษย์นั้นมีวิญญาณอันเป็นนิรันดร์กาล หลังจากที่ร่างได้กลายเป็นผุยผงไปแล้ว มันจะฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่ในอากาศกลายเป็นดวงดาว คล้ายกับเราที่โผล่ขึ้นไปบนโลกแห่งความสูญสลาย ที่พ้นขึ้นมาเป็นดินแดนแสนงามอันลึกลับที่เราไม่เคยได้เห็น”

“ทำไมเราจึงไม่มีดวงวิญญาณอันเป็นอมตะละคะท่านย่า” เงือกน้อยน้องเล็กถามอย่างเศร้าๆ “หลานยอมแลกอายุขัยสามร้อยปีเพียงเพื่อมีชีวิตเป็นมนุษย์สักวันเดียว จะได้อยู่บนอาณาจักรแห่งสรวงสวรรค์”

“อย่าไปคิดเรื่องนั้นเลยหลานย่า” ท่านย่าตรัส “เรานั้นมีชีวิตที่ดีกว่าและเป็นสุขยิ่งกว่ามนุษย์มากมายหลายเท่านัก”

“จากนั้นเราต้องตายแล้วกลายเป็นฟองลอยล่องในทะเล มิได้ยินเสียงดนตรีแห่งเกลียวคลื่นหรือดอกไม้งามแลดวงตะวันอันแดงฉาน ไม่มีสิ่งใดเลยหรือที่ข้าอาจทำเพื่อให้มีวิญญาณอันเป็นอมตะได้บ้าง”

“ไม่เลย” ท่านย่าตอบ “เว้นเสียแต่ว่ามีมนุษย์มาหลงรักเจ้าเป็นล้นพ้น มากเสียยิ่งกว่าพ่อแม่ของเขาเอง ทั้งความคิดจิตใจของเขานั้นปักใจหมายมั่นต่อเจ้าเพียงผู้เดียว ให้พระผู้ทรงศีลจูงมือเจ้าลงบนมือของเขา ปฏิญาณจะซื่อตรงต่อเจ้าตราบฟ้าสิ้นดินสลาย กายเจ้าก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเขาผู้นั้น ด้วยประการนี้เจ้าจึงจะได้เป็นมนุษย์อย่างเต็มตัว เขาคนนั้นจะมอบวิญญาณให้กับเจ้าโดยยังมีวิญญาณตนอยู่เช่นเดิม แต่ว่านั่นไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย เพราะสิ่งที่งดงามที่สุดในท้องมหาสมุทรของเจ้าโฉมสะคราญคือหางมัจฉาของเจ้านั้นจะต้องกลายเป็นสิ่งน่าเกลียดที่เรียกว่าเท้าของมนุษย์เสียก่อน”

นางเงือกน้อยถอนใจพลางมองลงบนหางปลาของนาง

“จงสำราญกันเถิด” ท่านย่าเอ่ย “เรามีชีวิตถึงสามร้อยปีที่จะกระโดดโลดเต้น เป็นเวลายาวนานพอดีทีเดียว จากนั้นเราทั้งมวลจะได้พักผ่อนในสุสานของตน เอาล่ะ วันนี้มีงานรื่นเริงรู้หรือไม่”

งานรื่นเริงใต้บาดาลนั้นตระการตากว่าในโลกมนุษย์มากมายนัก ผนังและเพดานห้องบอลรูมนั้นทำจากกระจกใสที่หนา ประดับด้วยเปลือกหอยนับร้อยพัน ทั้งสีแดงกุหลาบ เขียวใบหญ้า เรียงไล่เฉดสีรับกับไฟสีฟ้าที่ช่วยส่องสว่างให้กับห้องทะลุกำแพงใสออกไป มีสีแดงเข้ม ทอง และเงิน ตรงกลางห้องนั้นเป็นกระแสน้ำกว้างให้เหล่าเงือกได้เต้นและร้องเพลงได้ตามใจตน ไม่มีเสียงใดบนโลกจะไพเราะยิ่งกว่า เจ้าหญิงเงือกน้อยขับขานได้ไพเราะที่สุดทุกตนต้องปรบมือให้ นางรู้สึกดีในชั่วขณะหนึ่งที่ได้รู้ว่าตนนั้นมีเสียงอันไพเราะยิ่งกว่าเงือกและมนุษย์ตนใดในโลก ทันใดนั้นเองนางก็เริ่มคิดถึงโลกเหนือบาดาล นางไม่อาจตัดใจต่อเจ้าชายผู้เลอโฉมและเศร้าใจที่มิได้ครอบครองเจ้าชายผู้มีดวงวิญญาณอมตะนั้น นางจึงแอบย่องออกจากวังของพระบิดาไปในตอนที่งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อด้วยความชื่นมื่น นางหลบไปนั่งอย่างหงอยเหงาที่สวนหย่อมของตน ทันใดนั้นเองก็พลันได้ยินเสียงแตรผ่านมาในน้ำ นางจึงคิดว่า “เจ้าชายคงจะล่องเรือผ่านมาทางนี้เป็นแน่ เขาผู้นั้นผู้ที่ข้าหลงรักเสียยิ่งกว่าพ่อแม่ ความคิดทั้งมวลเกาะเกี่ยวไปกับเขาผู้นั้น ผู้ที่ความสุขของข้าขึ้นอยู่กับเขา และข้ายอมทุกสิ่งเพื่อความหวังที่ได้กลายเป็นมนุษย์และได้รับวิญญาณอมตะ ในขณะที่พี่สาวของข้านั้นกำลังเต้นรำอยู่ในปราสาท ข้าจะไปหาแม่มดแห่งท้องทะเลผู้ที่ข้าเคยกลัวมากเหลือเกิน บางทีนางอาจช่วยให้ข้าสมหวังได้”

เงือกน้อยผละออกจากสวนแล้วมุ่งตรงไปยังน้ำวนเชี่ยวที่ส่งเสียงคำรามดังสนั่น ที่ด้านหลังนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของนางแม่มดทะเล เงือกน้อยไม่เคยเยื้องกรายมาที่นี่เลย ไม่มีดอกไม้หรือสาหร่าย มีเพียงทรายสีเทามัวๆ ทอดยาวไปยังแอ่งน้ำวนราวกับกงล้อสีข้าวหมุนไปมา ดึงเอาสรรพสิ่งหมุนดิ่งลึกลงตามไปด้วย นางต้องผ่านใจกลางน้ำเดือดไปเสียก่อนจะเจอที่อยู่ของแม่มด และต้องไปอีกไกลกว่าจะข้ามพ้นโคลนเดือดที่นางแม่มดเรียกว่า “ตมถ่านหิน” ของนาง บ้านแม่มดอยู่กลางป่าลึกลับ เต็มไปด้วยต้นและพุ่มโปลิป[3] ที่ตัวเป็นพืช หัวเป็นสัตว์ ดูหลอนราวกับหัวงูที่โผล่ออกมาจากพื้นทราย กิ่งก้านยาว มีหนวดเฟิ้มเหมือนหนอนคืบ ทุกๆ ข้อต่อไปจนปลายยอดนั้นคอยแต่ขยับไปมา มันจะพันรอบสิ่งที่เคลื่อนไหวผ่านมาชนิดที่ว่าไม่ยอมให้หลุดรอดไปได้ เงือกน้อยยืนตะลึงพรึงเพริดด้วยความกลัว ใจเต้นเร็วจนคิดจะถอยหลังกลับ ทว่าเธอนึกถึงเจ้าชายและวิญญาณอันเป็นนิรันดร์ขึ้นมาจึงรวบรวมความกล้า เกล้าผมยาวสลวยขึ้นบนศีรษะไม่ให้โปลิปจับได้ กอดอกแล้วดิ่งไปราวกับปลาว่ายฉิวในน้ำ ในขณะเดียวกันเหล่าโปลิปที่น่าขยะแขยงนั้นก็ยื่นหนวดออกมาตามจับเงือกน้อย เธอมองเห็นแขนของโปลิปนั้นถือสิ่งต่างๆ ไว้ในมือ มัดไว้ด้วยลวดเหล็กซึ่งก็คือโครงกระดูกของมนุษย์สีขาวโพลนที่เรือล่มแล้วลงมาในใต้ทะเล มีหางเสือและหีบใส่ของ โครงกระดูกสัตว์บนบก สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้นก็คือเงือกที่ถูกจับไว้แล้วอุดจมูกหายใจ แล้วเงือกน้อยก็มาถึงป่าเปิดโล่งที่มีพื้นบางๆ ทุกสิ่งนั้นเต็มไปด้วยเมือก แล้วมีงูน้ำตัวอ้วนพีเลื้อยไปมาในนั้น ที่ตรงกลางเป็นบ้านที่สร้างขึ้นจากโครงเรือ นางแม่มดนั่งอยู่ตรงนั้น นางป้อนอาหารคางคกจากสิ่งที่คายออกมาจากปากของนางราวกับคนเลี้ยงนกขมิ้นด้วยเศษน้ำตาล เรียกงูน้ำนั้นว่าลูกเจี๊ยบน้อยๆ และให้มันเลื้อยบนอกอันไม่น่าชมของนาง

“ข้ารู้ดีว่าเจ้าหญิงมาด้วยประสงค์อันใด” นางแม่มดเอ่ย “ช่างโง่เขลายิ่งนัก เป็นการพาตัวเองไปสู่ความอับโชคโดยแท้ เจ้าหญิงผู้เลอโฉม ท่านต้องการกำจัดหางปลาของตนแล้วเปลี่ยนเป็นท่อนขามนุษย์ให้เดินได้เพื่อให้เจ้าชายหนุ่มนั้นมาหลงรักเจ้า ได้ครอบครองเขาผู้นั้นและรับเอาชีวิตอันเป็นอมตะ” เมื่อพูดจบนางก็เปล่งเสียงหัวเราะน่าเกลียดดังสนั่นจนคางคกและงูตกจากตัวนางลงมาแล้วเลื้อยอยู่ตรงนั้น

“ท่านมาได้จังหวะเหมาะทีเดียว” แม่มดบอก “หลังอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้ข้าไม่อาจช่วยเจ้าได้จนกว่าจะถึงปีหน้า ข้าจะปรุงยาให้สำรับหนึ่ง ก่อนอาทิตย์ขึ้น ท่านต้องว่ายน้ำไปบนฝั่งนั่งลงที่ชายหาดแล้วดื่มยาลงไป แล้วหางของเจ้าจะแยกเป็นขาสองข้างที่มนุษย์ต้องชมว่าสวยงามเป็นที่สุด แต่ว่ามันจะเจ็บปวดราวกับถูกมีดเฉือนร่าง ใครที่ได้เห็นจะต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าท่านเป็นนางมนุษย์ที่งดงามที่สุดในโลก ท่านจะเยื้องย่างด้วยความสง่างามราวกับร่อนไป ไม่มีนักเต้นรำคนใดอาจเป็นคู่แข่งได้ แต่ทุกย่างที่ท่านก้าวเหยียบนั้นจะเจ็บราวกับย่ำลงบนมีดอันคมกริบจนเลือดไหล ถ้ายังปรารถนาที่จะเจ็บปวดแสนสาหัสเช่นที่ว่ามานี้ ข้าก็พร้อมที่จะช่วย”

“เรายินดี” เจ้าหญิงเงือกน้อยบอกด้วยเสียงอันสั่น คิดถึงเจ้าชายและการได้รับวิญญาณนิรันดร์

“แต่จงจำไว้ว่า” นางแม่มดเอ่ย “หากกลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว จะมิอาจเป็นเงือกได้อีก ท่านจะไม่อาจดำลงมาพบพี่ๆ และพระบิดา และหากว่าไม่อาจชนะใจเจ้าชายจนเขาผู้นั้นรักท่านยิ่งกว่าพ่อแม่ตน
มีแต่ท่านเท่านั้นในดวงใจ และกระทั่งให้พระทำพิธีแต่งงาน ท่านจะไม่ได้วิญญาณนิรันดร์ รุ่งสางของวันใหม่ที่เขาผู้นั้นแต่งงานกับสตรีนางอื่น ท่านจะหัวใจสลายแล้วกลายเป็นฟองคลื่นลอยทะเล”

“เราจะทำ” เงือกน้อยตัดใจด้วยใบหน้าอันซีดเผือด

“แต่ท่านต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ข้าด้วย” นางแม่มดกล่าว “ไม่มากไม่น้อยแต่อย่างใด ท่านมีเสียงอันไพเราะที่สุดในบาดาลนี้ ท่านคงคิดจะใช้มันทำให้เจ้าชายหลงรัก แต่ท่านต้องให้เสียงกับข้า จ่ายมาเป็นค่าสำรับยาที่ปรุงขึ้นเป็นพิเศษ ข้าต้องหยดเลือดตนเองลงไปในยาด้วยดาบสองคม”

“แต่ถ้าท่านเอาเสียงเราไป เราจะเหลือสิ่งใดให้เจ้าชายหลงรักได้เล่า” เจ้าหญิงเงือกถาม

“เรือนกายอันงดงามของท่าน” นางแม่มดตอบ “ท่าเดินเยื้องย่างอันงดงามและดวงตาที่อาจสื่อความที่มี สิ่งเหล่านี้อาจใช้ทำให้ชายหนุ่มมาหลงรัก กลัวไปเสียแล้วรึ ยื่นลิ้นออกมาให้ข้าตัดเป็นค่าตอบแทนยาสำรับนี้”

“เป็นอันตกลง” นางเงือกน้อยกล่าว แล้วนางแม่มดก็ตั้งหม้อขึ้นปรุงยาวิเศษ “ไม่มีอะไรที่สะอาดสะอ้านหรอกนะ” นางเอ่ยขณะที่กลั้วหม้อด้วยงูช่อหนึ่ง แล้วแทงอกของคนเอาเลือดดำออกมาเทใส่ลงในหม้อ ควันที่พวยพุ่งขึ้นมานั้นมีรูปร่างแปลกประหลาด เพียงพอที่จะให้คนตกใจกลัว ทุกๆ ครั้งที่แม่มดโยนส่วนผสมลงไปในหม้อ เมื่อยาเดือดจะส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับจระเข้ร่ำไห้ ในที่สุดเมื่อยาสำเร็จลง มันใสบริสุทธิ์ราวกับน้ำที่แสนสะอาด

“นี่อย่างไรล่ะ” แม่มดบอก นางตัดลิ้นเงือกสาวออกมา ตอนนี้เงือกน้อยเป็นใบ้ไปเสียแล้ว ไม่อาจร้องเพลงหรือพูดได้อีก

“หากโปลิปจับเจ้าได้เมื่อตอนขากลับออกจากป่า จงเอายานี้หยดลงไป” แม่มดพูด “เพียงหยดเดียวก็จะทำให้มันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไม่มีชิ้นดี” แต่เงือกน้อยไม่ต้องทำเช่นที่ว่าเลย เพราะเมื่อโปลิปเห็นยาใสราวดวงดาวพราวแสงในมือนางแล้ว มันก็รีบหดหนีไปด้วยความกลัว เงือกน้อยจึงผ่านโปลิป โคลนเดือด และน้ำวนมาได้

เงือกน้อยเห็นวังของราชาเงือกผู้เป็นพ่อ แสงสีสว่างไสวในห้องเต้นรำดับลงไปหมดแล้ว เงือกทุกตนพากันหลับใหล ทว่านางไม่กล้าเข้าไปข้างในด้วยความที่กลายเป็นใบ้และกำลังจะจากบ้านไปตลอดกาล นางเงือกน้อยโศกาอาดูรจนดวงใจแทบสลาย นางย่องเข้าไปในสวนแล้วเก็บดอกไม้จากสวนพี่ๆ ทุกคน ส่งจูบนับไม่ถ้วนไปยังพี่สาวในวัง แล้วขึ้นไปบนบกผ่านท้องน้ำสีฟ้าเข้ม

ดวงตะวันยังไม่ขึ้นพ้นขอบฟ้าเมื่อเงือกน้อยมาถึงบันไดหิน-อ่อนของวังเจ้าชาย ดวงจันทร์สว่างกระจ่างบนฟากฟ้า เงือกน้อยดื่มสำรับยาในมือ นางรู้สึกราวกับมีดดาบคมกริบกรีดเฉือนร่างออกจากกัน นางล้มลงสลบไปทอดร่างลงราวกับตายลงเสียแล้ว เมื่อพระอาทิตย์ส่องพื้นผิวสมุทร เงือกน้อยจึงได้รู้สึกตัว ตรงหน้านั้นคือเจ้าชายหนุ่มรูปงามที่กำลังทอดพระเนตรอันดำขลับมายังเงือกน้อยนางมองลงไปที่ท่อนล่างของตนก็พบว่าหางปลาได้หายไปแล้ว เหลือเพียงขาคู่เล็กขาวนวลเนียนเรียวงามที่หญิงสาวทุกคนบนโลกปรารถนาที่จะเป็นเจ้าของ ทว่านางนั้นอยู่ในสภาพอันเกือบจะเปลือยเปล่า ดังนั้นนางจึงได้ใช้ผมอันยาวสลวยดกหนาห่อหุ้มร่างกายไว้เจ้าชายถามว่านางเป็นใคร มาที่นี่ได้อย่างไร นางตอบกลับด้วยสายตาอันอ่อนโยนและขื่นขมในดวงตาสีฟ้าลุ่มลึก ทว่าไม่อาจเปล่งเสียงได้ ทันใดนั้นเองเจ้าชายกุมมือนางแล้วพาขึ้นมายังพระราชวัง ทุกๆ ย่างก้าวที่เยื้องกรายนั้นเป็นไปตามคำเตือนของแม่มดที่พูดไว้ คือนางต้องรับเอาความเจ็บปวดราวกับย่ำลงบนคมมีดและหนามแหลม ทว่านางสู้ทนด้วยความยินดี เจ้าชายนำนางไป นางเดินราวกับฟองสบู่ล่องลอยในอากาศ ทุกๆ คนต่างประหลาดใจที่เห็นนางมีท่วงท่าเดินเหินราวกับร่อนบิน

เงือกน้อยได้รับเสื้อผ้าปกคลุมกายด้วยผ้าไหมและผ้ามัสลินราคาแพง นางคือผู้เลอโฉมกว่าใครในวัง แต่ทว่านางเป็นใบ้ ไม่อาจร่ายร้องหรือเจรจาใดๆ หญิงนางรำสาวสวยในวังสวมเสื้อไหมและทองออกมาร่ายรำต่อหน้าพระพักตร์เจ้าชายและพระบิดาพระมารดา นางรำคนหนึ่งขับร้องได้ไพเราะกว่าใคร เจ้าชายทรงปรบมือและยิ้มให้นางรำ ทำให้เงือกน้อยยิ่งเศร้าใจนัก นางคิดว่า “ถ้าเพียงแต่ทรงทราบว่าเรานั้นได้สละเสียงพูดไปตลอดกาลเพื่อที่จะได้มาอยู่กับพระองค์” ขณะนั้นเองนางรำได้ร่ายลีลาเริงระบำอย่างงดงามไปตามบทเพลง เงือกน้อยยกแขนขึ้น ร่อนไล่ปลายเท้าบนพื้นด้วยท่าทางอันงามสง่าไม่มีนางรำคนใดอาจเทียบเทียมได้ ทุกท่วงท่ายิ่งส่งให้ความงามนั้นเฉิดฉายขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของนางผสานกับบทเพลงเสียยิ่งกว่าที่นางรำร่าย ทุกคนที่ได้ดูนั้นตรึงตรา โดยเฉพาะเจ้าชายที่ทรงเรียกนางว่านวลน้อยของข้า นางเต้นต่อไปแม้ว่าในทุกๆ ก้าวนั้นจะต้องทนเจ็บปวดมากล้นราวกับย่ำลงบนคมมีดก็ตามที เจ้าชายรับสั่งให้นางเงือกน้อยต้องอยู่ใกล้ชิดพระองค์ในทุกโมงยาม นางเองได้รับอนุญาตให้นอนที่หน้าห้องบรรทมบนหมอนอิงกำมะหยี่ได้

เจ้าชายสั่งตัดชุดแต่งกายชายให้นางเงือกน้อยเพื่อที่จะได้ขึ้นม้าตามเสด็จประพาสป่าพร้อมพระองค์ ทั้งสองมักจะเข้าไปในป่าไม้หอม กิ่งไม้เรี่ยเคลียไหล่นาง นกร้องเพลงในพุ่มไม้ใบเขียวสด นางได้
ตามเสด็จประพาสปีนเขาด้วยกันกับเจ้าชายแม้ว่าเท้าอันบอบบางอ่อนนุ่มของนางจะต้องถึงกับเลือดไหลให้ผู้อื่นเห็น นางก็เพียงหัวเราะร่าแล้วตามเสด็จต่อขึ้นไปจนถึงยอดเขาที่เห็นเมฆาเคลื่อนคล้อยลอยอยู่ด้านล่าง ราวกับฝูงนกกำลังโผบินไปยังดินแดนอันแสนไกล

ที่พระราชวังอันเป็นนิวาสสถานของเจ้าชาย ยามค่ำคืนในขณะที่คนทั้งหลายนิทราลงแล้ว นางเงือกจะลงไปยังบันไดหินอ่อน แช่เท้าลงเพื่อคลายความแสบร้อนในน้ำทะเลเย็นๆ เพลานั้นเองที่นางจะครุ่นคิดถึงบ้านที่จากมา ณ ดินแดนอันลึกลงไป

ในค่ำคืนหนึ่ง บรรดาพี่สาวของเงือกน้อยโผล่พ้นขึ้นมาจากน้ำเกาะกุมแขนของกันและกัน ร้องเพลงครวญด้วยซุ่มเสียงอันเศร้าสลดอยู่ในน้ำ นางเงือกน้องเล็กสุดกวักมือเรียกพี่ๆ ซึ่งพวกนางจำน้องได้ แล้วพี่ๆ ก็เล่าถึงความเศร้าใจที่น้องจากไป หลังจากนั้นพวกพี่สาวได้มาเยี่ยมเธอในทุกค่ำคืน แล้วคืนหนึ่งนางมองไกลออกไปเห็นท่านย่าผู้ซึ่งไม่ได้ขึ้นมาบนบกเป็นเวลาหลายปีแล้ว และท่านพ่อผู้มีมงกุฎสวมเศียรยื่นมือออกมาหา แต่ไม่ได้เข้าใกล้ฝั่งเช่นที่พี่ๆ นั้นเข้ามา

แต่ละวันที่ผ่านไปนั้น ทำให้นางกลายเป็นที่รักของเจ้าชายมากขึ้นไปทุกขณะ พระองค์รักนางดังเช่นที่คนจะพึงรักเด็กน้อยแสนอ่อนหวานได้ แต่ทว่าไม่เคยนึกที่จะให้นางเป็นราชินีเลย หากมิได้เป็นภรรยาของชายหนุ่ม เธอก็มิอาจได้รับดวงวิญญาณอมตะ และในเช้าหลังพิธีแต่งงานของเจ้าชาย นางต้องกลายเป็นฟองคลื่นในทะเล

“ข้าน้อยไม่อาจเป็นที่รักของพระองค์ได้เลยหรือ” สายตาของนางเว้าวอนในยามที่เจ้าชายช้อนนางขึ้นมาตระกองกอดแล้วบรรจงจุมพิตลงบนคิ้วเรียวงาม

“เป็นสิ เจ้าเป็นยอดรักของข้า” เจ้าชายตรัส “เจ้าช่างมีจิตใจงามยิ่งกว่าผู้ใด แล้วเจ้าก็เป็นนางที่ข้ารักยิ่ง ซ้ำเจ้ายังเหมือนสตรีนางหนึ่งที่ข้าเคยพบแล้วก็ไม่เคยได้เห็นนางอีก ตอนที่ข้าเรืออับปางลงแล้วถูกซัดขึ้นฝั่งใกล้กับโบสถ์ สตรีน้อยนางนั้นมาดูแลโบสถ์ นางน้อยคนนั้นพบข้าและได้ช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าเจอนางเพียงสองครา นางเป็นหนึ่งเดียวที่ข้าพึงจะมอบความรักในโลกนี้ให้ได้ เจ้านั้นก็เป็นดังเช่นนาง เจ้าเกือบจะไล่ภาพนางที่ตรึงตราในใจข้าออกไปเสีย นางเป็นข้ารับใช้ของโบสถ์อันศักดิ์สิทธิ์[4] ด้วยความโชคดี ข้าจึงได้เจ้ามาครอง เราทั้งสองจะไม่มีวันพรากจาก”

“อนิจจา พระองค์ไม่เคยรู้เลยว่าเราเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตพระองค์เอาไว้” เงือกน้อยคิด “เราเองที่แบกพระองค์เข้าสู่ฝั่งในป่าใกล้โบสถ์นั้น เราเองที่นั่งเฝ้าอยู่หลังโขดหินรอดูคนมาพบเจ้าชาย เราเองที่เห็นสาวงามที่พระองค์ทรงรักยิ่งกว่าเรา” ว่าแล้วนางเงือกน้อยก็ถอนใจหนัก ทว่าไม่อาจร่ำไห้ออกมาได้

“ข้ารับใช้ของโบสถ์วัดที่พระองค์เล่าถึงนั้น ไม่อาจออกมาสู่โลกีย์ได้อีก ทั้งสองจะไม่มีวันได้เจอกัน เราอยู่ตรงนี้กับพระองค์ ได้เห็นพระองค์ทุกคืนวัน เราต้องเปลี่ยนใจพระองค์ให้ได้ สละหมดสิ้นทั้งชีวิตเราเพื่อพระองค์”

ทว่าต่อมา มีข่าวลือที่ว่าเจ้าชายจะทรงอภิเษกกับเจ้าหญิงแสนสวยธิดาของราชาเมืองที่อยู่ใกล้กัน เพื่อเหตุผลในการนี้ เจ้าชายได้รับเรือหลวงอันโอฬารเพื่อไปเยือนประเทศเพื่อนบ้าน มิต้องสงสัยว่าเป็นไปเพื่อดูตัวพระธิดาที่เหมาะสมกัน ข่าวนี้มิได้ทำให้เงือกน้อยกังวลใจ นางส่ายหน้าแล้วหัวเราะ เพราะนางเท่านั้นที่รู้ดีกว่าใครถึงความตั้งใจ
ของเจ้าชาย “ข้าต้องเดินทางครั้งนี้” พระองค์บอกกับเงือกน้อย “เพื่อไป
ดูตัวเจ้าหญิงต่างเมือง พระบิดาและพระมารดารับสั่งไว้ แต่ท่านไม่อาจบังคับใจให้เราแต่งงานกับนางได้ เราไม่อาจรักนาง นางมิใช่สตรีน้อยนางนั้นที่โบสถ์ซึ่งเจ้าดูคล้ายคลึงกับนางนัก หากเลือกเจ้าสาวแล้วไซร้เราจะเลือกเจ้าเป็นแม่นมั่น ด้วยเจ้านั้นมีดวงตาอันอาจเอ่ยคำ แม่นกน้อยพลัดถิ่นของข้า” ว่าแล้วพระองค์ก็บรรจงจุมพิตแก้มระเรื่อสีกุหลาบ ลูบไล้เรือนผมยาวสลวยแล้ววางพระเศียรลงบนหัวใจของนาง ความฝันของเงือกน้อยที่จะได้เป็นมนุษย์ใกล้เป็นความจริง

“ดูเจ้าไม่กลัวทะเลเลยนะ สาวใบ้แสนหวานของข้า” เจ้าชายตรัสขณะที่ทั้งสองนั้นยืนอยู่บนเรืออันตระการที่กำลังออกเดินทางไปยังดินแดนราชาแว่นแคว้นติดกัน เจ้าชายเล่าถึงพายุและเวลาที่ทะเลสงบ ปลาแปลกๆ ที่อยู่ในทะเลลึก และเรื่องพิศวงทั้งหลายที่นักประดาน้ำได้ลงไปพบเจอมา นางเงือกน้อยได้แต่ยิ้ม เพราะนางเองนั้นรู้เรื่องใต้ทะเลลึกมากกว่าผู้ใดทั้งหมด

ในยามค่ำคืนท่ามกลางแสงจันทรา เมื่อทุกคนหลับกันหมด
เว้นแต่ต้นหนเรือผู้คุมทาง เงือกน้อยจะนั่งข้างเรือเหม่อมองลงไปยังใต้น้ำใส แล้วจินตนาการไปเห็นวังของพระบิดาและท่านย่าที่สวมมงกุฎเงินบนศีรษะ มองไปยังกระแสน้ำตามกระดูกงูของเรือ ทันใดนั้นเหล่าพี่สาวของนางได้โผตัวขึ้นจากน้ำ มองมาอย่างเศร้าสร้อย นางผายมืออันขาวนวลกวักเรียก ยิ้ม เล่าเรื่องราวอันแสนสุข เด็กรับใช้ในเรือได้เข้ามา เจ้าหญิงเงือกมุดลงในน้ำ เด็กรับใช้คิดไปว่าสีขาวๆ ที่เห็นเป็นเพียงฟองคลื่นมหาสมุทรไม่ใช่สิ่งใดอื่น

เช้าวันรุ่งขึ้นเรือก็ได้เข้าสู่เขตแดนประเทศเพื่อนบ้านอันตระการตา ระฆังโบสถ์ลั่นเสียง มีแตรทรัมเป็ตเป่าต้อนรับจากหอคอย ทหารสวนสนาม ธงโบกสะบัด ดาบปลายปืนเรืองรอง มีงานเลี้ยงรื่นเริงทุกวัน งานเต้นรำไม่เว้นว่าง งานเลี้ยงต้อนรับไม่ขาดช่วง ทว่าเจ้าหญิงนั้นไม่ออกมาเสียที นางถูกเลี้ยงดูมาในดินแดนอันห่างไกล ที่โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง ผู้คนกล่าวบอก และพร้อมกันนั้นก็ได้เรียนรู้ราชพิธีในวังด้วย ในที่สุดเจ้าหญิงก็ทรงมาถึง เงือกน้อยกระตือรือร้นที่จะได้เห็นความงามของนาง แล้วก็ต้องบอกว่าเจ้าหญิงนั้นงามอย่างจริงแท้ งามเสียกว่าที่เงือกน้อยเป็นอยู่ ผิวพรรณของนางบริสุทธิ์และละเอียดอ่อน ดวงตาสีฟ้าลุ่มลึกซื่อตรง ขนตาดำขลับ

“เป็นท่านนี่เอง” เจ้าชายเอ่ย “ท่านเองที่ได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ในตอนที่นอนสลบอยู่ตรงชายหาด” เขาจับมือนางไว้มาวางทาบบนอก “ข้ามีความสุขเป็นล้นพ้น” พระองค์ประกาศให้เงือกน้อยได้รู้

“เป็นความสุขยิ่งที่ข้าเองไม่เคยคาดคิดมาก่อน เจ้าเองก็คงยินดีกับข้าเพราะเจ้านั้นรักข้าเสียยิ่งกว่าใคร” เงือกน้อยจูบลงบนพระหัตถ์ ทว่ารู้สึกราวกับดวงใจได้แหลกสลายไปเสียแล้ว

งานอภิเษกจะนำมาซึ่งความตายของเงือกสาว เปลี่ยนร่างนางให้กลายเป็นเพียงฟองคลื่นในทะเล

ระฆังทุกโบสถ์ดังขึ้น โฆษกออกประกาศร้องไปตามถนนสู่เมือง ประกาศพิธีการอภิเษก แท่นบูชาทั่วแผ่นดินนั้นพากันจุดตะเกียงเงินอุ่นน้ำมันหอมอย่างดี ท่ามกลางกระถางธูปแกว่งไกวไปมา เจ้าบ่าวเจ้าสาวได้กุมมือกันรับพรจากพระราชาคณะ นางเงือกน้อยสวมชุดไหมทองยืนถือชายคลุมของเจ้าสาว แต่ทว่าไม่รับรู้เสียงใดๆ ในพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ นางครุ่นคิดถึงความตายในเช้าวันรุ่งขึ้น นางจำต้องจากลาโลกนี้แล้ว

ในเย็นวันเดียวกันนั้นเองที่คู่บ่าวสาวได้ลงเรือไปท่ามกลางเสียงปืนใหญ่อวยพรและธงโบกสะบัด พลับพลาที่ประทับประดับด้วยหมอนอิงสีม่วงอันอ่อนนุ่มซึ่งวางไว้ให้ทั้งคู่ได้เอนกายในคืนอันสงบและอบอุ่นนั้น

เรือแล่นลำไปในสายลมอย่างแผ่วเบาโดยไร้แรงสะเทือนจากทะเลสะอาดใสแต่อย่างใด

โคมยามค่ำหลากสีได้แขวนขึ้น เหล่ากะลาสีเต้นรำกันอย่างเป็นสุข เงือกน้อยอดคิดไม่ได้ถึงยามที่ได้โผล่พ้นผิวสมุทรขึ้นมาเป็นครั้งแรกและได้ยลโคมหลากสีเช่นนี้ ช่างงดงามตระการตายิ่งนัก ในตอนนี้นางได้อยู่ร่วมเต้นรำกับเหล่านางรำ หมุนไปมาราวกับนกนางแอ่นน้อยโผบินในอากาศ ผู้ชมเฝ้าดูและส่งเสียงเชียร์ด้วยความตื่นตา เงือกน้อยไม่เคยเต้นรำอย่างสุดเหวี่ยงเช่นนี้มาก่อน เท้าอันอ่อนนุ่มของนางเจ็บระบมราวกับถูกคมมีดบาด ทว่านางกลับไม่รู้สึกด้วยความทุกข์ที่ทับถมใจนั้นทิ่มแทงกว่ามากมายนัก นางรู้ดีว่าคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายของชีวิตที่จะได้สูดเอาอากาศหายใจเดียวกันกับเจ้าชาย ซึ่งอาจเหม่อมองไปยังผืนฟ้าอันเข้มขรึมประดับดาวราวสวรรค์ ราตรีไม่มีสิ้นนั้นจะปราศจากความคิดถึงคำนึงหานางเงือกน้อยที่ไม่ได้ทั้งหัวใจของเจ้าชายและวิญญาณอมตะ ทั้งความสุขและทุกข์ประเดประดังเข้ามาจนราวหลังเที่ยงคืนไปแล้ว นางยังคงเต้นรำและหัวเราะด้วยความคิดถึงความตายตลอดเวลาในหัว เจ้าชายลูบไล้เจ้าสาวแสนสวย นางเองก็ทรงเล่นพระเกศาของเจ้าชาย ทั้งคู่โอบกอดกันในพลับพลาอันงดงามนั้น ทุกอย่างเป็นปกติสุขและสงบนิ่ง มีเพียงนายเรือที่คอยคุมพวงมาลัย เงือกน้อยวางแขนลงบนกราบเรือ เหม่อมองไปยังบูรพาทิศหาเส้นแสงจางๆ สีชมพูของรุ่งสาง ในลำแสงแรกของเช้านี้จะเป็นเวลาที่นางต้องแตกดับ แล้วนางก็เห็นพี่ๆ ขึ้นจากน้ำ ตัวซีดเผือด ผมยาวสลวยได้หายไปไม่แกว่งไกวตามสายลมอีกแล้ว มันถูกตัดออก

“เราได้ให้แม่มดตัดออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือ เจ้าจะได้ไม่ต้องตายในคืนนี้ นางให้กริชแก่เรามา รับไปเสีย มันคมมาก ก่อนอาทิตย์ขึ้น เจ้าต้องแทงกริชนี้ลงบนหัวใจเจ้าชายให้เลือดนั้นรดลงมาที่ขาของเจ้า เจ้าจะกลับมามีหางปลาเป็นนางเงือกดังเดิม เจ้าจักสามารถว่ายดำลงสู่ทะเล เราจะได้อยู่ร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง มีชีวิตยืนยาวไปอีกสามร้อยปีก่อนจะตายกลายเป็นเพียงคลื่นในมหาสมุทร ใจแข็งเข้าไว้นะ เจ้าหรือเขาคนใดคนหนึ่งต้องตายก่อนตะวันขึ้น ท่านย่านั้นโศกเศร้ากระทั่งผมขาวของนางร่วงหลุดเช่นเดียวกับผมของพี่ที่ถูกคมกรรไกรแม่มด ฆ่าเขาเสีย แล้วกลับมาหาเรา เร็วเข้า เจ้าเห็นเส้นสีกลีบกุหลาบตรงหน้านั้นหรือไม่ ไม่นานพระอาทิตย์ก็จะขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วเจ้าต้องลาโลก” เมื่อพูดจบบรรดาเงือกพี่ๆ ก็ถอนใจโล่งแล้วดำลงสู่คลื่นบนพื้นน้ำ

นางเงือกน้อยเปิดม่านพลับพลาสีม่วงขึ้นข้างหนึ่ง แล้วมองดูที่เจ้าสาวแสนสวยที่หลับลงบนพระอุระเจ้าชาย เงือกน้อยก้มลงแล้วจูบที่พระขนงเรียวงาม มองดูท้องฟ้าที่กำลังเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็วพลางหันไปมองที่กริชแล้วจ้องที่เจ้าชายที่กำลังหลับฝันละเมอออกมาเป็นชื่อเจ้าสาว ใช่แล้ว นางเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในความคิดของเจ้าชาย สักครู่หนึ่งกริชในมือนางสั่นแล้วนางก็เหวี่ยงมันลงไปในเกลียวคลื่น บัดนี้ท้องฟ้าเป็นสีแดงฉานราวกับหยดเลือด

นางมองดูที่เจ้าชาย ดวงตาของนางมีความตายเข้าปกคลุม นางวิ่งออกไปแล้วกระโดดลงทะเล ร่างละลายกลายเป็นโฟมฟอง

ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นจากทะเลส่องลำแสงอันอบอุ่นลงไปยังฟองเย็นที่ตายนิ่ง เงือกน้อยจึงไม่รู้สึกถึงความตายตรงหน้า นางมองเห็นพระอาทิตย์ส่องสว่างเหนือตนเอง ล่องลอยท่ามกลางสิ่งที่งดงามนับร้อยพัน เธอไม่อาจเห็นเรือขาวหรือสวรรค์สีกุหลาบ เสียงของสิ่งมีชีวิตนั้นไพเราะเพราะพริ้งแต่ทว่ามนุษย์ทั่วไปไม่อาจได้ยิน เพียงตา
มนุษย์ไม่อาจมองเห็น นางรู้สึกว่าร่างนั้นเบาราวกับฟองสบู่ เงือกน้อยได้รับร่างใหม่นางค่อยๆ กลายร่างจากฟองในทะเล “ข้ากำลังจะกลายเป็นอะไร” เสียงของนางเป็นเหมือนเช่นเสียงของคนอื่นๆ ไพเราะเกินกว่าที่มนุษย์จะเลียนเสียงได้

“เจ้าได้เป็นธิดาแห่งสายลมเช่นพวกเรา” คนอื่นๆ ตอบ เงือกน้อยได้มีวิญญาณที่ไม่มีวันตายที่ได้มาโดยไม่ต้องชนะใจของมนุษย์ ชีวิตอันเป็นนิรันดร์ของนางขึ้นอยู่กับอำนาจที่นางไม่ทราบ ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งยืนยาวถาวรหรือไม่ ทว่าการทำความดีนั้นจะได้รับสิ่งนี้เป็นการตอบแทนหลังความตาย “เรานั้นบินจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งที่มนุษย์
กำลังเดือดร้อนจากลมร้าย เราจะนำมาซึ่งลมเย็น กลิ่นหอมของมวลไม้ นำมาซึ่งความสดชื่นและการเยียวยาภายใต้ชายคลุมของเรา จากนี้ไปอีกสามร้อยปีหลังจากที่ทำความดี เราจะได้รับวิญญาณอันเป็นนิรันดร์ ได้รับส่วนหนึ่งของความสุขที่มนุษย์มี เงือกน้อยเอย เจ้าได้ต่อสู้เช่นเดียวกับที่เราเคยต่อสู้มา ทรมานและอดกลั้น แล้วจึงได้กลายมาเป็นสายลมเช่นนี้ ด้วยความดีของเจ้าที่ทำให้มีโอกาสอีกสามร้อยปีทำดีเพื่อรับเอาวิญญาณอันเป็นอมตะ”

เงือกน้อยยกแขนที่โปร่งใสของนางขึ้นไปที่ดวงอาทิตย์ผู้เป็นเทพแล้วหลั่งน้ำตาเป็นครั้งแรก

บนเรือนั้นกลับฟื้นคืนสติกันอีกครั้ง นางมองเห็นเจ้าชายและเจ้าสาวของเขากำลังตามหาเธอ พวกเขามองดูเศร้าใจในฟองที่ลอยมาราวกับรู้ว่านางได้กระโจนลงน้ำไปแล้ว ไม่มีใครได้เห็นว่าวิญญาณเงือกน้อยนั้นได้จูบลงบนคิ้วของเจ้าสาว ยิ้มให้กับเจ้าชายแล้วล่องลอยไปพร้อมกับดวงวิญญาณอื่นๆ ในสายลมที่เมฆสีชมพูระเรื่อนั้นล่องลอยไป “ในสามร้อยปีเราจะได้ล่องเข้าสู่สรวงสวรรค์” “เราอาจจะได้ไปเร็วกว่านั้น” ตนหนึ่งกระซิบ “เราเข้าไปโดยไร้คนเห็น ช่วยเหลือเด็กดีที่เชื่อฟังพ่อแม่ ได้รับความรัก พระเจ้าจะทรงย่นระยะเวลาให้กับเรา เด็กๆ จะไม่รู้ว่าเราบินไปในบ้าน ยามที่เรายิ้มพึงใจ ปีหนึ่งในสามร้อยปีนั้นจะลดถอยลงไป หากเราเห็นเด็กดื้อทำตัวไม่ดี ไม่อาจช่วยปัดเป่าน้ำตาแห่งความเศร้าได้ หยาดน้ำตาทุกหยาดจะเพิ่มเวลา 1 วันให้กับเรา”



[1] ดอกไม้ชนิดหนึ่ง สีฟ้าเข้มจัด คล้ายสีของพลอยไพลิน

 

[2] คิ้ว

 

[3] ต้นไม้ครึ่งสัตว์ครึ่งพืช คอยจับสิ่งมีชีวิตที่ผ่านไปมากินเป็นอาหาร

 

[4] ในสมัยก่อนนั้นจะมีการมอบทาสรับใช้ของโบสถ์ คนไทยเรียกว่า “ทาสติดวัด” ธรรมเนียมเกือบทุกดินแดนจะไม่ยอมให้ทาสประเภทนี้ไถ่ถอนตัวได้

 

 

รายละเอียด

Andersen’s Fairy Tales

เทพนิยายแอนเดอร์เซน

ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน : เขียน

นวฝน ลีสินสวัสดิ์ : แปล

 

เมื่อ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน ยังเป็นเด็กนั้นมีฐานะยากจนแทบจะพอๆ กับเด็กหญิงขายไม้ขีดไฟในนิทานเรื่องหนึ่งของเขาเลยทีเดียว ฮันส์เกิดในปี ค.ศ. 1805 บิดาเป็นช่างทำทองแดงที่สุขภาพไม่สู้จะดีนัก จนเสียชีวิตลงก่อนฮันส์อายุครบ 12 ปี นับแต่นั้นมาเขาไม่ได้ไปโรงเรียนอีกเลยสักครั้ง

            ทว่าเขาให้ความรื่นรมย์แก่ตนเองโดยการเล่นสมมุติโดยมีโรงละคร มีตุ๊กตาเป็นผู้แสดง ฝันถึงนิทานที่เขาได้เล่าเอาไว้ในโลกนี้ ฮันส์ คริสเตียนได้จากเมืองโอเดนส์อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนไปยังกรุงโคเปนเฮเกนในขณะที่มีอายุได้เพียง 14 ปี ที่นี่เองที่เขาต้องอดอยากแทบจะล้มประดาตาย โชคดีที่ได้พบกับเหล่าสหายซึ่งโน้มพระทัยของพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 6 ให้ส่งเขาเข้าเรียนในโรงเรียนสอนอาลักษณ์ เขาเป็นเด็กหัวช้า ใช้เวลาเรียนนานกว่าเด็กวัยเดียวกัน ฮันส์เริ่มเขียนกลอนตั้งแต่ยังเป็นเด็ก งานในช่วงต้นๆ ของเขานั้นคือบทกลอนที่ชื่อ “The Dying Child” ที่ไม่เพียงทำให้เขาได้มีมิตรสหายแต่ทว่าได้เป็นที่รู้จักไปไกลทั่วโลกอีกด้วย

            เทพนิยายที่เราต่างรู้จักกันดีนั้นเริ่มมีขึ้นในปี ค.ศ. 1835 ในขณะที่ฮันส์อายุได้ 30 ปี เรื่องราวอันน่าประทับใจเหล่านี้เป็นเรื่องเรียบง่ายที่ผู้คนอาจไม่สังเกตว่าเรื่องเหล่านี้นั้นดีเพียงใด เป็นเวลายาวนานกว่าที่คนร่วมชาตินั้นจะได้เห็นว่าฮันส์ผู้อับโชคในวัยเยาว์นั้นคือหนึ่งในนักเล่านิทานผู้เยี่ยมยอดคนหนึ่งของโลก

            นอกเหนือจากนิทานเหล่านี้แล้วยังมีเรื่องปรัมปรา เทพนิยายใหม่ๆ นวนิยายโรมานซ์ บทละครเวที และหนังสือบันทึกการเดินทางของเขา ที่มุ่งมั่นในการเอาใจชนชั้นสูงมากกว่าการชูใจคนพื้นๆ ฮันส์เดินทางท่องเที่ยวต่างแดน ไปยังสเปนและอิตาลี แล้วเขียนเรื่องที่เห็นมา ทว่าเขาเองนั้นเป็นเลิศในการเล่าเรื่องดินแดนในฝันที่หลบเร้นอยู่ในบ้านคนสามัญทั่วไป

            เทพนิยายเล่มสุดท้ายที่มอบไว้แด่โลก มีขึ้นในปี ค.ศ. 1872 สามปีให้หลัง ฮันส์ได้เสียชีวิตลงเมื่ออายุได้ 70 ปี ทั่วทั้งโลกหวนไห้ต่อลูกชายช่างทองแดงเข็ญใจแห่งเมืองโอเดนส์ผู้เลิศล้ำเจิดจำรัส

 

 

 

คำนำผู้แปล

ทุกครั้งที่คนเราอ่านเรื่องราวที่เล่าผ่านเทพนิยายนั้น ผู้อ่านแต่ละคนจะได้โอกาสเข้าสวมรอยทางความรู้สึกไปด้วยกันกับตัวละคร ที่ครุ่นคิด ออกเดินทาง สงสัย หัวเราะ และร้องไห้ไปด้วยกัน การอ่านเทพนิยายสักเรื่องหนึ่งจึงเป็นการได้ปลดปล่อยทางอารมณ์โดยไร้ขอบเขตหรือสร้างพิษภัยใดๆ

เทพนิยายนั้นตอบสนองต่อปมความรู้สึกที่เรียกว่าแอนนิมิซึม (animism) หรือความรู้สึกที่เชื่อว่าสิ่งไม่มีชีวิตและสัตว์ทั้งหลายอาจพูดหรือมีความรู้สึกเช่นเดียวกับคนได้ ปมที่ว่านี้ในวัยเด็กจะเด่นชัดเป็นพิเศษ ทำให้เด็กน้อยมีความคิดที่กว้างไกลไร้ขีดคั่นพรมแดน มองเห็นภาพที่เหนือกว่าสิ่งที่พึงสัมผัสด้วยตา แต่มองเห็นเป็นภาพที่ปรากฏในใจหรือที่เรียกว่า “ความฝัน” และ “จินตนาการ” เราทุกคนต่างเคยเดินทางในความคิดแบบเทพนิยายมาด้วยกันทั้งหมด

เทพนิยายผลงานของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน นักเขียนชาวเดนมาร์กในสมัยศตวรรษที่ 19 นั้น ได้นำเอาปมทางความรู้สึกออกมาเล่าผ่านตัวละครย้อนยุคสมัยต่างๆ ให้คนได้ขำ ได้คิด และได้ตั้งคำถามอยู่ไม่เสื่อมคลาย ทำให้ภาพของการมองเห็นในจินตนาการของเด็กผ่านเทพนิยายหลายต่อหลายเรื่องอย่างเช่น เรื่องเด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ ป้อนภาพธรรมชาติของยุโรปตอนเหนือลงในการเดินทางของตัวละครอย่างในเรื่อง หงส์น้อยในป่าใหญ่ คนที่เคยอ่านเรื่อง ฉลองพระองค์ของพระจักรพรรดิ อาจไม่เชื่อต่อเนื้อเรื่องที่ว่าคนเราจะยอมเดินเปลือยกายต่อหน้าชุมชนเพียงไม่ต้องการแสดงตนเป็นคนโง่ที่ไม่อาจมองเห็นเนื้อผ้าแสนสวยนั้น แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่ซ่อนไว้ในเรื่องก็คือการบอกกับผู้อ่านว่า คนทั่วไปนั้นอาจเออออไปตามสังคมทั้งที่ตนเห็นแย้ง เพียงเพื่อความอยู่รอดทางความคิดและรักษาสถานภาพของตนเองไว้เท่านั้น จึงยอมหลอกได้แม้กระทั่งตาของตนเอง

เรื่องใดที่คนยังครุ่นคิดและตั้งคำถาม เรื่องนั้นย่อมยังอยู่ในสังคมหนึ่งๆ ได้เสมอ เทพนิยายของแอนเดอร์เซนในทุกเรื่องนั้นได้สร้างคำถามต่อจิตใจผู้อ่านไว้ทั้งสิ้น

 

 

นวฝน ลีสินสวัสดิ์

 

คำนำสำนักพิมพ์

ผลงานอมตะจากปลายปากกาของราชาแห่งเทพนิยายเล่มนี้ เต็มไปด้วยเรื่องราวที่สนุกสนาน เปี่ยมความคิดสร้างสรรค์ พร้อมเปิดโลกแห่งจินตนาการอันไร้ขีดจำกัด

จากตำนานนิทานพื้นบ้านที่เล่าขานกันมายาวนาน ฮันส์คริสเตียน แอนเดอร์เซนได้นำเรื่องราวเหล่านั้นมาเล่าใหม่ในแบบฉบับของเขา ซึ่งแฝงไว้ด้วยความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์และสะท้อนสังคมในหลากหลายมุมมอง พร้อมรังสรรค์เรื่องราวใหม่ๆ ที่สะกดใจผู้อ่านทุกเพศทุกวัย และเข้าถึงใจนักอ่านทั่วทุกมุมโลก

น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักหรือมิเคยได้ยินได้ฟังนิทานเรื่อง นางเงือกน้อย เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ หรือธัมเบลิซ่า ฯลฯ นิทาน
เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของผลงานอมตะเท่านั้น ยังมีอีกหลากหลายเรื่องราวอมตะที่แฝงด้วยคุณธรรมและพลังแห่งการจินตนาการรอให้ท่านผู้อ่านได้สัมผัส และท่องไปในโลกแห่งวรรณกรรมอันไร้พรมแดน ณ บัดนี้

 

แอร์โรว์ คลาสสิกบุ๊คส์


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (76 รายการ)

www.batorastore.com © 2024