เจ้าสาวอัจฉริยะ (ชลาลัย)
ประหยัด: 240.00 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
เจ้าสาวอัจฉริยะ โดย ชลาลัย
…1
“นั่นคุณจะออกไปไหนอีกน่ะกีรนา คุณเพิ่งจะเข้ามาเองนะ แล้วลูกก็ตัวร้อน”
“กี ให้เด็กเอาลดไข้ให้ทานแล้ว ไม่ได้เป็นอะไรมากมายนี่คะ แค่ตัวร้อนนิดเดียวเท่านั้น กีไม่ใช่หมอ...จะมานั่งเฝ้าก็เท่านั้น พอดีกีมีนัดกับเพื่อนไว้ ไม่ไปก็เสียแย่...”
คมศรมองภรรยาแสนสวยที่เขาเคยรักและเคยหลงใหลเสียเหลือเกิน เขาเคยคิดว่าหล่อนเป็นแม่เทพธิดาน้อยๆ ที่เขาจะทะนุถนอมไปทั้งชีวิต ไม่ให้มีแม้แต่ริ้วรอยข่วนและหล่อนคงจะนำพามาซึ่งความชื่นฉ่ำหัวใจให้แก่เขาได้เสมอไม่ว่ายามทุกข์หรือสุข
เขาจำได้ถึงพิธีแต่งงานอันยิ่งใหญ่เมื่อหลายปีก่อนที่เขาทุ่มเทจัดมันขึ้นมาอย่างโอฬาร แม้ว่าจะเสียเงินเสียทองไปมากมายมหาศาลเขาก็ไม่ได้เสียดายสักนิด เขามีเงิน...ธุรกิจกำลังรุ่งเรืองคิดวินาทีเป็นเงิน คิดชั่วโมงเป็นทอง ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ฟู่ฟ่าไปหมด
เขาเป็นนักธุรกิจหนุ่มเนื้อหอมที่สาวๆ รุมตอมแต่เขารักกีรนา สาวสวยไฮโซฯ ครอบครัวของหล่อนเด่นดังในเรื่องงานสังคมหล่อนเป็นลูกสาวไฮโซๆ คนดังที่แต่งงานหลายครั้งหลังหย่าก็จะได้เงินก้อนใหญ่สะสมมาแม่หล่อนดังกว่าหล่อนเสียอีกแต่เขาไม่ได้สนใจอะไรในเรื่องเหล่านั้น นอกเสียจากว่าเขารักหล่อนและหลงใหลในความสวยงามอ่อนหวานที่หล่อนมีและหล่อนเป็น
หากหลังแต่งงานไม่นานมากนักเขาก็รู้ซึ้งถึงคำว่าสวยแต่รูปและจูบไม่หอมนั้นกีรนาเอาแต่ใช่เงินฟุ่มเฟือยไปกับความฟู่ฟ่า
ก่อนหน้านี้เขาอาจจะร่ำรวยเพราะธุรกิจทุกอย่างไปได้ดีเขามั่งมีเหลือล้นหล่อนอยากจะใช้เงินเท่าไหร่เขาก็ไม่เคยว่าเคยบ่นขอเพียงแต่ให้กีรนามีความสุขเท่านั้นแต่หากยามนี้ ธุรกิจเขากำลังย่ำแย่...เขากำลังวิ่งเข้าหาทางตันและมืดมนเขากับกีรนาทะเลาะกันบ่อยครั้งเพราะดูเหมือนหล่อนจะไม่ใส่ใจกับทุกข์หรือสุขของเขาสักนิด เขาจะเป็นอย่างไรหล่อนไม่เคยมองกีรนาเปลี่ยนไป!
เปล่า...เขาต่างหากที่เปลี่ยนไป....เขาหวังว่าหล่อนจะเข้าใจในภาวะที่เขากำลังเผชิญและหันมามองหาทางช่วยเหลือกันมากกว่าที่จะยังเที่ยวและใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเช่นเดิมหรืออาจมากกว่าเดิม ที่สำคัญหล่อนมีลูกสาวอายุห้าขวบ กำลังน่ารักน่าชัง ขณะที่เขาไม่มีเวลาให้กับลูกกีรนาควรจะให้เวลาที่มากที่สุด ให้ความรักและความอบอุ่นกับลูกมากกว่าที่จะทอดทิ้งไปเที่ยวเตร่ไร้สาระแบบนี้
หรือเพราะวันนี้เขาไม่เหลือความรักให้แก่หล่อนหรือเพราะว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ได้รักหล่อนหากเขาหลงหล่อนต่างหาก!
เขาเคยชวนหล่อนมาช่วยงานเขาคิดว่าจะเปิดธุรกิจให้หล่อนทำในสิ่งที่หล่อนถนัด หากกีรนาไม่สนใจ หล่อนไม่ชอบทำงาน หล่อนรักสบายและเคยอยู่สบายมาจนเคยตัวแล้วหล่อนว่าแค่ที่หล่อนเรียนจบนี่ก็เรียกว่าดีที่สุดแล้วหล่อนแต่งงานมาเพื่อให้เขาเลี้ยงดูหล่อนหล่อนไม่ชอบทำงาน... มันเหนื่อยเกินไปแม้แต่เลี้ยงลูกเอง กีรนาก็ไม่เคยทำ หล่อนส่งลูกให้พี่เลี้ยงเด็กตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลด้วยซ้ำ
คมศรหงุดหงิดและทะเลาะกับภรรยาระหองระแหงหมดความสุขในหลายปีหลังๆ ดูเหมือนว่าเขาไม่อาจเปลี่ยนแปลง กีรนาได้ เขาไม่มีเวลาพาหล่อนไปเที่ยวหล่อนก็ไปเสียเอง ไปกับเพื่อนๆ ของหล่อนที่เขาไม่ค่อยได้ใส่ใจกับใครมากนัก
“คมศร...นี่คุณอย่าเป็นคนซีเรียสให้มากนักเลย เมื่อก่อนไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้เลย”
“ผมงานยุ่งแค่ไหนคุณก็รู้ ผมสงสารยายกิ๊บนะ...วันนี้แกไม่สบาย หากคุณไม่อยู่กับลูก ผมก็ต้องอยู่”
“ก็อยู่ไปสิคะ ยายกิ๊บน่ะติดคุณมากกว่าฉันเสียอีก”
“กีรนา นี่คุณพูดอะไรออกมารู้ตัวรึเปล่า” เขาถามเสียงเข้ม “คุณเป็นแม่นะ คนเป็นแม่ควรจะดูแลลูกสิ อีกอย่างงานที่คุณจะไปมันก็ไม่สำคัญอะไรสักหน่อยนี่นา ทำไมจะต้องไปให้ความสำคัญกับเรื่องแบบนี้มากกว่าลูก”
“ยายกิ๊บไม่ได้เป็นอะไรมาก แล้วฉันก็นัดเพื่อนไว้แล้ว”
“บอกเลิกนัดได้”
“คมศร...”
“บอกเลิกนัดเถอะกี...วันนี้ผมเหนื่อยเหมือนกัน เราจะได้อยู่ด้วยกัน ทานข้าวที่บ้านกันบ้างก็ยังดีนะ”
“ไม่ค่ะ กีไม่ชอบ..ที่จะเลิกนัด นี่กีก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้วด้วย ที่คุณไม่ไปกับกีก็แย่แล้วนะคะ”
กีรนาคว้ากระเป๋าถือ “ยังจะมาชวนให้กีผิดนัดอีกนะคะ”
“กีรนา...”
“อย่าเอาเรื่องลูกมาอ้างเลยคมศร นั่นน่ะคุณบ้างานจนลืมกี...กียังไม่ว่าคุณเลยนะคะ”
“ผมบ้างานเพราะตอนนี้ธุรกิจของเรากำลังมีปัญหานะ”
กีรนาชะงัก!
“อะไรนะคะ?”
“ผมบอกคุณแล้วนี่ ผมกำลังเจอปัญหา เราไม่เหมือนเดิมนะกีรนา เราก็ควรจะปรับตัวบ้างนะ คุณควรจะเข้าใจสิ ผมไม่อยากจะให้คุณตื่นตกใจอะไรหรอกนะ แต่ว่า...มันเป็นเซ้นส์ง่ายๆ ของครอบครัว เราต้องรัดเข็มขัดไม่ใช่ว่าซื้อเพชรครั้งละเป็นล้านแบบนั้น”
“แต่เพชรนั่นก็สั่งเขาเอาไว้ตั้งแต่งานโชว์เพชรครั้งที่แล้ว เราสั่งก็ต้องรักษาเครดิตหน่อยสิคะ”
กีรนาโกรธ “เรื่องแค่นี้เมื่อก่อนไม่เห็นว่าคุณจะสนใจอะไรเลยนะคะ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาชอบเอาเรื่องเล็กเรื่องน้อยแบบนี้มาพูดอยู่เรื่อย กีไม่ชอบเลยนะคะ”
“แล้วคุณคิดว่าผมชอบหรือ กีรนา”
“ไม่ชอบก็ไม่ต้องพูดสิคะ”กีรนาโวยวาย “พูดแล้วเสียอารมณ์...เงินแค่หลักล้านนิดๆ เท่านั้น ทีเมื่อก่อนไม่เห็นคุณบ่นเลย กลับซื้อเพิ่มให้เสียอีก กีออกงานแต่ละครั้งก็เป็นหน้าเป็นตาให้คุณนะคะ” กีรนาว่า “ไปล่ะค่ะ กีไม่อยากจะเสียอารมณ์...”
“กี...นี่ตกลงคุณจะทิ้งลูกไปจริงๆ”
กีรนาไม่พูดแต่เดินออกไปเลย...
คมศรยืนอึ้งไป เหมือนเขาจะพูดอะไรไม่ออกมากกว่าที่จะไม่อยากพูดอีก เขาเดินกลับไปที่ห้องลูก มองเห็นพี่เลี้ยงของลูกนั่งอยู่ข้างเตียง ยายหนูกิ๊บหลับปุ๋ยคงจะเพราะฤทธิ์ยา
ชายหนุ่มวางมือลงบนหน้าผากลูกสาว “ตัวยังร้อนอยู่เลย ถ้าเย็นนี้ไม่ดีขึ้นต้องพาไปหาหมอแล้ว ดูแลคุณกิ๊บให้ดีนะแสงจันทร์...”
“ค่ะคุณคม”
“เดี๋ยวฉันไปออฟฟิศสั่งงานเสร็จแล้วจะกลับ...มีอะไรด่วนก็โทรเข้าหามือถือนะเข้าใจไหม?”
“ค่ะคุณคม”
ชายหนุ่มถอนหายใจ แสงจันทร์เป็นพี่เลี้ยงกึ่งผู้ช่วยพยาบาล ดูแลลูกสาวเขาตั้งแต่แรก เงินเดือนของแสงจันทร์ค่อนข้างมากกว่าพี่เลี้ยงทั่วไป แต่หากคมศรต้องการความไว้วางใจได้ เขาอ่านข่าวหนังสือพิมพ์เรื่องพี่เลี้ยงเนิร์สเซอรี่บางแห่งทำร้ายเด็กแล้วช่างน่ากลัว เพื่อนๆ เขาเองก็เคยเล่าให้ฟังว่าจ้างพี่เลี้ยงมากจากสถานเลี้ยงเด็กชั้นดี แต่ลูกเขาถูกให้ยานอนหลับเพื่อให้หลับได้ทั้งวัน โชคดีว่าจับได้เร็วเพราะเห็นอาการไม่ปกติของลูก บางสิ่งในโลกนี้โหดร้ายเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เขารักลูกมาก...เขาคิดว่า...หากจะต้องแลกกีรนากับลูก เขาคงจะไม่เลือกกีรนาแน่ๆ เขาหอมหน้าผากลูกเบาๆ ก่อนจะรีบออกไป
“ฉันไม่สบายใจจริงๆ เอก...ไม่เคยคิดว่าชีวิตมันจะวิ่งเข้ามาเจอทางตันแบบนี้ ยอมรับว่าตื้อไปหมด..”
เอกรัฐ พยักหน้าและมองอีกฝ่ายหนึ่งอย่างเห็นใจ
“ฉันอยากจะช่วยนายนะ แต่...ปัญหาของฉันเพิ่งจะเริ่มแก้ไขได้ ฉันคิดว่าสักระยะหากทุกอย่างดีขึ้นฉันคงจะช่วยนายได้แน่ๆ”
“จะมาพากันตานหรือ...เตี้ยแล้วมาอุ้มค่อมหรือไง...ไม่มีประโยชน์หรอกน่าหากทำแบบนั้น” ชายหนุ่มถอนใจ “เรื่องอะไรก็ไม่สำคัญเท่าครอบครัวหรอก ฉันไม่เคยคิดว่าครอบครัวจะแตกแยก แต่ถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไป มันก็คงจะต้องแตกแยกเข้าวันหนึ่งแน่ๆ” คมศรกล่าว “เหมือนฉันจะไม่เหลืออะไรเลยนะ”
“ฉันอยากจะแนะนำนายนะ ยังไงน่ะ ลองดูมันก็ไม่เสียหาย ที่ฉันบอกว่าบริษัทที่เขารับเป็นที่ปรึกษาแก้ไขปัญหาธุรกิจน่ะ...”
คมศรสายหน้า “ที่นายบอกว่าเป็นผู้หญิงน่ะเหรอ...หากเขาช่วยคนอื่นได้จริงๆ ล่ะก็...ป่านนี้เขาเปิดธุรกิจของตัวเองร่ำรวยไปแล้ว”
“บางทีคนเราอาจจะทำอะไรของตัวเองไม่ได้หรืออาจจะไม่อยากจะทำ แต่บางทีอาจจะช่วยคนอื่นก็ได้นะ ใช่ไหมล่ะ?”
“งั้น...”
“แค่นายอธิษฐาน...แค่นายลองทำดู หากนายมีดวงพอที่จะได้พบนายก็...”
“ไอ้บริษัทบ้านี่มันอยู่ที่ไหน?”
เอกรัฐส่ายหน้า “ฉันไม่รู้”
“แล้วนายติดต่อหล่อนยังไง?”
“หล่อน”
เอกรัฐพึมพำ “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าติดต่อยังไง...รู้แต่ว่าตอนที่ฉันแย่อย่างที่สุด ฉันแค่ไปขอกับพระจันทร์...”
คมศรหัวเราะหึๆ “ขอพรจากพระจันทร์แล้วเทพธิดาก็เหาะลงมาช่วยนายงั้นสิ”
“แต่ฉันก็ดีขึ้นอย่างที่นายเห็น...” เอกรัฐบอก “นายก็เห็นก่อนหน้านี้ฉันจะฆ่าตัวตายอยู่แล้ว ฉันไม่อยากจะมีชีวิตอยู่เลย ฉันรู้สึกเหมือนรูที่จะออกมันไม่มีแล้ว เมียก็หนี บ้านก็แตก โชคดีว่าฉันไม่มีลูก...แต่นายมีลูก นายเป็นผู้ยิ่งใหญ่มาก่อน จะยอมล้มฟุบยังไง...”
ในทรวงอกเขาเหมือนเต้นระริกไปด้วยความวิตกกังวล เขายอมรับว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับมานานหลายเดือนหรืออาจเป็นปีก็ได้ เหมือนเคราะห์กระหน่ำซ้ำร้าย ทุกอย่างดูกลายเป็นสีดำที่แสนจะมืดมนไปทั้งหมดเลยทีเดียว
“คนเราเมื่อเจอทางตัน แม้แต่ช่องเล็กๆ เราก็ต้องออกนะ นายจะยอมตายหรือ”
“ฉันไม่ยอมฝากชีวิตเอาไว้กับโชคชะตา”
“ทั้งที่...ก็อยู่กับโชคชะตาหรือ “เอกรัฐถาม “ใช่ไหม...ทั้งที่นายก็ไม่ได้ต่างจากมนุษย์คนไหน...ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันทั้งนั้น ตกอยู่ในโชคชะตาเดียวกัน”
“เอก...แต่ฉันไม่อยากจะไปงมงายกับเรื่องแบบนี้”
“มันไม่ชาเรื่องงมงาย คุณเก็จกุดั่นเธอเอาเรื่องของปรัชญาทางเศรษฐกิจและจิตวิทยามาช่วย”
“จิตวิทยา”
“ใช่...จิตวิทยา”
“ช่วยยังไง”
“นายต้องลอง เธอช่วยคนมาเยอะแล้ว แต่ว่า..เธอจะเลือกที่จะช่วยเธอไม่ได้ช่วยคนทุกคน”
“เก่งจริงก็ต้องช่วยคนทุกคนสิ ทำงานแบบนี้ก็ต้องการเงินทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ” คมศรกล่าวพร้อมถอนหายใจ “ไม่มีใครทำอะไรโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนหรอกนะเชื่อฉัน ไม่มีหรอกอย่างที่นายว่า...ไม่มีใครวิเศษไปกว่าใครมันก็ไอ้มนุษย์ธรรมดา เดินดินแต่ไม่ได้กินข้าวแกง...เฮ้อ...”
“นายต้องมีสตินะคมศร นายต้องพยายามที่จะวางทิฐิลง...ต้องวางลง วางมันลงซะ” เอกรัฐกล่าว “กลับไปบ้านแล้วลองคิดดีๆ ลองไหม..มันไม่ได้เสียหาย แล้วคุณเก็จเธอก็ไม่ได้เรียกร้องเป็นเงิน กรณีของฉันเธอให้ฉันบริจาคช่วยเด็กยากจนโดยไม่ได้ผ่านเธอ”
“พวกทำบุญเอาหน้าน่ะสิ” เขากล่าว “พวกนี้จะต้องมีอะไรแอบแฝงเพื่อที่จะหาผลประโยชน์อะไรสักอย่าง ถ้านายแน่จริงนายก็ต้องโทรไปเลยบอกให้เธอมาพบฉัน หากว่าเธอสามารถช่วยฉันได้จริงล่ะก็ จะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามา...ว่ามาเลย ฉันยินดีจะจ่ายให้” ชายหนุ่มกล่าว “เท่าไหร่ก็ได้”
“งั้นนายก็ล้มเหลวแต่แรกแล้วละ” เอกรัฐพูดพร้อมกับถอนหายใจหนักๆ “ปัญหาทุกอย่างมันต้องมีทางแก้โว๊ยไอ้เสือ แกเป็นเสือแกไม่มีวันจะตายลงโดยไร้ศักดิ์ศรีหรอกเชื่อเถอะวะ”
คมศรขับรถออกจากบ้านเพื่อนเพื่อที่จะกลับบ้าน เขารู้ว่าในอกของเขามันหนักหนาแค่ไหน เขาขับรถขึ้นสะพานแขวนในช่วงดึกที่รถราเบาบาง มองเห็นพระจันทร์ดวงใหญ่สวยงามลอยเด่นอยู่ เหมือนเขาจะไม่ได้มองเห็นพระจันทร์ที่ทอแสงนวลใยงดงามขนาดนี้มานานแล้ว นายแล้วจริงๆ
นานจนแทบจะลืมไปเสียด้วยว่า นอกจากโลกแล้ว...โลกยังมีพระจันทร์หมุนเคียงคู่อยู่ตลอด
ชีวิตคนเราเปลี่ยนไปมากมายแต่อย่างเดียวเมื่อไหร่กัน แม้แต่ดวงดาวในระบบสุริยะบางดวงยังถูกปลดออกจากการเป็นดาวเคราะห์ กลายเป็นดาวเคราะห์แคระได้เลย...จะเอาอะไรกับชีวิตนักหนาเล่า
เขารู้สึกเหมือนมีกระแสลมเย็นๆ มาปะทะหน้า...ทั้งที่กระจกรถปิดสนิท
ไม่ใช่ลมจากแอร์คอนดิชั่นมรรถที่ส่องทาทางด้านหน้า แต่เหมือนมีกระแสลมผ่านเข้ามาทางช่องกระจกด้านข้างที่ปิดอยู่ บ้าแล้ว...เขาคิดไปเอง ชายหนุ่มจอดรถและลงไปที่สะพาน มองพระจันทร์ดวงกลมใหญ่ดวงนั้น...แล้วเขาก็ขยี้ตา...เฮ่ย..ตาเขาพร่าไปนั่นเอง แต่ภาพที่เขาเห็นแว่บนั้น อะไรสักอย่างที่ลอยเด่นอยู่ด้านหน้า เขาขยี้ตาอีกครั้งและยังเห็นเช่นเดิม!