สุดปลายฝัน (ลินิน) (EBOOK)

สุดปลายฝัน (ลินิน) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 33333333
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 250.00 บาท 62.50 บาท
ประหยัด: 187.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

สุดปลายฝัน

ตอนที่ 1

          บ้านหลังเล็กขนาดกะทัดรัดทาสีขาวสะอาดตา ตั้งอยู่บนเนื้อที่ราวๆ สองงาน แต่ปลูกต้นไม้ไว้ล้อมรอบจึงดูร่มรื่นตลอดวันแม้จะเป็นหน้าร้อน ส่วนใหญ่แล้วเป็นไม้ผลที่หวังใช้ประโยชน์มากกว่าต้องการความสวยงาม คนปลูกคิดเอาไว้เสมอว่าอาหารท้องดีกว่าอาหารตา

เบื้องหน้าของตัวบ้านมีศาลาไม้เล็กๆ ติดท่าน้ำเอาไว้สำหรับนั่งรับลมเย็นๆ ที่ตอนนี้มีเด็กชายหญิงสองคนกำลังลอยคออยู่ริมฝั่งตื้นๆ โดยมีสตรีรูปร่างบอบบางสองคนนั่งมองอยู่ไม่ห่าง

          “อย่าพาน้องลงน้ำลึกนะลายไทย” เสียงอนงค์ร้องบอกลูกชายเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงกำลังดำผุดดำว่าย ข้างกายมีลูกมะพร้าวแห้งหลายลูกสำหรับเกาะลอยคอ โดยมีลายไทยเด็กชายรูปร่างสูงกว่าคอยบงการ

“ตีขาแรงๆ แล้วพยุงตัวเอาไว้ ไม่ต้องกลัวจมหรอก พี่ดูอยู่”

“หนูนากลัวจม”เด็กหญิงอิดออดแต่ร่างน้อยยังทำตามคำสั่งของลายไทย

“จมพี่ก็งมขึ้นมาได้น่า กลัวแบบนี้เมื่อไหร่จะเป็นเล่า” คนสอนชักหงุดหงิดที่สอนมาแล้วหลายวันลูกศิษย์ตัวน้อยก็ยังทำไม่ได้เสียที

“ก็ได้…”เด็กหญิงเสียงอ่อย สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนเอาหน้าอกพาดเข้ากับลูกมะพร้าว โถมตัวไปข้างหน้าแล้วใช้เท้าตีน้ำแรงๆ

“ดีๆ เก่งมากๆ ใกล้แล้ว”เด็กชายเอ่ยชมเมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ทำได้ดีขึ้น เจ้าตัวคนถูกชมก็ยิ้มหน้าบานเมื่อเริ่มพยุงตัวเองได้โดยที่ลายไทยไม่ต้องจับ

“วัยกำลังอยากรู้อยากลองนะเธอ ไม่เป็นไรหรอก” พิกุลมองเด็กสองคนแล้วเบือนหน้ากลับมาหาเพื่อนรักที่สีหน้ายังคงดูกังวลไม่สร่างซา

“เธอไม่กลัวยายหนูนาจะตกน้ำตกท่าไปหรือ ฉันละไม่อยากให้ลายไทยกับหนูนาว่ายน้ำเลย กลัวว่าจะแอบมาเล่นลับตาเรา”

“ไม่หรอก เด็กสองคนนี่จะดื้อจะซนยังไงก็ฟังผู้ใหญ่ อย่าห่วงเรื่องนั้นเลยนะ มา…ชิมแตงโมซะก่อน เย็นชื่นใจ” พิกุลเลื่อนจานกระเบื้องที่มีแตงโมฝานเป็นชิ้นพอคำพร้อมส้อมให้

“จ้ะ เธอนี่แม่บ้านแม่เรือนจริงนะ มิน่าเล่าคุณพินิจถึงไม่ยอมไปไหน”ว่าพลางจิ้มแตงโมเข้าปากไปหลายคำ เพราะแตงโมลูกนี้หวานชื่นใจอย่างที่คนปลูกว่า

“ยังกะสามีเธอไปไหนอย่างนั้นล่ะ วันๆ ก็เห็นทำแต่งานไม่มีวอกแวก”

“เรื่องนั้นฉันไม่ห่วงหรอกนะเธอ ตอนนี้อานัสมุ่งทำงานหาเงินสร้างครอบครัวอย่างเดียว ลูกก็ยังเด็กอยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน ต้องหาเงินสร้างอนาคตไว้ให้เขา” อนงค์ว่าแล้วมองไปทางลูกชาย อันเป็นความหวังเดียวของเธอในขณะนี้

“อย่าซีเรียสเรื่องการหาเงินนักเลยน่า อยู่แบบพอเพียงเหมือนครอบครัวฉันสิ สบายใจที่สุด” พิกุลบอกขึ้นคล้ายจะเตือนในทีแต่ก็รู้ดีว่ามันคงไม่เกิดผลอะไร เธอกับอนงค์เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนก็จริงแต่นิสัยและความคิดไปคนละทาง

เธอแต่งงานกับพินิจ ข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ค่อยๆ ไต่เต้าไปทีละขั้นทีละตอน เงินเดือนแค่พอกินเลี้ยงครอบครัวได้ไม่ร่ำรวยอะไร

 เธอเป็นแม่บ้าน ไม่ได้ทำงานข้างนอกแต่ก็ไม่ยอมอยู่เฉย ผลไม้ที่ปลูกเต็มพื้นที่สองงานรวมทั้งผักสวนครัวงามสะพรั่งอยู่หลังบ้าน เมื่อให้ผลมากเกินกว่าจะกินไหวก็ส่งขายตลาด เป็นการช่วยสามีหารายได้อีกทางหนึ่ง และหนูนาลูกสาวตัวน้อยของเธอก็ว่านอนสอนง่าย ไม่เรียกร้องอยากได้อะไรเกินควร

ส่วนอนงค์นั้นแต่งงานกับนักธุรกิจอย่างอานัส ที่มุ่งมั่นในการทำงาน แต่เธอเห็นว่าบางครั้งก็มากเกินไป ฐานะทางการเงินของครอบครัวนี้ดีขึ้นเรื่อยๆ ก็จริงแต่ก็ไม่มีเวลาให้กันเท่าที่ควรนัก และเนื่องจากบ้านของเธอกับเพื่อนรักอยู่ติดกันจึงพอรู้เห็นความเป็นไปดี

ความคิดของพิกุลสะดุดลงทันควันเมื่อได้ยินเสียงตีน้ำแรงๆ ก่อนเงียบเสียงไปแล้วทันได้เห็นร่างของลายไทยดำผุดดำว่ายด้วยท่าทางร้อนรน

“ยายหนูนาจมน้ำ!” อนงค์ลมแทบจับ ผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปทันทีเช่นเดียวกับพิกุลที่ตะโกนร้องให้คนช่วยแต่ไม่นานลายไทยก็พาร่างอ่อนระทวยของหนูนาขึ้นมาถึงฝั่ง

“หนูนาลูกแม่ โธ่ ลูก” พิกุลจะคว้าร่างลูกสาวเข้ามากอดแต่ลายไทยยกมือขึ้นขวางก่อนปลุกเรียกสติเมื่อเห็นเด็กหญิงหนูนาไอแล้วสำลักน้ำออกมาหลายที

 “หนูนา ตื่นสิตื่นๆ” เขาเขย่าปลุกแรงๆ จนคนถูกเรียกค่อยๆ ได้สติลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความโล่งใจของผู้ใหญ่ทั้งสองรวมทั้งลายไทย

“ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูกนะ” คราวนี้พิกุลทรุดลงนั่งอย่างหมดแรง เพราะเมื่อครู่นี้ตกใจจนแทบสิ้นสติ ก่อนคว้าร่างเปียกโชกเย็นชืดของลูกสาวมากอดแนบอก

“แม่บอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าเล่นๆ คราวนี้เป็นยังไง” อนงค์หยิกแรงๆ ไปที่ต้นแขนของลูกชายแล้วทำท่าจะตีซ้ำ พิกุลเห็นอย่างนั้นจึงรีบห้าม

“อย่าตีลูกนะอนงค์ เด็กก็ผิดกันทั้งสองคนนั่นแหละ อย่าตีเลย”

“ก็ฉันบอกแล้วว่าไม่ให้พาน้องออกไปเล่นน้ำลึก บอกแล้วว่าให้คอยดูน้องดีๆ” อนงค์มองลูกชายที่ทำหน้าจ๋อยๆ ด้วยสายตาดุดัน

“อย่าตีพี่ลายไทยเลยค่ะ หนูนาผิดเองที่อวดดีออกไปเกินขอบเขต เพราะคิดว่าตัวเองว่ายน้ำเป็นแล้ว พี่ลายไทยห้ามแล้วแต่หนูนาไม่ฟัง” หนูนาที่เพิ่งจะผละออกมาจากอ้อมกอดของแม่รีบบอกขึ้น หยาดน้ำตาแห่งความตกใจหลั่งริน ขวัญเสียแต่ยังห่วงผู้เป็นพี่

“เอาเถอะจ้ะ คราวนี้น้าจะให้อภัย ไป นายตัวดีกลับบ้านเราได้แล้ว เดี๋ยวเถอะจะได้โดนคุณพ่อเล่นงาน” อนงค์คว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็กแล้วฉุดให้เดินตามเพื่อกลับไปยังบ้านของตัวเองที่อยู่ติดกัน

“แม่ขา…พี่ลายไทยจะถูกตีไหม” เด็กหญิงกระตุกปลายแขนเสื้อมารดาขณะมองตามหลังลายไทยที่ยังสู้อุตส่าห์มองมาทางเธอเป็นระยะ

“ไม่หรอกลูก น้าอนงค์ก็ดุไปอย่างนั้นละ ไม่กล้าตีลูกหรอก” พิกุลปลอบให้เด็กหญิงคลายกังวล แม้จะรู้ดีว่าเพื่อนรักเข้มงวดกับลูกชายมากแค่ไหน และลายไทยก็จำเป็นต้องอยู่ในโอวาทของพ่อแม่ตลอดเวลาไม่ค่อยถูกปล่อยให้มีความคิดอิสระอย่างหนูนา

“หนูนาไม่น่าดื้อ”

“คราวหลังก็เชื่อฟังพี่เขา เห็นไหมละ ผลของการดื้อมันเป็นยังไง” พิกุลได้ทีสอน

“ค่ะ” หนูนารับคำเสียงอ่อย ในใจนึกเป็นห่วงลายไทยจับใจ

 

“แม่บอกแล้วใช่ไหมลายไทย ว่าให้ระวังๆ เกิดทำลูกเขาตายจะว่ายังไง ไม่กลัวติดคุกหรือยังไง ฟังแม่นะว่าแม่มีแกเป็นลูกชายคนเดียว แกคือความหวังของแม่” มือเรียวที่เคลือบเล็บสีสวยหยิกหมับเข้าที่ต้นแขนของลูกชาย ห่วงกลัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจะถูกข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนามากกว่าจะกลัวว่าหนูนาจะเป็นอะไรไป

“ครับแม่ ต่อไปผมจะไม่ชวนหนูนาเล่นน้ำอีก”

“ดี ตัวแกมีค่ามากกว่าจะชวนยายหนูนาเล่นไร้สาระอย่างนั้น”

“ครับ” ลายไทยทำอะไรไม่ได้นอกจากรับคำเสียงอ่อย แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำใจได้ยากยิ่ง หากไม่ให้ชวนหนูนาเล่นน้ำแล้วจะเล่นอะไร มีอะไรบ้างที่เล่นแล้วไม่เป็นอันตรายนอกจากเล่นขายของ

“แม่จะไม่บอกคุณพ่อเรื่องนี้ พ่อเขาทำงานหนักมาทั้งวัน แม่ไม่อยากเอาเรื่องหนักสมองไปให้ ไปอาบน้ำอาบท่าได้แล้ว เช็ดผมให้แห้ง เดี๋ยวจะเป็นไข้เข้าอีก พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน แม่ไม่อยากให้แกขาดเรียน อย่าลืมซะละว่าต้องสอบได้ที่หนึ่งเท่านั้น เข้าใจไหม”

สายตาคาดคั้นจะเอาคำตอบทำให้ลายไทยรับคำอย่างอ่อนล้า แม้ว่าตอนนี้เขาจะเรียนอยู่แค่ชั้นมัธยมต้น แต่ความเครียดและความกดดันมีมากเกินวัย

เมื่อขึ้นมาบนห้องได้ เด็กชายลายไทยก็พิงตัวเองเข้ากับประตูห้องนอนด้วยความรู้สึกอัดอั้น ความหวังของพ่อแม่กดทับลงมาบนหน้าอกของเขาจนแทบหายใจหายคอไม่ออก ความหวังของพ่อแม่ที่เขามองไม่เห็นจุดหมายว่ามันเริ่มต้นและจะสิ้นสุดลงเมื่อใด รู้แต่ว่าตั้งแต่จำความได้ เขาก็แบกรับความรู้สึกนั้นมาโดยตลอด หลายครั้งที่เขาแอบอิจฉาหนูนาที่มีชีวิตอิสระ นึกอยากจะทำอะไรพ่อแม่ก็อนุญาตเสียทั้งนั้น

เมื่ออาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกโชกเป็นชุดใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ลายไทยก็ขังตัวเองอยู่บนห้องนอนตามลำพังกะว่าจะนอนพักสักเดี๋ยว แต่พอนึกถึงคำสั่งเมื่อครู่จึงเปลี่ยนใจหยิบหนังสือบนหัวเตียงมาอ่านด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเกินวัยเด็ก

ผิดกับหนูนาที่มีวัยอ่อนกว่าลายไทยแค่ไม่กี่ปี ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนตักพินิจผู้เป็นพ่อที่เพิ่งกลับจากทำงาน สีหน้าจ๋อยๆ ของลูกสาวทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองหัวเราะ

“เป็นอะไรเรา หน้าจ๋อยเชียว”

“หนูนากลัวคุณพ่อดุนี่คะ ที่เล่นซนจนจมน้ำ”

“ไม่ดุหรอกลูก คนเราถ้าไม่หัดลองอะไรซะบ้าง เพราะมัวแต่กลัวละก็จะทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง วันไหนไม่มีพ่อแม่คอยปกป้องลูกจะลำบาก พ่ออยากให้หนูทำได้ทุกอย่าง ต้องหัดจนเป็น จนเอาชนะมันได้” พินิจขยี้ศีรษะของบุตรสาวคนเดียวเบาๆ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ยิ้มแป้นที่นอกจากพ่อจะไม่ดุแล้วยังอนุญาตให้เล่นน้ำอีก

“แต่ว่า….”

“แต่อะไรอีกล่ะเจ้าตัวดี อนุญาตยังจะไม่พอใจอีกเหรอ”

“ก็ไม่มีใครสอนหนูนาแล้วนี่คะ น้าอนงค์ไม่ให้พี่ลายไทยสอนหนูนาอีกแล้ว” เด็กหญิงเสียงอ่อย นึกถึงลายไทยมาได้ก็หน้าจ๋อยขึ้นมาอีก ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไร

“อนงค์ดุลายไทยใหญ่ค่ะ เรื่องเล่นน้ำวันนี้” พิกุลรีบบอกสามีเมื่อเห็นเขาทำหน้าสงสัย สักพักก็พ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด

“ดุจนเด็กไม่กล้าทำอะไร”

“นั่นนะสิคะ ฉันละสงสารลายไทย หวังดีกับน้องแท้ๆ ไปดูหน่อยดีไหมคุณ” พิกุลถามความเห็นสามีแต่พินิจส่ายหน้า

“มันเป็นเรื่องภายในของเขา เราเป็นคนนอกอยู่เฉยๆ เถอะ”

“ค่ะ งั้นไปกินของว่างกันดีกว่านะคะ ฉันกับลูกช่วยกันจัดแตงโมเย็นๆ เอาไว้ให้ น่ากินเชียวค่ะ ลูกที่สวนหลังบ้านเรา ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะออกลูกโตอย่างนี้ได้ ทั้งที่เราไม่ได้ใส่ยาเร่งอะไรเลย”

“ดีแล้วล่ะ ถ้าใส่ยาเร่ง ยาฆ่าแมลงเข้าไป เราก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาปลูก มีออกเกลื่อนไปในตลาด พวกที่กินแล้วตายผ่อนส่ง”

“ค่ะคุณ” พิกุลยิ้มรับก่อนพยักหน้าให้บุตรสาวเป็นเชิงบอกใบ้ให้ยกจานผลไม้มา แล้วสามคนพ่อแม่ลูกก็นั่งกินของว่างด้วยกันอย่างอบอุ่น

 

เหมือนเช่นทุกวันในตอนเช้าที่ลายไทยจะต้องปั่นจักรยานคันเก่งมารอรับหนูนาไปโรงเรียนพร้อมกัน เนื่องจากโรงเรียนอยู่ไม่ไกลนักผู้ปกครองจึงอนุญาตให้เด็กสองคนปั่นจักรยานคนละคันไปโรงเรียนได้ โรงเรียนแถวบ้านเริ่มต้นตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงมัธยมต้น

 “พี่ลายไทย เมื่อคืนหนูนานอนไม่หลับเลย” เจ้าตัวหน้ายุ่งขณะเหวี่ยงกระเป๋าไปไว้บนตะแกงหน้ารถพร้อมด้วยปิ่นโตสามเถาบรรจุอาหารที่ทำเสร็จร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นออกมาจนลายไทยนึกหิวขึ้นมาครามครัน เพราะเขาทานแค่โจ๊กสำเร็จรูป เนื่องจากอนงค์ไม่สันทัดเรื่องการทำอาหารเท่าไรนัก

“หอมจัง”

“หิวละสิ หนูนาเอามาตั้งเยอะ แม่ให้ทำมาเผื่อพี่ลายไทยด้วย คะน้าหมูกรอบของโปรดพี่ลายไทยเลยล่ะ” เด็กหญิงชูปิ่นโตขึ้นอวด

“ขอบใจนะ ว่าแต่เมื่อคืนทำไมนอนไม่หลับ”

“ก็เป็นห่วงพี่ลายไทยนะสิ กลัวจะถูกตี”

“ไม่หรอก แม่ไม่ตีแต่ไม่อนุญาตให้เล่นน้ำอีก แต่…พี่อยากให้หนูนาว่ายน้ำเป็น”

“ไม่เป็นไรหรอก วันหลังเราค่อยแอบไปเล่น” หนูนาชะโงกหน้ามากระซิบก่อนพยักหน้าชักชวนลายไทยให้ขึ้นจักรยานได้แล้ว เพราะใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียน

 ทั้งสองปั่นมาราวๆ สิบห้านาทีก็ถึงโรงเรียน แล้วต่างแยกย้ายกันเอาของไปเก็บที่ห้องก่อนออกมาเข้าแถวเคารพธงชาติด้วยกันและเมื่อถึงเวลาพักเที่ยงทั้งคู่ก็จะออกมานั่งกินอาหารด้วยกันบนม้านั่งใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ไม่กินที่โรงอาหารเหมือนคนอื่นๆ อันถือเป็นภาพชินตาของเด็กนักเรียนรวมทั้งครูในโรงเรียนนี้

“ฮื้อ….น่ากินจัง ป้าพิกุลทำอะไรก็อร่อย” ลายไทยชะโงกหน้ามาดมใกล้ๆ แล้วท้องก็ร้องดังครืดจนหนูนาต้องหลุดหัวเราะออกมา

“หิวมากเหรอพี่ลายไทย  ทำอย่างกับไม่ได้กินข้าวเช้า”

“กินแต่ไม่อิ่ม กินเลยนะ” ลายไทยคว้าปิ่นโตที่หนูนายื่นให้มาทันที แล้วลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อยพลอยทำให้หนูนาที่ปกติเป็นคนกินน้อยพลอยเจริญอาหารไปด้วย

“อิ่มแปล้เลย” ลายไทยดื่มน้ำตามข้าวคำสุดท้ายแล้วลูบท้อง อาหารฝีมือแม่ของหนูนาอร่อยมากกว่าที่แม่เขาทำหลายเท่า ถึงว่าพ่อของเขาถึงชอบซื้ออาหารมาจากร้านข้างนอกแทน

“อิ่มแล้ว คราวนี้ก็เป่าเมาท์ออแกนให้หนูนาฟัง” เด็กหญิงเอ่ยทวง เธอชอบฟังเสียงเพลงที่ลายไทยเป่า

 “เอาเพลงอะไรล่ะ”

“เพลงอะไรก็ได้ ฟังก่อนเข้าเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หัวจะได้โล่งๆ” เด็กหญิงบอกขึ้น ลายไทยจึงเป่าเมาท์ออแกนให้เธอฟังหลายเพลงจนมาถึงเพลงโปรด

 

ทุกค่ำคืนในความฝัน ฉันเห็นเธอ ฉันรู้สึกได้ถึงเธอ นั่นทำให้ฉันรู้สึกว่าเธอยังคงมีชีวิตอยู่

เธอข้ามระยะห่างอันแสนไกลและช่องว่างระหว่างเรา เพื่อแสดงให้ฉันรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่

ไม่ว่าเธอจะอยู่ใกล้หรือไกล ฉันเชื่อว่าลมหายใจแห่งความรักของเรายังคงไหลริน

 

เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนลายไทยก็นั่งรอหนูนาอยู่แล้วที่โรงจอดรถ จนเพื่อนร่วมห้องหลายคนเริ่มต้นล้อเลียนอย่างคึกคะนอง

“รอแฟนอยู่เหรอลายไทย”

“เราไม่ใช่แฟนหนูนา หนูนาเป็นน้องเรา”ลายไทยสวนกลับด้วยสีหน้าบึ้งตึง ไม่ชอบที่ถูกล้อเลียน ตามประสาเด็กวัยนี้ที่มักจะรับไม่ได้หากถูกล้อเรื่องนี้

“ไม่ใช่แฟนเหรอ แล้วทำไมต้องมาพร้อมกัน กลับพร้อมกัน กินข้าวด้วยกัน” เด็กชายรูปร่างอ้วนผิวคล้ำจนเกือบดำบอกขึ้นทำให้เพื่อนร่วมแก๊งหัวเราะร่วน

“ถอนคำพูดแกนะ” ลายไทยกำมือแน่นจนสั่นสะท้านด้วยความโกรธ

“ไม่ถอน แกเป็นแฟนยายหนูนา แกเป็นแฟนยายหนูนา”ทั้งหมดราวๆ ห้าคนส่งเสียงประสานพร้อมตบมือล้อเลียนทำเอาคนถูกล้อหน้าแดงก่ำและยิ่งหนูนาเดินมาถึงเสียงล้อสลับกับเสียงหัวเราะยิ่งดังขึ้นอีก

“ยายหนูนาแฟนไอ้ลายไทย ไอ้ลายไทยเป็นแฟนยายหนูนา”

“ไม่ใช่!” หนูนาที่เดินมาได้ยินชัดเต็มสองหูตะโกนตอบเสียงดังแต่ห้าคนนั้นก็ยังไม่ยอมหยุด ลายไทยสุดจะทนจึงโถมตัวเข้าผลักเจ้าตัวอ้วนหัวหน้าแก๊งจนมันล้มก้นกระแทก

“แก…แกผลักฉัน” เจ้าตัวอ้วนโผเผลุกขึ้นโดยมีลูกน้องหลายคนตรงเข้าพยุง เมื่อยืนตั้งหลักได้ก็สาวเท้าเข้ามาหาลายไทยอย่างเอาเรื่อง

“แกมาล้อฉันก่อนทำไม” ลายไทยโต้ตอบ

“เอามันเลยโจ้ ซัดมันให้น่วมเลย” ลูกน้องยุ ทำให้เจ้าอ้วนผลักลายไทยตอบบ้าง แล้วการแลกหมัดเล็กๆ จึงมีขึ้นท่ามกลางเสียงเชียร์และเสียงกรีดร้องของหนูนา

“อย่าทำพี่ลายไทยนะ” เด็กหญิงร่ำไห้น้ำตานองหน้า ก่อนวิ่งเข้าไปทุบตีโจ้เท่าที่หมัดเล็กๆ จะทำได้เลยถูกโจ้ผลักจนกระเด็น หัวเข่าภายใต้กระโปรงนักเรียนครูดเข้ากับพื้นดิน

“หยุดนะ! พวกเธอทำอะไรกันน่ะ” เสียงครูดังขึ้นพร้อมด้วยเสียงตะโกนห้าม เพียงเท่านั้นศึกย่อยๆ ก็หยุดลง แล้วเด็กๆ ทั้งหมดก็ผุดลุกขึ้นยืนหน้าจ๋อย หนูนายังสะอื้นฮักไม่หยุดแต่ยังมีแก่ใจตรงเข้าไปเกาะแขนลายไทยไว้อย่างขวัญเสีย

“มีเรื่องอะไรกัน ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันอย่างนี้” ครูพนตถามเสียงดุดัน สภาพปากแตกเข่าถลอกของลูกศิษย์เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญกลับไปให้ผู้ปกครองดู

“ไอ้ลายไทยมันผลักผมก่อนครับ”

“ไอ้โจ้มันล้อผมครับ” ลายไทยเอ่ยแก้ ดวงตายังวาววับอย่างเอาเรื่อง

“ล้อเรื่องอะไร ไหนบอกครูมาซิโจ้” ครูหนุ่มเบือนหน้ามามองโจ้ ผู้ถูกกล่าวหาที่คราวนี้ทำหน้าอึกอักพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

“เปล่าครับ”

“มันล้อหนูว่าเป็นแฟนกับพี่ลายไทยค่ะ” หนูนาฟ้อง

“จริงเหรอโจ้” คราวนี้ใบหน้าของจำเลยจางสีลงจนเกือบจะซีดเผือด

“ก็แค่ล้อเล่นนี่ครับ ก็ผมเห็นสองคนนี่ตัวติดกันตลอดเวลาไปไหนก็ไปด้วยกัน ไม่เรียกว่าแฟนแล้วจะเรียกว่าอะไร” โจ้เถียงข้างๆ คูๆ

“เอาละๆ ตอนนี้ครูรู้แล้วว่าสาเหตุมันมาจากอะไร โจ้ ครูจะบอกอะไรให้นะ ลายไทยกับหนูนาเขาอยู่บ้านติดกัน เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก แล้วที่สำคัญ เด็กอายุเท่าพวกเธอ ไม่มีใครเขาคิดเรื่องแฟนกันหรอก ส่วนลายไทย ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่ามันไม่ใช่ก็ไม่ต้องไปสนใจ”

“แต่มัน….”

“ลายไทย…” อาจารย์หนุ่มมองดุๆ แล้วบอกขึ้นกับทุกๆ คนในที่นั้น “ครั้งนี้ครูจะไม่ลงโทษแต่จะทำเป็นทัณฑ์บนไว้ หากทำอีกละก็ครูจะเชิญผู้ปกครองมาพบ”

“ยะ…อย่านะครับ” ลายไทยละล่ำละลักบอก หากพ่อแม่รู้เรื่องนี้เข้าละก็ เขาคงถูกลงโทษเสียยิ่งกว่าโดนครูที่โรงเรียนทำ

“ใช่ครับครู ต่อไปผมจะไม่ทำอีกแล้วครับ” เจ้าตัวคนหาเรื่องเองก็รับปาก หากเรื่องชกต่อยกับเพื่อนในวันนี้เข้าหูผู้ปกครองเป็นได้โดนดีแน่

“งั้นก็อย่าทำอีก แยกย้ายกันกลับได้แล้ว” ครูพนตคาดโทษไว้เสร็จก็เดินออกไป ปล่อยให้เด็กๆ แยกย้ายกันกลับบ้าง

“พี่ลายไทย เจ็บไหม” หนูนายื่นมือเล็กๆ มาเช็ดเลือดที่มุมปากให้ แต่ลายไทยไม่สนใจบาดแผลของตัวเองเพราะมัวแต่สนใจลอยถลอกเล็กๆ ที่เข่าของหนูนา

“พี่ไม่เจ็บ หนูนาล่ะเจ็บไหม”

“ไม่หรอก แต่ว่า….พี่ลายไทยมีแผลที่หน้าแบบนี้ ซ่อนไม่ได้ซะด้วย น้านงค์ต้องรู้แน่ๆ หนูนากลัวพี่จะถูกตี” หนูนามองมุมปากที่แตกมีรอยเลือดซิบพร้อมด้วยสภาพคลุกฝุ่นของลายไทยแล้วถอนหายใจ

“บอกว่ารถล้มก็แล้วกัน”

“รถล้มปากต้องแตกด้วยเหรอ” หนูนาย่นจมูกทำให้ลายไทยหัวเราะออกมาเบาๆ แก้เก้อกับข้อแก้ตัวของตัวเองที่ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย

“ช่างเถอะ แม่ไม่เคยตีพี่หรอก”

“อืม” หนูนาพยักหน้ารับแล้วเดินไปขึ้นจักรยานของตัวเองปั่นออกไปพร้อมๆ กัน


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (74 รายการ)

www.batorastore.com © 2024