จับเธอมาเป็นเจ้าสาว (นางแก้ว) (EBOOK)

จับเธอมาเป็นเจ้าสาว (นางแก้ว) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: จับเธอมาเป็นเจ้าสาว
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ตอนที่ 1 ผมชื่อกานนท์

 

ร้อยตำรวจโท กานนท์ พฤกษชาติ เป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงและแข็งแรง มีผิวสีเข้มนัยน์ตาคมสีดำสนิท หากสาวใดหัวใจยังว่าง เมื่อได้สานสบตาคู่นี้ไม่มีล่ะที่จะไม่รู้สึกสะท้านใจ ใบหน้าของเขาจัดอยู่ในความคมคายสมชายไทยแท้ มีความงามรับกันพอดีทุกส่วน เขาไว้ผมยาว แต่งกายตามสบาย เขามาทำงานราชการ เมื่องานราชการลุล่วงไปแล้ว เขาคิดอยู่ว่าจะกลับไปเยี่ยมครอบครัวบ้างเพราะห่างหายมานาน ราวกับว่าเขากลายเป็นบุคคลสูญหายไปแล้ว แต่ก่อนที่เขาจะเตรียมการตามที่คิด จังหวะเดียวกันเขาได้รับโทรศัพท์จากสารวัตรหาญนายตำรวจรุ่นพี่ เรียกสายเข้ามาถามไถ่เรื่องผู้หญิงที่กำลังร่ำลือกันทั่ววงการสีกากีภูธรแห่งนี้ว่า

“เรื่องของลื้อกับยัยไหมไปยังไงมายังไงกันแน่วะนนท์”

“เรื่องอะไรครับพี่” กานนท์ย้อนถาม ทั้งที่สมองแล่นปราดคิดขึ้นมาแวบหนึ่ง แล้วจึงรู้สึกหนาวเยือกแล่นสู่ในหัวอก จนอดครวญมิได้ว่า...เอาแล้วไง เพียงแค่เผลอหย่อนทุ่นลงไปปลาดันคิดหุบเป็นเจ้าของเสียแล้ว!!

สารวัตรกล่าวต่อ

“ลือกันทั้งโรงพักว่าลื้อเป็นผัวยัยไหม”

“หา” กานนท์อุทานหน้าตื่น แม้ความจริงว่ามีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับบรรดาผู้หญิง แต่ว่าเขาไม่เคยยอมรับใครเป็นในฐานะเมียสักคน ดังนั้นคำถามของนายตำรวจรุ่นพี่จึงเหมือนดังหนามยอกใจ จนทำให้เขาสูดปากเบาๆ ก่อนจะให้ความเงียบเข้ามาแทนที่

เมื่อกานนท์นิ่งงันไปจึงทำให้ปลายสายหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนเย้าว่า

“ที่เงียบนั่นน่ะ ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงกันล่ะนนท์”

“ไม่จริงครับพี่” ปากปฏิเสธเด็ดขาด แต่ใจห่อเหี่ยวแฟบลง จนไม่อยากจะเชื่อว่าหัวใจเขายังมีขนาดเท่ากำปั้นของตนเองอยู่

นายตำรวจรุ่นพี่เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ หยอกมาตามสายอีกว่า

“ปลาไหลอย่างลื้อจะยอมหายลื่นแค่ใบข่อยรูดหนังทีสองทีได้ไง...จริงมั้ยนนท์”

“โธ่พี่ ไม่มีอะไรกันจริงๆ ครับ” กานนท์ยังยืนยันหนักแน่น ทั้งที่รู้ตัวดีว่าทุกคำพูดนั้นแหลทั้งเพ

เขาบอกลาปลายสายโดยไม่รอคำตอบ แล้วจึงรีบโทรลงไปหาผู้ดูแลห้องพักบอกคืนห้อง พร้อมสั่งให้เด็กข้างล่างจัดหามอเตอร์ไซค์รับจ้างมารอไว้ให้ด้วย จากนั้นกานนท์รีบเผ่นแนบทันที

เมื่อนั่งรถบัสโดยสารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หัวใจที่ตื่นเหมือนคนหนีไฟ จึงค่อยผ่อนคลายลง จนกลับสู่สภาวะปกติ ก่อนจะปล่อยให้มันจมอยู่กับความคิดถึงเรื่องการใช้ชีวิตกะล่อนไปตามเรื่องของตนเอง

หากหญิงใดคิดผูกมัดเขาน่ะหรือ! ไม่มีทางเสียล่ะ เพราะไม่ว่ากี่รายต่อกี่รายก็แล้วแต่ ที่ไปยื่นคำร้องต่อผู้บังคับบัญชาว่าเขาทำผิดวินัย ข้อหา...ทับแล้วไม่ยอมรับผิดชอบ แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ ทุกเรื่องที่กานนท์ถูกฟ้องล้วนหายเข้าลิ้นชักอย่างเงียบสนิท เขาทำงานอยู่สอบสวนกลาง...นายย่อมเป็นใจอยู่แล้ว!!

คิดแล้วทำยิ้มปลื้มกับความลื่นไหลของตนเอง

 

ส่วนอีกจังหวัดหนึ่งนั้น คุณนายกานพลูเศรษฐินีหม้าย ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดของกานนท์ คุณนายกานพลูยังมีความสวยคมคายหลงเหลืออยู่มาก ทั้งร่างสูงยังดูแข็งแรง นางตัดผมสั้นและแต่งกายชุดดำยิ่งทำให้ดูขรึม นางกำลังทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพงานศพ ซึ่งจัดงานอย่างเรียบง่าย โดยมีการสวดพระอภิธรรมสามคืนและวันนี้เป็นวันปลงศพ มีผู้มาร่วมงานค่อนข้างบางตา ส่วนใหญ่เป็นคนรู้จักมักคุ้น ซึ่งพอรู้ว่าคุณนายจัดงานศพก็มาร่วมงาน โดยรับทราบแต่เพียงว่าเป็นคนอาศัยอยู่ในบ้านคุณนายและตายลงอย่างกะทันหัน

ด้านข้างทางซ้ายมือคือ เด็กชายหน้าตาดีชื่อ เด่นดวง อายุสิบสองปี เขามีผิวขาวสะอาด ตัดกับผิวคุณนายอย่างที่เรียกได้ว่า ราหูอมจันทร์เลยทีเดียว ส่วนทางขวามือคือทิวา เด็กสาววัยสิบสี่ผิวคล้ำ มีหน้าคมสวยละม้ายคุณนาย เธอยืนเงียบและนิ่งเหมือนรูปปั้น ต่างจากเด็กชายเด่นดวงซึ่งมักมีคำถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนบางครั้งคุณนายยังแขวะว่าเป็น ‘ลูกอีช่างซัก’ เขากระซิบถามมารดา ขณะที่ทอดตามองควันไฟที่ล่องลอยออกมาจากปล่องเมรุ

“ตกลงพี่รัชนีเป็นเมียพี่นนท์หรือเปล่าครับแม่”

“พี่เอ็งหายหัวไปเก้าเดือนเคยติดต่อมาเสียที่ไหน แล้วแม่จะไปรู้รึว่าเป็นหรือไม่เป็น”

“แล้วเรื่องน้องว่าไงล่ะแม่”

“อุวะเจ้าเด่น” คุณนายดุเสียงเข้ม แต่เสียงไม่ดังมาก ไม่อยากให้ใครได้ยินเรื่องในครอบครัว นางก้มหน้าลงมาด่าพอได้ยินตามลำพัง

“เจ้าจะถามหาพระแสงง้าวหอกหักกับแม่ทำไมหะ”

“ก็...” ลูกชายอ้าปากค้างไม่อาจตอบออกมาได้ทัน เพราะถ้าลงมารดาได้พูดแล้ว เขาย่อมรู้ว่า หยุดยาก

“แม่ตามล้างตามเช็ดเรื่องพี่เจ้าทำไว้ไหวเสียที่ไหนล่ะ เจ้านนท์มันเที่ยวหย่อนไข่ทิ้ง เหมือนเครื่องบินทิ้งระเบิด มันไปตกที่ไหนบ้างแม่จะไปรู้มันรึ แล้วนี่ก็มาท้องตายคาบ้าน แม่ยังไม่รู้เลยว่าเด็กในท้องเป็นลูกเจ้านนท์จริงหรือเปล่า”

เด่นดวงขมวดคิ้วเรียวยาวมุ่นด้วยความสงสัย เพราะจากคำของมารดาฟังดูแล้วเห็นว่า ในเมื่อมารดาไม่แน่ใจว่าหญิงผู้กำลังไหม้อยู่ในเตาเผา ว่ามีความเกี่ยวข้องเป็นอะไรกับพี่ชายตนจริงหรือไม่จริง แล้วทำไมคุณนายจึงต้องเลี้ยงดูจนอีกฝ่ายตายจาก ดังนั้นเมื่อคุณนายพูดจบประโยคแล้ว เด่นดวงจึงได้ตั้งคำถามใหม่

“แม่จะเลี้ยงน้องหรือเปล่าครับ”

ใบหน้าคมอ่อนโยนลง เมื่อเอ่ยถึงเด็กอ่อนที่กำลังอยู่ในตู้อบในโรงพยาบาลประจำจังหวัด คุณนายตอบลูกชายคนเล็กด้วยน้ำเสียงแฝงความเมตตาว่า

“หมาแมวยังเลี้ยงได้ นับประสาอะไรกับคนทั้งคนเล่าเด่น ถึงมันจะใช่หรือไม่ใช่หลานก็ช่างมัน แม่เลี้ยงไหว”

เด่นดวงกุมมือมารดาแน่นด้วยความซาบซึ้งใจ เขารู้ว่านี่แหละหัวใจแท้จริงของคุณนายจอมดุ ซึ่งปากคอเราะรายใช่เล่น แต่บทรักหลงใครมากๆ ขึ้นมาแล้วละก็ คุณนายถอดสร้อยทองนับสิบบาทให้ไม่เสียดาย เด่นดวงเขย่ามือมารดาถามต่ออีกว่า

“แล้วพี่นนท์ล่ะแม่”

“เอ๊ะ” คุณนายเริ่มอารมณ์เสีย เมื่อมีการเอ่ยถึงลูกชายคนโตที่ขยันหาปัญหามาให้แก้ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนประถม จนจบโรงเรียนนายร้อย และไปมีเรื่องให้หัวใจคนเป็นแม่แทบหยุด เมื่อไปเรียนสืบสวนสอบสวนที่เมืองนอกแล้วมีเรื่องผู้หญิงฝรั่งท้อง จนกระทั่งต้องมีการพิสูจน์กันว่าใครเป็นพ่อ คราวนั้นรอดตัวไปที่หาพ่อตัวจริงได้ ครานี้เมื่อลูกชายคนเล็กเซ้าซี้มากเข้า คุณนายจึงขึ้นเสียงสวดยาว...เพราะมันไม่น่าฟื้นฝอยหาตะเข็บผิดเวลาอย่างนี้เลย

“เจ้าจะเวรเด่น เอ็งจะตั้งคำถามเป็นทนายซักแม่หาอะไรวะ ในเมื่อแม่บอกอยู่นี่ว่าไม่รู้ ไม่รู้”

เด็กชายเลยไม่อยากทำตัวเป็นทนายอย่างที่ถูกกล่าวหา จึงเงียบเสีย

คุณนายแหงนหน้าขึ้นมองควันดำลอยสูง แล้วหวนนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อหลายเดือนก่อน

 

จู่ๆ หญิงสาวสวยชื่อรัชนีก็มาที่เรือนหมู่ทรงไทยของคุณนายกานพลู จนทำให้คุณนายระแวงแวบไปถึงลูกชายจอมก่อเหตุ แล้วจึงจับตามองหญิงท้องชื่อรัชนี ซึ่งเธอมีความเรียบร้อยไม่มีความหลุกหลิก กิริยามารยาทนุ่มนิ่มนั้น ทำให้คุณนายใจอ่อนยอมต้อนรับ หญิงสาวเปิดปากบอกไม่อ้อมค้อม

“หนูกำลังท้องลูกพี่นนท์ค่ะคุณแม่” ถ้อยคำบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือเศร้า ทำให้คุณนายถึงกับกายแข็งทื่อ เกิดอาการหูอื้อไปขณะหนึ่ง ก่อนทำใจให้เปิดกว้างฟังต่อ

“หนูชื่อรัชนี เป็นครูสอนโรงเรียนเด็กเล็กที่จังหวัดราชบุรีค่ะ ตอนนี้หนู” หญิงสาวสะอึก อึ๊ก! ก่อนจะเปล่งคำออกมาได้ว่า

“หนูอยากให้พี่นนท์รับรองลูกของเขาค่ะคุณแม่ หนูไม่อยากให้ลูกกำพร้าพ่อทั้งที่เขามีชีวิตอยู่อย่างนี้ค่ะ”

“เป็นลูกของเจ้านนท์จริงๆ รึ” คุณนายหลุดปาก ทำให้หญิงสาวถึงกับน้ำตาร่วงเผาะ เห็นดังนั้นคุณนายจึงเอ็ดเอา

“ถามแค่นี้ไม่ได้รึไง ต้องทำมาบีบน้ำตา ฉันไม่ได้ไล่ส่งสักหน่อย เอ้า! ว่าแล้วไม่ฟังยังจะมานั่งก๊อกแตกหาพระแสง...” แล้วคุณนายก็ยั้งปาก เพราะนึกขึ้นได้ว่ากำลังด่าคนท้องอยู่ จึงเปลี่ยนน้ำเสียงเสียใหม่ให้ดูอ่อนลง พร้อมถามหาลูกชายตัวแสบ

“ไอ้นนท์ เอ่อ แล้วนนท์อยู่ที่ไหนล่ะ”

“หนูไม่ทราบค่ะคุณแม่ พี่นนท์ไปราชการที่นั่นแล้วก็...” เธอน้ำตาร่วงเผาะลงอีก เมื่อรู้ว่าหลงคารมจนเกิดเรื่องงามหน้าไม่สามารถอยู่ที่เดิมต่อไปได้ จึงได้ตามหากานนท์ โชคยังดีที่เธอรู้ที่อยู่ของกานนท์จากบัตรประชาชน ซึ่งจริงๆ แล้วข้าราชการไม่ต้องใช้ แต่ของกานนท์มีเพื่อไว้พรางตัว และนั่นรัชนีจึงได้รู้ว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน เธอจึงสืบเสาะมาจนพบในที่สุด

คำตอบของรัชนี ทำให้คุณนายส่ายหน้าไปมาด้วยความระอาใจ แล้วพานนึกถึงวิญญาณสามีผู้ล่วงลับไปแล้วอย่างเสียไม่ได้

...เลือดพ่อมันแรงนัก เพราะไม่ว่าย่างกรายไปราชการที่ใดมีเรื่องชู้สาวมันที่นั่น พอคุณนายจับได้ก็ว่าเขาหาแหล่งข่าว

...เช่นเดียวกับที่เวลานี้ แหล่งข่าวของลูกชายมานั่งร้องไห้เป็นเผาเต่า ฟ้องร้องความชั่วของกานนท์ให้คนเป็นแม่ได้รับรู้

“แล้วพี่นนท์หนีหายไปเฉยๆ ติดต่อตามหาก็เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ค่ะคุณแม่” หญิงสาวสะอื้นขึ้นมาอีก

“หนูก็รู้ตัวว่าท้อง หนูตัวคนเดียว หนูจะทำอย่างไรดีคะคุณแม่” เธอปล่อยโฮๆ อย่างมิอาจกลั้น เพราะจริงๆ แล้วตั้งแต่รู้ตัวว่าท้อง เธอก็ตั้งใจจะเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียว หากว่าความรักความหลงในตัวกานนท์มีมากจนมิอาจทนได้ จึงตามเสาะแสวงหาจนมาถึงบ้านชายหนุ่ม เพื่อนำสายเลือดมาจับอีกฝ่ายให้ได้

“หนูอยากให้พี่นนท์รับผิดชอบค่ะคุณแม่ เพราะยังไงเด็กในท้องก็เป็นลูกของพี่นนท์”

“แต่ฉันตัดสินใจแทนไอ้นนท์ไม่ได้” ดูเหมือนคุณนายจะติดคำเรียกจิกหัวลูกชายคนโตมากกว่า จึงหลุดออกไปอย่างไม่ตั้งใจ รัชนีเงยหน้าขึ้นมองแม่สามีแล้วจึงยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ขออนุญาตเสียงเครือสั่นด้วยความกริ่งเกรง

“เช่นนั้นคุณแม่อนุญาตให้หนูรอพี่นนท์อยู่ที่นี่ได้มั้ยคะ”

“แต่...” คุณนายจะปฏิเสธ หากเห็นอีกฝ่ายแล้วนึกเวทนา เพราะกำลังท้องกำลังไส้จริงๆ ดังนั้นคุณนายกานพลูจึงจำต้องรับรัชนีให้อยู่อาศัย ซึ่งระหว่างที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน คุณนายแอบสังเกตพฤติกรรมของหญิงสาวไปด้วย คุณนายได้เห็นรัชนีเป็นคนเรียบร้อย มีความขยัน พูดจาไพเราะน่าฟัง ใจคุณนายซึ่งปกติเนื้อแท้คือคนใจดีอยู่แล้ว จึงเริ่มอ่อน ขณะที่ท้องของรัชนีโตขึ้นทุกวัน

คุณนายจึงเฝ้าภาวนาให้ลูกชายกลับมาบ้านเร็วๆ เพราะจะซักถามเอาความให้ได้ว่า ถ้าหากเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขจริงแล้ว คุณนายกานพลูจะจัดการรับรัชนีเป็นศรีสะใภ้ให้เรียบร้อย แต่ว่ากานนท์ยังไม่ทันได้กลับมา หญิงสาวกลับโชคร้ายเหลือเกิน เพราะเมื่อวันใกล้คลอดเพียงสองวันเท่านั้น รัชนีอยู่บ้านตามลำพัง และลื่นตกบันได พอดีกับคุณนายกานพลูกลับมาพบเห็นเสียก่อนจึงรีบนำส่งโรงพยาบาล...แต่คณะแพทย์ช่วยได้แต่เด็ก ส่วนรัชนีตายหลังจากนอนโรงพยาบาลได้คืนเดียว

เวลานี้หญิงกลางคนปล่อยใจลอยตามควันสีเทาไปถึงลูกชาย พร้อมกับถอนใจยาวด้วยความอ่อนล้ามิใช่น้อย พลางครางในใจอย่างสงสารผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับลูกชายของตน

...จะสร้างเวรกรรมไปถึงไหนกัน ลูกเอ๊ย...

 

กานนท์ลงจากรถยนต์เช่าที่หน้าประตูรั้วเหล็ก จ่ายค่ารถแล้วเดินเข้าทางประตูเล็กด้านข้างซึ่งไม่ได้ปิดไว้ เหลือบตามองรอบข้างอย่างคนช่างสังเกต เช่นเดียวกันกับคุณนายกานพลูที่เฝ้ารอลูกชายอยู่ทุกลมหายใจ จนนับเวลาได้ในขณะนี้หนึ่งปีพอดีที่เขาหายตัวไปจากบ้าน และทันทีที่กานนท์เดินเอ้อระเหยขึ้นเรือน ยังไม่ทันได้ยกมือไหว้มารดาให้เรียบร้อย ตัวคุณนายกานพลูยกขาที่ห้อยอยู่ขึ้นนั่งชันเข่าพับบนเก้าอี้ไม้สักขัดมันตัวยาว และนางเป็นฝ่ายยกมือไหว้ท่วมหัวขึ้น กล่าวกระแทกแดกดันลูกชายเสียงดังลั่นเรือน

“ไงพ่อคู้ณ พ่อทูลกระหม่อมแก้วของแม่เอ๋ย พ่อยังมีชีวิตอยู่หรือจ๊ะพ่อ แหมนี่แม่ว่าจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้อยู่แล้วเชียว แม่เพราะนึกว่าตายโหงตายห่าไปเสียแล้ว”

กานนท์เปิดยิ้มกว้างรับคำสาปแช่งของมารดา เพราะนั่นทำให้รู้ว่ามารดายังรักเขาไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเขาถือว่าหญิงด่าก็ว่าหญิงรัก หญิงให้ตวักเรียกว่าหญิงกวักมือ นี่มารดาของเขาให้สองอย่าง แสดงว่ายังรักเขาอยู่มาก เขายกมือไหว้มารดาค้างไว้ ยังไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงมารดายังสรรเสริญเขาต่อออกมาอีกว่า

“แหม...ที่อิฉันเห็นนี่ยังเป็นคน หรือวิญญาณกันเล่าพ่อคู้ณ”

กานนท์ตอบถ้อยอ่อนหวานอย่างเอาใจผู้ให้กำเนิด

“นนท์ตัวเป็นๆ ครับแม่” พลางเข้าไปกระแซะมารดา จากคนที่ทำท่าเหมือนเป็นคนธรรมะธัมโมเปลี่ยนเป็นยักษ์ขมูขีได้ในบัดดล ท่านผลักอีกฝ่ายจนกระเด็น แรงผลักส่งให้ชายร่างใหญ่กระแทกนั่งลงบนเก้าไม้ยาว กานนท์จึงรู้ว่าเวลานี้ไม่สมควรหยอกล้อเด็ดขาด คิดได้ดังนั้นแล้วรีบขยับนั่งห่างสุดริม...เพราะอย่างไรเสีย หากเกิดเหตุไม่คาดฝันจะได้หลบทัน ก็เขารู้ดีนี่ว่า มารดาเป็นคนปากว่ามือถึง กำลังอารมณ์เฮี้ยวอย่างนี้อยู่ไกลไว้ย่อมปลอดภัยกว่า...

คุณนายกานพลูชี้หน้าลูกชายคนโต บริภาษเสียงเขียวจัด

“ไปหย่อนทุ่นที่ไหนมาหะ...ไอ้นนท์” ยังไม่รอคำตอบ คุณนายยังตามซ้ำ

“เจ้าตัวจะเวร จะไร เอ็งจะสร้างเวรสร้างกรรมตามรอยพ่อเอ็งไปถึงไหนนนนนหาาาาาา” ท้ายเสียงลากยาวปรื้ด

“โธ่แม่” กานนท์ครางเสียงอ่อย หลบตาลงมองพื้น ไม่กล้าสานสบดวงตาแข็งกร้าวของมารดาผู้ให้กำเนิด พร้อมกล่าวอ้อมแอ้มแก้ตัวออกมาอย่างไม่เต็มเสียงดีนักว่า

“ผมไปราชการแม่ก็รู้ จะมีเวลาไปสร้างวีรกรรมอะไรได้” เขาเปลี่ยนคำว่าเวรกรรมเป็นวีรกรรม เพราะฟังแล้วมีความหมายแตกต่างกว่ากันเยอะ

“งานหลวงอันนั้นแม่เข้าใจล่ะว่ามันเรียกวีรกรรม แล้วงานราษฎร์เล่า เอ็งไปสร้างมหาเวรกรรมอะไรไว้” ท้ายเสียงสูงด้วยความหมั่นไส้กับความกะล่อนของลูก

“เอ่อ...งานราษฎร์อะไรแม่”

“ก็คนที่มาอยู่ที่บ้านเรานี่ล่ะ”

กานนท์สะดุ้งโหยง สีหน้าซึ่งมีความคมขำ เผือดซีดลงไปถนัดตา ซึ่งคุณนายกานพลูจ้องกิริยาอาการของลูกตาไม่กะพริบอยู่แล้วจึงเห็นพิรุธชัดเจน เมื่อกานนท์เห็นกิริยาหมายมั่นจับผิดของมารดา ยิ่งทำให้เขามองเห็นผู้ให้กำเนิดอยู่ในรูปเค้าของท่านผู้พิพากษาหญิงนั่งบัลลังก์สูง มีที่เท้าแขนเป็นหัวกะโหลกมนุษย์ และท่านสวมเสื้อผ้าเหมือนพญามัจจุราชไม่มีผิด

ภาพที่สร้างขึ้นมาเองนั้นทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนหายใจไม่ทั่วท้อง ความหนาวเยือกย่างกรายเข้ามาจนเขานึกหวาด หากแล้วความลื่นไหลอันเป็นนิสัยยากเกินขุดออกของเขา ก็บังเกิดเป็นสติขึ้นมาเตือนตน ว่าเขามีดีกรีเรียนสายสืบจบจากเมืองนอกเมืองนามา ถ้าแค่นี้หาทางออกในยามคับขันไม่ได้ มีหรือชีวิตราชการจะรุ่งจนได้ทั้งยศทั้งกล่องอย่างนี้

เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงรีบปรับสีหน้าเป็นเรียบเฉย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เข้าใจในสิ่งที่มารดาเอ่ยเสียอย่างนั้น พร้อมกับย้อนมารดาด้วยน้ำเสียงดุ ข่มไปกลายๆ อย่างทำเป็นลืมฐานะสูงส่งของมารดาอีกต่างหาก

“แม่รับคนเข้าบ้านเราง่ายๆ ได้ไง เพราะถ้าเป็นคนร้ายละก็ ผมจะตามมาแก้ทันหรือครับ”

เมื่อคุณนายกานพลูได้ฟังแล้วต้องรีบบังคับตัวเองไม่ให้เพ่นกบาลลูกชาย นึกย้อนดังลั่นในหัวอกว่า...เอ็งจะมาทันได้ไง หายหัวไปทีปีสองปีถึงได้เห็นหน้ากันสักครั้ง...ท่านจำต้องอดกลั้นเต็มที่กับวาจาไหลลื่นต่อมาของกานนท์ว่า

“แล้วนี่เป็นใครมาจากไหนกัน ถึงมาอ้างมั่วๆ จนทำให้แม่หลงเชื่อได้”

คุณนายพยายามบังคับเสียงตัวเองให้เรียบที่สุดเพื่อมิให้ลูกจับได้ว่า ท่านไม่มีความเชื่อในน้ำคำของกานนท์สักประโยคเดียว ท่านจึงทำเป็นเลียบเคียงถามว่า

“เจ้าพูดจริงหรือเปล่านนท์”

“จริงสิครับแม่ ผมจะกลบเกลื่อนทำไมล่ะครับ”

เขานั่งยันจนคุณนายแทบจะลุกขึ้นไปยืน และยันให้สักโครม แต่ท่านต้องยั้งอารมณ์ไว้ เพราะตามแนวทางของท่านแล้ว ใบข่อยจัดการกับปลาไหลเช่นลูกชายของท่านไม่ได้ดีเท่ากับกระดาษทรายเบอร์ห้า ซึ่งมีความคมและหยาบสุดๆ ท่านรับรองได้ว่าไม่แค่ขูดเมือกออก แต่ปลาไหลตัวนี้จะได้เลือดพร้อมหนังถูกลอกจนเหลือแต่เนื้อแท้ๆ อย่างแน่นอน ดังนั้นท่านจึงปล่อยให้ลูกชายตายใจพูดยืดยาวต่อไป

“ตามแนวทางการสอบสวนต้องมีมูลเหตุถึงจะหาผลได้ แม่อย่าลืมความสำคัญในข้อนี้สิครับ” เขากล่าวหลักการยาวเหยียด และบังอาจตำหนิมารดาไปแกนๆ ว่า

“เป็นถึงภรรยาอดีตท่านผู้กำกับมือปราบ และเป็นมารดาของนายตำรวจอนาคตไกลอย่างผม แม่จะต้องมีวิจารณญาณให้หนักแน่นและมั่นคง และเราต้องรอผลการพิสูจน์เสียก่อนสิครับค่อยว่ากันเป็นลายลักษณ์อักษร”

คุณนายผู้เป็นมารดาอยากซัดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนสักโครม...เพราะมันกะล่อน ถอดด้ามถอดปลอกจากผู้เป็นพ่อไม่มีผิด...ดังนั้นเมื่อมีพิรุธให้จับได้ คุณนายจึงสวนขวับ

“แม่ยังไม่ทันบอกว่าเขามาอยู่ฐานะไหนชื่ออะไร แล้วแกรีบร้อนออกตัวทำไมเจ้านนท์”

“ก็...” เขาอยู่สืบสวนก็จริง แต่ยังไม่อาจเทียบชั้นมารดา เพราะขนาดบิดาซึ่งมีความไหลลื่นกว่าปลาไหลชุบจาระบี คุณนายยังจับด้วยมือเปล่าจนอยู่หมัด ข้อนี้แสดงถึงฝีมือที่เหนือชั้นกว่ากัน

“ก็แม่ว่าผมไปหย่อนทุ่น คำว่าหย่อนทุ่นสำหรับผมมันตีความได้อย่างเดียวนี่ครับแม่” เขาไหลไปอีก ครานี้คุณนายลดเสียงลงพร้อมทำเกลื่อนสีหน้าท่าทีไปทางอื่น ไม่ให้ลูกรู้ตัวว่ากำลังฉุนเต็มที

“ลูกเคยมีอะไรๆ กับผู้หญิงชื่อรัชนีหรือเปล่า นนท์”

“เอ่อ...” ชื่อนี้ทำให้เขานิ่งอึ้งเพราะนึกไม่ออก เพราะที่ผ่านมานั้น เขาไปทั่วทุกหัวระแหง จากเหนือจรดใต้ และมีความเผลอหย่อนใจไปกับหลายสาว จนแทบจำไม่ได้ แล้วจู่ๆ มารดาเอ่ยนามว่ารัชนี...มีหรือว่าเขาจะจำได้

คุณนายกานพลูทำเสียงเรียบเรื่อยเช่นท่าที

“ที่เป็นครูเด็กเล็ก อยู่ต่างจังหวัดน่ะ รู้จักมั้ย”

กานนท์สะดุดใจทันทีที่ได้รู้รายละเอียด เพราะทำให้เขานึกถึงหญิงสาวสวย มีความใสซื่อออกทันที ผู้หญิงคนนั้นสำหรับกานนท์ที่เปรียบตัวเองเป็นพ่อครัวหัวเห็ด ได้จัดให้เธอเป็นอาหารที่มีสีสันน่ารับประทาน แต่รสชาติจืดชืด แบบลืมใส่เครื่องปรุง ดังนั้นหลังจากลิ้มรสแล้วรู้ว่าไม่ใช่สเปก จึงได้ถอนตัวกลับโดยไม่มีสามัญสำนึกถึงความผิดสักนิด

...เขาไม่ได้หลอกลวงสักหน่อย แล้วเรื่องอะไรรัชนีจึงตามมาผูกมัดเขาถึงบ้าน ดังนั้นเขาจึงเอ่ยกับมารดาอย่างไม่มีเยื่อใยในหญิงสาวที่ผ่านมาในชีวิตทุกคนว่า

“ถ้าขืนรับคนที่ผมมีอะไร อะไรด้วยละก็ แม่มีลูกสะใภ้เป็นร้อยล่ะ”

“แหม แหม...เชื้อไม่ทิ้งแถว” คุณนายทำเสียงสูงประชด กานนท์จึงบังอาจลามปาม

“ใช่ครับ พ่อเป็นแบบอย่างที่ดีของลูก ผมเป็นคนมีเชื้อมีสาย จะไปทิ้งแถวไม่ได้หรอกครับแม่”

“เออ...” คุณนายกระแทกเสียง

“เพราะพ่อเอ็งลากหางยาวนี่แหละแม่ถึงได้ยิงขาลากไง แหม...ไปถึงไหนมีเมียมันถึงนั่น ไม่เว้นแม้แต่ชาวป่าชาวดง ดูรึ ยังหอบลูกมันมาให้แม่เลี้ยงไว้ดูต่างหน้าแม่มันอีก” เอ่ยถึงตรงนี้แล้วนึกขึ้นได้จึงหยุดโดยพลัน เพราะเด่นดวงไม่เคยรู้ชาติกำเนิดตัวเองว่าเป็นใครมาจากไหน

เด็กชายรู้แต่ว่าคุณนายกานพลูคือมารดาผู้ให้กำเนิด แต่ความเป็นจริงที่ทุกคนปกปิดไว้มิดชิดคือ ในอดีตเมื่อสิบสองปีก่อนนั้น มีเรื่องเกิดขึ้นมาจากสาเหตุที่ผู้กองกานต์ พฤกษชาติ ไปงานราชการลับ ตามสืบเสาะเบาะแสไปจนถึงแนวเขตชายแดนในฐานะนักล่องไพร แต่เกิดล้มป่วยเป็นไข้ป่าปางตาย หากว่าเคราะห์ดีที่หัวหน้าชนกลุ่มน้อยมาพบเข้า จึงนำตัวไปรักษาด้วยสมุนไพรพื้นบ้านจนหายราวปาฏิหาริย์

ผู้กองหนุ่มรูปหล่อก็สนองคุณหัวหน้าหมู่บ้านชนกลุ่มน้อย โดยเข้าหาลูกสาวหัวหน้าเอาเป็นเมียได้อย่างแนบสนิท สืบงานไปพร้อมกับทำหน้าที่ลูกเขยชาวดง จึงนับว่าปิดบังฐานะตนได้มิดชิด จนกระทั่งงานได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ และผู้กองหนุ่มได้รางวัลก่อนราชการมอบให้คือ ได้ลูกชาย หากว่าภรรยาสาวชาวดงโชคร้ายคลอดลูกตามธรรมชาติ ตกเลือดตาย ซึ่งในเวลานั้นผู้กองกานต์ต้องกลับมารายงานตัวพอดี เขาจึงให้คำสัตย์กับพ่อตาผู้มีพระคุณว่า ลูกผู้ชายอย่างผู้กองกานต์ไม่มีวันเนรคุณ เมื่อภารกิจต่างๆ จบลงแล้ว เขารับปากจะกลับไปรับลูกชายมาอยู่ด้วยในฐานะเชื้อชาติไทย สัญชาติไทย

ผู้กองหนุ่มได้รับการสดุดี เลื่อนยศชั้นเป็นสารวัตรและความสัตย์ที่ให้ไว้กับผู้มีพระคุณรวมทั้งสายเลือดที่ยังตกค้างอยู่ในป่าทำให้สารวัตรเลียบเคียงบอกคุณนายกานพลู และได้รับรางวัลงานราษฎร์โดยการถูกทุบตีด้วยมือ และไม้ โดยที่ท่านสารวัตรไม่ได้ตอบโต้ เพราะท่านรู้ดี ขืนสวนสู้ แม่กานพลูเอาตาย!!

ดังนั้นท่านจึงยอมเจ็บ เพราะรู้เช่นกันว่า เมื่อคุณนายหายโกรธ ท่านจะขออะไรจากยอดภรรยาคนนี้ก็ได้หมด เพราะคุณนายถือว่าเป็นการรับขวัญที่ตีสามีจนหน้ายับไปทำงานให้อับอายขายขี้หน้าลูกน้องไม่ได้

“เด็กตาดำๆ เลี้ยงไว้เอาบุญนะคุณนะ” ท่านวิงวอน ด้วยใบหน้าบอบช้ำไม่น้อย รอบตาเขียวเป็นวง มุมปากยังแตกเลือดออกซิบ ซึ่งเกิดจากอิทธิฤทธิ์กำปั้นของคุณนายกานพลูทั้งสิ้น

“เด็กดงเนี่ยนะ” คุณนายเสียงเขียวทำท่ารังเกียจสามี เพราะแม้แต่ชาวดงพ่อยังลงไปกลั้วจนเกิดสายเลือดขึ้นมา ท่านสารวัตรยิ้มแห้งแล้งไม่สามารถแก้ไขอดีตได้ แต่ครั้นจะทิ้งเลือดในอกอย่างไม่ดูดำดูดี ท่านก็คงไม่มีความเป็นคนเหลืออีก

“พี่ได้พวกเขาดูแลตอนทุกข์ยาก”

“เลยต้องเป็นผัวสมนาคุณ” คุณนายย้อนทันควัน

“โธ่คุณ...” เขาทำเสียงอ้อน เพราะรู้ว่าภรรยาปากร้าย แต่หัวใจนักเลงดีนัก

“ผิดที่พี่ ไม่ใช่ที่เด็ก แต่พี่เชื่อว่าคุณคงเลี้ยงเขาได้ดี”

“แม่เด็กก็ตายไปแล้ว เลือดของพี่จะทิ้งไม่ดูดำดูดีอยู่ในป่า ให้เป็นคนไร้สัญชาติก็แย่นะคุณ”

“ไปลากมันออกมาจากป่าเองสิท่านศาลาวัด” คุณนายกระแทกใส่ หมายความอย่างที่พูดจริงๆ เพราะศาลาวัดเป็นที่พักพิงของใครก็ได้ สามีจึงอ้อมแอ้มเอาใจว่า

“พี่ต้องให้คุณอนุญาตก่อน เพราะเด็กต้องมาพึ่งใบบุญของคุณ พี่ไม่กล้าทำข้ามหน้าข้ามตาคุณหรอก”

คุณนายขว้างค้อนตาแทบกลับ

“ใช่ ไม่ข้ามแค่หน้าหรอก แต่เหยียบหัวใจฉันทีเดียวล่ะ” คุณนายสวนกลับทันควัน แต่ในที่สุดก็เดินป่าฝ่าดงตามท่านสารวัตรไปจนพบเด่นดวง

เมื่อท่านสารวัตรอุ้มเลือดในอก เด่นดวงร้องไห้จ้าไม่ยอมรับอ้อมกอดของบิดา หากเมื่อคุณนายกานพลูรับเด็กมาไว้ในอ้อมกอด เด็กน้อยกลับซุกซบแนบอกไม่ร้องสักแอะ อย่างเป็นที่น่าอัศจรรย์ อาจจะเพราะเป็นผลบุญที่ได้ทำร่วมกัน จึงเป็นได้ที่เด็กน้อยเกิดผิดท้อง

คุณนายกานพลูใจอ่อนยวบ ไม่นึกรังเกียจเลยสักนิด อุ้มเด็กอ่อนกลับแผ่นดินไทย รับสมอ้างเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดเด็กกำพร้าสายเลือดของสามี จนบัดนี้เด่นดวงก็ไม่เคยรู้ความจริง เพราะได้รับความรักและการเลี้ยงดูในฐานะลูกชายคนเล็กของคุณนายกานพลูมาโดยตลอด

แต่ช่างกระไรเลยที่ฟ้าดินไม่เข้าข้างนัก เพราะผู้กองกานต์เป็นคนผิวคล้ำ คุณนายก็ผิวคมขำ หากเด่นดวงขาวเผือก ใบหน้าถอดพิมพ์มาจากมารดาที่แท้จริงไม่ผิดสักส่วน เด็กชายมีตาเรียวยาวชั้นเดียว ริมฝีปากแดงจัด จมูกไม่โด่งเป็นสันอย่างบิดา เขาช่างไม่มีส่วนของบิดามารดาตามใบเกิดสักนิด เพื่อนๆ ของเด่นดวง และบรรดาผู้ปกครองบางคนก็ชอบพูดให้เด็กชายยอกใจว่า เด่นดวงเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยง จนเรื่องนี้ถึงหูคุณนายกานพลู นางจึงไปเอาเรื่องกับทั้งเด็กและผู้ปกครองถึงโรงเรียนอย่างไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น ด้วยเหตุผลที่ว่า

“นิ้วมือข้างเดียวกันยังไม่เหมือนกันสักนิ้ว แล้วคนทั้งคนทำไมต้องลอกกันออกมาด้วย”

“แหมคุณนาย” คนช่างสงสัย อยากรู้เรื่องชาวบ้านอดปากไม่อยู่

“ยังไงๆ เด็กก็น่าที่จะเหมือนพ่อแม่บ้าง”

“เหมือนสิ” คุณนายทำตาวาว ชี้หมับที่เป้าลูกเลี้ยง ทำเสียงเหี้ยมในคอ

“เจ้านั่นของมันเหมือนพ่อมันยังกับถอด จะดูมั้ยล่ะ จะได้เปิดให้ดูทั้งพ่อทั้งลูกซะเดี๋ยวนี้ มันเหมือนกันขนาดไหน จะดูมั้ยไม่หวงหรอก”

คนสงสัยอ้าปากหวอ ขณะที่ท่านสารวัตรและลูกชายได้แต่ภาวนา ขออย่าให้มีใครสักคนกล้าท้าพิสูจน์เลย เพราะว่าคุณนายกานพลูได้แก้ประจานให้เห็นคาตากันแน่ และเพราะฤทธิ์ของความเป็นคนจริงนี่แหละ จึงหาผู้สงสัยพูดจาให้ระคายหูคุณนายกานพลูไม่ได้อีกเลย นึกถึงตรงนี้นางจึงคอยเตือนตัวเองว่าไม่ให้พาดพิงถึงความหลังของเด่นดวง

คุณนายเสียงอ่อนลง เมื่อหันมาพูดเรื่องที่ยังสนทนาค้างอยู่กับกานนท์

“เอ็งจะรับหรือไม่รับไม่รู้ แต่ว่ารัชนีไปแล้ว”

“ถ้าเขาไปแล้วก็จบ” เขาตีขาตัวเอง สรุปด้วยความโล่งอก

“ไม่ต้องทำสำนวนให้เสียเวลา” คุณนายแม่จึงด่าสวนทันควัน

“ไอ้เข้าเวร”

กานนท์กลืนน้ำลายลงคอเอื๊อก ท่านด่าเขาจนติดปาก จากเด็กหัวดื้อ จนอายุล่วงเข้าจะสามสิบอยู่แล้ว ยังถูกจิกด่าไม่เลิก และแน่นอนว่าเขาต้องฟังคำบริภาษยาวเป็นกลอนสดทีเดียว

“กล้วยถูกทับมันแบบแต๊ดแต๋ แต่คนนะไอ้นนท์ ถ้าไม่ระวังแล้วละก็ พอทับปุ๊บมันท้องกันได้ปั๊บ มันเหมือนกล้วยปิ้งเสียที่ไหนกัน ที่ไม่พอใจรสชาติก็โยนทิ้งข้างถนน”

เขายิ้มเจื่อน เข้าใจเอาเองว่าที่ผ่านมาโชคดี...ที่ได้ทับ และไม่ท้องสักราย จึงเอ่ยเบาๆ พร้อมบิดตัวแก้เก้อไปมา

“ผมคงไม่ใช่ประเภทปล่อยปุ๊บได้ปั๊บ หรอกครับแม่”

ท่านลงเสียงหนัก ประชดลูกชาย

“แต่รัชนีมาคลอดลูกตายที่นี่”

กานนท์ใจหาย ใบหน้าคมคร้ามเผือดไปจนเห็นได้ชัด เรื่องเป็นเรื่องตายไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แม้เขาไม่ใช่คนเคร่งศาสนานัก แต่ยังพอรู้เรื่องบาปกรรมอยู่บ้างหรอก จึงอดแสยงใจมิได้

เมื่อเห็นลูกชายนิ่งอึ้ง คุณนายกานพลูเอ่ยแกมบังคับว่า

“แกต้องไปโรงพยาบาลกับแม่เดี๋ยวนี้”

“จะไปทำไมครับ เอ่อ แม่ว่ารัชนีตายแล้ว” กานนท์ถามเสียงแผ่ว ไม่เหลือแววกะล่อนสักนิด

“ที่ตายก็ตายไป แต่ที่เหลือยังมี”

“หา” เขาอุทาน เบิกตาค้าง

“ยังมีใครอีกหรือครับแม่” ถามพลางคิดทบทวนด้วยสมองปราดเปรื่อง เขาไปสร้างวีรกรรมอย่างที่กล่าวอ้างกับใครไหนอีก

...โอย นับไม่ถ้วน เดาไม่ออกว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ไม่ใช่เหมือนไหมแน่ๆ เพราะเขาพึ่งมาถึงบ้านเธอตามมาไม่ทันหรอก...และเขาก็ใช้ถุงยางป้องกันด้วยรายนี้ รับรองไม่มีพลาด

มารดาหันมาถลึงตาใส่กานนท์แทบถลนออกมานอกเบ้า แล้วคว้ากระเป๋าถือสีดำใกล้ตัวขึ้นถือ กานนท์รู้ว่าในนั้นมีปืนพกไว้ประจำ และเป็นกระบอกเดียวกับที่ท่านยิงบิดาของเขา เพราะหลังรับเด่นดวงมาอยู่บ้านได้ปีเดียว บิดาริอ่านติดนักร้องขนาดเลี้ยงดู และกำลังจะนำมาออกหน้าออกตาอยู่พอดี แต่คุณนายกลับทำให้ฝันนั้นสลายด้วยการประกาศกร้าว ขอเสียชีวิตผัว ดีกว่าเสียศักดิ์ศรีตัวเอง ประกาศศักดาแล้วจึงตามไปยิงสามีถึงรังรักของภรรยาน้อย สารวัตรกานต์ได้รับบาดเจ็บจนขาเดี้ยง และไม่กล้าเอาความ รวมทั้งไม่กล้าเจ้าชู้อีกเลย จนประสบอุบัติเหตุรถคว่ำตายจากกันไป

 

เมื่อถึงโรงพยาบาล คุณนายเห็นลูกชายเหม่อจึงฉวยข้อมือลูกชายกุมแน่น ทำให้กานนท์รู้สึกตัว จำต้องเดินตามมารดาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง เขาได้แต่บนบานบิดาในใจ ขออย่าให้มารดาบังคับเขาให้แต่งงานกับใครเลย เพราะหากมารดาข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้าแล้วละก็ ‘เขาจะหนีออกจากบ้านให้รู้แล้วรู้รอดไป’

สองแม่ลูกพากันเดินไปที่ตึกทารกแรกคลอด กานนท์เกิดใจหวิวขึ้นมาอีก เพราะไม่รู้มารดาพามาที่ตึกแรกคลอดทำไม...หรือเขาทิ้งทุ่นแล้วเกิดระเบิดจริงๆ

...ใครๆๆ...ชายหนุ่มคิดสับสนวุ่นวาย จนผ่านเก้าอี้ริมระเบียงตัวยาว โดยมีผู้หญิงบางคนกำลังให้นมทารกตัวเล็กๆ และเมื่อบางคนให้นมเสร็จแล้ว พยาบาลจะเข้ามาอุ้มทารกกลับไปไว้ในห้องอบ มีตู้อบใกล้หน้าต่างกระจกตู้หนึ่ง ในอู่นั้นมีทารกหญิงตัวเล็กๆ ที่แขนมีหลอดเข็มติดอยู่เพื่อไว้ฉีดน้ำและยา...

กานนท์ทอดตามองเด็กทารกในตู้นั้นเป็นพิเศษ หัวใจที่เคยแกร่งเต้นอ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว ความรู้สึกวิบไหวแล่นซ่านไปทั่วอก ถึงแม้ว่าทารกคนนี้จะมีผิวเหี่ยว ใบหน้ายับย่น มองไม่ออกว่าเหมือนใคร แต่ในส่วนลึกของชายหนุ่ม กลับรู้สึกมีความอบอุ่นซาบซ่านขึ้นมาอย่างประหลาด

“ลูกเจ้าใช่ไหมนนท์”

“เอ่อ...ไม่ ไม่แน่ใจครับแม่”

“ดำเป็นตอ ถอดแบบไม่มีผิด ยังว่าไม่แน่ใจอีกเรอะ”

กานนท์ยิ้มเจื่อน ไม่ทราบมารดามองออกตรงไหนว่าเด็กทารกคนนั้นเหมือนเขา แต่เมื่อทอดสายตามองทารกหญิงอย่างจริงจัง ทำให้ก่อเกิดความผูกพันของสายเลือดขึ้นมาในหัวใจ

“แกจะรับหรือไม่รับแม่ไม่รู้ล่ะ แม่ใส่ชื่อแกเป็นพ่อไปแล้ว” คุณนายบอกแกมบังคับ กานนท์มองเด็กน้อยตาปริบๆ รับคำมารดาลอยๆ ไม่รู้ตัว

“ครับแม่” กล่าวเสริม “ตั้งชื่อว่าอังกาบนะแม่”

“ทำไมต้องชื่อนี้” มารดาสงสัย เพราะสมัยนี้เขาไม่ค่อยนิยมชื่อไทยสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มหันไปยิ้มสดใสให้มารดา บอกเหตุผลอย่างทีเล่นทีจริงว่า

“เรียกเล่นว่าอัง โตขึ้นจะได้ใจเด็ดเหมือนอังศุมาลินไงแม่”

“ดำเป็นเหนี่ยง เผยอไปเทียบเมียพ่อโกโบริ” คุณนายค่อนว่า เพราะคุณนายนับถือผู้ประพันธ์เรื่องนี้เป็นชั้นมหาครูทีเดียว เมื่อเห็นแม่หนูน้อยอ้าปากหาวหวอด สองแม่ลูกพากันหัวเราะเบาๆ

กาลเวลาเป็นนายตัวเองเสมอเพราะมันไม่เคยรอท่าใคร วัน คืน จึงได้แต่ผ่านไป ผ่านไป


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (70 รายการ)

www.batorastore.com © 2024