ฉันทนาสามช่า (วัตตรา) (EBOOK)
ประหยัด: 300.00 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
ฉันทนา3 ช่า โดย “วัตตรา”
ตอนที่1
ตะวันยามบ่ายคล้อยค่อยๆโรยตัวลงเกือบจะระทิวไม้ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา แสงสีส้มจัดจ้านให้ความรู้สึกร้อนแก่สายตาคนทั่วไป
ติ๊งโหน่งหนุ่มผู้รักสวยรักงามก็ไม่ค่อยชอบความจัดจ้านของแสงแดด เขาว่ายน้ำได้ไม่กี่นาทีก็รีบขึ้นฝั่งไปชโลมครีมกันแดด แล้วค่อยกระโดดลงเล่นน้ำ
ส่วนเพื่อนสามทั้งสาวของเขาที่กำลังลอยคออยู่ในแม่น้ำกลับไม่ได้รู้สึกร้อนรุ่ม หรือหวาดหวั่นต่อแสงแดดจ้าแต่อย่างใด พวกเธอยังเริงร่าท้าแสงตะวันยามคล้อยค่ำ อยู่ในน้ำอย่างสำราญใจ
“โอ๊ย...อย่าดึงขาฉันยัยมุก...ปล่อยโว้ย...เดี๋ยวเถอะ...เดี๋ยวเถอะ ถ้าฉันจมน้ำตายฉันจะมาหักคอแก แกจะอดเป็นทนายความ”
ไข่มุกที่อยู่ใต้น้ำรีบปล่อยขาเพื่อนแล้วโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำหัวเราะคิกๆ แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปสว่างวาบขึ้นครั้งหนึ่ง
“โอ๊ะ...เอ๊ะ...อ๊ะ” สามสาวที่ลอยคออยู่ในน้ำอุทานออกมาพร้อมกัน มองไปรอบๆ เห็นเรือนักท่องเที่ยวอยู่สองสามลำที่อยู่ห่างออกไป กับเรืออีกลำหนึ่งที่เหมือนจะมีแค่คนขับเรือกับผู้โดยสารคนเดียวที่ลอยลำอยู่นานแล้ว สาวๆไม่ได้ให้ความสนใจ
ไข่มุกเมื่อมองไม่เห็นที่มาของแสงแฟลชเธอก็หันมาตอบโต้เพื่อนว่า
“ฉันไม่ให้แกตายหรอกน่ายัยนารี ฉันอยากเห็นแกได้เป็นดารา นางแบบ นักร้อง พิธีกร แล้วก็เมียเศรษฐี”
“โอ้โหจำความฝันของยัยนาได้หมดเลยเหรอมุก” แก้วตาหญิงสาวตาสวย กิริยาเนิบนาบอุทานไปด้วยเหนื่อยหอบจากการพยายามลอยตัวในน้ำไปด้วย
“แหม...ความฝันของเพื่อนฉันจำได้ทุกคนแหละ ของยัยนาฝันเว่อขนาดนั้นจำง่าย ส่วนฝันของเธอฉันยิ่งจำแม่นนะยัยแก้ว”
“มันก็แค่ฝันอย่าพูดถึงเลย” แก้วตาพูดกลั้วหัวเราะ
“อ้าวคนเราถ้ามีความฝันเราก็ต้องพยายามเดินไปให้ถึงความฝันของเรา...อย่างเธอน่ะฝันแล้วทำได้ง่ายนะแก้วตา...ถ้าไม่มีเงินมากพอที่จะเปิดร้านกาแฟในฝันสวยๆเก๋ๆ ในปั๊มน้ำมัน แกก็ขายแกแฟรถเข็นไง ก็ถือว่าเป็นเจ้าของร้านเหมือนกัน...ใช่มั้ยนังโหน่ง”
ไข่มุกตะโกนหาเสียงสนับสนุนจากติ๊งโหน่งที่งกๆเงิ่นๆอยู่กับเรือลำน้อย โหน่งได้ยินที่เพื่อนๆสาวๆคุยกันทุกประโยค พอเขานั่งในเรือได้ก็ค่อยๆพายออกมาเขากรีดนิ้วสะบัดปลายผม ซึ่งเขาไม่ได้ผมยาวแต่ประการใด ติ๊งโหน่งเป็นกะเทยแต่งชายแบบเท่ๆ เก๋ๆ ตัดผมเรียบร้อยแต่ทำสีผมในวันที่ไม่แต่งเครื่องแบบหนุ่มโรงงาน หากใครไม่ได้ยินเสียงไม่เห็นท่าจีบปากจีบคอ ไม่ได้เห็นท่าเดินโยกย้ายส่ายสะโพกของเขา จะต้องมองว่าเขาเป็นหนุ่มหล่อรูปร่างหน้าตาดีน่าสนใจมาก
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่ามีแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปจากเรือที่ลอยลำอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก เพียงแต่คนถ่ายภาพไม่ได้ยกกล้องขึ้นถ่ายอย่างโจ่งแจ้งนัก ติ๊งโหน่งไม่ได้เออออตามที่ไข่มุกพยักพเยิดมาทางเขาเรื่องฝันของแก้วตา แต่เขาพายเรือมาใกล้สาวๆแล้วก้มลงบอกว่า
“นี่หล่อนทั้งสามยะมัวแต่ฝันกลางวันอยู่นั่นแหละ ดูซิเมื่อกี้ใครถ่ายรูป”
“หือ...พวกโรคจิต” ไข่มุกคิดไวปากไวรีบเกาะขอบเรือจะปีนขึ้นไปนั่ง
แต่ยังไม่มีใครได้ว่าอะไรเรือก็ล่ม ทั้งหมดส่งเสียงกรี๊ดลั่นคุ้งน้ำ
เสียงกรี๊ด เสียงหัวเราะเฮฮา เสียงซัดสาดน้ำใส่กันของทั้งหมด ถูกช่างภาพหนุ่มฝีมือดีบันทึกไว้ได้อย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ
ไข่มุกที่ลอยคออยู่ในน้ำแต่หันหน้าไปทางเรือลำที่มีผู้โดยสารนั่งมาคนเดียวพอดีและเห็นว่ามีชายหนุ่มแต่งตัวรุ่มร่ามและเหมือนจะซ่อนกล้องไว้ในผ้าคลุมรุ่มร่ามของเขา กำลังจับภาพพวกเธออยู่ ไข่มุกตะโกนใส่หน้าเขาทันที
“เฮ้ย ไอ้โรคจิต แกแอบถ่ายรูปพวกเรางั้นเหรอ หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
“เฮ้ย...อะไรยัยมุก” นารีหันไปมองตามมือเพื่อนซึ่งชี้ไปที่เรือ
“มีอะไรเหรอยัยนา ยัยมุก” แก้วตายังเลิกลักมองไม่เห็น
“เฮ้ย นี่นาย...ไอ้โรคจิต หยุดถ่ายรูปพวกฉันเดี๋ยวนี้นะ...นายจะถ่ายไปทำไม” ไข่มุกยังเอะอะเอาเรื่อง
คนถูกถามไม่ยอมตอบแต่ยกกล้องขึ้นมาลั่นชัตเตอร์แบบรัวไม่มียั้ง และยิ่งมีเด็กๆที่เล่นน้ำอยู่แถวๆนั้นรวมตัวกันกระโดดน้ำตูมๆอยู่ข้างหลังสาวๆทั้งสาม ยิ่งเป็นภาพชีวิตที่งดงามมากในความรู้สึกของคนถ่ายภาพ เขาไม่สนใจว่าสามสาวจะว่าอะไรด้วยซ้ำ
“นี่คุณ จะถ่ายรูปสาวๆน่ะขออนุญาตเจ้าตัวเขาหรือยังฮ้า...ถ้าไม่ขออนุญาตสาวๆก็ขออนุญาตติ๊งโหน่งก่อนนะฮ้าในฐานะที่เป็นพี่เลี้ยงสาวๆพวกนี้”
ติ๊งโหน่งมองเห็นว่าเขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดีแม้ว่าจะเห็นกันในระยะไกลนับสิบเมตร
“นี่อีนังโหน่ง ไปพูดอย่างนั้นได้ยังไง หมอนั่นเป็นคนดีหรือเปล่าก็ไม่รู้” ไข่มุกดุเพื่อน
“งั้นเราต้องหยุดเขานะเผื่อเขาเป็นพวกที่แอบถ่ายคลิปสาวๆไปอัดขายแถวคลองถมน่ะ” ไข่มุกแสดงความคิดเห็น
“อุ๊ย...จริงด้วย...เอ๊ะ แล้วแกรู้ได้ยังไงล่ะยัยมุกว่าเขาทำกันอย่างนั้น” นารีเห็นด้วยแต่ก็ยังสงสัย
“ก็นังโหน่งมันเป็นเด็กเทพ มันเล่าให้ฟัง แล้วฉันก็เคยอ่านเจอในหนังสือด้วย”
“อุ๊ย...งั้นถ้าเขาเอารูปที่เราเล่นน้ำไปอัดขายล่ะ...ว้ายแย่แล้ว เราโป๊หรือเปล่าก็ไม่รู้...อุ๊ย...ไม่ได้นะ ไม่ได้จริงๆ” แก้วตาโวยวาย
ไข่มุกกับติ๊งโหน่งสลับกันร้องบอก
“นี่หยุดนะ อย่าถ่ายรูปพวกเรานะ”
เสียงห้ามไม่ได้ส่งผลอะไรเลย เพราะเรือลำนั้นยิ่งใกล้เข้ามา จนทั้งหมดต้องค่อยๆถอยร่นเข้าหาฝั่ง ไข่มุกตัดสินใจรีบว่ายน้ำเข้าฝั่งก่อนใคร แล้วบอกกับเด็กชายสามสี่คนที่เล่นน้ำกันอยู่ตรงนั้นว่า
“นี่น้อง...น้อง...ไอ้ผู้ชายชุดดำที่อยู่ในเรือน่ะมันเป็นพวกโรคจิตมันถ่ายรูปผู้หญิงไปขาย น้องช่วยกันไล่มันไปเลย” ว่าแล้วเธอก็ก้มลงเก็บก้อนหินทั้งเล็กและใหญ่ขว้างไปใส่
เมื่อเพื่อนๆขึ้นฝั่งได้ก็ทำเช่นเดียวกับที่ไข่มุกทำปากก็ไล่
“ไป ไป ไอ้โรคจิต”
มือก็คว้าก้อนหินริมฝั่งน้ำขว้างใส่
คนขับเรือนำเรือเข้ามาเกือบจะเทียบท่าอยู่แล้ว ด้วยแรงโกรธไข่มุกขว้างก้อนหินใส่อย่างไม่ยั้งมือ
ในที่สุดก้อนหินที่เหมาะมือ ระยะห่างที่ไม่มากนัก และจังหวะของการขว้างทำให้ก้อนหินในมือของไข่มุกลอยหวือไปกระทบหน้าผากของชายหนุ่มที่สะพายกล้องถ่ายรูปอยู่เสียงดังโป๊ก
“โอ๊ย!!...เฮ้ย...เลือดนี่หว่า” ชายหนุ่มที่ถูกขว้างอุทานเสียงดัง
“นี่พวกคุณมาขว้างก้อนหินใส่ผมทำไม ผมไม่ใช่พวกโรคจิตน...โอ้โห...เลือดออกเลยนะเนี่ย...ใครวะ...ใครมือหนักขนาดนี้...อ่ะลุงบอกเขาหน่อยซิผมไม่ใช่โรคจิต”
“เอ้อ...คุณเขาไม่ใช่พวกโรคจิตหรอกอีหนู” ว่าแล้วแกก็หัวเราะแยกเขี้ยวโชว์ฟันหลอ
“ไม่จริงหรอกลุง ทั้งลุงทั้งเขานั่นแหละโรคจิต ไม่งั้นจะมาเฝ้าถ่ายรูปพวกฉันทำไม”
“อ้าว ซวยเลยกู” คนขับเรือวัยกลางคนอุทาน
“นี่ คุณถ้าไม่ใช่โรคจิตก็แสดงความบริสุทธิ์ใจ เอาฟิล์มออกมาเลยคุณ” แก้วตาร้องบอกชายหนุ่ม
“เฮ้ย...ผมไม่ได้ถ่ายด้วยฟิล์มซะหน่อย...โห...เชยนะคุณเนี่ย” เขาทำหน้าเสียงหยัน
“บ้าเอ๊ยมาว่าเพื่อนฉันได้ยังไง...ลงมาเลย เอาเมมโมรี่การ์ดออกมา ถ้านายบริสุทธิ์ใจ” ไข่มุกโกรธมากถลาเข้าไปกระชากกล้องถ่ายรูปที่เขาสะพายอยู่ เพราะไม่ทันระวังตัวเนื่องจากมือข้างหนึ่งนั้นยังกุมหน้าผากที่เลือดไหลซึมอยู่ ทำให้ชายหนุ่มเสียหลักร่างร่วงลงจากกาบเรือกล้องถ่ายรูปหลุดจากไหล่เขารีบคว้ามันไว้แล้วชูเหนือศีรษะ ส่วนตัวคนนั้นลงไปอยู่ในน้ำตั้งครึ่งตัวแล้ว ปากก็ร้องบอก
“อย่านะ อย่ายุ่งกับกล้องของผมนะ”
เสียงร้องห้ามของเขาไม่เป็นผล เพราะไข่มุกแย่งมาจากมือเขาได้แล้ว...แต่อนิจจา มันหลุดมือหล่นลงน้ำเสียงดังตูม
“เฮ้ย กล้องผม” ชายหนุ่มอุทานเสียงดังลั่นแล้วรีบคว้ามันไว้ก่อนที่มันจะดิ่งลงไปจมโคลน
ทั้งเจ็บหน้าผากทั้งเจ็บใจที่ถูกคนกระชากกล้องของรักของหวงตกน้ำ ชายหนุ่มโกรธมากว้ากกลับทันทีอย่างไม่รักษามารยาทอีกต่อไป
“เฮ้ยอะไรกันวะ อธิบายยังไงก็ไม่เข้าใจ บอกว่าไม่ใช่โรคจิตก็ไม่ใช่ซี่ นี่คุณรู้มั้ยกล้องผมราคาตั้งครึ่งล้านนะ คุณทำมันตกน้ำแบบนี้ผมไม่คุยด้วยแล้ว ไปโรงพักเลยดีกว่า”
“เอ้อ ให้มันได้อย่างนี้ซี่ทำผิดแล้วชวนไปโรงพัก ก็ดีจะได้แจ้งความนายละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของพวกฉัน ที่แอบถ่ายรูปพวกฉันกำลัง” ไข่มุกยังยื้อยุดฉุดเขาอยู่โดยมีนารีกับติ๊งโหน่งกับแก้วตาที่คอยช่วยทุบตีจิกข่วนทึ้งชายหนุ่มมองทั้งสองตาขุ่นขวาง แต่ปัดป้องมือทั้งหกออก
“เชอะหัวหมอจริงนะแม่คุณ ผมจะไปแจ้งความจับพวกคุณข้อหาทำร้ายร่างกายแล้วก็ทำลายทรัพย์สินของผมต่างหาก” ชายหนุ่มตะคอกใส่หน้า เพราะความโกรธที่ทวีขึ้นเนื่องจากเลือดที่หน้าผากซึมออกมาไม่หยุดและเขาก็เริ่มปวดหนึบๆแล้ว
“ฉันก็จะแจ้งความจับนายข้อหาลักลอบถ่ายภาพผู้หญิงกำลังอาบน้ำ”
เสียงทะเลาะกันเอะอะลั่นไปทั้งท่าน้ำนั้นชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์และดูท่าว่าทั้งสองฝ่ายจะหาข้อสรุปไม่ได้จึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจ และไม่กี่นาทีรถสายตรวจก็แล่นมาจอด
“อ่ะนั่นไง ฟ้ามีตาสวรรค์เป็นใจ แค่คิดตำรวจก็มาช่วยผม”
“ช่วยพวกฉันต่างหาก” ไข่มุกเถียงทั้งที่เริ่มสีหน้าไม่ดี
“เฮ้ยไอ้มุก ตำรวจมาได้ยังไง” นารีเริ่มไม่สบายใจ แก้วตาหน้าเสียถามเพื่อนเสียงเครือ
“เรื่องถึงโรงพักจริงๆเหรอแก”
“อุ๊ยตายว้ายเจี๊ยก นังมุก...ตำรวจมาจริงๆด้วย” ติ๊งโหน่งเข้ามาอุทานใกล้ๆหูเพื่อน
“ก็มาจริงน่ะซี่...ดีแล้ว ฉันจะแจ้งความ”
ว่าแล้วไข่มุกก็รีบถลาเข้าไปหาตำรวจก่อน เธอมองนายตำรวจที่ลงมาจากรถเพื่อให้แน่ใจก่อนจะรีบแจ้งความว่าเธอและเพื่อนๆถูกหนุ่มโรคจิตแอบถ่ายรูปขณะเล่นน้ำ ชายหนุ่มก็รีบมาปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่พวกโรคจิต แล้วเขาก็แจ้งความกลับว่าไข่มุกและเพื่อนๆทำร้ายร่างกายและทำลายทรัพย์สินของเขา
ต่างฝ่ายต่างโทษกันไปมานายตำรวจที่นั่งอยู่กะบะท้ายเป่านกหวีดให้ทุกคนหยุดแล้วลงมาไล่ต้อนทั้งหมดขึ้นรถตำรวจ คนขับเรือรับจ้างโวย
“ผมไม่ไปด้วยนะคุณช่างภาพ จ่ายค่าจ้างให้ผมเถอะผมจะรีบกลับบ้าน”
“อ้าว ลุงไม่ไปเป็นพยานให้ผมเหรอ” ช่างภาพหนุ่มถาม
หนุ่มใหญ่ส่ายหน้าและบอกว่าเขาเชื่อว่าชายหนุ่มจะรอดข้อหาหนุ่มโรคจิต
เมื่อไปถึงสถานีตำรวจ ทั้งสองฝ่ายยังเถียงกันเรื่องเดิม ฝ่ายที่ได้รับบาดเจ็บยังยืนกรานว่าเขาไม่ใช่โรคจิตและยืนยันที่จะฟ้องไข่มุกสองข้อหา ไข่มุกและเพื่อนๆต่างส่งเสียงเซ็งแซ่ดังลั่นสถานีตำรวจยืนยันหนักแน่นเช่นกันว่าจะฟ้องชายหนุ่มที่แอบถ่ายรูปพวกเธอ ตำรวจทั้งโรงพักปวดหัวจนต้องเป่านกหวีดให้หยุดทะเลาะกันแล้วแยกทั้งสองฝ่ายออกไปสอบปากคำคนละที่
หนุ่มผู้เสียหายได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากตำรวจหญิงด้วยการถูกปิดพลาสเตอร์ที่แผลไว้ก่อน แต่ด้วยเพราะแผลค่อนข้างใหญ่เลือดจึงยังซึมผ่านผ้ากรอสออกมาเล็กน้อย ส่วนรอยฟกช้ำ รอยขีดข่วนจากการถูกรุมทึ้งนั้นเริ่มปรากฎชัด แต่ตำรวจหญิงที่ทำหน้าที่ปฐมพยาบาลไม่ได้ดูแลแผลเหล่านี้
เขายื่นนามบัตรให้ร้อยเวรพร้อมบัตรประชาชน พร้อมกับแนะนำตัวอย่างละเอียด เปรมมนัส โหลวิเศษ เป็นบรรณาธิการนิตยสารรอนแรม นิตยสารท่องเที่ยวในเครือนิตยสารงามพริ้ง ของ อันธิกา โหลวิเศษ เจ้าของโรงพิมพ์วิเศษการพิมพ์ที่เป็นที่รู้จักของคนไทยมากว่า๓๐ปี ส่วนบิดาคือปราโมทย์ โหลวิเศษ เจ้าของธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่นส่งออกยี่ห้อดัง ”smile eye” และเจ้าของนิตยสารวัยรุ่น We เรียกว่าเป็นคนที่ฐานะการเงินและฐานะทางสังคมอยู่ในระดับที่เชื่อถือได้
เปรมมนัสเปิดกล้องที่เขาถ่ายภาพชีวิตริมฝั่งแม่น้ำไล่เรื่อยมาตั้งแต่ปากน้ำโพธิ์ แม่น้ำป่าสัก มาจนถึงแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร้อยเวรตรวจสอบดูภาพเหล่านั้นแล้วเห็นว่าเป็นภาพชีวิตของคนริมฝั่งแม่น้ำ รูปท้ายๆเป็นรูปของบรรดาสาวที่กำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานร่าเริงน้ำกระจาย แต่ไม่ได้เห็นหน้าตาชัดเจนว่าเป็นใคร ไม่ได้มีรูปไหนเป็นภาพอนาจารแม้แต่น้อย
“อ้าวไหนว่ากล้องคุณตกน้ำเสียหายจะแจ้งความไง”
“ของราคาตั้งห้าแสนกว่าตกน้ำไปตั้งสองสามนาทีกว่าจะคว้าขึ้นมาได้ มันก็ต้องมีที่เสียหายบ้างล่ะครับหมวดที่มันเปิดได้นี่ก็เพราะมันยังใหม่ ไม่รู้อีกไม่กี่นาทีข้างหน้ามันจะเจ๊งหรือได้รับความเสียหายอะไรหรือเปล่า”
“แจ้งข้อหาทำร้ายร่ากายอย่างเดียวก็อานแล้วมั้ง”
“อืม...ก็ต้องไปดูท่าทีพวกนั้นก่อนนะครับหมวด ท่าทางเอาเรื่องเหมือนกัน”
“อ่ะ...งั้นไปตกลงกันข้างนอก”
เปรมมนัสเหลือบไปเห็นหนังสือ”กฎหมายเบื้องต้นที่ประชาชนควรรู้” ที่วางเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่ที่โต๊ะทำงานอันโอ่อ่า เขารีบหยิบมาพร้อมกับบอกเจ้าของห้องยิ้มๆว่า
“ผมขอยืมแป๊บหนึ่งนะครับหมวด”
นายตำรวจรุ่นพี่ขมวดคิ้วมุ่นแต่ก็พยักหน้าแล้วมองชายหนุ่มเปิดหนังสือด้วยความสงสัยแต่ไม่ถาม
“อ่ะเจอแล้ว” เปรมมนัสหาหน้าที่เขาอยากได้ความรู้เจอแล้วก็บอกเจ้าของห้อง
“ไปครับไปข้างนอกกัน”
เมื่อทั้งสองฝ่ายถูกพามานั่งเผชิญหน้ากัน สามสาวกับหนึ่งหนุ่มใจสาวได้ดูภาพที่ชายหนุ่มถ่าย ทั้งหมดแล้วก็เห็นว่าภาพเหล่านั้นดูแทบไม่ออกว่าใครเป็นใครเพราะภาพเหล่านั้นเป็นแบบภาพแบบซิลลูเอท หรือภาพเงาดำที่ถ่ายแบบย้อนแสงอาทิตย์ที่กำลังคล้อยต่ำ ฉากเป็นสีดำ มีแสงสีส้มและสีแดงเจิดจ้าแทรกสีดำสวยงามราวกับตั้งใจเอาสีเหล่านั้นไปป้ายไว้ นางแบบคือกลุ่มสาวๆ และเด็กๆในกิริยาต่างๆตำรวจบอกว่า
“เขาไม่ใช่พวกโรคจิต งานที่เขาถ่ายมาก็ไม่มีรูปไหนสื่อในไปทางลามกอนาจาร ก็มีแบบที่พวกคุณเห็นนี่แหละ ริมฝั่งแม่น้ำในจังหวัดท่องเที่ยวของเราถือเป็นที่สาธารณะใครจะถ่ายรูป ถ่ายวีดิโอก็ได้ มันอยู่ที่คนที่อยู่ริมน้ำว่านุ่งผ้าหรือแก้ผ้า ถ้าแก้ผ้าก็ไม่ควรมาเล่นน้ำแบบนี้...ถูกมั้ย”
จอมโวยวายทั้งสี่คนเริ่มสลดลงเล็กน้อย นาทนั้นเปรมมนัสเลยฉวยโอกาสแจ้งข้อหา โดยเปิดหนังสือ ”กฎหมายเบื้องต้นที่ประชาชนควรรู้” แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า
“ผมขอแจ้งความตามมาตรา295 ความว่า ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ ตำรวจรับแจ้งแล้วด้วย“
“เฮ้ย อะไรกันถึงขั้นติดคุกเลยเหรอ” นารีกับแก้วตาถามพร้อมกันหน้าตาตื่น
“อุ๊ยตายว้ายเจี๊ยก ฉันหนีออกจากบ้านที่กรุงเทพฯมาหาความเจริญก้าวหน้า แต่สุดท้ายต้องมาติดคุกอยู่อยุธยาเหรอเนี่ย...โอ้...โน...ไม่...ไม่นะ” ติ๊งโหน่งเอะอะลั่นโรงพัก
ไข่มุกหน้านิ่วคิ้วขมวด ทุกคนถึงกับสลดเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ถ่ายภาพพวกตนในแนวโรคจิต เอาผิดกับเขาไม่ได้ พวกตนผิดจริงที่รุมทำร้ายเขาจนน่วมไปทั้งตัว ไข่มุกซึ่งพอจะรู้ข้อกฎหมายอยู่บ้างจึงเจรจาต่อรองให้เปรมมนัสไม่เอาความ
“ไม่ได้พวกคุณทำผมเจ็บยังไงผมก็ต้องเอาเรื่อง”
“อุ๊ย เอาเรื่องจริงๆเหรอ” ไข่มุกเริ่มจ๋อย แล้วเธอก็สุมศีรษะปรึกษากับเพื่อนๆ
“งั้นขอลดหย่อนค่าปรับลงเหลือหนึ่งในสี่ได้มั้ยล่ะ”
“อะไรนะ...นี่คุณชีวิตผมไม่ใช่ผักใช่ปลานะที่จะมาต่อรองลงเหลือแค่พันเดียวแบบนี้ นี่ฐานกรุณานะที่ผมแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับเรื่องทำลายทรัพย์สินของผมน่ะ”
“กล้องมันไม่ได้เสียหายอะไรนี่นา ยังเปิดดูภาพได้”
“มันเปิดดูภาพได้ก็จริงแต่ระบบมันรวนหมดแล้ว พวกคุณรู้เหรอว่ากล้องราคาตั้งครึ่งล้านแบบนี้ระบบหรือกลไกมันเป็นยังไง”
“ไม่รู้” สามสาวกับหนึ่งเพื่อนสาวส่ายหน้าประสานเสียงกัน
“นั่นแหละพวกคุณไม่รู้ แต่ผมพอรู้...มันต้องเสียในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแน่ๆ”
“เอ้อ...อืม...แต่พวกเราไม่มีเงินจ่ายคุณหรอกนะตั้งสี่พัน”
“แค่สี่พันเองนะคุณ พวกคุณรู้มั้ยว่าผมเป็นใคร ถ้าผมเจ็บไข้ได้ป่วยหรือพิการไปทำงานไม่ได้น่ะ มันเสียหายทางธุรกิจของครอบครัวผมขนาดไหน...อ่ะถ้าคิดไม่ออกผมบอกให้ก็ได้ว่าวันละเป็นล้าน”
“โอ๊ย...แค่ช่างภาพ” นารีโพล่งขึ้น
เขาหันไปมองตาเขียว เวลานี้ทั้งสี่คนเริ่มตัวแห้งแล้วผมยาวสยายที่เปียกน้ำบ้างแห้งฟูบางของสามสาวทำให้พวกหล่อนเหมือนคนบ้า กางเกงขาสั้นสีเข้มต่างลวดลายแต่เสื้อที่ทุกคนสวมอยู่นั้นเป็นเสื้อยืดสีเข้มของหน่วยงาน เปรมมนัสเขม้นมองที่อกของไข่มุกเพื่อจะอ่านชื่อที่สกรีนอยู่ มันคือบริษัทเอสเอที อิเลคทรอนิคส์ เขานึกถึงโรงงานที่ผลิตชิ้นส่วนเครื่องไฟฟ้าหลายแห่งในเมืองนี้
“อ้อ...สี่พันไม่มีจ่ายแสดงว่าเป็นสาวโรงงาน ไม่ใช่สาวออฟฟิศ”
“ใช่...เราทุกคนเป็นแค่สาวโรงงานเงินเดือนน้อย ค่าโอทีต่ำ ครอบครัวยากจน หนี้สินท่วมหัว” แก้วตาที่นานๆจะได้พูดรีบบอกชายหนุ่ม แต่ก็ไม่ส่งผลอะไรต่อจิตใจของเจ้าทุกข์
เปรมมนัสนิ่งคิดเหลือบมองนาฬิกาหกโมงเย็นแล้ว เขานัดคนขับรถและลูกน้องอีกสองสามคนเอาไว้ว่าทุ่มหนึ่งจะต้องเข้ากรุงเทพฯ แต่ความแค้นที่เขามีต่อสาวๆทั้งหมดนี้ยังไม่ได้รับการชำระสะสางเขาจึง ปิดโทรศัพท์ไม่ให้ใครติดต่อเขาได้
ชายหนุ่มยอมลดให้เหลือครึ่งเดียว ทั้งสี่ก็ยังเครียดเพราะต้องควักเงินคนละครึ่งพันมาลงขันจ่ายค่าปรับให้เขา แต่เรื่องยังไม่จบลงแค่นั้น บ.ก.หนุ่มจอมเอาเรื่องยังเรียกร้องให้พวกเธอพาเขาไปรักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุด
“โอ้โห...พวกเราจะเอาเงินที่ไหนไปรักษาคุณล่ะ แค่นี้ก็เกือบหมดกระเป่าแล้วนะ” ไข่มุกเสียงเขียว
”งั้นเรื่องก็ไม่จบลงง่ายๆนะ ผมฟ้องหมิ่นประมาท ทำลายทรัพย์สิน ตำรวจต้อวงรับฟ้องทันทีที่ผมให้ช่างเทคนิดของผมมาดูว่ากล้องผมได้รับความเสียหายเพราะจมน้ำหรือไม่...ถ้าใช่ผมจะเรียกร้องเอาค่าเสียหายสามแสน เพราะกล้องผมราคาหกแสนกว่า...โอเคมั้ย”
“โอ๊ย...ใครจะอยากโอเคกับคุณล่ะ” นารีมองค้อนชายหนุ่ม
“ว่าไงแก...ไอ้มุก ยิ่งอยู่ใกล้ตาคนนี้ยิ่งมีแต่เรื่องเสียนะแก...ตัดสินใจเร็ว”
ทั้งสี่มองหน้ากันต่างหน้ายุ่งด้วยความเครียด
“ทำยังไงดีล่ะแกถ้าพาไปโรงพยาบาลเอกชนละก็แพงตายเลย”
“นั่นคือความต้องการของผม หน้าผากผมแตกต้องเย็บจากหมอฝีมือดีๆ เท่านั้นเพราะผมต้องใช้หน้าตาหล่อๆของผมทำมาหากิน”
“เชอะกะอีแค่ถ่ายรูปแชะ แชะ แชะ จะต้องใช้หน้าตาหล่อตรงไหน ฉันมองมาตั้งนานก็ไม่เห็นความหล่อ” นารีว่าใส่หน้าเขาด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง
“แน่ะ แน่ะพูดมากระวังเจอข้อหาหมิ่นประมาทนะ” เขาขู่และชี้หน้านารี
“เอาล่ะๆ เสียค่าปรับแล้วก็แยกย้ายกันไป หรือใครยังมีปัญหา” ตำรวจไล่เมื่อเห็นสี่รุมหนึ่ง
ในที่สุดทั้งหมดจำต้องกัดฟันควักกระเป๋าเอาเงินก้อนที่จะใช้ในการดำรงชีวิตในอีกสิบวันข้างหน้าของแต่ละครอบครัวมารวมกันเป็นค่าเย็บแผลหัวแตกจากฝีมือการขว้างก้อนหินของไข่มุก ส่วนรอยฟกช้ำหยิกข่วนที่เกิดจากน้ำมือของเพื่อนๆและเด็กๆนั้น ก็มีทั้งยาทายากิน
เรื่องทั้งหมดจบลงเมื่อทีมงานของเขามารับตัวกลับกรุงเทพฯทิ้งไว้แต่ความเครียดให้กับฉันทนาทั้งสาม โดยเฉพาะไข่มุกที่ทั้งเครียดและแค้นคนชื่อเปรมมนัส