รสแค้นแสนหวาน (นางแก้ว) (EBOOK)

รสแค้นแสนหวาน (นางแก้ว) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: รสแค้นแสนหวาน
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ตอนที่ 1

 

                ศิขริน  อัสนีรัตน์ สาววิศวะผู้มีเรือนร่างสูงทะมัดทะแมง เรียวหน้ารูปไข่ เนียนใสด้วยเลือดฝาด ส่วนประกอบบนใบหน้ารับกันอย่างสวยงาม เด่นสะดุดตา คือ ดวงตากลมกว้าง ล้อมกรอบด้วยขนตายาวหนาเป็นแพ ริมฝีปากเต็มอิ่ม หยักมุมบนราวยิ้มเยื้อนในที เธอมีรอยยิ้มที่ทุกคนพบต้องประทับใจ

                จากผมยาวสลวยถูกซอยสั้นราวกับชาย...หากดูแล้วไม่แข็งกระด้างสักนิด เมื่อเธอตัดผมในวันแรกสร้างความประหลาดใจให้กับพรรคพวกร่วมก๊วน คือ มาโนชย์ หนุ่มร่างใหญ่โอ่โถงผิวขาวสวมแว่นกรอบทอง อิฐ หนุ่มรูปหล่อร่างสูงโปร่งผิวขาวผมยาวปะบ่า และพิทยาหนุ่มผู้มีความตี๋ชัดเจน ทั้งใบหน้าและผิวพรรณ

                “มันอกหักจากใครวะ” มาโนชย์เปรยอย่างไม่แน่ใจ เพราะคบหากันมาสี่ปี เขาไม่เคยเห็นศิขรินมีใครที่พิเศษกว่าพวกตน และพวกตนก็ไม่มีใครได้คบเกินฐานะเพื่อนสักคน

                “มันคงร้อน” พิทยาให้ความเห็น

                ทุกคนถึงกับอื้งไปในเหตุที่น่าจะเป็นไปได้ เพราะรู้กันดีแก่ใจ ต่างเคยจีบศิขรินมาด้วยกันทั้งนั้น หากที่ได้รับตอบกลับคือ มิตรภาพเฉกเพื่อนเท่าเทียมกัน ไม่มีชายใดพิเศษโผล่มาให้เห็น

                เธอย้ายตัวเองออกจากคฤหาสน์หลังงามมาอยู่หอพักหลายปีแล้ว เพื่อนชายคนสนิททั้งสามต่างรู้ ศิขริน เข้ากับแม่เลี้ยงไม่ได้ กับ วนาลี น้องสาวต่างมารดาเธอไม่เคยปริมากถึง หากเพื่อนไม่เคยได้รับรู้ตื้นลึกหนาบางมากกว่านี้

                ศิขรินแต่งกายเรียบง่ายด้วยเสื้อเชิ้ตขาว กางเกงยีนสีซีด เดินตรงมาที่กลุ่มเพื่อนชายที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้หินอ่อนใต้ร่มไม้ใหญ่ ริมคูน้ำในสถานศึกษา

                เธอส่งยิ้มนำมาก่อน เพื่อนต้องยอมรับ ศิขรินมียิ้มแสนสวย อิฐขยับกายให้ศิขรินนั่งเคียงข้างหญิงสาวทรุดกายลงนั่งอย่างไม่มากพิธี เอ่ยปากบอกร่าเริง

                “ผ่านแล้วโครงงานของฉัน”

                “เออ! ไหนๆ ก็เรียนจบแล้ว แกก็หาเมียเสียเลยสิ” มาโนชย์หยั่งเชิงว่า

                ศิขรินกระตุกคิ้วเรียวยาวนิดหนึ่งอย่างไม่เข้าใจคำประชดของเพื่อนในทีแรก ครู่เดียวจึงคลายปมคิ้วออกออก เอ่ยเรียบเรื่อยรับสมอ้างไปว่า

                “ฉันหางานให้ได้ก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องนั้น ไม่อยากพาเขามาอดตาย”

                “หมายความว่า นี่แกอยู่ในโลกสีชมพูจริงๆ หรือศิ” สามหนุ่มอุทานลั่นราวกับนัดกันมา

                หญิงสาวหัวเราะเสียงใสชอบใจ ไม่ชี้แจงหรือให้ความกระจ่างใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้จะอิฐคะยั้นคะยอถามเค้นความจริง แต่เธอก็หัวเราะกลบเกลื่อนเสีย

                หากแล้วเสียงหัวเราะของศิขรินค่อยจางหายลงทีล่ะน้อยเมื่อสายตาเหลือบแลไปเห็น หนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินเคียงคู่กันไม่ไกลจากที่พวกเธอนั่งอยู่ พวกเขาไม่ทันมองมาทาง

                หัวใจแกร่งหวั่นไหว มาจากชายที่ชื่อ ธัชธา พุฒธาดาเขาไม่ได้ทำอะไรเธอเลย นอกจากความผิดหวังและเธอตัดสินใจกุดผมตัวเองเมื่อทราบเขามีคนรักแล้ว อกหักโดยที่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้เพียงลำพังคนเดียว...รักเอง ช้ำเอง!

                ก่อนหน้านั้นนานมาแล้ว ศิขรินเคยพบและรู้จักกันในฐานะกรรมการประสานงานกิจกรรมต่างคณะ เขาเป็นชายหนุ่มที่มีความคมคาย อย่างน่าประทับใจ กอบกับ นิสัยดี และมีความเป็นสุภาพบุรุษ พบกันเป็นครั้ง ศิขรินถึงกับเคลิ้มเก็บไปนอนฝันถึงการ และคาดหวังในการที่จะได้ได้พบกับเขาในครั้งต่อไป

หญิงสาวผู้มีความกระฉับกระเฉงเรียบง่าย ถึงกับเปลี่ยนรูปลักษณ์ตนเองเสียใหม่ ด้วยการ แต่งแต้มสีสันบนใบหน้างามให้ดูเด่นไปกว่าเดิมทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน  และวัยที่ศิขรินรู้ตัวว่าสวยมาก ก็เป็นวันเดียวกับที่ได้พบสาวที่เขาควงมาในห้องประชุมของมหาวิทยาลัย วนาลี ดาวคณะพาณิชยการ และ การบัญชี ซึ่งเป็นน้องสาวต่างมารดาของตนเอง

 ธัชธาตรงเขามาทักทายพร้อมแนะนำวนาลีให้ศิขรินได้รู้จัก ด้วยความไม่รู้ ซึ่งวนาลีกลับแทรกคำขึ้นมาเสียก่อนด้วยรอยยิ้มหวานว่า

                “เราสองคนรู้จักกันมากกว่าพี่ธัชซะอีก”

                “อ้าว! งั้นพี่ก็เด๋อน่ะสิ แล้วทำไมคุณศิ ปิดเงียบเชียวล่ะครับว่ารู้จักกับบี”

                “บี เป็นน้องที่เขาเห็นว่านอกไส้” เธอกล่าว ฟังผิวเผินจะไม่ทราบว่ามาจากความน้อยใจ ศิขรินไม่พูดอะไรจนแม้คำเดียว...ธัชธาได้แต่ทำหน้าจืดเจื่อนไป วนาลีกล่าวเพิ่ม

                “พี่เอคงไม่อยากเห็นบี บีขอโทษค่ะ” น้องต่างบิดากล่าวทิ้งท้ายแค่นั้นแล้วจากไปโดยมีคนรักรีบแล่นรี่ติดตาม

                จากการที่ได้รับรู้ในวันนั้นเองว่า วนาลีเป็นคนรักของธัชธา ทำให้ศิขรินเกิดความสำนึกขึ้นมาว่า จำต้องถอยห่าง..เพราะชายที่เธอพึงใจเป็นคนของน้อง…แม้จะต่างมารดาก็ตามที การประหาญกันด้วยผู้ชายไม่ใช่สิ่งที่ศิขรินคิดว่าสมควรทำสักนิด...ผู้ชายไม่มีค่ามากขนาดที่ผู้หญิงต้องลดศักดิ์ศรีของตนเองลงไปแย่งชิงกันเหมือนสุนัขหิวโหย!

...ซึ่งศิขรินจึงตัดใจทั้งที่พึ่งเริ่มริรักเป็นครั้งแรก

การตัดผมยาวสลวยออกจนสั้นกุดเหมือนผู้ชาย การแต่งการรัดกุมมากขึ้น ดูคล้ายๆกับว่าหญิงสาวจะเบี่ยงเบนทางเพศ ไปแล้ว ซึ่งศิขริน...ปล่อยให้เพื่อนรอบข้างเข้าใจกันไปต่างต่างนานา ในข้อกล่าวหาว่าเป็นทอมบอย...หรือร้อน...และอกหัก ข้อหลังนี้ แม้พวกเขาจะเดาถูก แต่ก็ไม่ได้รู้ว่าเป็นความจริง เพราะเจ้าตัวปิดเงียบทีเดียว

เวลานี้ ศิขรินนั่งรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนชาย สนทนากันอย่างสนุกสนาน แต่ส่วนใหญ่เธอจะเป็นฝ่ายรับฟังเสียมากกว่า

                วนาลี และธัชธา เดินคู่กันมา วนาลีเหลือบสายตามาเห็นพี่ร่วมบิดา หัวใจเธอพองโตแทบล้นอกด้วยความดีใจ นานแล้วที่ไม่ได้พบหน้า เพราะศิขรินไปทำโครงงาน หญิงสาวไม่เคยมีความสุขเลยถึงไม่ได้พูดคุยแต่ได้เห็นหน้ายังดีได้รับรู้ พี่มีสุขหรือไม่จากท่าทางที่แสดงออก

                ศิขรินเหลือบมาเห็นเช่นกัน แต่เธอทำเบือนหน้าไปทางอื่น ซึ่งการหมางเมินของพี่สาวซึ่งแสดงออกมานั้นทำให้วนาลีเจ็บแปลบถึงปลายนิ้ว เพราะยิ่งศิขรินทำตัวห่างเหินมากเท่าไหร่ วนาลียิ่งโทษผิดว่าเป็นเพราะตนเองและมารดา  ที่เป็นสาเหตุให้ศิขรินออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน

 ธัชธาก็รู้สึกว่าตนเองถูกหมางเมินไปด้วย ทั้งที่การดำเนินงานร่วมกันยังคงเป็นไปตามปกติก็ตามที

                ชายหนุ่มสะกิดถามคนรักด้วยความสงสัย

                “คุณศิไม่คิดกลับบ้านเลยหรือบี”

                “พี่เอคงเสียใจจนไม่อยากกลับบ้าน ซึงเป็นบ้านที่มีแม่เลี้ยงและน้องที่ขวางหูขวางตาของพี่เอ”

                ธัชธาเลื่อนมือกุมมือนุ่มบีบเบาเป็นเชิงปลอบโยน เขาได้รับฟังเรื่องของศิขรินจากคำบอกเล่าของวนาลีมาบ้างแต่ไม่มากนัก

วนาลีไม่คลายหมองในสีหน้า ดังนั้นเธอจึงเอ่ยเบาพอได้ยินตามลำพังว่า

                “บีอยากพูดกับพี่เอ อยากบอกให้พี่เอกลับไปอยู่บ้าน ซึ่งมันเป็นบ้านของพี่เอโดยชอบธรรม”

                “แล้วทำไมไม่พูดล่ะบี เป็นพี่น้องกันแท้ๆ ไม่น่าถึงกับตัดเป็นตัดตายเลยนี่นา”

                วนาลีไม่ตอบชายคนรัก แต่หวนนึกถึงอดีต เธอจำได้ว่า เมื่อย่างก้าวแรกที่เข้าไปบ้าน ‘เพียรกิจเจริญ’ เธอเป็นฝ่ายเข้าไปหาถึงห้อง เอ่ยคำหวานฝากตัวกับ ศิขริน แต่อีกฝ่ายพยายามเลี่ยง แต่หนีไม่พ้น จึงจำต้อนรับน้องสาวด้วยท่าทีประดักประเดยกชอบกล

                “พี่เอคงไม่ว่านะคะที่บีมาขออาศัยอยู่ด้วย”

                “เป็นสิทธิ์ที่เธอมีอยู่แล้ว ในฐานะลูกสาว” น้ำเสียงที่ศิขรินตอบออกมาเรียบไม่แสดงอารมณ์ว่ายินดียินร้าย แต่วนาลีก็ดีใจที่อีกฝ่ายยอมพูดด้วย

                หากเมื่อเข้ามาอยู่ร่วมชายคาได้เพียงเดือนเศษ ลีลามารดาของเธอลุกขึ้นมาทำตัวเป็นเจ้าของบ้าน เปลี่ยนแปลงทุกอย่างในบ้านให้ต่างไปจากที่เคยเป็น ชื่อบ้านเพียรกิจเจริญเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของคุณวิวัฒน์แทน สวนไม้ร่วมรื่นมีร่มสีสดวางเรียงราย แทนความเรียบง่ายแขกเหรื่อของลีลา มาสังสรรค์ไม่เว้นแต่ละวัน ศิขรินไม่แสดงว่าพอใจหรือไม่!

                จนกระทั่ง ลีลา ปลดภาพวาดสีน้ำมันของคุณศิตา มารดาของศิขรินที่ติดผนังโชว์ที่ห้องโถงใหญ่ไปแขวนไว้ที่ห้องรับแขกชั้นสอง แล้วนำภาพคู่ของนางและคุณพิพัฒน์ไปแทนที่ ศิขริน จึงเนรเทศตัวเองออกมา และนั่นบิดาคล้ายเข็มสะกิดให้คุณวิวัฒน์ทราบว่าเป็นการทำร้ายใจลูกสาวคนโต เขามาตาให้ศิขรินกลับบ้าน ศิขรินอ้างถึงความสะดวกในเรื่องเรียน ไม่ยอมกลับไม่ว่าจะมีงานเลี้ยงใดๆ ทั้งสิ้น

                คุณวิวัฒน์ไม่อาจบีบบังคับใดๆ ในฐานะผู้ให้กำเนิด และไม่ตำหนิลีลาในเรื่องถือกรรมสิทธิ์ครอบครองบ้าน คุณวิวัฒน์ได้แต่รอเวลาให้หมดไปวันๆ ด้วยการทำงานที่ขาดผู้ช่วยที่จริงใจ และหวัง...เรียนจบแล้วศิขรินจะกลับมารับช่วงงานที่เขามีความสามารถทำ

                วนาลีเคยคิดว่าแค่เพียงศิขรินออกปากมาคำเดียวว่าให้เธอออกจากบ้าน เธอจะไปทันที หากนี่ศิขรินไม่พูดสักคำ

                “ไปมั้ย...พี่จะไปเป็นเพื่อน” ธัชธาเอี้ยวหน้าไปมองทางศิขริน อีกฝ่ายขยับกายลุกขึ้น

                กว่า วนาลีจะตัดสินใจได้  พวกของศิขรินกับเพื่อนชาย ต่างพากันลุกจากเก้าอี้ เดินลิ่วไปทางอื่นเสียแล้ว!

                                                               

                คุณวิวัฒน์ อัสนีรัตน์ นั่งทำงานอย่างเคร่งเครียด บนโต๊ะทำงานเต็มไปด้วยเอกสารที่รอเซ็นอนุมัติ เขาเหนื่อยมากที่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้ง เมื่อความเหนื่อยล้ามาเยือนนานวันเข้า เขาจึงมีความหวังที่จะให้ศิขรินมาช่วยมากขึ้นทุกวัน

                เย็นนั้นเขาจึงให้คนขับรถเลยไปส่งไปหอพักที่ศิขรินพำนักอยู่ อย่างไม่แน่ใจว่าลูกจะอยู่หรือไม่

                แม่บ้านร่างท้วม หน้าตาอิ่มเอิบ ผิวขาว เป็นผู้ดูแลหอพักชะเงื้อมองรถคันหรูที่มาจอดที่ลานจอด นึกใจใจเมื่อชายผิวขาววัยห้าสิบเศษร่างใหญ่ใบหน้าคงเค้าความงามสง่าเดินเข้ามา...เป็นเสี่ยที่เลี้ยงดูใครในหอหญิงนี้หรือเปล่า

                “ศิขรินอยู่มั้ย”เขาถามถึงหญิงสาวผู้ที่ไม่ชอบวุ่นวายกับใคร จึงทำให้แม่บ้านร่างท้วมต้องทบทวนตัวเองว่าคงจะเข้าใจผิด เพราะอย่างศิขรินไม่มีทางมีเสี่ยมาเลี้ยงดูแน่ เพราะอีกฝ่ายมีเพื่อนชายมาบ่อยก็จริงแต่ศิขรินทำตัวเหมือนผู้ชายด้วยกันมากกว่า

                “อยู่ค่ะ...ใช้โทรศัพท์ตามมั้ยคะ”

                “ช่วยตามให้หน่อย” คำกล่าวสั้นแต่ทอดเสียงให้ฟังไม่ดูห้วน แม่บ้านต่อสายภายในถึงห้องศิขริน

                หญิงสาวกำลังง่วนอยู่กับการแพ็คของลงในลังกระดาษ เสียงโทรศัพท์ดัง จึงวางมือจากงานที่ทำอยู่ แล้วเดินไปรับสายกรอกเสียงใสลงไปเพราะเธอเป็นคนที่มีแก้วเสียงน่าฟัง

                “ศิขรินค่ะ”

                แม่บ้านขยับจะบอกกว่ามีแขกก็ลืมถามชื่อ จึงปิดหูโทรฯ ด้วยเกรงว่าปลายสายจะได้ยิน นางหันหน้าไปสอบถามแขกผู้มาเยือนด้วยน้ำเสียงเรียบไม่มีคำท้าย

                “คุณจะให้บอกคุณศิว่าใครมา”

                “บอกว่าพ่อของเขามารับ”

                คำตอบทำให้แม่บ้านยิ้มแก้เก้อ กรอกเสียงตามสาย

                “คุณพ่อคุณศิมาค่ะ”

                ศิขรินกำหูโทรศัพท์แน่น ด้วยความคาดไม่ถึงว่าพ่อของเธอจะมาถึงหอพัก

เธออึ้งไปครู่หนึ่งจึงบอกกับแม่บ้านสั้นๆว่า

                “เดี๋ยวจะลงไปค่ะ”

                แม่บ้านวางสาย เชื้อเชิญให้คุณวิวัฒน์นั่งเก้าอี้ยาวที่มีไว้รับรองแขก ชายวัยห้าสิบเศษหมุนกายไปนั่งรอ แม่บ้านลุกจากเก้าอี้ไปรินน้ำเย็นจากขวดน้ำในตู้แช่มาให้ คุณวิวัฒน์รับแต่ไม่ดื่ม วางไว้บนโต๊ะ พื้นกระจกข้างเก้าอี้ นั่งรอลูกสาวอย่างใจจดใจจ่อราวหนุ่มรอสาวก็ไม่ปาน

                ร่างสูงของศิขรินก้าวลงมาจากบันได คุณวิวัฒน์ตื่นเต้นจนระงับไม่อยู่ ถึงกับลุกปราดเข้าไปหา ร่างของลูกสาว แล้วดึงร่างนั้นมาโอบกอดแนบอก ถึงแม้ศิขรินรู้สึกอบอุ่น แต่หล่อนก็ดึงตัวเองออกโดยเร็ว ไม่ปล่อยให้ความหวั่นไหวอยู่เหนือการควบคุมของความใจแข็งได้

                หญิงสาวยกมือไหว้ผู้ให้กำเนิด โดยไม่กล่าวอะไรออกมา จึงทำให้ ทั้งสองถูกความเงียบครอบงำชั่วขณะหนึ่ง

คุณวิวัฒน์จึงเอ่ยอย่างบังคับเสียงมิให้สั่น พลางโอบบ่าลูกสาวคนโตเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวเดียวกัน เขาเลื่อนกายเข้าไปนั่งใกล้สายเลือดขอร้องลูกตัวเองเพราะบังคับไม่ได้

                “พ่อมารับกลับบ้าน บ้านนะเอ”

                “ค่ะ”คำแสนสั้นที่หลุดรอดมาให้ได้ยินสร้างความปลื้มปีติยินดีให้เกิดกับผู้ให้กำเนิดหญิงสาวอย่างมากมาย เขาโยกไหล่ที่เกาะกุมอยู่ไปมา

                “เอจะกลับเมื่อไหร่ล่ะลูก พ่อจะได้ส่งคนมารับ...หรือว่าเอจะให้พ่อมารับด้วยตัวเองก็ได้”

                “คุณพ่อไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ เอจะกลับเอง...พรุ่งนี้”

                เธอมักพูดสั้น บางทีฟังดูห้วน หากเธอก็เป็นเช่นนี้เอง ซึ่งคนรู้จักใกล้ชิดจะรู้ดีว่าหญิงสาวเป็นคนเรียบง่ายหากเข้าใจยาก เพราะแท้จริงต่างไม่รู้ว่าหญิงสาวคิดอะไรอยู่

                “ทานอาหารเย็นกับพ่อสักมื้อนะลูก”

                “เอติดธุระค่ะ”

                “ไม่เป็นไร...อยู่บ้านเรายังมีเวลาให้กันอีกเยอะ”

                เธอไหว้ลา แต่ไม่ตามส่งบิดา หากเมื่อขึ้นห้องพักไปแล้วจึงแอบมองหารถของบิดา ซึ่งน่าจะจอดที่ลาน..กลับไปแล้ว หญิงสาวทิ้งตัวเองลงนั่งริมเตียงพิงฝาห้อง ถอนใจยาวทอดตามองเหม่อเห็นอนาคตที่เธอได้กำหนดแล้วด้วยตัวเอง กลับเพื่อจากไป

วนาลีนั่งรถคู่มากับธัชธาจนถึงหน้าประตูรั้วอัลลอย ชื่อบ้านสลักบนแผ่นหินอ่อนติดเสาเหลี่ยม บ้านพวงคราม คนสวนซึ่งทำงานอยู่บริเวณใกล้ๆ รีบวิ่งมาเปิดรับ รถเก๋งญี่ปุ่นสีเงินเทาขับผ่านหมู่เรือนทรงไทยประยุกต์ หญิงสาวทราบจากคนรักว่าเป็นบ้านของ คุณธรรมผู้เป็นลุงของเขา ส่วนบ้านของเขาเป็นบ้านตึกทรงหรู บ้านสองหลังแตกต่าง แต่อยู่รั้วเดียวกัน ที่ดูไม่ขัดเพราะมีสวนไม้ร่วมรื่นเป็นปราการธรรมชาติกั้นเป็นสัดส่วน

                “เงียบจังเลยนะคะ”

                หญิงสาวเปรียบขณะผ่านหมู่เรือนไทย เธอมาหลายครั้งแล้วจึงค้นเคยบรรยากาศเช่นนี้

                “กลางวันอย่างนี้มีแต่คุณยายและคุณป้ามารศรี...แต่ก็นั่นแหละพี่ไม่เห็นที่นี่ครึกครื้นสักที”

                “ฟังว่าคุณลุงมีลูกชายคนเดียว”

                เขาไม่พูดตอบแต่รั้งไหล่หญิงสาวมาแนบชิด เบนหน้ามาจูบแก้มนวลเบาๆ แล้วรีบจับพวงมาลัยรถ เพราะแฉลบเกือบตกถนนอิฐตัวหนอน

                “เดี๋ยวเถอะ ดูสิกำลังขับรถแท้ๆ” วนาลีทุบท่อนเขาเขาเบาๆ ดุเจือยิ้มแสนหวาน

                ธัชธา จอดรถที่หน้าคู่สนทนาต่อถึงเรื่องที่ค้างไว้เอ่ยเว้นเป็นช่วงบอกเล่า และสั่งกำชับ

                “พี่ชายของพี่คนนี้...หล่อมาก...และบีห้ามเขวนะจำไว้”

                “เซี้ยว ! บีไม่ใช่คนเจ้าชู้สักหน่อย”

                “ค่อยหายใจโล่งขึ้นมานิด...จริงๆ นะ...ถ้าพี่ฉัตรกลับจากนอกแล้วก็...พี่จะไม่มีทางพาบีแวะบ้านคุณยายเด็ดขาด” เขากล่าวเล่นมากกว่าจะเป็นจริง ก่อนโอบบ่าคนรักเข้าตึกไป

                ที่ห้องชมวิวเป็นผนังกระจกทั้งสามด้าน สามารถชมสวนร่มรื่นด้วยไม้ดอกและไม้ประดับโดยรอบได้ ตั้งชุดนั่งเล่นลักษณะกลมสีขาวนวลชุดใหญ่

                เวลานี้มีสมาชิกในครอบครัวนั่งกันอย่างพร้อมหน้า ทั้งประมุขบ้าน คือ คุณวิมม์ชายวัยกลาง คนเป็นข้าราชการฝ่ายปกครองท่าทางภูมิฐาน และดูใจดี คุณพรทิพย์ผู้เป็นภรรยาผู้มีความสวยสง่าอีกสองสาวใบหน้าละม้ายกันเป็นลูกสาววัยสิบแปดปี หน้าตกน่ารักเรือนร่างบอบบางอย่างสมัยนิยมทั้งสองติดกันแจ มักทำอะไรคล้ายๆ กัน

                ธัชธาพาคนรักเดินเข้าไปถึง ต่างทักทายกันอย่างถูกอัธยาศัยไมตรี คุณพรทิพย์เรียกวนาลีไปนั่งใกล้ ท่าทางสนิทสนมและมีเมตตาต่อหญิงสาวยิ่งนัก

                “หิวข้าวหรือยังจ๊ะ”

                “หิวแล้วครับคุณแม่” ธัชธา กล่าวแทรกขึ้นมาก่อน

                มารดาค้อนคม ยังไม่ทันต่อว่า กิ่งกับก้อยสอดคำขึ้นมาพร้อมกัน

                “เสียมันยาด”คนพูดตั้งใจพูดให้เสียงเพี้ยน

                “เดี๋ยวเถอะพี่น้องพวกนี้ ไม่อายเขาหรือพูดสอดพูดแทรกกันอย่างนี้”

                “ไปทานข้าวกันเถอะ...ได้เวลาแล้ว” คุณวิมม์เป็นคนสรุป

                คุณพรทิพย์จูงมือวนาลีตามไป กิ่งกับก้อยสะกิดพี่ชายป้องปากเอ่ยนินทาเล็กน้อยว่า

“คุณแม่เราทำท่าโอ๋ว่าที่พี่สะใภ้เราจังเลย”

“คนเขาน่ารัก” เขาเอี้ยวหน้ามาบอก

“ยี๊ิ! พี่เราก็หลง”

สามพี่น้องหัวเราะแก่กัน วนาลีเข้ากันได้กับทุกคน แม้แต่คุณยายกาบแก้วที่ช่างเลือกสะใภ้ยังชื่นชอบ ถึงกับเคยเอ่ยปากออกมาว่า

“หากฉัตรหาได้อย่างนี้คงวางใจ เพราะหนูบีเรียบร้อยน่ารักชาติและชาติตระกูลดี”

หลานที่ท่านหวังมากที่สุด...คันฉัตร ธรรมพิบาล

 

...............................................................................................


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (68 รายการ)

www.batorastore.com © 2024