เจ้าสาวพันชั่ง (นางแก้ว) (EBOOK)

เจ้าสาวพันชั่ง (นางแก้ว) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: เจ้าสาวพันชั่ง
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ตอนที่ 1 ชีวิตสองฝั่งคลอง

 

ตึกฝรั่ง มีอายุมานานนับร้อยปี ได้รับการบูรณะเรื่อยมาจน มีความทันสมัยในแต่ละยุค ตลอดคลอง กษาปณ์พงศาไม่มีตึก หรือบ้านเรือนใคร จะใหญ่และสวยงามเท่าตึกนี้อีกแล้ว

ผู้คนแถบนั้นจะรู้จักกันดีในชื่อ คนบ้านตึกใหญ่  บัดนี้เจ้าของคือ ร้อยเอก พร้อม กษาปณ์พงศา และคุณสวาท ผู้ดีเก่า หากร่ำรวยมากเพราะการทำกิน ปล่อยเงินกู้ และค้าขายบางส่วน มีทายาทคนเดียว ที่คนทั้งคลองเอาไปลือว่าเดินไม่ติดพื้น บางคนบอกเป็นเทวดากินข้าวต้องกินกับเครื่องชุดทองคำ ซึ่งคำกระทบกระแทกแดกดันนี้ เป็นเพราะใครถามถึงพันชั่งไม่ได้ คุณสวาทจะต้องยกย่องจนทำให้เกิดเสียงนินทา พันชั่งเป็นเทวดา

“ชาวคลองเรา ถ้าบ้านไหนมีลูกสาวละก็อย่าหวังได้ย่างเข้าตึกนั้นเลย รับรองได้ คุณสวาทต้องทำบุญล้างความจนสามวันสามคืน”

“ไม่เคยเห็นหน้า ท่าทางจะงามมาก”

“พึ่งสิบขวบเท่านั้นไม่ใช่หรือ”

“อีกไม่กี่ปีก็มีเมียได้ อยากเห็นเจ้าสาวนักเชียวจะมีค่าเป็นพันชั่งจริงหรือเปล่า”

“มันต้องจริงอยู่แล้ว คุณสวาทหวงยังกับไข่ในหินซะขนาดนั้น”

“อะไรนะ ไข่เป็นหินเรอะ!” คู่เจรจาเลี้ยวลดลงคลองจนเพื่อนค้อนขวับ

“ไข่บ้านแกสิเป็นทองแดง”

“อ้าวแล้วกัน อย่างนี้เลิกคุยดีกว่า ไปขายผักให้คุณย่าน้อมดีกว่า”

“ฉันก็จะเอาขนมตาลไปฝากท่านอยู่เหมือนกัน ได้พึ่งน้ำพึ่งบุญท่านตอนไอ้หนูมันเป็นไข้”

“เอ้อ...เขาว่าคุณย่าเป็นจอม จอมประไหมสุหรีหนีผัวมาจริงหรือเปล่า”

“เอฉันเคยถามคุณย่านะว่าท่านเคยอยู่วังมั้ย ท่านว่าอยู่สิ อยู่วิกยี่เกใกล้ภูเขาทอง”

“เอ้า ถ้างั้นประไหมสุหรีนี่ก็มาจากตำแหน่งยี่เกสิ”

“ภาษาชวา ก็คงแปลว่ามเหสีละมั้ง ไปแกจะไปกับฉันหรือเปล่าล่ะ”

สองหญิงทำท่าจะแตกคอ เพราะเรื่อง ‘ไข่’ แต่ในที่สุดก็ไปด้วยกัน

การนำสิ่งของไปตอบแทนบุญคุณอย่างปากว่านั้น ทุกครั้งคุณย่าน้อม หญิงวัยหกสิบจะให้ของติดมือมาทุกครั้ง บางครั้งไปสามกลับสี่ ตามจำนวนคนในบ้าน บางทีคนไหนไปขายผักขายสิ่งของให้ ก็จะได้ขนมติดมือกลับมาฝากลูกหลานได้กิน

ความใจบุญโดยเนื้อแท้ของคุณย่าเป็นปราการที่คนทั้งคลองรัก และดูแลให้ครอบครัวริมคลอง เจ้าของบ้านทรงไทย ได้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขเสมอมา

 

ท่าน้ำเรือนทรงไทย เป็นท่าไม้ยาวแข็งแรง เด็กกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งจับกลุ่มด้วยเนื้อตัวเปียกปอน แต่ล้อมวงกิน ผลไม้มะกอกเปรี้ยวจนสูดปากกันด้วยความเข็ดฟัน แย่งกันจิ้มพริกเกลือซึ่งมีอยู่ตรงหน้าเพียงถ้วยเดียว ซึ่งไม่รู้มือใครเป็นมือใคร ความสนุกสนานมัวแบ่งชนชั้นจะไม่สนุก ยิ่งคนบ้านย่าน้อมแล้วคำว่าเจ้ายศเจ้าอย่างไม่มี

บนเรือนนั้นนางหยดสวมชุดเสื้อแดงผ้าถุงเขียวจัด ซึ่งคุณย่าหัวเราะเมื่ออีกฝ่ายชอบใส่สีตัดกันอย่างเด็ดขาดเช่นนี้เสมอ เจ้าตัวรับคำสั่งมาจากคุณย่าให้มาตามคุณสองคน คือ คุณบุษบา หรือคุณมะตูม และคุณสียะตรา หรือคุณมะขวิด ขึ้นเรือน

นางหยดส่งเสียงนำมาก่อน เด็กในกลุ่มอีกสามคนเป็นลูกของนางทั้งหมด มียัยหวี เจ้าเผือก และเจ้าเปล

“คุณมะตูม คุณมะขวิดเจ้าขา คุณย่าให้ขึ้นเรือนได้แล้วเจ้าค่ะ”

เด็กหญิงผมเปียยาวเปียกลู่หันไปทางนางหยด ใบหน้าของเด็กหญิงพริ้มละไมมีเค้าสวยมาก ทั้งผิวพรรณสะอ้านขาวเนียนอมชมพูงามลออตา ดวงตาทั้งคู่กลมโตสุกใสเป็นประกาย มีแววฉลาด ร่างบอบบางหันไปส่งยิ้มให้บริวาร แล้วมาส่งยิ้มให้คู่แฝดซึ่งมีผิวสองสี ผมหยักศก หน้าตาคมไปทางแขก ไม่มีส่วนเหมือนกันกับแฝดพี่สักนิดเดียว แต่ทั้งคู่สนิทสนมและรู้ใจกันดี เมื่อสานสบตากันแล้ว ต่างรู้ใจกระโดดลงคลองไปเสียพร้อมกัน เมื่อนายลง บ่าวอีกสามตาม เรือโยงผ่านมาเด็กๆ จึงเกาะเรือโยงไปอย่างสนุกสนาน

“เอ้า! แล้วกัน คุณย่าสั่งแล้วนะคะ คุณย่าสั่ง” นางหยดได้แต่ตะโกนตามเรือโยงซึ่งออกไปห่างทุกที เด็กๆ โบกมือลาอย่างสนุกสนาน  นางหยดต้องไปแจ้งให้ประมุขเรือนไทยทราบว่านางทำหน้าที่ไม่สำเร็จ (อีกแล้ว)

บนเรือนไทย คุณย่าสวมผ้าโจงกระเบน ใส่เสื้อลูกไม้ บางทีท่านก็พันผ้าแถบเมื่ออากาศร้อนมาก ท่านยังคงเค้าความสวยไม่น้อย หากมองไปจะรู้ว่ามะตูมมีใบหน้าถอดเค้าคุณย่าไม่ผิดเพี้ยนทีเดียว

“ให้ไปตามเด็ก ไม่ได้เด็กมาสักคน”

“ไปกับเรือโยงอีกแล้วค่ะคุณย่า”

“ถ้าจะต้องเฆี่ยนกันเสียที ซนเหลือใจ แล้วนี่พ่อดาอยู่ไหนไม่ดูลูก”

“คุณดาไปกับเพื่อนของหล่อนค่ะ”

“เออไหว้วานใครไม่ได้ดังใจสักคน งั้นก็ปล่อยมันไป เดี๋ยวว่ายน้ำกลับมาไม่ไหว เจ๊กตงก็พายเรือมาส่งเองนั่นแหละ ไปดูคุณลำเพาในครัวไป แล้วก็ทำกุ้งคั่วน้ำตาลให้มะตูมด้วยนะหยด อย่าหวานมากนักล่ะ”

“ค่ะคุณย่า” แม่บ้านรับคำ เดินค้อมหลังไปอย่างคนมีสัมมาคารวะ ซึ่งหากอยู่ต่อหน้า ต้องคุกเข่ากัน เป็นธรรมเนียมที่ท่านสอนบริวารเสมอว่า

สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล

“เราสกุลเจ้าหรือครับคุณย่า” มะขวิดตั้งคำถามด้วยความขี้เล่น และทะเล้นเป็นนิสัย

“เออ เจ้ายี่เกแน่ะ” พลางขว้างเปลือกหมากใส่หลานชายได้เหมาะเหม็ง มะขวิด คลึงศีรษะไปมา

“ตอนเล่นยี่เก คุณย่าเป็นนักแม่นธนูด้วยหรือครับ ขว้างงี้แม่นยังกับจับวาง”

“อย่าพูดมากปากจะมีสี”

“คุณย่าก็มีสีนี่ครับ ย้อยมามุมปากแล้ว”เด็กชายว่าพลางคลานปับๆ ไปเช็ดน้ำหมากที่ซึมปากเวลาบ่น

คุณย่าหัวเราะเบาๆ ก่อนว่า

“นี่ล่ะเขาเรียกยิ้มหยดย้อยล่ะ”

บริวารหัวเราะกันเกรียวกับอารมณ์ขันของคุณย่า ท่านสอนคนในบ้านนี้ให้มีสมบัติผู้ดี และสอนให้มีเหตุผล ที่สำคัญท่านเอ่ยสอนหลานว่า

“พวกเจ้าไม่มีปมด้อยอันใดในความเป็นคนดี ศักดิ์ศรีนี้จะรักษาตัวพวกเจ้าให้ยืนได้เท่าคนอื่น”

“ไม่เท่า ยังไงก็ไม่เท่า” มะขวิดมีปัญหามาโต้คุณย่าประจำ

“เดี๋ยวโดนเปลือกหมากอีก เจ้านี่ปัญหามากนัก ชักจะทนไม่ไหว”

“แน่ะ...คำสร้อยเป็นยี่เกมาอีกแล้ว”

“ย่าเป็นคนเก่า คนเก่าคนแก่ เขาพูดจามีหางเสียงมีสร้อยตามหลังฟังดูแล้วทำให้ภาษาระรื่นหู”

“ขวิดก็ว่าคุณย่าพูดเพราะดี” มะขวิดปากหวานตามมาเสมอ ดวงตาส่อแววเจ้าชู้สมกับหน้าคมคาย ซึ่งไปทางมารดาทุกส่วนแม้แต่ผิวพรรณสองสี ไม่ขาวนวลลออดังบิดาหรือพี่สาว จากนั้นแขวะพี่สาว

“แต่มะตูมไม่พูด ชอบลงมือทุกที”

“ก็ตัวปากดี เขาเถียงสู้ไม่ได้ พอมะเหงกถึง ตัวถึงได้เงียบไง” มะตูมย้อนแฝดน้อง

“ฮะ ฮะ หมาเห่ามันไม่กัด มะตูมไม่ใช่คนพูดมากแต่มือหนัก ระวังปากไว้หน่อยแล้วกันมะขวิด” คุณดาหาเปรยกับลูกชาย ตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังเบาๆ อยู่บนเรือนไทย

 

เวลาต่อมาสาวใช้บ้านตึก เดินหน้าง้ำผ่านมาทางศาลาท่าน้ำ พอเห็นนายน้อยนั่งคางเกยแขน ทอดสายตาไปในลำคลองกว้างนางจึงปรับสีหน้าใหม่ และเมื่อเห็นโจทก์ที่ทำให้นางอารมณ์ขุ่นจึงอดฟ้องนายไม่ได้

“เด็กบ้านโน้น โซ้น ซน ค่ะคุณหนู เมื่อสองวันก่อนมาเอียงเรือผิวซะเกือบคว่ำ นี่ต้องผ่านไปทางนั้นอีกไม่รู้จะโดนเกาะเรืออีกหรือเปล่า”

“ผิวไปทำอะไรเขาหรือเปล่าล่ะเขาถึงแกล้งเอา” พันชั่งถามบริวารอย่างคนมีเหตุผล นางผิวจึงหลบตา เพราะวันนั้นเด็กว่ายน้ำเล่นอยู่ตั้งไกล แต่นางไปด่าว่าอย่ามาใกล้เรือนางเดี๋ยวน้ำกระเซ็นเปียก ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย คุณมะขวิดกับคุณมะตูมเลยเข้ามาจัดการโยกเรือเล่นให้อีกฝ่ายกรีดร้องลั่นคลอง เป็นที่พอใจแล้วมะตูมจึงขู่ซ้ำเป็นการเตือนผู้ใหญ่ที่ทำตัวเป็นเด็ก

“เขายังไม่ทันทำอะไรตัวสักหน่อยอยากปากดีนัก วันหลังมาต่อว่าเขาอีก เขาจะคว่ำเรือซะ”

ขณะฟ้องอยู่นั้นเรือโยงแล่นผ่าน พันชั่งเห็นเด็กที่นางผิวกล่าวหาเกาะเรือกันไปเป็นแถว

“เขาคงไม่ทำอะไรผิวแล้วล่ะไปกับเรือนั่นแล้ว” พันชั่งบอก พลางทอดสายตามองความสนุกสนานของพวกเขาด้วยความรู้สึกอยากเป็นส่วนหนึ่งในนั้น อายุห่างกันไม่มากนัก แต่เขาอยู่โรงเรียนประจำถึงวันได้กลับบ้านซึ่งตรงกับวันหยุดเรียนของเด็กที่อยู่ตรงข้ามเยื้องฝั่งคลองกว้าง พันชั่งจึงได้นั่งดูเด็กๆเล่นน้ำกันสนุก เขาอยากลงไปว่ายน้ำเล่นอย่างนั้นบ้าง ไม่ใช่เอาแต่แอบมองจากห้องหนังสือชั้นบน ซึ่งมองลงไปที่ท่าน้ำ หรือมานั่งเฝ้ามองอยู่ที่ท่าศาลาบ้านตึกของตน

สักวันหนึ่ง เขาจะต้องมีโอกาสไปว่ายน้ำกับเด็กรุ่นน้องพวกนั้นบ้างล่ะ

“คุณหนูขาคุณแม่ให้มาเชิญไปที่ห้องใหญ่ค่ะ” นังเขียวสาวใช้วัยยี่สิบต้นๆมาเชิญนายน้อยไป

พันชั่งหันมาเอ่ย

“เดี๋ยวจะไป”

“แต่ว่า...คุณผู้หญิงท่านสั่ง” นางสำลีย้ำว่าเป็นคำสั่ง

พันชั่งเบือนหน้ากลับไปฝั่งคลองทำนิ่งเฉย  บริวารพึงรับรู้ว่า ยิ่งพูดมาก พันชั่งจะยิ่งนั่งแช่ให้นานเข้าไปอีก จนคนมาตามนั่นละจะถูกคุณสวาทคาดโทษหาว่าเพราะมาตามช้า

ความดื้อเงียบของคุณหนู ทำให้บริวารนึกทั้งเกรง กลัวใจกันทุกคน

นังเขียวไม่กล้าตอแยอีก เมื่อนางเดินถอยหลังไป พันชั่งจึงได้ลุกขึ้น ซึ่งถ้าสำลียังรออยู่ เขาคงจะนั่งไม่ยอมขยับเขยื้อนอยู่อย่างนั้นเอง

พันชั่งเอาแต่ใจ และมีความคิดเป็นของตนเองเสมอ ยิ่งนับวันยิ่งรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง และรูปงามเป็นที่รักของคนในบ้าน ทุกคนจึงรู้สึกหวงแหนไปกันหมด ไม่ว่าใครพูดถึงพันชั่งให้ได้ยิน ทุกคนต่างกางขาผวาปีกปกป้อง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมคุณหนูบ้านนี้จึงโดนนินทาว่าเป็นเทวดา เดินดินไม่เป็น เพราะนอกจากคุณสวาทแล้ว บริวารทั้งหลายยังยกย่อง มองเป็นของสูงเกินกว่าคนธรรมดาแตะต้อง

ทุกคนคงไม่รู้ว่า สิ่งนั้นทำให้พันชั่งอึดอัดจนคิดอยากแอบหนีคุณสวาทไปว่ายน้ำเล่นกับเด็กธรรมดา

 

ดาหาเป็นชายวัยสามสิบ รูปร่างสูงโปร่งผิวขาวนวลลออสวยเหมือนผู้หญิง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเสมอ มีความงามมากกว่าจะเรียกคมคาย เวลานี้เขายืนเกาะราวระเบียงอยู่บนชานเรือน ทอดสายตาไปที่ลำคลองกว้าง รอว่าลูก และบริวารจะกลับมาเมื่อไหร่

จวนได้เวลาอาหาร ลำเพาผู้มีร่างกายบอบบาง ผิวสองสีผมหยักศกน้อยๆดูอ่อนสลวย ซึ่งมะขวิดถอดรูปเค้ามารดาออกไปไม่ผิดสักส่วนเดียว

หล่อนมีร่างกายไม่แข็งแรงมาแต่แรก หลังจากมีลูกแฝดแล้วหล่อนยิ่งมีอาการเจ็บออดๆ แอดๆ มาตลอด แต่เรื่องความรักและความอบอุ่น หล่อนได้รับจากสามีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย สมกับคำที่เขาให้คำมั่นเมื่อไปสู่ขอจากบิดามารดาของหล่อน ซึ่งมีความห่วงใยแกรงว่าลูกสาวจะถูกทอดทิ้งให้ช้ำใจ เพราะดาหาเป็นชายรูปงาม มีฐานะดี และมียศทหาร ถึงจะแค่นายสิบ พ่อแม่ของลำเพายังห่วง แต่ย่าน้อมเป็นประกันด้วยตนเอง

“ฉันไม่เคยสอนลูกให้เป็นคนมักมาก หรือไม่พอใจในสิ่งที่มี เมื่อเขาลั่นวาจาว่ารัก ฉันพร้อมประกันได้ว่าเขาจะรักจนตายจากกัน”

“คุณย่ามีครอบครัวมาแล้ว คุณย่า เอ่อคงรู้ว่า เรื่องในมุ้งในหมอนเป็นเรื่องสำคัญนัก เรื่องนี้ที่ลำเพาอาจจะมีข้อบกพร่อง ซึ่งหมู่ดายังหนุ่มยังแน่นเกรงว่าต่อไปภายหน้าจะทำให้ลำเพาเสียใจ”

“อย่าเกรงในเรื่องนั้นเลยนะ ฉันสอนลูกให้มีหิริโอตตัปปะ มีความเกรงกลัวต่อบาป และฉันเห็นลำเพาเป็นดั่งลูกสาวของฉัน ฉันจะคอยดูแลเขาเอง คุณไม่ต้องห่วงเรื่องพ่อดาของฉันจะมั่นคงต่อความรักที่มีในตัวของลำเพา”

คำนั้นฝังใจลำเพาและคุณย่าท่านก็สอนลำเพาในการครองเรือนได้แม้มีร่างกายที่ไม่แข็งแรง แต่ไม่จำเป็นว่าจะปรนนิบัติให้สามีมีความสุขไม่ได้ หล่อนจึงใช้ชีวิตด้วยสมหวังเรื่อยมาจนลูกอายุได้แปดขวบแล้ว

“เดี๋ยวก็กลับค่ะคุณดา”

“กลับมาต้องปรามกันสักหน่อยแล้ว ยิ่งปล่อยยิ่งเย็นมากทุกที”

“ปล่อยเขาเถอะค่ะ ชีวิตคนเราไม่ยืดยาวอะไรนักเมื่อเขาคว้าความสุขส่วนตัวได้ก็ให้เขาคว้าไว้เถอะค่ะ”

“คุณใจดีกับลูกมากไปหรือเปล่าลำเพา”

ลำเพายิ้มสวย มองสามีด้วยสายตาอ่อนโยน ดาหาเองก็เช่นกัน ทำเป็นจะเอาเรื่อง แต่พอสองแฝดกลับมา เขาลืมหมดเรื่องจะตี หรือจะปราม

 สักพักใหญ่ เจ๊กตง ซึ่งเปิดร้านขายของอยู่ริมฝั่งน้ำห่างจากบ้านคุณย่ามาก ได้พายเรือพาเด็กๆมาส่ง ดาหาลงจากเรือนมารับลูกพลางเอ่ยด้วยความเกรงใจ

“รบกวนเจ๊กตงอีกแล้ว”

“ม่ายเป็นไรอาคุงจ่า เรื่องเล็ก น้อย อาคุณหนูมะตูมอีแวะกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้าน”

“อ้าวแล้วนี่ได้จ่ายค่าของกันหรือยัง”

“อีจ่ายเลี้ยวอาคุณจ่า อีบอกลูกน้องว่าไม่มีเงินก็ห้ามกิน ห้ามติดหนี้ให้พ่อแม่เดือดร้อน อีเป็นคุณหนูที่น่ารักจริงๆนะคุณจ่า ฝากสวัสดีคุณย่าน้อมด้วยนะ”

“ขอบใจนะเจ๊กตงที่อุตส่าห์มาส่ง”

“ไม่เป็นไรครับ อาคุณย่าช่วยผมมามากกว่านี้” เจ๊กตงไม่เคยลืมบุญคุณคุณย่าตอนเรือคว่ำ ข้าวของจมน้ำหมด คุณย่าให้เงินยืมไปทำทุน จนแกตั้งตัวได้จนบัดนี้

แกถือคติเสมอ บาปอันใหญ่หลวงของมนุษย์คือความอกตัญญู ดังนั้นลูกหลานคุณย่าเขาจึงคอยเป็นห่วงเป็นใยไปด้วยเช่นกัน

เมื่อเจ๊กตงไปแล้ว ดาหาจึงไล่เลียงบริวาร ซึ่งมะขวิดยิ้มหวานเข้าไปกอดขาบิดาจึงทำให้เขาเปียกชื้นไปด้วยเขารีบว่า

“ไปอาบน้ำอาบท่า”

“อาบท่าต้องไปที่คลองครับพ่อ” มะขวิดเงยหน้าขึ้นแย้ง ดาหาจึงยีผมเกรียนของลูกชายด้วยความเอ็นดู

“อย่าต่อปากต่อคำนักเลยมะขวิด หรือมะขวิดอยากจะลงคลองพ่อจะได้ให้แช่ถึงสองทุ่ม”

“งั้นช่างท่าน้ำเถอะครับ ขวิดอาบข้างบนดีกว่าครับ”

มะตูมรีบไปใช้ห้องน้ำบนเรือนก่อน มะขวิดวิ่งตามไปแต่ช้ากว่า สุดท้ายได้ผ้าขนหนูพาดไหล่ นั่งขัดสมาธิแต่รอนานมาก จนบ่นออกมาให้คนในห้องน้ำได้ยิน

“ตัวเหมือนมดตะนอย ทำไมต้องอาบน้ำนาน”

“เค้าไม่อยากโดนตรวจขี้ไคลเหมือนตัวนี่”

“ขี้ไคลจะมีสักเท่าไหร่ตัวไม่ได้ใหญ่ยังกะช้าง”

น้ำจากห้องน้ำสาดออกมาภายนอกหนึ่งขัน มะขวิดกระโดดหลบไม่ทัน พี่สาวยิ้มอย่างผู้กำชัยชนะพร้อมเดินออกมา

“เค้าไม่เป็นพี่มะตูมมั่งแล้วไป”

“ทำไมหรือ เป็นพี่แล้วจะชนะมะตูมหรือไง”

“ยกให้สักคนก็ได้ เรามันลูกผู้ชายเสียเปรียบวันยังค่ำ” มะขวิดบ่นอุบ มะตูมเลยได้เขกศีรษะอีกฝ่ายอีกที

“โอ๊ยมะตูม”

“อ้าวตัวพูดเองว่ายอมเสียเปรียบ เค้าเลยแถมให้อีกทีไง”

“คนอะไรขี้โกง” มะขวิดกล่าวหาเรื่องจริง ซึ่งเด็กหญิงยิ้มหัวเราะเบาๆ รักษากิริยาตามที่คุณย่าสอน จึงน่าเอ็นดูยิ่งนัก

ส่วนบริวารแยกกันกลับบ้านที่ปลูกอยู่ท้ายสวน หยดดูแลครัวและทำกับข้าวส่วนหนึ่งแบ่งไปที่บ้านตามความโอบอ้อมอารีของคุณย่าผู้เป็นนาย ส่วนสามีหยดทำสวน และดูแลไร่นาให้คุณย่าดังเป็นผู้จัดการ เพียงแต่ผู้จัดการต้องลงมือไม่ได้สั่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เวลาต่อมา มะขวิดนั่งใกล้คุณ พลางเอ่ย

“เราลูกหลานเจ้า ทำผิดต้องยอมรับผิด”

“เป็นเจ้าอะไรกันล่ะพ่อ” คุณย่าเหน็บแนม

“เจ้าเมืองดาหา พ่อนางบุษบากับสียะตราไงครับคุณย่า”

“คุณย่าขา มะขวิดเขาเป็นทั้งเท้าซ้ายเท้าขวาเลยค่ะ วันนี้เหยียบหนามไมยราบกระโดดโหยงเลย” คุณย่าหัวเราะออกมาอย่างคนอารมณ์ดี หลานทั้งสองคนนั้นมะตูมช่างคิด ส่วนมะขวิดช่างถามช่างพูด

“นี่ดีนะครับที่คุณย่าตั้งชื่อเป็นเรื่องอิเหนาหมด ถ้าคุณย่าไปหลงเรื่องพระอภัยมณีขวิดกับมะตูมจะชื่ออะไรครับ”

“มะตูมเขาก็จะชื่อเสาวคนธ์ส่วนเราก็ชื่อหัสไชยไง”

“ขวิดคิดว่าคุณย่าจะตั้งว่าสุดสาคร” มะขวิดมีเรื่องพูด เรื่องซักถามมากจริง

“สุดสาครเป็นลูกครึ่งคน ครึ่งเงือก ยิ่งพระอภัยมณีย่าไม่มีทางตั้งให้พ่อดา เพราะพระอภัยมีเมียมาก มีไม่เว้น ครึ่งคนครึ่งปลา มีเมียเป็นยักษ์ก็ได้ ก็เข้าใจล่ะนะว่าเป็นจินตนาการลึกล้ำ” คุณย่ากล่าวกึ่งขัน

“คุณปู่ล่ะครับ ขวิดไม่เคยเห็นคุณย่าพูดถึงคุณปู่เลย”

“อ้อ!” คุณย่าทำเสียงรับรู้ ก่อนเฉไฉไปว่า “นั่นท่านเป็นท้าวเทวดาเหาะไปเหาะมาอยู่เรื่อย” มะขวิดเลยหมดคำถาม หาไม่คุณย่าต้องยกลงมาสวรรค์อีกทั้งสิบหกชั้น เพื่อเลี่ยงไม่ตอบอยู่นั่นเอง ไม่ว่าจะถามเมื่อไหร่ก็ตามที

“ขวิดยังสงสัยครับว่า ทำไมคุณพ่อชื่อดาหา ทำไมไม่ชื่อกุเรปัน”

“อ้อกุเรปันเป็นพี่ของพ่อเจ้า ตายตั้งแต่สามเดือน”

“ถ้าอย่างนั้น ตกลงเราเป็นเจ้าใช่มั้ยครับแบบเจ้าจริงๆ น่ะครับ”

“อย่าเล่นของสูง”

“คุณย่าตั้งชื่ออย่างนี้ไม่สูงหรือครับ”

“ลูกอีช่างซัก จะซักย่าให้เป็นขี้เถ้าจนเอามาขัดหม้อให้ขาวเชียวหรือไง”

“ก็เพื่อนขวิดมาล้อขวิดนี่ครับ ว่าชื่อเหมือนตัวละครวรรณคดี”

“เอ้า! ก็ตอบมันไปสิ ชื่อข้าไม่ได้ชื่อเดียวกับพ่อเอ็งจะได้มาเดือดร้อน”

“ขวิดตอบอย่างนั้นค่ะคุณย่า แล้วก็ชกกันใหญ่” มะตูมต่อให้

“มะตูมก็โดนล้อครับ มันว่าบุษบา ดอกไม้ มันเรียก ดอก ดอก”

คุณย่าชักอารมณ์เสีย เพราะตั้งชื่อลูกหลานด้วยความรักมาทั้งนั้น ก่อนจะว่าอะไรออกมา มะขวิดยังเล่าต่ออีกว่า

“มะตูมตอบเขาว่า ฉันไม่โกรธหล่อนหรอก เพราะชื่อฉันแปลว่าดอกไม้ แต่แม่หล่อนชื่อสุวรรณมาลี ถ้าหล่อนเรียกฉันว่าดอก ฉันจะต่อท้ายคำว่าทองให้แม่หล่อนไหม เท่านั้นมันร้องไห้ไปฟ้องครู ครูเลยตีซ้ำ แล้วก็สอนไม่ให้พวกเราคิดกันในทางที่ไม่ดี เพราะพ่อแม่ทุกคนตั้งชื่อลูกเพราะความรักทั้งนั้น”

คุณดาหาลูบศีรษะลูกชายอย่างเอ็นดู ส่วนลำเพากอดบุษบาอย่างแสนรัก ลูกสาวคนนี้คมในฝักอย่าง มะตูมมีรอยยิ้มที่เฉือนใจคนได้ทีเดียวเชียว

“คุณแม่ขาเล่นขิมเถอะค่ะ มะตูมอยากเรียนขิมกับคุณแม่”

“ไปหยิบมาสิลูกแล้วหลังจากเล่นก็เก็บให้เป็นที่เป็นทางนะจ๊ะ”

“ค่ะคุณแม่” มะตูมรับคำอย่างอ่อนหวานน่ารัก เดินไปหยิบขิมมาให้มารดาได้บรรเลงเพลงเพราะๆ ให้ฟังดังเช่นทุกคืนที่ผ่านมา

 

เสียงขิมจากฝีมือลำเพาดังไพเราะไปทั้งคลอง บ้านคุณพร้อมและคุณสวาทได้ยินต่างพากันชม

“เขาเล่นขิมเพราะนะภรรยาคุณดาคนนี้ เอ…คุณดาเขาเป็นลูกน้องคุณหรือเปล่าคะ”

“ใช่ เป็นคนดีทีเดียว เขามีลูกแฝด แฝดพี่เป็นผู้หญิงสวยมากเป็นรุ่นน้องพันชั่งอยู่หลายปี”

“เรื่องอะไรคุณพี่จึงเอามาเปรียบกับพันชั่งของเราคะ”

“อ้าวก็คิดว่าเป็นเด็กๆ วัยห่างกันสี่ ห้าปีเท่านั้น”

“ค่ะ ยิ่งห่างทั้งวัย ห่างทั้งคนยิ่งดีเชียว ดิฉันไม่อยากเอาทองไปรู่กระเบื้องค่ะ”

“คุณล่ะทำเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ได้จับมาหมั้นกันเสียหน่อย”

“ดีแล้วค่ะ น้ำคลองก็คือน้ำคลอง จะใสดังน้ำฝนเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เชื้อสายสำคัญนัก พันชั่งเกิดมามีชาติมีตระกูล หน้าตารึก็คมคาย เจ้าสาวของลูก ดิฉันต้องหาให้ด้วยตัวเองแน่ๆเลยค่ะคุณพี่”

“อย่างไรก็อย่าลืมเรื่องผูกเรือนตามใจผู้อยู่ล่ะ เพราะเราสองคนก็แต่งงานกันเพราะรักชอบกันเอง แล้วมาถึงลูกเราจะบังคับเขามากนักก็ไม่ถูก”

“ถูกสิคะ ดิฉันเป็นลูกสาวหม่อมราชวงศ์หญิงตามเชื้อสาย คุณพี่เป็นลูกชายท่านผู้หญิง คุณแม่ของเราเป็นชาววังทั้งคู่นะคะ” คุณสวาทเอ่ยจริงจัง “เมื่อลูกเราแสนดีอย่างนี้ เจ้าสาวจึงต้องเฟ้นหาให้เหมาะสมให้มากที่สุดทีเดียว”

“ตามใจคุณ แต่พันชั่งจะตามใจคุณเหมือนที่พี่ตามใจหรือเปล่าเป็นอีกเรื่องนะ”

“เอ๊ะทำไมคุณพี่ถึงพูดให้ดิฉันไม่มีความสุขอย่างนี้คะ ลูกพึ่งสิบกว่าขวบคุณพูดเหมือนไปมีคนรักแล้วอย่างนั้นล่ะ”

“โธ่ระแวงจนได้เรื่องมั้ยล่ะ พี่ไม่ได้ว่าอะไร แต่พี่รู้นิสัยลูกเรา เงียบฟัง แต่เขาทำตามหรือเปล่าคุณต้องคิดนะ”

คุณสวาทอึ้งไป พันชั่งไม่ค่อยเถียงแต่เขาเป็นตัวของตัวเองเสมอ แม้ไม่ขัดใจพ่อแม่ แต่เขาก็มีเหตุผลส่วนตัว ลูกชายวัยสิบกว่าขวบของนาง ดูเคร่งขรึมและเป็นผู้ใหญ่กว่าวัยมากทีเดียว

“ยังไงก็ให้คบคนชั้นเดียวกันไว้ก่อนดีกว่า อย่างน้อยญาติข้างดิฉันก็ยังมีค่ะ”

“อ้อชาววัง” คุณพร้อมเอ่ย ยิ้มอย่างกลั้นไม่ได้ภรรยาจึงค้อนขวับ

เสียงขิมเพลงที่สามเงียบไปแล้ว คุณสวาทขอตัวขึ้นพักผ่อน

 

ส่วนบ้านเรือนไทยเยื้องฝั่งคลอง สองพี่น้องร้องเพลงอยู่ในห้องนอนเดียวกันกับคุณย่าว่า

“ชาววังบางกระตุ๋ยเห็นหมามุ่ยเป็นถั่วแระ” จากนั้นมะขวิดก็ติดสงสัยขึ้นมาอีกจึงถามบุพการี

“คุณย่าครับ หมามุ่ยกับถั่วแระฝักก็ไม่คล้ายกันสักเท่าไหร่ทำไมเขาร้องเพลงอย่างนี้ล่ะครับ”

“เขาก็ร้องเล่นกันไป วังบางกระตุ๋ยมีที่ไหนกัน เขาหมายถึงพวกผู้ดีจอมปลอมต่างหาก”

“อ๋อ” สองพี่น้องร้องขานรับอย่างเข้าใจตามประสาเด็ก

“แล้วเรานี่เป็นเจ้าปลอมใช่มั้ยครับ”

“เออน่ะสิ ยี่เกที่ไหนเขาเป็นเจ้าจริงกันมั่งล่ะมะขวิด เอ้า! นอนเถอะย่าจะนอนแล้ว”

ท่านชักสายโยง ซึ่งใช้เป็นที่ปิดไฟฟ้าหลอดกลม เป็นไฟแรงเทียนปิดลง เด็กแฝดทั้งสองพากันหลับในเวลาไม่ช้า

ซึ่งต่างจากคุณพันชั่งบ้านบนตึก ซึ่งหมายมั่นปั้นมือว่า พรุ่งนี้จะไปเล่นน้ำคลองให้จงได้ทีเดียว


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (69 รายการ)

www.batorastore.com © 2024