พรานไพร (บุญญรัตน์)
ประหยัด: 262.50 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
ห้องโถงกว้างนั้น ฝาผนังตกแต่งด้วยไม้วอลนัท ประดับเป็นลวดลายที่งามวิจิตร แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในห้องทางหน้าต่างที่เปิดโปร่งขึ้นจรดเพดานของอพาร์ตเม้นท์ ผ่านม่านโปร่งใสที่ประดับไว้อย่างประณีต ผนังทั้ง 4 ด้านที่โอบล้อมห้องนี้ไว้ ต้องแสงอาทิตย์เป็นประกาย ตรงมุมหนึ่งของห้องคือตู้หนังสือซึ่งมีลักษณะเป็นตู้ติดผนัง สูงจากพื้นจรดเพดาน หนังสือแต่ละเล่มที่บรรจุอยู่ในตู้นี้ เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับอาวุธปืนและการล่าสัตว์ทั้งสิ้นและมีบางเล่ม ที่แม้จะดูเก่าไปบ้างเนื่องจากถูกหยิบออกมาอ่านบ่อยครั้ง ส่วนหนึ่งของตู้หนังสือถูกแบ่งออกเป็นชั้น ใช้ตั้งวางของที่ระลึกต่างๆ รวมทั้งภาพของพรานไพรที่ถ่ายคู่กับสัตว์ที่เขาสังหารชีวิต สัตว์ป่าตัวเล็กๆถูกประดับไว้ชั้นบนๆ ขณะที่งูจงอาง ที่สตัฟฟ์และเคลือบไว้ด้วยแลคเกอร์วางอยู่บนชั้นใกล้พื้นห้อง
สัญลักษณ์แห่งความมีชัย มันคือหัวกวางมูสและกวางเอลค์ถูกแขวนไว้บนฝาผนังห้อง ไม่ไกลกันคือนอแรด,หัวละมั่ง เสือภูเขาที่ยืนอยู่ในท่วงท่าองอาจสง่าผ่าเผยเหนือเตาผิงที่ก่อด้วยอิฐแดง ราวกำลังจะล่าเหยื่อ ส่วนไก่ฟ้าพระยาลอยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง บนชั้นเหนือเตาผิงมีงาช้างหลายคู่ ขดโค้งป็นวงโอบนกอินทรีย์สีทอง ที่กำลังกางปีกกว้าง ราวจะพิทักษ์เจ้ากระรอกสีเทาที่ไร้ชีวิตไว้อีกชั้นหนึ่ง และบนพื้นห้องเบื้องหน้าเตาผิงนั้นคือหนังหมีขนหยาบสีน้ำตาล ดวงตาสีน้ำตาลและปากที่อ้ากว้างแสยะจนเห็นเขี้ยววาววับ ท่าทางคุกคามอยู่เงียบๆ
อีกด้านหนึ่งของผนังคือตู้ขนาดใหญ่แข็งแรง เป็นตู้สำหรับเก็บปืนโดยเฉพาะ มองเห็นปืนแต่ละกระบอกในตู้เป็นเงาวาววับด้วยการขัดถู หยอดน้ำมันอย่างประณีต แต่ตรงพานท้ายปืนแสดงให้เห็นว่า ปืนเหล่านั้นถูกนำออกมาใช้อยู่เสมอ โต๊ะตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องนั้น ไม่ได้เป็นที่ตั้งของงานเอกสารใดๆทั้งสิ้น นอกจากจะประดับไว้ใต้ตู้กระจกด้วยรูปภาพต่างๆ อันแสดงถึงชัยชนะในการล่าสัตว์ต่างๆ
โซฟาคู่หนึ่ง ซึ่งหุ้มด้วยหนังสัตว์สีบรอนซ์ตั้งเผชิญหน้ากันอยู่แต่ละฟากของพรมหนังหมี เด็กหนุ่มวัย 14ปี สวมเสวตเตอร์สีฟ้าใสกับกางเกงสีเข้มนั่งอยู่บนโซฟาตัวหนึ่ง นิ้วมือเรียวยาวกำลังเคลื่อนไหวทำความสะอาดปืนไรเฟิลอย่างพิถีพิถัน ปอยผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำปรกลงปิดหน้าผากขณะที่เขาก้มหน้าก้มตาอยู่กับงานตรงหน้า เด็กหนุ่มมีผิวพรรณผ่องใส ราวกับเกิดมาเพื่อเป็นศิลปินมากกว่า ขนตายาวงอน หลุบลงปกคลุมอยู่เหนือดวงตาคู่สีน้ำตาล ซึ่งขณะนี้กำลังจรดจ้องอยู่แต่กับปืนในมือเท่านั้น
ผู้ที่นั่งอยู่ในโซฟาฟากตรงข้าม คือเด็กหญิงวัย 12ปี เธอกำลังทำความสะอาดปืนกระบอกที่เบากว่าอยู่เช่นกัน ความคล้ายคลึงของเด็กหนุ่มสาวทั้งสองคนนี้ ไม่ต้องพูดถึงผิวพรรณอันอ่อนเยาว์นั้น ถูกบดบังไว้ด้วยกางเกงบลูยีนส์เก่าๆตัวหนึ่ง กับเสื้อเชิ้ตสีเทาตัวหลวม พวงผมสีทองแดงปล่อยเปลือยลงมาประไหล่ และเมื่อมันปรกลงยังบ่าด้านหน้าเป็นการรบกวนการทำงาน เธอก็ปัดมันไปทางด้านหลังอย่างไม่พอใจ
ด้วยวัยที่กำลังสดชื่นและเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ทำให้ท่าทางของสาวน้อยดูทะมัดทะแมงยิ่งนัก เพียงแต่ส่วนโค้งของริมฝีปากที่อ่อนเยาว์เท่านั้นที่บอกให้รู้ว่า เธอก็ยังเป็นเพศที่อ่อนแอ เช่นเดียวกับความอ่อนไหวที่ประทับอยู่บนใบหน้าของพี่ชาย ดวงตาคู่กลมโตของเธอเป็นประกายสีเขียวเรืองๆ ซึ่งอาจจะรุ่งโรจน์ขึ้นในยามที่อยู่ในอารมณ์โกรธหรือตื่นเต้นได้ หรือมิฉะนั้น ก็เป็นประกายลึกลับเหมือความดำมืดแห่งท้องทะเล
บนเก้าอี้พนักสูง เบาะหุ้มด้วยหนังสีน้ำตาลซึ่งบัดนี้สีได้เปลี่ยนเป็นอ่อนลงด้วยเวลาที่ผ่านไป บุรุษหนึ่งนั่งควบคุมการทำงานของเด็กหนุ่มสาวคู่นี้อยู่เงียบๆ มือของเขาขัดถูพานท้าปืนวินเชสเตอร์บนตัก เป็นลักษณะที่เด็กทั้งคู่คอยชำเลืองมองด้วยความสนใจและเคารพรักอย่างยิ่ง อันที่จริงปืนกระบอกนี้ได้รับการทำความสะอาดมาแล้วหลังจากที่เขาใช้เสร็จ จากประสบการณ์อันยาวนาน ทำให้เขาสามารถจะทำความสะอาดได้เสร็จก่อนที่เด็กทั้งสองที่เขาเฝ้าจับตามองอยู่
ก้านไปป์ยังคาอยู่ในระหว่างฟัน แม้ว่ายาเส้นในกล้องจะดับไปนานแล้ว แต่กลิ่นหอมหวนก็ยังอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ บุรุษผู้นี้สวมแจ๊คเก็ตกับกางเกงสีน้ำตาล มีลักษณะของความเป็นพรานไพรปรากฏอย่างชัดเจนในบุคลิกของเขา เรือนผมสีน้ำตาลบัดนี้มีสีเทาขึ้นแซมอยู่ประปราย โดยเฉพาะตรงแนวขมับ เป็นสุภาพบุรุษที่มีลักษณะสมเป็นชายชาตรียิ่งนัก มีความคล่องแคล่วที่ส่อให้เห็นอย่างชัดเจน นานนับปีมาแล้ว ที่เขาได้ฝึกตัวเองให้คุ้นชินกับการที่จะสงบระงับทุกอารมณ์และความรู้สึกไม่ให้ปรากฏออกมานอกหน้าและรวมไปถึงในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น
ขณะนี้มีเสียงเปิดและปิดประตูห้องดังมาจากห้องโถงภายนอก เด็กหญิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น ปืนกระบอกที่กำลังทำความสะอาดอยู่ถูกวางลงข้างตัวทันที ขณะที่เธอถลันลุกขึ้นยืน
“แม่มาแล้ว..หนูต้องไปบอกแม่ให้รู้ก่อนนะคะ”
“จอร์ดันน่า..เดี๋ยว..” ขณะที่บุรุษผู้นั้นดึงไปป์ออกจากปากเพื่อเรียกเธอไว้ เด็กหญิงก็วิ่งออกไปนอกห้องเสียแล้ว เขาเม้มริมฝีปากลงขณะวางไปป์ลงบนกล่องยาเส้น ซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเก้าอี้ที่นั่ง ลุกขึ้นยืนช้าๆเหมือนไม่มีอะไรจะต้องรีบเร่ง เดินตรงไปยังตู้เก็บปืน หลังจากวางปืนลงในที่ของมันแล้วเขาก็หันมาและสบตาลูกชายเช่นที่คาดคิดไว้
“ทำความสะอาดปืนต่อให้เสร็จนะคิท เดี๋ยวพ่อจะตรวจก่อนเอาเข้าตู้” มีรอยยิ้มจางๆฉาบอยู่บนใบหน้าขณะออกคำสั่ง
“ครับพ่อ” เด็กหนุ่มหันไปสนใจกับงานตรงหน้า โดยไม่ได้แสดงความย่อท้อหรือเบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ผู้เป็นพ่อเดินออกไปจากห้อง
เขาเดินออกไปยังห้องนั่งเล่นที่ประดับด้วยโคมระย้าและผ้าม่านดอกปักลวดลายงดงาม พื้นห้องปูด้วยพรมกำมะหยี่เนื้อนุ่มสีเขียวใส ทำให้ห้องกว้างนั้นดูโอ่อ่าภูมิฐานยิ่งนัก ภาพวาดที่ประดับผนังห้อง ส่วนใหญ่จะเป็นงานชิ้นเอกฝีมือจิตรกรชาวอิตาเลี่ยน ทั้งที่เป็นภาพฝีมือจริงและภาพจำลองราคาแพง ทุกภาพใส่กรอบขนาดใหญ่ประดับอยู่เหนือผนังห้องที่ฉาบไว้ด้วยสีขาว
โซฟาขนาดใหญ่ในห้องนี้บุด้วยผ้าดิ้นยกดอกเดินลายทอง โคมไฟคริสตัลตั้งอยู่บนโต๊ะแบบอิตาเลี่ยนซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างของโซฟา มีโต๊ะรับแขกรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งอยู่ด้านหน้าเก้าอี้สำหรับนั่งพักผ่อนคลุมด้วยผ้าลูกไม้สีเขียวอ่อนเข้ากับพรมปูพื้น และอีก 2ตัว ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าเตาผิงหินอ่อนสีเขียวอ่อนระยับ ทั้งสีเขียวยังเลยไปถึงขอบผ้าระบายที่ใช้คลุมส่วนบนของเตาผิงอีกด้วย ในแจกันทุกใบประดับด้วยไม้ดอกที่เพิ่งตัดมาจัดแต่งไว หอมอบอวลไปทั่วทั้งห้อง สีของดอกไม้ในห้องนี้จะเป็นสีชมพูเพียงสีเดียวเท่านั้น
และตรงกลางห้อง ท่ามกลางเครื่องประดับทุกชิ้นอันบ่งบอกถึงความอัครฐานนี้ สตรีผู้มีเรือนผมราวสีขนกาน้ำกำลังยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ เธอมีลักษณะของผู้ที่มีความทระนง มีสติปัญญารู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของผู้คนและเยือกเย็นยิ่งนัก สาวใช้คนหนึ่งยืนรอรับคำสั่งอยู่ใกล้ๆ มีเสื้อคลุมของนายหญิงคล้องอยู่กับแขน ขณะเธอถอดถุงมือสีดำที่สวมอยู่ออกช้าๆ
“ขอบใจมากเทสซ่า” เธอกล่าวขณะส่งถุงมือให้สาวใช้ ในน้ำเสียงที่ไว้ตัวแฝงคำสั่งให้ออกไปได้แล้วด้วย
สาวใช้ถอยออกจากห้องเงียบๆ ซึ่งเป็นขณะเดียวกันกับที่เด็กหญิงผมสีทองแดงวิ่งถลันเข้ามา
“เดาซิคะแม่..ว่าหนูมีเรื่องอะไร?” น้ำเสียงของสาวน้อยราวท้าทายมารดา
“นี่มันเรื่องอะไรกัน หนูถึงได้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่สกปรกเหมือนผ้าขี้ริ้วอย่างนี้ จอร์ดันน่า?” ดวงตาของเธอเป็นประกายเขียวเข้มราวสีมรกตขึ้นมาทันทีด้วยความไม่สบอารมณ์ ชุดที่เธอสวมใส่อยู่ขณะนี้ ได้รับการออกแบบตัดเย็บอย่างประณีตและทันสมัยที่สุด เข้ากันกับเครื่องประดับทุกชิ้น ซึ่งทำให้ดูภูมิฐานยิ่งขึ้น “แม่คิดว่าแม่สั่งเทสซ่าแล้วนะ ว่าให้เอาชุดพวกนี้ไปโยนทิ้ง หนูมีเสื้อผ้าสวยๆที่แม่ซื้อให้ออกเต็มตู้ ถึงเวลาแล้วนะลูกที่หนูจะต้องเลิกทำตัวเป็นคนใส่อะไรก็ได้เสียที..!”
“ก็เรากำลังซ้อมยิงเป้ากันอยู่นี่คะแม่” ความคิดบางอย่างพุ่งออกมาจากสมองของเด็กหญิง “พ่อบอกว่าจะอนุญาตให้หนูตามไปล่าสัตว์กับพ่อด้วย ตอนวันหยุดที่จะถึงนี่แหละค่ะ ตอนที่พ่อพาคิทไปไงคะแม่” จอร์ดันน่าประกาศก้อง ไม่อาจบิดบังความยินดีปรีดาไว้ได้
ความตกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าสะสวยของผู้เป็นมารดา และแล้วก็เปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด
“ลูกพูดอะไรเหลวไหลอย่างนั้น..?”
“ผมเองก็ตั้งใจจะพูดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่คุณมัวไปไหนต่อไหนตลอดเวลานี่ ทุกครั้งที่ผมอยู่บ้าน คุณก็มีธุระที่จะต้องออกไปไหนอยู่เสมอไม่ค่อยมีเวลาว่างเลยนี่” คำพูดของเขาบอกความรู้เท่าทันอยู่เป็นนัย ไม่จำเป็นจะต้องตัดพ้อต่อว่าออกมาตรงๆ
“แหม..ฉลาดจริง” โอลิเวีย สมิท สวนคำตอบออกมาทันที “ก็ตอนที่คุณอยู่บ้าน คุณก็ใช้เวลาตั้งค่อนวันค่อนคืน ซุกหัวอยู่แต่ในห้องนั่น สิงสู่อยู่กับไอ้พวกหัวสัตว์ที่สตัฟฟ์ไว้กับไอ้ปืนบ้าๆของคุณ..ใช่สิ..การล่าสัตว์มันเป็นชีวิตของคุณ..แต่ไม่ใช่ของฉัน..!
“ใช่..นั่นคือความจริง” ดวงตาสีน้ำตาลสบตาคู่สีเขียวเข้มของภรรยาอย่างเปิดเผย
“แต่จอร์ดันน่ายังเด็กนิดเดียวเท่านั้นนะ เฟลชเชอร์ แค่ที่คุณพาคริสโตเฟอร์ไปเพื่อจะทดสอบความเป็นลูกผู้ชายด้วยวิธีบ้าๆของคุณมันก็แย่พออยู่แล้ว อย่ามาฉุดลากลูกสาวฉันไปอีกคนเชียวนะ”
“แต่..หนูอยากไปนี่คะ” จอร์ดันน่าทักท้วงขึ้นมาทันที
“เงียบไปเลยนะ แล้วก็เลิกคิดถึงไอ้เรื่องบ้าๆนี่ได้แล้ว” เธอตวัดสายตามองหน้าลูกสาว เนื้อตัวสั่นด้วยความขุ่นเคืองที่ไม่อาจควบคุมได้ “นี่เป็นเรื่องระหว่างพ่อกับแม่เท่านั้น”
“ลีฟวี่..คุณมันก็โวยวายเกินเรื่องอย่างเคยนั่นแหละ” คำพูดเรียบๆของสามี ราวน้ำมันที่ราดลงบนกองเพลิงแห่งความโกรธ
“อ๋อ..โวยวาย..อย่างนั้นหรือคะ..?” ท่าทางเธอเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจ ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองหน้าสามี เล็บจิกลงในอุ้งมืออย่างลืมตัว “รู้สึกว่าคุณชอบด่าฉันแบบนี้เสมอเลยนะ..โอลีเวีย..คุณน่ะเจ้าอารมณ์เกินไปหน่อยแล้ว..!” ประโยคหลังนั้นเธอทำเสียงเยาะเย้ยประชดประชันอย่างหมั่นไส้เต็มที
“ก็คุณเป็นอย่างนั้นจริงๆนี่” เฟชเชอร์ สมิทพูดเรียบๆ พยายามเก็บความรู้สึกไว้จากน้ำเสียงและอารมณ์ “ก็มองดูตัวเองสิ แค่นี้ก็ต้องเนื้อตัวสั่นด้วย”
“อ๋อ..แล้วคุณหวังจะเห็นฉันเป็นยังไง?” โอลิเวียเถียงอย่างโกรธจัด “ลูกสาวฉันวิ่งเข้ามาหาแล้วก็บอก ว่าจะออกไปล่าสัตว์กับคุณวันหยุดนี่..แกก็ลูกฉันเหมือนกันนะเฟลชเชอร์ แกจะต้องได้รับการยินยอมจากฉันด้วยเหมือนกัน”
“ไม่นะคะแม่ หนูไม่ได้พูดจาเหลวไหลเลย” จอร์ดันน่ายืนยัน “พ่อพูดจริงว่าจะเอาหนูไปด้วย พ่อยืนยันด้วยเกียรติยศเลยละค่ะ” ดวงตาของสาวน้อยเป็นประกายกล้า และจากหางตาจอร์ดันน่ามองเห็นความเคลื่อนไหวที่ใกล้ตัวเข้ามาจึงย้ำอีกว่า “ถ้าแม่ไม่เชื่อ แม่ถามพ่อดูก็ได้นี่คะ..พ่อบอกว่าพ่อจะพาหนูไปด้วย จริงไหมคะพ่อ?” สาวน้อยหันไปหาบิดา
“อย่างนั้นรึ..?” ริมฝีปากของเฟลชเชอร์เหยียดออกเหมือนจะยิ้มเยาะ “เอ..เท่าที่ผมได้ยินมา คุณก็ชอบสะสมไอ้พวกสัตว์ 2 ขาตัวผู้อยู่เหมือนกันนี่ ดูเหมือนอยากจะได้รับรางวัลเกียรติยศอยู่เหมือนกันนะ”
“ทำไมไม่พูดออกมาตรงๆเลยล่ะเฟลชเชอร์?” น้ำเสียงที่ชาเย็นนั้นบอกความท้าทายอยู่ไม่น้อย “อยากรู้ไหมล่ะว่าฉันมีชู้อยู่สักกี่คน?”
เฟลชเชอร์ขบกรามจนเป็นสัน ปรายตามองไปทางใบหน้าเผือดซีดของลูกสาว
“ถ้าคุณตั้งใจหรืออยากจะพูดเรื่องนี้จริงๆละก็ ผมแนะนำให้รอก่อนนะ ให้จอร์ดันน่าออกไปจากห้องเสียก่อนดีไหม ขอให้ใช้ความคิดสักหน่อยว่า ลูกอายุเพียงแค่นี้ ยังไม่สมควรจะมาได้ยินเรื่องบัดซบอย่างนี้ แต่คนอย่างคุณไม่ยอมฟังใครง่ายๆหรอก ผมรู้”
“คุณนี่ ช่างเข้าใจทำให้ใครๆมองฉันเป็นผู้หญิงดอกทองจริงๆนะเฟลชเชอร์..”เธอพยายามซ่อนหยาดน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาคลอคลองในดวงตาคู่สีเขียวเข้มคู่นั้น หันไปมองลูกสาว
“กลับไปห้องเสียลูก จอร์ดันน่า”
แต่แทนที่สาวน้อยจะปฏิบัติตามคำสั่ง เธอกลับหันไปมองบิดา โอบแขนลงรอบตัวเขาคล้ายจะกอดกระชับไว้กับตัวเอง
“หนูเสียใจจริงๆค่ะพ่อ” น้ำเสียงของสาวน้อยเหมือนสะอื้น “หนูไม่ได้ตั้งใจทำให้แม่โกรธพ่อเลย”
“ไม่มีอะไรหรอกลูก” เขากอดร่างเล็กๆไว้ชั่วครู่ ลูบไล้เรือนผมสีแดงของลูกสาวเบาๆ ปลดแขนเล็กๆที่เกาะกุมเขาไว้ออกจับตัวให้ถอยห่าง “วิ่งได้แล้วลูก”
“พ่ออย่าให้แม่บังคับให้หนูอยู่บ้านอาทิตย์หน้านะคะ” สาวน้อยออดอ้อน “หนูอยากไปกับพ่อค่ะ”
“พ่อรู้” เขาพยักหน้า ผลัดร่างเล็กๆเบาๆ “ไปได้แล้วลูก”
เด็กหญิงก้าวออกจากห้องช้าๆด้วยท่าทางหดหู่ใจ ความเป็นเด็กว่าง่าย เชื่อฟังคำสั่งสอนแต่โดยดีของเธอมายุติลงเมื่อออกมาถึงภายนอก จอร์ดันน่าแนบร่างเล็กๆเข้ากับผนังห้องเพื่อจะแอบฟัง อยากจะรู้ว่าพ่อกับแม่พูดอะไรกันบ้าง แม้จะไม่ชอบการทะเลาะทุ่มเถียงกันระหว่างผู้ให้กำเนิดทั้งสอง ซึ่งดูเหมือนมันจะทำร้ายเธอเสียมากกว่าที่จะทำร้ายตัวพ่อแม่หลายเท่า
“จอร์ดันน่าไม่มีทางได้ไปกับคุณแน่” โอลิเวียประกาศก้อง “ฉันบอกแล้วไง ว่าแค่ที่คุณพาคริสโตเฟอร์ไปมันก็แย่พออยู่แล้ว แกออกเป็นเด็กที่อ่อนโยน เป็นคนใจอ่อนอย่างนั้น นี่คุณคิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ว่าไม่อาจจะบังคับให้แกโตขึ้นมาแล้วก็เป็นอย่างคุณได้?”
“ก็ดูจากที่คุณเอาอกเอาใจพะเน้าพะนอจนแกเกือบจะเสียเด็กอยู่แล้วน่ะสิ คิดดูสิว่ามันจะยอดเยี่ยมขนาดไหนที่แกจะรู้จักโตเสียที พวกเด็กๆที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับแก เขาเริ่มฝึกออกล่าสัตว์กันแล้วทั้งนั้น..ที่ผมรอมาจนถึงวันนี้ ก็เพราะคุณพูดอยู่เสมอไม่ใช่หรือ ว่าแกยังเด็กเกินไป..คิทน่ะมันอยากจะไปกับผมตลอดเวลา เลิกตามใจด้วยการเอาความรักมาอ้างเสียทีเถอะ ลีฟวี่ ปล่อยให้แกโตด้วยตัวแกเองบ้าง”
“จริงๆแล้ว คริสโตเฟอร์ไม่ได้อยากจะไปหรอก ถึงแกจะพูดว่าอยากไปก็เถอะ แต่เป็นเพราะแกรู้ว่าคุณอยากได้ยินเท่านั้น”
“คุณเข้าใจผิดถนัด” เฟลชเชอร์ตอบโต้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบแม้จะขุ่นเคืองลึกๆอยู่ในใจก็ตาม “พวกเพื่อนๆของแกที่โรงเรียนเขาออกล่ากวางกันทั้งนั้น แล้วก็กลับมาเล่าถึงความสนุกสนานให้แกฟัง คิทถึงได้ตื่นเต้นอยากจะไปขึ้นมา”
“ก็เพราะแกยังไม่รู้น่ะสิ ว่าคุณหวังจะให้แกไปล้มกวางมาให้ได้จริงๆ แกอาจจะคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องสนุกๆเท่านั้นละเฟลชเชอร์ คิทไม่ใจร้ายพอที่จะฆ่าสัตว์ที่น่าสงสารไม่มีทางสู้อย่างเลือดเย็นได้หรอก คุณไม่ได้พูดให้แกรู้ความจริงน่ะสิ”
“เมื่อไหร่คุณจะเลิกเปรียบเทียบการล่าสัตว์กับการเป็นฆาตกรเสียทีนะ?”
“ก็ต่อเมื่อคุณเลิกพยายามเสี้ยมสอนให้ลูกชายของฉันเป็น ในสิ่งที่คุณคิดว่าผู้ชายควรจะเป็น” โอลิเวียกระแทกเสียงตอบโกรธๆ “ฉันควรจะยับยั้งตั้งแต่ตอนที่คุณซื้อปืนกระบอกแรกให้คริสโตเฟอร์แล้ว..!”
“ไรเฟิล..”เขากล่าวแก้การเรียกผิดๆของเธอออกไปโดยอัตโนมัติ
“จะเรียกไรเฟิลหรือเรียกปืน มันจะแตกต่างกันตรงไหนไม่ทราบ..คุณนั่นแหละที่น่าจะขอร้องให้ฉันอนุญาตให้แกเก็บปืนกระบอกนั้นไว้ ฉันเองก็เห็นด้วยตอนที่คุณสอนให้แกยิงปืนเป็น..แต่การที่คุณมาพูดให้ฉันอนุญาตให้จอร์ดันน่าเรียนยิงปืนให้เป็นอีกคนนั้นเป็นเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจ..คุณชอบทำอะไรตามใจตัวเองตลอดเลยนะเฟลชเชอร์ อันที่จริงฉันเองก็เห็นด้วยกับการที่คุณจะพาคริสโตเฟอร์ออกไปล่าสัตว์ แต่ต้องไม่ใช่จอร์ดันน่า ฉันไม่ยอมให้แกไปกับคุณเด็ดขาด”
“ก็ลูกทั้งสองคนอยากไป แล้วผมก็ต้องการให้พวกแกไปด้วย ผมเองก็ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดพวกแกบ่อยครั้งนัก ถ้าพวกแกไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนกัน ผมก็บังเอิญไปอยู่ที่อื่นเสีย บางครั้งผมก็อยากให้มันดูเป็นครอบครัวบ้าง อย่างน้อยเราก็ยังได้ทำอะไรร่วมกัน”
“อ้าว..ถ้าอย่างนั้นคุณก็อยู่บ้านสิคะ หยุดตะลอนไปทั่วโลกอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้เสีย” โอลีเวียขึ้นเสียงอย่างโกรธจัด “ฉันไม่ได้ขอร้องอะไรเพื่อตัวเองอีกแล้วแต่ฉันขอเพื่อลูก เลิกเรื่องการไล่ล่าฆ่าฟันนั่นเสียทีสิ”
“แต่มันเป็นความสุขของผมนี่..แล้วอันที่จริงผมก็ไม่มีอะไรเหลือไว้ให้เป็นความสุขเท่าไรนักหรอก”
“นี่คุณประชดฉันใช่ไหม..ฉันเป็นคนที่ทำให้ชีวิตคุณต่ำช้าลงไปหรือยังไง..เฟลชเชอร์..?..แต่มันก็คงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆนั่นแหละ เพราะชีวิตฉันเองก็เหมือนกับตกนรกเหมือนกัน นับแต่วันที่แต่งงานกับคุณมา”
“ลีฟวี่..ทำไมเราจะต้องมาทะเลาะกันด้วยนะ ทำไมเราถึงจะปรึกษาหารือกันดีๆไม่ได้?” เฟลชเชอร์ยกมือขึ้นลูบไปตามแนวผมสีเทาเหนือขมับ
“ก็ทำไมคุณถึงเลิกล่าสัตว์ไม่ได้ล่ะ?”
“ลีฟวี่ จริงๆแล้วคุณไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการล่าสัตว์เลยนะ คุณคิดแต่เพียงว่ามันเป็นกีฬาแห่งการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต คุณทำให้มันดูสยดสยองเกินไป..คุณก็คิดแต่ในแง่ของคุณ คิดอย่างคนที่ไม่มีความรู้เรื่องนี้..มันเป็นการล่า..เข้าใจไหม..ไม่ใช่การฆ่า..อาทิตย์หน้านี้ไปด้วยกันสิ แล้วคุณจะได้รู้และเข้าใจว่าความจริงมันเป็นยังไงเสียที”
“หลังจากที่ฉันถูกทอดทิ้งให้ต้องอยู่คนเดียวมานานนับปี..มาถึงวันนี้..ในที่สุดแล้วคุณก็มาขอให้ฉันไปกับคุณ..มันสายเกินไปแล้ว..”น้ำเสียงที่ตอบสะท้านอยู่ด้วยความรู้สึก “คุณไม่เคยอยู่บ้านเลยเวลาที่ฉันต้องการตัวคุณ เฟลชเชอร์..คุณเข้าป่าเข้าดง ไปอยู่ที่โน่น..ไปอยู่ในดินแดนที่พระเจ้าเองก็ไม่รู้จัก ไปอยู่ในที่ซึ่งฉันเองก็ตามคุณไปไม่ถึง คุณเป็นคนผลักไสฉันเองนะ เพราะฉะนั้นมันน่าแปลกนักหรือที่ฉันจะไปหาคนอื่น แต่ถึงยังไงคุณก็ยังโทษว่าเป็นความผิดของฉันอยู่ดี แล้วตอนนี้คุณยังหวังว่าฉันจะไปกับคุณทั้งๆที่คุณไม่เคยแม้แต่จะคิดเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ฉันเลยสักนิด..!"
“ก็แล้วไอ้อพาร์ตเม้นท์นี่ล่ะ คุณว่ามันเกิดขึ้นได้เพราะอะไร ผมเกลียดนิวยอร์กคุณก็รู้ แต่ที่นี่ไม่ใช่หรือที่คุณอยากจะอยู่นัก..ไม่ใช่ผม..แล้วมันก็ไม่ใช่สถานที่เหมาะสมที่จะใช้อบรมเลี้ยงดูลูก แต่คุณไม่เคยคิดอะไรพรรค์นั้นหรอก คุณสนใจแต่เฉพาะว่าจะซื้อของที่ไหน จะไปแต่งานปาร์ตี้ ดูหนังดูละครเท่านั้น”
ครั้งนี้เป็นครั้งแรก มีมีความโกรธแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเฟลชเชอร์ “ผมเองก็ไม่เข้าใจนะว่าคุณจะมาโวยวายเอาอะไรกับผม พอรู้ว่าผมจะเอาจอร์ดันน่ากับคิทไปกับผมทั้งสองคนตอนวันหยุดนี่ ก็คุณจะได้มีเวลาถึง 2 วัน ไว้สำเริงสำราญกับใครก็ได้ ที่มันเป็นชู้รายล่าสุดของคุณยังไงล่ะ..!”
“น่าสมเพทนะที่ฉันไม่ได้คิดเลยไปถึงเรื่องพรรค์นั้นเลย” โอลีเวียฝืนหัวเราะ แต่เป็นเสียงที่แปร่งปร่าอะไรเช่นนั้น..!
“ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะคิดยังไง ลีฟวี่” เขากระชากไหล่เธอเข้ามา อยากจะเขย่าให้สะใจ “ถึงยังไงคุณก็ยังเป็นเมียผมอยู่”
โอลีเวียยืนตัวแข็งอยู่ในอ้อมแขนนั้น แต่ไม่ได้แสดงท่าว่าจะต่อต้านกับการรุกรานด้วยความโกรธของเขา
“ฉันเลิกคิดที่จะรักคุณมานานแล้ว เฟลชเชอร์” เธอเบี่ยงตัวออกจกอ้อมแขนของเขาช้าๆ ซึ่งเป็นขณะเดียวกันกับที่เฟลชเชอร์ระงับอารมณ์ลงได้ โอลีเวียเป็นฝ่ายผละออกจากเขาเอง “เอาเถอะ สำหรับเรื่องจอร์ดันน่า เมื่อคุณจะเอาไปด้วยก็เอาไป ฉันจะใช้เวลา 2 วันนั้นอย่างที่ตัวองต้องการ..คุณเป็นฝ่ายชนะแล้วยังไงล่ะ เฟลชเชอร์ มันก็เหมือนกับทุกครั้งนั่นแหละที่คุณจะต้องเป็นฝ่ายชนะเสมอ..!”
“ผมให้สัญญากับคุณได้นะลีฟวี่ ว่าจอร์ดันน่าจะไม่ยิงสัตว์ตัวไหนทั้งสิ้น แกเพียงแค่ตามผมกับคิทไปเท่านั้น ไม่มีอะไรมากหรอก”
สาวน้อยจอร์ดันน่าได้รับคำตอบที่เธอต้องการแล้ว เธอจะได้ออกไปล่าสัตว์เช่นที่ต้องการในที่สุด แต่ไม่ได้เกิดความยินดีปรีดาในคำตอบที่ได้รับในครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย มีแต่หยาดน้ำตาที่ไหลพรากลงอาบแก้ม รู้สึกปั่นป่วนมวนท้องขึ้นมาในทันทีทันใด ขณะคอยๆถอยออกจากห้องนั้น เดินกลับไปยังห้องส่วนตัว
แสงแรกของดวงอาทิตย์เริ่มสาดส่องผ่านแนวพุ่มพฤกษ์ลงสู่พื้นป่าเวอร์มอนท์ บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงัดเงียบ มีเพียงเสียงนกที่ขับขานอยู่บนยอดไม้ บุรุษหนึ่ง เด็กชายและเด็กหญิง ต่างปักหลักกันอยู่ใกล้กับต้นไม้ที่ขึ้นบนพื้นดินกลางป่า บุรุษนั้นนั่งนิ่งเงียบอยู่ในท่าคู้ตัว ปืนไรเฟิลกระหนาบอยู่ในอ้อมแขน ปากกระบอกเบนไปยังทิศทางที่ห่างจากตัวเด็กทั้งสอง เด็กชายนั่งอยู่ในท่าคุกเข่า ปืนไรเฟิลของตนวางพาดอยู่บนต้นไม้ เช้าวันนี้ คริสโตเฟอร์อยู่ในชุดล่าสัตว์ใหม่เอี่ยม กำลังจับตามองเส้นทางที่สัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กวางจะต้องเดินผ่าน ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดที่ซ่อนตัวกัน
ส่วนเด็กหญิงนั้น นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นดิน ซุกมืออยู่ในกระเป๋าเสื้อ ทียกปกสูงขึ้นมาถึงต้นคอ ผ้าพันคอไหมพรมสีขาวโพลนพันอยู่รอบศีรษะ ปิดบังเรือนผมสีแดงของเธอไว้เกือบหมดสิ้น และตลบชายผ้าทั้งสองข้างมาขมวดเป็นปมไว้ใต้คาง อากาศยามเช้าของฤดูใบไม้ร่วงนี้เยือกเย็นนัก แต่จอร์ดันน่าไม่กล้าแม้แต่จะปล่อยให้เนื้อตัวสั่น ไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบตาด้วยซ้ำ คำสั่งของพ่อเป็นสิ่งที่จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ทั้งเธอและคริสโตเฟอร์จะต้องไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว หรือทำให้เกิดเสียงดังใดๆทั้งสิ้น พ่อได้ออกสำรวจรอบบริเวณนี้ ก่อนหน้าที่ฤดูกาลล่าสัตว์จะเปิดขึ้นและได้ให้ความมั่นใจว่า กวางหางขาวจะต้องผ่านมาตรงจุดที่ซุ่มรอกันอยู่นี้แน่นอน
คิทค่อยๆลดตัวลงนั่งบนส้นเท้าอย่างระมัดระวังและเงียบกริบ เด็กหนุ่มปรายตาเป็นเชิงถามไปทางบิดาโดยไม่หันศีรษะไปมอง ความระวนกระวายใจกับการรอคอยปรากฏอยู่บนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด เฟลชเชอร์ สมิทยิ้มอย่างมั่นใจแทนคำตอบให้ลูกชายและด้วยการเคลื่อนไหวเพียงดวงตา เขาได้ใช้สายตานั้นตอบคำถามด้วยการพยักหน้าเบาๆให้ลูกชายมองดูรอยเท้าสัตว์ตรงหน้า
จอร์ดันน่า ทันเห็นดวงตาของคิทที่เป็นประกายขึ้นด้วยความตื่นเต้น เธอจึงมองไปตามทิศทางที่คิทจับตาอยู่ แต่ก็ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น สาวน้อยเบิกตาโพลงคอยจับจ้องมองดูความเคลื่อนไหวที่กำลังจะเกิดจนกระบอกตาปวดร้าว และแล้วก็นึกถึงคำเตือนของบิดาที่บอกไว้ว่า..ให้เปลี่ยนเป้ามองไปรอบๆบ้าง..
ในวินาทีต่อมา เธอก็เริ่มจะมองเห็นความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นแวบหนึ่ง จึงตั้งสมาธิให้แน่วแน่จับตาอยู่เพียงจุดนั้น และทันใดก้มองเห็นตัวการที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวขึ้น มันเป็นกวางตัวเมียตัวเล็กๆน่ารักยิ่งนัก สูงไม่เกินบั้นเอวพ่อ
บนใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นทับถมกันอยู่บนพื้นดินจนเหมือนจะเป็นพรมผืนใหญ่ ภายใต้พุ่มไม้ที่ขึ้นอยู่ตามใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งจัดเป็นฉากกำบังอย่างดียิ่งนั้น แม่กวางไม่ได้ก่อให้เกิดเสียงแต่อย่างใดทั้งสิ้นขณะย่ำเท้าไปเรื่อยๆ ถัดจากแม่กวางตัวนั้นเป็นกวางตัวเมียอีก 2 ตัวและลูกกวางตัวเล็กๆ จอร์ดันน่าพยายามสะกดกลั้นไม่ยอมให้ตัวเองถอนหายใจออกมาดังๆ ได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตื่นเต้นเหลือจะกล่าว แต่ไม่กล้าเปล่งเสียงใดๆออกมา
ประกายตาที่เต้นเร่าด้วยวามยินดีนั้นสบสายตากับผู้เป็นบิดา ซึ่งเขาก็หลิ่วตาตอบด้วยความเข้าใจกับความตื่นเต้นของลูกสาว ที่ได้เห็นสัตว์ป่าเหล่านั้นเดินผ่านหน้าไป เสียงถอนหายใจของคิทเหมือนจะเป็นเสียงสะท้อนก้องแห่งความตื่นเต้นในหัวใจไปด้วย เพียงแค่ภาพที่แลเห็นนี้ ก็มีคุณค่ามากพอที่จะขจัดความหนาวเย็นของอากาศ ความรู้สึกไม่สบายกายที่จะต้องมานั่งทรมานจนแทบจะเหน็บไปทั้งตัว
รายละเอียด
ในเรื่อง พรานไพร ที่ดิฉันแปลมาจากเรื่อง Ride The Thunder นี้ เจเน็ต เดลีย์ ได้แบ่งออกเป็น 4 ตอน คือ บทนำ ที่แสดงให้เห็นสภาพครอ
.