ใจเผลอรัก

ใจเผลอรัก

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160021390
ผู้แต่ง: ทักษาวารี
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 300.00 บาท 75.00 บาท
ประหยัด: 225.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

คุณหมอเบ่เบ๊

ภายในห้องคลอดมีเสียงร้องไห้ดังลั่น ราวกับพยาบาล

ไปรบกวนนิทรารมณ์อันแสนสุข นายแพทย์ซึ่งคอยลุ้นอยู่ห่างออกไป

แอบปาดเหงื่อ ด้วยไอ้เพื่อนตัวแสบซึ่งเป็นพ่อของเจ้าหนูที่แผดเสียงดัง

ถึกๆ เอ๊ย อุแว้ๆ นั้นขอร้องให้เขาเข้ามาด้วย ชายหนุ่มส่งสายตา

ให้กำลังใจเพื่อนร่วมอาชีพ ซึ่งแพทย์ที่ทำคลอดถูกระบุให้เป็นหญิงเท่านั้น

ชายหนุ่มกลั้นยิ้มเมื่อแลเห็นสีหน้าซีดขาวของเพื่อน พยาบาลอุ้มทารก

ตัวน้อยส่งให้ผู้เป็นพ่อ น้ำตาที่เอ่อคลอหน่วยตาคมทำให้เขายิ้มกว้าง

แน่นอนว่าความปลาบปลื้มยินดีนั้นท่วมท้นอยู่ในอกไม่แพ้กัน

ทว่า...เสียงเฮโลหน้าห้องคลอดเบรกความปรีดาของผู้คน

ข้างในไปชั่วขณะ ‘พรรษชล’ ชี้ตัวเองเมื่อเพื่อนสนิทอย่าง ‘คาวี’ พยักพเยิด

หน้ามาทางเขา นายแพทย์หนุ่มทำท่าถอนใจก่อนจะพยักหน้ารับด้วย

สีหน้าระอา

ด้านนอกห้องยังคงวุ่นวายและมีเสียงโหวกเหวกจนคนเพิ่งเปิด

ประตูออกมาแอบสงสัย ว่าตกลงที่นี่เป็นโรงพยาบาลหรือตลาดสด

กันแน่ แล้วนั่น...อะไร ดวงตาคมสีนิลหรี่ลงเพื่อจับภาพตรงหน้า

ชายหนุ่มสองคนยื้อยุดกันด้วยการรัดคอ คนรัดคอทำหน้านิ่งติดจะเหี้ยม

ส่วนอีกคนร้องกรี๊ด เอ๊ย โวยวายเรียกพ่อแม่ให้มาช่วยเหมือนเด็กๆ

ซึ่งดูจากรูปร่างกับท่าทางแล้วค่อนไปทาง ‘เด็กปัญญาอ่อน’

พรรษชลรู้จักทุกคนเป็นอย่างดี ทั้งหมดคือครอบครัวของ

‘บุษบา’ ภรรยาคาวี หญิงสาวมีพี่น้องถึงแปดคน แรกทีเดียวที่รู้ เขา

ถึงกับตาโต แน่นอนว่าสังคมไทยสมัยก่อนนั้นมีลูกแปดถึงสิบคนไม่ใช่

เรื่องแปลก แต่สมัยที่ข้าวของแพงหูฉี่ก็ยากนักที่จะพบครอบครัวใหญ่

อย่างที่คนมักพูดกันว่ามีลูกมากมักยากจน กระนั้นการมีลูกมากก็

ไม่ได้ทำให้ครอบครัวฟาเบรกลาสได้รับผลกระทบ คาวีเคยเล่าว่าฟาบิโอ้

พ่อของบุษบาเป็นถึงเจ้าของโรงแรมหกดาวที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก

“พี่น้ำค้างงง ช่วยน้องเหน่ด้วยยย”

เจ้าของชื่อทำหน้าเหยเก ‘มันลากเสียงซะยาวเลย’

“โชคมันทำร้ายยย...เหน่”

‘อ๊อย...ไอ้นี่ตัวโตยังกับยักษ์ปักหลั่น ทำไมทำเสียงอ้อนได้สมจริง

ขนาดนี้’

“พอๆ โชคเลิกแกล้งน้องได้แล้วลูก” ลีลาวดีขัดขึ้น

พรรษชลซึ่งยืนมองอยู่ถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อก นั่นแกล้งทำ

หรอกหรือ เขาเห็นสีหน้า ‘มหาโชค’ แล้วคิดว่าอีกฝ่ายกำลังฆ่า

‘มหาเสน่ห์’ จริงๆ เสียแล้ว

“หลานล่ะครับพี่น้ำ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่พอๆ กับพี่มหา

เดินเข้ามาถามพรรษชลอย่างสุภาพ

นายแพทย์หนุ่มคลี่ยิ้มน้อยๆ ให้ ดูเหมือน ‘พุทธชาด’ จะเป็น

คนเดียวในครอบครัวที่เรียกเขาสั้นๆ ว่า ‘น้ำ’ ซึ่งเขาชอบให้เรียก

แบบนี้มากกว่า ‘น้ำค้าง’ เพราะดูสาวแตกเกินไป

พยาบาลอุ้มทารกตัวน้อยออกมาพอดี พรรษชลเลยไม่ทันตอบ

คำถาม เพราะมวลมหาชนคนป่วนโลกเฮโลกันไปกลุ้มรุมเจ้าตัวเล็ก

เสียแล้ว ชายหนุ่มแอบถอนหายใจอย่างไม่รู้ว่าแท้จริงโล่งอกหรือ

หนักอกแทนเพื่อนกันแน่ คาวีน่ะสันโดษมาแต่ไหนแต่ไร แต่...ครอบครัว

บุษบานี่สิ หาคำว่า ‘สงบ’ ไม่เจอจริงๆ

ด้านหลังโรงพยาบาลเป็นที่ตั้งของชุมชน ‘เป็นใจ’ ซึ่งแบ่งเป็น

เป็นใจซอยหนึ่ง เป็นใจซอยสอง สลับซ้ายขวา เป็นใจซอยห้า จะมีหอพัก

ชื่อ ‘กิ่งไผ่’ ตัวตึกสีส้มสูงสี่ชั้น โดยหนึ่งชั้นจะมีเพียงห้าห้อง ซึ่งห้องพัก

กว้างขวางสมราคาค่าเช่า

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นภายในห้องนอนสีเทาอ่อน เจ้าของห้อง

นุ่งผ้าขนหนูออกจากห้องน้ำ เวลาบนหน้าปัดเป็นช่วงตีห้า ชายหนุ่ม

กดปิดเสียงก่อนเดินผิวปากไปยังตู้เสื้อผ้าหน้าห้องน้ำ หยิบเชิ้ตสีขาว

และกางเกงสแล็กส์วางบนเตียง อาชีพหมอจำเป็นต้องแต่งตัวให้ภูมิฐาน

เพื่อเสริมสร้างความเชื่อถือ ใครอยากจะรักษากับหมอที่แต่งตัวซกมก

ไม่สุภาพกันเล่า

‘นายแพทย์ หม่อมหลวงพรรษชล กุลวารี’ ในวัยสามสิบเอ็ดปี

จบอนุสาขากุมารเวชศาสตร์ โรคระบบทางเดินหายใจ และได้ประจำ

อยู่ที่แผนกกุมารเวชในโรงพยาบาลประจำจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาค

อีสาน จักรยานสีชมพูลายคิตตี้คือพาหนะคู่ทุกข์คู่ยากของพรรษชล

เขาไม่ได้เลือกสีและลายเอง เพราะได้รับตกทอดมาจากแพทย์หญิง

รุ่นพี่ซึ่งย้ายกลับไปทำงานที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ หลายครั้งที่คิด

จะยกให้น้องเรสิเดนต์1 แต่หลายคนก็ปฏิเสธ เนื่องจากต้องการรักษา

ภาพลักษณ์แมนๆ ของตัวเองไว้ ซึ่งเหตุผลเหล่านั้นฟังไม่ขึ้น พรรษชล

ไม่ห่วงเรื่องถูกมองเป็นเกย์ เพราะมั่นใจในความแมนของตัวเอง

เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งตลอดทางที่รถจักรยานแล่นออกจาก

ซอยเป็นใจห้าเข้าสู่ถนนหลักที่กั้นสองฟากซอย เรสิเดนต์บางคนที่

ออกเวรแล้วก็สั่นกระดิ่งจักรยานทักทายรุ่นพี่ รวมถึงพยาบาลทั้งหลาย

ที่ออกเวรเวลาเดียวกัน เรียกว่าซอยเป็นใจหนึ่งถึงเก้านี้ส่วนใหญ่เป็น

ที่พำนักของหมอและพยาบาลก็ว่าได้

พรรษชลจอดจักรยานแล้วเดินขึ้นตึก แม้จะย้ายมาได้ไม่กี่เดือน

เขาก็รู้สึกชอบที่นี่ ชายหนุ่มส่งยิ้มให้เพื่อนร่วมแผนกที่เดินหน้าซีดมา

แต่ไกล เมื่อคืนคงเจอเคสหนักถึงได้หน้าซีดอย่างกับคนอดนอนมา

ทั้งคืน โรงพยาบาลแห่งนี้มีกุมารแพทย์ทั้งหมดสี่คนคือแพทย์หญิง

นิศมา แพทย์หญิงดาวิษา นายแพทย์ภัทรศัย และตัวเขาเอง แบ่งเวรกัน

เดือนละเจ็ดวัน ซึ่งตอนนี้เป็นเวรของนายแพทย์ภัทรศัย

“ไม่ต้องมายิ้ม ขอแช่งให้แกงานยุ่ง” ภัทรศัยพาลใส่คน ‘ดวง

คุณชาย’ เนื่องจากไม่ได้นอนครบยี่สิบสี่ชั่วโมง เมื่อคืนเป็นวันโลกาวินาศ

สำหรับภัทรศัยโดยแท้ เกิดอุบัติเหตุรถทัวร์ประสานงากับรถยนต์

มีผู้บาดเจ็บทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่กว่าสิบราย และเพราะได้ยินพยาบาลเวร

ซุบซิบกัน เขาจึงไม่แปลกใจที่พยาบาลไม่โทร. ตามไอ้คุณหมอน้ำค้าง

‘ไม่ต้องโทร. ไปตามหมอน้ำหรอก แค่หมอเอก หมอต้น และ

หมอภัทรก็เอาอยู่แล้ว ปล่อยให้หมอน้ำนอนพักผ่อนให้เต็มที่เถอะ พรุ่งนี้

จะได้พาหน้าหล่อๆ สดใสมาให้เราได้ยลให้ชุ่มหัวใจ’

“ขอบใจ แต่งานผมยุ่งทุกวันอยู่แล้ว” คนโดนแช่งบอกอย่าง

ขบขันท่าทางของเพื่อนซึ่งขึ้นชื่อว่า ‘ดวงเยิน’ เข้าเวรทีไรเป็นต้องมี

คนป่วยเยอะทุกที จนหมอและพยาบาลต่างแลกเวรหนีกันให้ควั่ก

                ชายหนุ่มเริ่มราวนด์วอร์ด ตรวจเยี่ยมคนไข้แผนกนิวบอร์น

ตั้งแต่หกโมงเช้า จากนั้นตรวจต่อที่แผนกผู้ป่วยในตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า

พอเก้าโมงก็ประจำที่แผนกโอพีดี

ทั้งๆ ที่ยังเช้าแต่หน้าโรงพยาบาลเริ่มมีผู้คนเดินเข้าออกกัน

ไม่ขาดสาย หลายคนรีบมาจองคิวเพื่อรอรับการตรวจรักษา บ้างก็มา

เป็นเพื่อน พรรษชลชอบชีวิตที่นี่ แม้สำหรับคนอื่นมันไม่เงียบสงบและ

ออกจะวุ่นวายเมื่อคนไข้เยอะ แต่เขากลับชอบ นอกเหนือจากนั้นคือได้

ดูแลตากับยายซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปเกือบหกสิบกิโลเมตร จะว่าไกล ก็ไกล

แต่พรรษชลกลับรู้สึกว่ามันไม่ไกลเลย วันหยุดเขาจึงมักขลุกอยู่

กับตากับยายของตัวเอง

และเมื่อคิดถึงความหมายของชื่อคุณหมอร่วมแผนก เจ้าของ

ริมฝีปากบางที่เหล่าพยาบาลต่างลงความเห็นว่าแดงกว่าอิสตรีก็ยิ้ม

นิศมา หมายความว่า สงบสุข

ดาวิษา หมายความว่า สวรรค์

ภัทรศัย หมายความว่า อยู่อย่างมีความสุข

เขาเหมารวมความหมายชื่อผู้คนรอบตัวเป็น ‘อยู่อย่างสงบ

มีความสุขเหมือนขึ้นสวรรค์’ ชายหนุ่มปรารถนาใส่ความสงบสุขแบบนี้

อยู่ต่อไปอีกนานๆ เพราะตั้งแต่กลับมาประจำที่นี่อย่างเต็มตัวและ

พบปะเพื่อนสนิทอย่างคาวี เขาก็สังหรณ์แปลกๆ ว่าความ ‘สงบ’ นั้น

กำลังจะหายไป

 

รถมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อคาวาซากิ รุ่นบีวัน สีดำแล่นมาตาม

ถนนลาดยางมะตอยในฟาร์มมากบารมี สองข้างทางมีต้นชัยพฤกษ์

และราชพฤกษ์ขึ้นอยู่เต็ม ริมฝีปากบางของคนขับยิ้มเมื่อรถแล่นผ่าน

บริเวณที่มีต้นชัยพฤกษ์ ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นสถานที่ถ่ายภาพพรีเวดดิง

ของคาวีกับบุษบา เขาเห็นภาพถ่ายแล้วประทับใจไม่สร่างซา ทั้งสาม

ด้านของฟาร์มมากบารมีแห่งนี้โอบล้อมด้วยภูเขา มีทุ่งหญ้ากว้าง

สำหรับเก็บเกี่ยวไปเลี้ยงโค

พรรษชลจอดรถที่หน้าบ้านสไตล์วิกตอเรียสีฟ้าหลังใหญ่ จู่ๆ

คาวีก็โทร. ตามตัวเขาด่วน อีกทั้งขู่ว่าถ้าไม่มาภายในหนึ่งชั่วโมงจะ

ฆ่าตัวตายด้วยการใช้ไม้บรรทัดเหล็กเชือดคอตัวเอง เอิ่ม...แรกทีเดียว

พรรษชลถึงกับหัวเราะก๊าก แต่ก็แค่ชั่วครู่เท่านั้น กิตติศัพท์ในเรื่องนี้

เขาได้รับการบอกเล่าเก้าสิบจากสองพี่น้อง ‘มะ’ อย่างมะยมกับ

มะกอก ซึ่งเป็นคนสนิทของคาวี จากนั้นก็รู้จากปากบรรณอีกที เขา

จึงรีบมาเพราะกลัวเพื่อนเครียด ฆ่าตัวเองน่ะไม่เท่าไหร่หรอก วันดี

คืนดีเดี๋ยวจับลูกเมียปาดคอละแย่แน่

คนที่เพิ่งเลิกงานถอนหายใจดังเฮือก ถึงบ้านตากับยายไม่ถึง

สิบนาทีก็โดนตามตัวเสียแล้ว บ้านตาเสือกับยายจำเนียรของเขาตั้งอยู่

ในหมู่บ้านโคกอีเม้งซึ่งอยู่ติดกับหมู่บ้านดงมะเฟือง คาวีกับเขาเป็น

เพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่มัธยมต้น แม้ต้องแยกย้ายไปเรียนต่อก็ยัง

ติดต่อกันอยู่ตลอด คาวีเลือกเรียนเกี่ยวกับการเกษตร ส่วนเขาสอบติด

แพทย์

“น้ำค้างงง...” เรียกชื่อเขาได้สยองขนาดนี้ไม่ได้หลุดออกจาก

ปากใครหรอก นอกจาก...ไอ้เพื่อนชั่ว!

“บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าเรียกเต็มๆ เรียกน้ำอย่างเดียวก็พอ”

คนเป็นแกนนำในการเรียกรีบยิ้มประจบ “เออน่า มึงก็อย่าซีเรียส

ให้กูกลุ้มคนเดียวพอ”

“อะไร ตกลงซีเรียสหรือกลุ้ม” นายแพทย์ที่ถูกตามตัวถาม

อย่างหงุดหงิด ปกติแล้วเขาใจเย็นเป็นน้ำสมชื่อ แต่พักนี้อยู่ใกล้คาวีทีไร

เขามักร้อนอกร้อนใจอย่างกับอีกฝ่ายจะหาเรื่องมาให้อย่างไรอย่างนั้น

                “ทั้งสองอย่าง น้ำค้าง...มึงรักกูไหม”

คนถูกโยนคำถามใส่ทำหน้าเบ้เหมือนได้เผือกร้อน

“ทำไมถามแบบนั้น คิดลึกนะเว้ย”

“บ้าสิ ไอ้นี่! คนยิ่งซีเรียสอยู่” คาวีมีสีหน้าจริงจังจนคนถูก

ตามตัวชักสงสัย

“ตกลงเรียกมาทำไม”

“เรียกมาให้ช่วยดูแล ‘เด็ก’ ให้หน่อย” เจ้าของฟาร์มมากบารมี

พูดเสียงอ่อน ถ้าไม่ติดว่าหน้าถึก เอ๊ย เถื่อนละก็ จะทำตาปริบๆ

แถมให้

“หือ ลูกนายน่ะเหรอ” ชายหนุ่มหมายถึงสมาชิกใหม่ของบ้าน

“เปล่า น้องเมียน่ะ”

“หา! คนไหน โตกันหมดแล้วนี่”

“ย้าง...ยังไม่โต น้องเหน่ น้องโชค น้องลาภยังเด็กอยู่เล้ย”

“ไอ้ถึก! นายจะบ้าหรือไง เด็กที่ไหนมันสูงร้อยแปดสิบกว่า

เรียกพวกมันว่ายักษ์ฉันยังเชื่อเลย”

‘ควายโต๋ดละไม่ว่า!’ คาวีทำเสียงเฮอะในลำคอและแอบพูดต่อ

ในใจ

“นายเป็นหมอประสาอะไรวะ ถึงได้มองไม่ออกว่าน้องเมียฉัน

น่ะยังเด๊กเด็ก” เจ้าของฟาร์มมากบารมียิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนพูดต่อ “เด็ก

ปัญญาอ่อนน่ะรู้จักไหม ตัวใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่นก็จริง แต่สมองนี่...

เท่าหัวนิ้วโป้งตีนกูเลย” คุณพ่อลูกอ่อนที่หวงทั้งลูกและเมียพูดใส่อารมณ์

สาบานว่าไม่ได้เกลียดน้องเมียจริงจริ๊ง เพียงแต่พักนี้โคตรรำคาญ!

“อ้อ มีปัญหาทางสมองนี่เอง มิน่าล่ะวันก่อนเห็นเล่นกันรุนแรง”

อีกคนเอออออย่างที่น้อยครั้งจะทำ เขากับคาวีเหมือนน้ำกับไฟก็ว่าได้

คนหนึ่งใจเย็นเหมือนน้ำสมชื่อ อีกคนร้อนดั่งไฟที่พร้อมจะแผดเผา

ทุกอย่างตรงหน้า

 

            (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024