โซ่รักสีรุ้ง (ศศิภา)

โซ่รักสีรุ้ง (ศศิภา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: โซ่รักสีรุ้ง
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 350.00 บาท 87.50 บาท
ประหยัด: 262.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

โลกใบใหม่

 

 

 

 

“หม่ามี้ขา” เสียงเล็ก ๆ นั้นเรียกให้คนที่กำลังตักต้มจืดตำลึงใส่จาน          เงยหน้าขึ้น รอยยิ้มประดับบนริมฝีปากอิ่มเต็มโดยอัตโนมัติ

          รอยยิ้มนี้ เคยบริสุทธิ์สดใส หากบัดนี้กลับเจือความหม่นเศร้า         อยู่จาง ๆ

          “ขา” สายรุ้งลากเสียงยาวขานตอบ ทรุดนั่งยอง ๆ แล้วอ้าแขน    รอให้เด็กน้อยร่างกลมป้อมวิ่งเข้ามาหา

          อ้อมกอดอันอบอุ่น...พร้อมจะรับร่างเล็กนั้นมาซุกซบแนบอกอยู่เสมอ

          “หนูพีมอาบน้ำแล้วค่ะ ตัวห๊อมหอม”

          เด็กหญิงถูไถใบหน้ากับบ่าเล็กบาง ก่อนจะยื่นแก้มให้ผู้เป็นมารดาดอมดม

          “หม่ามี้หอม ๆ หน่อยฉิคะ”

          สุ้มเสียงหวาน แววตาเป็นประกาย และรอยยิ้มกว้างขวางทำให้มารดายิ้มกว้างกว่าเดิม

          สายรุ้งแตะปลายนิ้วลงบนแก้มแดงปลั่งอย่างเบามือ ก่อนจรดปลายจมูกลงไป สูดลมหายใจฟอดใหญ่

          “หอมไหมคะ”

          เจ้าตัวเล็กถามเสียงใส พลางยกมือโอบรอบคอมารดา มองสบดวงตาหวานซึ้งที่มีรอยหม่นเศร้าแฝงลึกเร้นอย่างออดอ้อน

          “หม่ามี้ตัวเปื้อนค่ะ”

          “ฮื่อ...” เด็กหญิงพริมาภาสั่นศีรษะดิก จนผมเปียทั้งสองข้างกวัดแกว่งไปมา “ไม่เปื้อนค่ะ”

          พูดพลางซบใบหน้าลงกับซอกคอของผู้เป็นมารดา

          “หม่ามี้ของหนูพีมตัวห๊อมหอม หอมม้ากมาก”

          คนเป็นมารดาได้แต่หัวเราะเสียงแผ่ว ความใจอ่อนทำให้สายรุ้งต้องอุ้มเด็กตัวน้อยไว้ในอ้อมกอด ในขณะที่พริมาภาชะโงกหน้ามองสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ

          “ตำลึงอีกแล้วเหรอค้า...” เสียงนั้นลากยาวเอื่อยอ่อย เต็มไปด้วยความผิดหวัง “ขม...”

          “ขมอะไรกัน หม่ามี้ว่าอร่อยจะตาย”

          “หนูพีมอยากกิน ‘คาหนม’ ”

          “ไม่ได้ค่ะ ขนมกินเยอะ ๆ ฟันผุนะคะ” เอ่ยพลางจับปลายคางลูกสาว บีบเบา ๆ อย่างหยอกล้อ “ถ้าอยากให้สวย ๆ ไม่มีรอยดำเพราะฟันผุก็ต้องกินขนมน้อย ๆ กินผักเยอะ ๆ นะคะ”

          เสียงฝีเท้าที่ดังอยู่ตรงหน้าประตูหลังจากสายรุ้งพูดจบทำให้หล่อนต้องหันไปมอง พลางคลี่ยิ้ม

          “เหนื่อยแย่เลยสิคะป้าพิศ”

          คนถูกถามยิ้มร่า และส่ายหน้าปฏิเสธ

          “ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ ป้าเคยเลี้ยงหลานมาก่อน...รายนั้นน่ะดื้อกว่า   คุณหนูพีมเยอะค่ะ”

          ‘ป้าพิศ’ เป็นหญิงวัยกลางคน ร่างอวบท้วม หน้าตาใจดีเพราะมักมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอยู่เสมอโดยเฉพาะเวลาอยู่กับพริมาภา

          “กับข้าวเสร็จแล้วนะคะป้าพิศ ฝากดูหนูพรีมด้วย รุ้งขอไปอาบน้ำก่อน”

          “มาค่ะ”

          ป้าพิศเอื้อมมือออกไปอุ้มคุณหนูของตน ในขณะที่เด็กหญิงก็ยอมคลายอ้อมกอดจากมารดาอย่างไม่เกี่ยงงอน

          “อาบเย็ว ๆ นะค้าหม่ามี้ หนูพีมจารอ”

          “ถ้าหนูพรีมหิวก็กินก่อนเลยนะคะ”

          เด็กตัวจ้อยส่ายหน้า ปฏิเสธเสียงแข็ง

          “ไม่ค่ะ หนูพีมไม่กินก่อน หนูพีมจาไม่ให้หม่ามี้นั่งกินข้าวคนเดียว หนูพีมจารอค่ะ”

          น้ำตาของคนฟังรื้นขึ้นมา...นานเท่าไหร่แล้วที่เรามีกันสองคนแม่ลูก

          สี่ปีแล้วสินะ...หล่อนและพริมาภากระเตงกันไปมาเช่นนี้เพียงลำพัง

          ข้าวทุกมื้อ...นับตั้งแต่พริมาภาอายุหกเดือน สองแม่ลูกมักจะรับประทานด้วยกัน ผู้เป็นมารดาป้อนทีหนึ่งก็ตักข้าวจากจานของตนใส่ปาก         คำหนึ่ง เป็นเช่นนี้ตลอดมา กระทั่งพริมาภาเข้าอนุบาล จากที่เคยรับประทานด้วยกันทุกมื้อ จึงเหลือเพียงสองมื้อคือเช้าและเย็น

          “หนูพีมกลัวหม่ามี้เหงา”

          สายรุ้งฟังด้วยความสะท้อนใจ น้ำตาที่รื้นขึ้นมายิ่งเอ่อคลอ

          เหงา...ความเหงาในตัวหล่อนชัดเจนเสียจนพริมาภารับรู้ได้เลยหรือ

          “ไม่ค่ะ หม่ามี้ไม่เหงา”

          เจ้าหล่อนกะพริบตาถี่เร็ว ข่มเสียงอันสั่นเครือของตนเมื่อเอ่ย

          “หม่ามี้มีหนูพรีมอยู่ทั้งคน หม่ามี้จะเหงาได้ยังไงคะ”

          “แต่หม่ามี้ไม่มีปาปา”

          น้ำตาเหือดแห้งแล้วก็จริง หากความปวดแปลบที่บีบรัดตรงกลาง  หว่างอกกลับไม่เคยบรรเทา สายรุ้งข่มความรวดร้าวไว้อย่างสุดความสามารถ

          ปาปา...เป็นคำเรียกบิดาที่ลูกสาวของหล่อนจำมาจากเพื่อนสนิท

          “หม่ามี้มีทั้งคุณลุงวิล คุณลุงวิธ คณลุงณพนะคะ หม่ามี้ไม่เหงาหรอก”

          “แต่คุณลุงวิล คุณลุงวิธกะคุณลุงณพ ไม่ใช่ปาปานะคะ เพื่อน ๆ ของหนูพีมมีปาปาทุกคน”

          ราวกับมีบางอย่างมาจุกอยู่ในอก สายรุ้งไม่อาจเอื้อนเอ่ยอะไรได้ชั่วขณะ ต่อเมื่อสบสายตาเวทนาจากป้าพิศแล้ว เมื่อนั้นความอ่อนแอจึงถูกกลบฝังในก้นบึ้งของหัวใจอีกครา

          “หนูพรีมมีแค่หม่ามี้ก็พอแล้วนี่คะ”

          “พอค่ะ” เด็กหญิงพูดเสียงชัดถ้อยชัดคำ เปี่ยมด้วยความมั่นใจ

          “หนูพีมไม่เป็นไร หนูพีมแค่กลัวหม่ามี้เหงา”

          “ตราบใดที่หม่ามี้มีหนูพรีมอยู่ข้าง ๆ หม่ามี้ไม่เหงาหรอกค่ะ”

          “จริงเหรอคะ”

          “จริงสิคะ”

          พริมาภาเปรียบดั่งแสงสว่างในหัวใจหล่อน แค่มีพริมาภาเคียงข้าง...ทุกความมืดมิดในซอกหลืบของหัวใจก็สลายไปได้ในพริบตา

          ไม่จำเป็นต้องมี ‘เขา’

          ผู้ชายคนนั้นไม่สำคัญอีกต่อไป เขาไม่ใช่คนรัก ไม่ใช่สามีและไม่มีค่าพอที่จะเป็น ‘ปาปา’ ของพริมาภาอีกด้วย!

          ก่อนผละจาก สายรุ้งจุ๊บแก้มลูกสาว แล้วกระซิบด้วยสุ้มเสียงสดใส

          “หนูพรีมคือโลกทั้งใบของหม่ามี้ แค่มีหนูพรีมอยู่ด้วย หม่ามี้ก็มีความสุขที่สุดแล้ว”

          ครั้งหนึ่ง...โลกของหล่อนเคยแตกสลายย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี

          และครั้งหนึ่งอีกเช่นกัน โลกใบนั้นกลับมาหลอมรวมเป็นโลกใหม่

          โลก...ที่มีแต่หล่อนกับลูก

          ...เป็นโลกใบใหม่ที่หล่อนจะไม่มีวันให้ใครคนนั้นมาทำร้าย ทำลายได้อีกเป็นครั้งที่สอง

          แม้ว่า ‘เขา’ จะกลับมายืนต่อหน้าหล่อน

          ทอดมองหล่อนด้วยแววตาโหยหาและเศร้าลึกเร้น

          หรือแม้เขาจะประกาศอย่างหนักแน่นว่า

          ‘มาตามเมีย!’

          โลกของหล่อนจะไม่สั่นคลอน...จะไม่มีวันนั้นอีก

          สายรุ้งที่หัวอ่อน ไร้เดียงสา แสนอ่อนแอ และหลงรักเขาอย่าง      หัวปักหัวปำได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว

          ตายจาก...ตลอดกาล

 

 

ดวงตาอันทรงพลังและมืออันแสนอบอุ่น

 

 

 

 

“รุ้ง! นี่มันใกล้ได้เวลาแล้วนะ เสร็จรึยัง!”

          คนถูกเรียกแง้มประตูห้องน้ำ โผล่หน้าออกมาก่อนเป็นอันดับแรก คนที่ยืนรอถึงกับชักสีหน้า กวักมือเรียกเหยง ๆ

          “ออกมาเร็ว ๆ เข้ายายรุ้ง! มัวโอ้เอ้อยู่นั่น! ตื่นเต้นอะไรนักหนา ฮึ!”

          ‘ยายรุ้ง’ ค่อย ๆ ก้าวเท้าออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

          หล่อนเป็นผู้หญิงร่างกลมกลึง ความสูงน่าจะต่ำกว่ามารตรฐาน     หญิงไทยเล็กน้อย ชุดที่หล่อนสวมเป็นชุดราตรีเรียบ ๆ สีขาวแขนล้ำยาว        ครึ่งน่อง ประดับลูกไม้ตรงชายกระโปรง ผิวของหล่อนขาวผุดผ่อง          แต่ออกจะซีดเล็กน้อย ไม่ได้ขาวอมชมพูแบบสาวสุขภาพดี ยิ่งเมื่อมี   เครื่องสำอางแต่งแต้มบนใบหน้าเพียงบางเบา กอปรกับสีหน้าอันซีดเซียวแล้ว หล่อนก็แทบจะกลืนหายไปกับผนังห้องอย่างง่ายดาย

          “รุ้งไม่เคยออกงานใหญ่แบบนี้นี่คะพี่ฝน ก็เลยอดตื่นเต้นไม่ได้”

          หญิงสาวอธิบายด้วยเสียงอ้อมแอ้ม สองตาแลมองคนตรงหน้าอย่างหวาดหวั่นไม่น้อย บอกชัดเกรงกลัวอีกฝ่ายมากเพียงใด

          “เฮ้อ! แกนี่ก็เหลือเกิน! พอจะออกไปพบผู้คนเข้าหน่อยก็ตื่นเต้นอะไรก็ไม่รู้ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่หายซะทีนะเรา!”

          เมื่อยืนเทียบกัน ‘พี่ฝน’ ทั้งสูงโปร่ง บอบบาง เรือนร่างอรชร     อ้อนแอ้น ส่วนที่เว้าก็ควรเว้า ส่วนที่โค้งก็ควรโค้ง เห็นได้ชัดเจนจากชุด      ราตรีเกาะอกสีขาวที่มีส่วนเอวคอดเล็ก ส่วนกระโปร่งนั้นบานพลิ้วไม่ต่าง     อะไรจากเจ้าหญิงในนิทาน หล่อนเกล้าผมดัดเป็นลอนของตนเองไว้เป็นมวยกลางศีรษะ ประดับด้วยดอกคาลล่าลิลลี่สีชมพู ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางไว้อย่างพอเหมาะพอเจาะ คิ้วเรียวโค้งสวย อายไลเนอร์สีดำลายเส้นชัดเจน ขับเน้นให้ดวงตากลมโตโดดเด่นขึ้นมาจนสะดุดตา       พวงแก้มปัดบลัชออนสีหวาน ส่วนริมฝีปากเต็มอิ่มเคลือบลิปสติกสีชมพูอมส้มไว้เพียงบาง ๆ ในขณะที่อีกคน ดูจืดชืดไปถนัดใจ ทั้งใบหน้าที่     ค่อนข้างซีด ชุดที่เรียบจนเกินไป และผมที่ทำเพียงปล่อยยาวประบ่าและประดับด้วยที่คาดผมผ้าสักหลาดสีชมพูลายจุดเท่านั้น

          “ขอโทษด้วยนะพี่ฝน รุ้งจะพยายามไม่ตื่นเต้นอีก”

          หล่อนขอโทษขอโพยก่อนเอียงคอมองผู้เป็นพี่สาวด้วยประกายตาที่ฉายฉานถึงความชื่นชมชัดเจน

          “พี่ฝนสวยจัง”

          สายรุ้ง นาฏยรัตน์ ยอมรับในความ ‘ด้อย’ ของตัวเองเสมอมา และไม่เคยอิจฉาหรืออยากเทียบเท่ากับสายฝน...ผู้เป็นพี่สาวเลยแม้แต่น้อย เหตุผลหนึ่งคือหล่อนชื่นชมพี่สาวคนนี้มาก ไม่ว่าจะเรื่องความสวย การวางตัว ความมีเสน่ห์ หรือแม้แต่การเรียนที่เก่งเสียจนได้ทุนไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่มัธยมปลาย

          พี่สาวคนนี้เป็นที่หนึ่งตลอดมา

          ส่วนหล่อนนั้น...ไม่ใช่ที่สองหรอก แต่เป็นคนที่ไม่มีใครสนใจเลย       ต่างหาก

          “ขอบใจจ้ะ”

          เสียงของพี่สาวปลุกให้หล่อนตื่นจากภวังค์แล้วรีบส่งยิ้มประจบทันที

          “แต่เธอก็สวยนี่” อีกฝ่ายเอ่ยพลางกวาดตามองหล่อนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “ดูดีกว่าเดิมเยอะ”

          สายรุ้งไม่คิดว่านั่นเป็นคำดูถูกเหยียดหยามแต่อย่างใด เพราะหล่อนรู้ดีว่าสายฝนพูดออกมาจากใจจริง เป็นความรู้สึกของคนที่มักจะอยู่เหนือคนอื่นเสมอ จนไม่ทันคิดว่าคำพูดของตนเองอาจจะไปสะกิดปม    บางอย่างในหัวใจของคนฟังเข้า โชคดีที่หล่อนเป็นคนมองโลกในแง่ดี      จึงถือว่าประโยคนั้นเป็นคำชมที่หล่อนจะต้องเอ่ยคำขอบคุณ

          สายรุ้งเอ่ยขอบคุณอย่างดีอกดีใจ ก่อนเดินตามอีกฝ่ายออกจากห้อง ลงบันไดไปยังห้องโถง

          ตรงกลางห้องโถงนั้นเอง คุณดิลก...ผู้เป็นบิดายืนเอามือไพล่หลัง    รออยู่ เมื่อหันมาเห็นลูกสาวทั้งสอง จึงรีบเอ่ยปากเร่ง

          “เร็วเข้า เดี๋ยวก็ไปไม่ทันหรอก”

          เอ่ยพลางมองลูกสาวคนโตด้วยแววตาชื่นชม แต่เมื่อตวัดไปมองลูกสาวคนเล็ก แววตาของท่านก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย...จะรำคาญ ระอา หรือผิดหวัง สายรุ้งก็ไม่อาจอ่านมันออก รู้แค่ว่า...ท่านไม่ชื่นชมเท่าไรนัก

          “ไม่มีชุดอื่นแล้วเหรอ”

          “ฝนก็ให้ชุดไปลองหลายชุดแล้วค่ะ”

          ผู้เป็นพี่เหลือบสายตามามองและเป็นฝ่ายตอบแทน

          “แต่ก็ไม่ยอมเอาสักชุด บอกว่าโป๊ไปบ้าง สั้นไปบ้าง ยาวไปบ้าง โฮ้ย! เรื่องมากนักละคะคุณพ่อ”

          คุณดิลกลอบระบายลมหายใจบางเบา ทอดสายตามองสำรวจสายรุ้งอีกอึดใจจึงพยักหน้า

          “เอาก็เอา ชุดนี้ก็ชุดนี้” จากนั้นก็จับมือลูกสาวทั้งสองมาคล้องแขนตนเองคนละข้าง พาเดินออกจากบ้าน โดยที่หน้าตัวตึกนั้นมีรถยุโรป      คันใหญ่สีดำเงาปลาบจอดรออยู่ นายมั่นพนักงานขับรถรีบกุลีกุจอมาเปิดประตู คุณดิลกให้สายฝนเข้าไปนั่งด้านในก่อน ตัวเองตามไปติด ๆ และคนที่เข้ามา  คนสุดท้ายคือสายรุ้ง

          เมื่อรถเคลื่อนตัว ท่านก็เฝ้ากำชับสายฝนว่าควรจะทำตัวหรือวางตัวเช่นไร ด้วยงาน ‘เดบูตองส์ บอลล์’ เป็นงานสำคัญงานหนึ่งสำหรับ       เปิดตัวทายาทตระกูลดังซึ่งจัดมาเกือบทุกปี และปีนี้เป็นปีที่ 10 แล้ว โดยจัดตามธรรมเนียมยุโรปโบราณ งานนี้นับเป็นที่ใฝ่ฝันของทายาทตระกูลดังทั้งหลาย ด้วยถือว่าเป็นการเปิดตัวสู่สังคมชั้นสูง ได้แต่หน้าแต่งตัวสวย        เฉิดฉายอวดโฉมต่อสาธารณชน และถือเป็นหน้าเป็นตาของครอบครัวอีกด้วย จึงไม่แปลกที่คุณดิลกจะตื่นเต้น และกำชับเรื่องกิริยามารยาทอย่างเข้มงวด

          คุณดิลกพูดกับสายฝนยืดยาวจนเกือบจะถึงโรงแรมที่จัดงานจึงหันมาพูดกับลูกสาวคนเล็ก

          “แกก็ได้ยินที่พ่อพูดกับพี่ฝนของแกแล้วใช่ไหม”

          “ค่ะคุณพ่อ”

          “งั้นก็ดี พ่อจะได้ไม่ต้องพูดซ้ำ” ท่านชะแง้แลมองไปข้างหน้า      เห็นมีกลุ่มนักข่าวและช่างถ่ายรูปมายืนอออยู่ตรงบันไดหน้าโรงแรม จึงรีบหันมาพูดกับสายรุ้งอีกครั้ง

          “พี่เขาทำอะไรก็ทำตามพี่เขาไป แล้วก็อย่าซุ่มซ่ามให้พ่อต้องขายหน้าละ”

          หญิงสาวรับคำอุบอิบในลำคอ ด้วยตนเองก็หวั่นเกรงอยู่เหมือนกันว่าจะทำให้ท่านขายหน้า

          ครั้งหนึ่งหล่อนยังจำได้ดี ในวันเกิดของท่าน หล่อนเคยเดินพลัดตกลงไปในสระว่ายน้ำต่อหน้าสาธารณชนมาแล้ว นับเป็นความอับอาย   ครั้งแรกและพาลทำให้หล่อนเขย็ดขยาดมาจนทุกวันนี้

          นี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่หล่อนเกลียดการออกงานและการเข้าสังคมเป็นที่สุด

          เมื่อรถจอดเทียบหน้าโรงแรม นายมั่นก็รีบวิ่งมาเปิดประตู สายรุ้งต้องเป็นคนเดินออกจากรถคนแรก หญิงสาวค่อนข้างประหม่า หันมามองผู้เป็นบิดาเล็กน้อย ก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วก้าวเท้าออกไป แสงแฟลชสว่างวาบจนหล่อนแสบตา แต่นั่นก็ไม่อาจเทียบได้กับผู้เป็นพี่สาว เพราะหลังจากที่สายฝนปรากฏตัว นักข่าวและช่างภาพก็พร้อมใจกันกดชัตเตอร์ระรัวจนสายรุ้งหวั่นเกรงตนเองจะตาบอดไปเสียก่อนเพราะแฟลชเหล่านี้

          คุณดิลกจับมือของลูกสาวทั้งสองคล้องกับแขนของตัวเอง       ก่อนเดินไปตามพรหมแดงผ่านประตูกระจกเข้าไปด้านใน

          ล็อบบี้ของโรงแรมแห่งนี้ถูกจัดเตรียมให้เป็นที่สำหรับจัดงาน บริเวณโดยรอบมีโต๊ะวางอาหารแบบชิ้นเล็กพอดีคำ อยู่สี่ห้าจุด ตรงกลางล็อบบี้มีเปียโนวางตั้งอยู่หนึ่งหลัง ถัดออกมาปูด้วยพรมสีน้ำเงินสำหรับเป็นฟลอร์เต้นรำ

          ความจริงสายรุ้งไม่ถนัดเต้นรำเท่าไร ถึงกระนั้นบิดาก็เคี่ยวเข็ญอยู่เป็นเดือนจนท่านพอใจ ทว่าพอใจในที่นี้มิใช่ว่าหล่อนทำได้ดี แต่แค่    ดีพอที่จะไม่ทำให้ท่านขายหน้า ส่วนสายฝนนั้นไม่ต้องพูดถึง ไม่ว่าจะทำอะไรเจ้าหล่อนต้องเป็นที่หนึ่งทุกครั้ง เรื่องนี้ก็เช่นกัน คุณดิลกเห็นลูกสาวคนโตเต้นรำเพียงครั้งเดียงถึงกับปรบมือระรัวอย่างชื่นชม และจะพูดกับ      บรรดาเพื่อน ๆ ถึงความสามารถของลูกสาวคนนี้ไปอีกสามวันเจ็ดวัน

          สำหรับสายรุ้งนั้น คุณดิลกไม่ค่อยพูดถึงเท่าไร และก็ไม่มีใครถามถึงเช่นกัน เนื่องเพราะหล่อนไม่มีอะไรโดดเด่นมากพอที่จะนำมาเป็นจุดเริ่มต้นในการสนทนาได้ หล่อนหัวอ่อน พูดน้อย เรียบร้อย แถมยังดูขี้อาย จึงไม่ค่อยมีใครมาชวนคุยหรือเล่นหัวกับหล่อนนัก ทุกคนทำเพียงแค่มองผ่านเลยไป อาจจะส่งยิ้มหรือผงกศีรษะทักทาย...เพียงแค่นั้นก็นับว่ามากพอแล้ว จึงไม่แปลกที่หล่อนจะรู้สึกว่าตัวเอง ‘ไร้ตัวตน’ อยู่เสมอ

          สายรุ้งเดินตามบิดาและพี่สาวไปหาคนนู้นที คนนี้ที ยกมือไหว้ทักทายนับสิบครั้ง แต่ก็ไม่ได้เปิดปากพูดอะไรมากนัก มีเพียงคำว่า ‘ค่ะ’ ‘ใช่ค่ะ’ ‘ขอบคุณค่ะ’ ออกจากริมฝีปากจิ้มลิ้มคู่นั้น เป็นเช่นนี้ตั้งแต่เข้ามาในงานจนกระทั่งได้เวลาเปิดตัว

          สตาฟคนหนึ่งเข้ามากระซิบกระซาบกับคุณดิลกว่าให้เข้าไปเตรียมตัวได้แล้ว ท่านจึงพาลูกสาวเดินออกจากกลุ่มสนทนา ตรงไปยังอีกฟากหนึ่งของล็อบบี้ซึ่งบัดนี้มีสาวน้อยหน้าตาดียืนรออยู่สี่คน เมื่อรวมกับบิดามารดาที่ยืนอยู่เคียงกันก็นับรวมได้เกือบสิบคน

          คุณดิลกเอ่ยทักทายฝ่ายผู้ใหญ่ และยกมือรับไหว้บรรดาเด็กสาว   เหล่านั้น สายฝนเองก็ยิ้มรับอย่างไว้ทีท่าสำหรับคนที่ไม่รู้จัก แต่คนที่เคยพบหน้าพูดคุยกันมาบ้างแล้ว หล่อนก็จะเอ่ยทักทายสองสามประโยคตามมารยาท ในขณะที่สายรุ้งนั้นกลืนกินไปกับผู้คนอีกครั้ง ไม่มีใครมองเห็นหรือให้ความสนใจหล่อนเลย นั่นยิ่งตอกย้ำความไร้ตัวตนที่หล่อนเป็น

          สายรุ้งกวาดตามองคนนั้นทีคนนู้นที เมื่อเห็นว่าไม่มีใครทำท่า     ว่าจะเข้ามาพูดคุยกับหล่อน เจ้าตัวก็พอใจที่จะยืนในพื้นที่ของตัวเอง    เงียบ ๆ รอเวลาที่ต้องเดินเคียงผู้เป็นบิดาออกไปเท่านั้น

          เสียงพิธีกรกล่าวทักทายบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน พูดอะไรอีกสองสามนาที ก่อนจะเริ่มประกาศชื่อของสาวเดบูตองส์ทั้งหกคน        ในลิสต์รายชื่อ ครอบครัวนาฏยรัตน์ออกเป็นครอบครัวสุดท้าย คุณดิลกรีบกำชับลูกสาวทั้งสองว่า

          “เดินสวย ๆ นะฝน รุ้ง ไม่ต้องรีบ เดินช้า ๆ แล้วก็โปรยยิ้มไปด้วยนะ เข้าใจไหม”

          “โธ่ คุณพ่อคะ ฝนน่ะทำได้อยู่แล้ว คุณพ่อไปดูแลยายรุ้งเถอะค่ะ     ดูสิ...หน้าซีดอีกแล้ว!”

          ก็จริงอย่างที่สายฝนว่า...ตอนนี้ใบหน้าของสายรุ้งแทบจะไม่มี     สีเลือด

          “รุ้งเอ๊ย ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อยสิลูก”

          หญิงสาวหันไปสบตาบิดา แล้วพยายามยิ้มอย่างสุดความสามารถ

          “น่าน อย่างนั้นแหละ ยิ้มเข้าไว้”

          สิ้นเสียงนั้นพิธีกรก็ประกาศชื่อสายฝน สายรุ้ง นาฏยรัตน์ พร้อมกับคุณดิลก นาฏยรัตน์ ท่านบีบกระชับมือของหล่อนแล้วก้าวออกจากมุมมืด  ออกสู่สปอตไลต์ที่พร้อมใจกันส่องสว่างมาที่จุดเดียว ท่านยัง     ไม่วายกระซิบเตือน

          “งานเปิดตัวลูกวันแรก พ่อไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด”

          สายรุ้งเองไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาดเช่นกัน หล่อนจึงพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

          ทุกก้าวย่างแต่ละก้าว หล่อนสงบสติอารมณ์ด้วยการนับหนึ่ง สอง สาม จนมาหยุดอยู่กลางฟลอร์เต้นรำ เคียงข้างกับสาวเดบูตองส์คนอื่น ๆ       จึงหยุดนับ

          คุณดิลกหันมากระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง สายรุ้งได้ยินแต่กลับไม่เข้าหัวเอาเสียเลย

          ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ แสงแฟลชที่วูบวาบจนแสบตา และแสงสปอตไลต์ที่เจิดจ้าจนตาพร่า หล่อนตัวสั่น หวาดกลัวและอยากจะหลบหนีออกไปจากที่แห่งนี้โดยเร็ว แต่ก็ทำไม่ได้ หล่อนไม่กล้าพอ...       ไม่กล้าที่จะก้าวอาด ๆ จากไป และไม่กล้าทำให้บิดาผิดหวัง

          ท่านผิดหวังกับหล่อนมาหลายครั้งแล้ว เมื่อหล่อนอยู่ประถม      ท่ายเคยหวังให้หล่อนสอบได้อันดับหนึ่งในสิบของห้องสักครั้ง แต่ทุกครั้งถ้าไม่รั้งท้าย อันดับที่หล่อนได้ดีที่สุดก็แค่อันดับที่ยี่สิบเท่านั้น

          ตอนอยู่มัธยมปลาย ท่านหวังให้หล่อนตามรอยพี่สาวโดยสอบชิงทุนไปเรียนที่อังกฤษ แต่หล่อนก็ทำไม่ได้ ตอนเอนทรานซ์ ท่านอยากให้หล่อนเข้าเรียนในคณะบริหารธุรกิจ แต่หล่อนกลับเลือกเรียนคณะอักษร-ศาสตร์ มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง คะแนนสอบเป็นอันดับสุดท้าย หวุดหวิดเกือบไม่ได้ ท่านหัวเสียที่หล่อนไม่เชื่อฟังไปพักใหญ่ กว่าจะยอมให้อภัยหล่อนก็หลายเดือน

          สายรุ้งไม่ใช่ลูกสาวคนโปรด อาจเพราะหลังจากมารดาคลอด     ท่านเสียชีวิตทันทีเพราะตกเลือด ความทรงจำที่บิดามีต่อหล่อน จึงเป็นความเจ็บปวดรวดร้าวและฝังใจจนทำให้ท่านลำเอียง รักลูกสาวคนโตมากกว่าลูกสาวคนเล็ก

          สายรุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อเสียงเพลงบรรเลงเปลี่ยนท่วงทำนอง     ชายหนุ่มหกคนในชุดทักซิโด้สวมหน้ากากเดินเข้ามากลางฟลอร์ สายรุ้งยิ่งประหม่า หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายอยู่หลายครั้งทั้งที่ลำคอแห้งผาก    มือที่จับประสานกันอยู่นั้นสั่นระริก ด้วยเกรงว่าคนอื่นจะเห็นจึงบีบกระชับมันแน่นกว่าเดิม สองตาแลมองเข้าไปในบรรดาแขกเหรื่อ หวังเพียงจะได้สบตากับผู้เป็นบิดาเพื่อขอกำลังใจ เมื่อนั้นหล่อนจึงได้พบว่าสายตาทุกคู่ไม่ได้แลมาทางหล่อนเลย เสมือนหล่อนเป็นเพียง ‘ไม้ประดับ’ และ          ‘ไร้ตัวตน’ สำหรับพวกเขาเหล่านั้น

          ดีแล้ว...แบบนี้ก็ดี หล่อนจะได้ไม่ต้องเป็นจุดสนใจอย่างไรเล่า

          สายรุ้งบอกตัวเอง พลางผ่อนลมหายใจยาว ทว่า...ลมหายใจกลับต้องสะดุดเมื่อสองตามองสบดวงตาของใครคนหนึ่ง

          ...ดวงตาที่เจิดจ้า เต็มไปด้วยพลังอันแรงกล้า มีประกายระยิบ และมีความรู้สึกอันหลากหลายอยู่ในนั้น

          ดวงตาคู่นั้นทอดตรงมา...สายรุ้งมั่นใจว่าเป็นดวงตาเพียงคู่เดียวที่จับจ้องหล่อนอยู่

          แค่คู่เดียวเท่านั้นที่ให้ความสนใจหล่อน

          และเป็นคู่เดียวที่ทำให้หล่อนต้องจับกระโปรงของตัวเองเพื่อลดความประหม่า

          สายรุ้งเห็นเขาไม่ชัด แต่พอจะมองออกว่าเขาเป็นผู้ชายด้วยชุด         ทักซิโด้ ผูกหูกระต่ายสีดำบริเวณลำคอ มีผ้าเช็ดหน้าสีขาวพับทบอยู่ในกระเป๋าเสื้อสูท ปล่อยชายให้เลยออกมาเล็กน้อย หญิงสาวอยากจะสำรวจมากกว่านั้นเพราะใคร่รู้เหลือเกินว่าใครกันหนอ...ใครกันที่จด ๆ จ้อง ๆ หล่อนอย่างสนอกสนใจเช่นนั้น แต่เพราะคู่เต้นรำมายืนอยู่ตรงหน้าหล่อนจึงจำต้องละสายตาจากมาและเพ่งสมาธิอยู่กับหน้าที่สำคัญของตัวเอง   เสียก่อน

          สายรุ้งเต้นไม่เก่ง ไม่สวยสง่าเท่ากับสายฝน

          ...ไม่สิ เทียบกับสาวเดบูตองส์คนอื่นแล้ว หล่อนคิดว่าฝีมือ       ตัวเองเทียบไม่ติดเลยสักนิด โชคดีที่คู่เต้นของหล่อนถนัดในเรื่องนี้ หล่อนจึงเต้นออกมาได้ดีกว่าที่คิด

          คู่เต้นของหล่อนเป็นลูกพี่ลูกน้องของหล่อนเอง ชื่อว่าประณพ อายุมากกว่าหล่อนสี่ปี เป็นพี่ที่แสนดี และเอ็นดูหล่อนไม่น้อย

          “ขอบคุณนะคะพี่ณพ ถ้าไม่ได้พี่ณพช่วย รุ้งแย่แน่เลย”

          สายรุ้งกระซิบบอกหลังจากเพลงจบลง หล่อนย่อตัวอย่างพยายามให้ชดช้อยและสง่างามที่สุด แต่มันกลับดูฝืน ๆ ขัด ๆ และเก้งก้างอย่างไรไม่ทราบได้

          “ไม่ต้องขอบคุณหรอกน่า พี่เต็มใจช่วยอยู่แล้ว”

          ประณพเอ่ยจบก็โบกมือลา ตรงดิ่งไปหาสาวคนหนึ่ง...สะสวย      หุ่นดี ผมยาวสลวย...ตรงเสป็คของเขาทุกอย่าง ดูท่าว่าคงจะเล็งไว้ตั้งแต่งานเริ่มแล้วกระมัง

          สายรุ้งมองอีกฝ่ายยิ้ม ๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอกเมื่อภารกิจในคืนนี้สำเร็จลุล่วงในที่สุด แม้จะไม่ได้เพอร์เฟคต์อย่างที่บิดาหวังแต่หล่อนก็มั่นใจว่าทำได้ดีระดับหนึ่ง หญิงสาวหมุนตัวกำลังจะเดินออกจากฟลอร์ก็ต้องชะงักไป เมื่อพิธีกรประกาศว่าเปิดโอกาสให้หนุ่ม ๆ มาชวนสาวเดบูตองส์เต้นรำได้ ใจดวงน้อยร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

          อะไรกัน...ในสคริปต์ไม่ได้ระบุไว้ว่าหล่อนจะต้องเป็นฝ่าย         ‘ถูกเลือก’ นี่นา ถ้าเป็นแบบนี้....

          สายรุ้งกัดริมฝีปากตนเอง รู้ดีว่าความไร้ตัวตนของหล่อน จะต้องทำให้บิดาขายหน้าแน่ ๆ คงไม่มีหนุ่มคนไหนมาขอหล่อนเต้นรำอย่างแน่นอน พรุ่งนี้เสียงซุบซิบจะระบือไปไกลราวกับไฟลามทุ่ง แล้วท่านก็จะอับอายที่ลูกสาวคนเล็กของท่าน ‘ขายไม่ออก’

          สายรุ้งไม่สนหรอกว่าตนเองจะถูกมองข้ามหรือละเลยครั้งแล้ว       ครั้งเล่า ที่หล่อนห่วง คือความรู้สึกของบิดาเท่านั้นเอง

          หญิงสาวกวาดตามองไปรอบห้อง สองตาเต็มไปด้วยความคาดหวังกึ่งร้องขอ เวลานั้นเริ่มมีหนุ่ม ๆ สามสี่คนเดินออกมาแล้ว พวกเขาเดินตรงไปหาสาวเดบูตองส์ที่ยืนอยู่ริมสุดอีกฝั่งหนึ่ง อีกสามคนตรงมาหาพี่สาวของหล่อน...ไม่ใช่เรื่องที่เกินคาดหวัง สายฝนมีเสน่ห์ต่อหนุ่ม ๆ      มาแต่ไหนแต่ไร และหล่อนรู้ดีว่าผู้ชายเกือบทุกคนในที่นี่ล้วนแล้วแต่อยากจะทำความรู้จักกับพี่สาวหล่อนทั้งนั้น

          รอแล้วรอเล่า รอด้วยใจเต้นระทึก รอจนทุกคนได้คู่หมดแล้ว เหลือแต่หล่อน...ที่ไร้คู่

          สายรุ้งเหงื่อตก นึกเวทนาตัวเอง แต่ก็ไม่มากไปกว่าสงสารบิดา

          ...จะมีสักครั้งบ้างไหมที่หล่อนจะทำให้ท่านภูมิใจบ้าง

          หญิงสาวคิดอย่างสะท้อนใจ ไม่อาจทนแบกหน้ายืนอยู่ตรงนั้นได้ จึงทำท่าจะเดินออกจากฟลอร์ ไปหลบมุมอยู่ที่ไหนสักแห่งเงียบ ๆ คนเดียวเหมือนทุกครั้ง เวลานั้นเอง บางอย่างที่อุ่นจัดก็รัดรึงข้อมือของหล่อนไว้            ส่งกระแสความร้อนพุ่งตรงเข้าสู่หัวใจอันหนาวเหน็บอย่างรวดเร็ว

          สายรุ้งหันกลับไปมอง ใจกระตุกวูบเมื่อดวงตาสานสบกับดวงตาคู่นั้น...คู่ที่หล่อนเห็นก่อนหน้านี้

          เวลานั้นทำนองเพลงเปลี่ยนไปเป็นเพลงเนิบช้า แผ่วหวาน หล่อนจำเพลงนี้ได้ มันเป็นเพลงโปรดของหล่อน

          “ให้เกียรติเต้นรำกับผมได้ไหมครับ”

          เขาเลื่อนมาจับมือหล่อนไว้ ดึงรั้งเบา ๆ สายรุ้งไม่ได้ขัดขืน       กลับก้าวตามเขาราวกับถูกมนตร์สะกด

          ผู้ชายคนนี้ตัวสูง ดูเผิน ๆ เหมือนจะผอม แต่แท้จริงแล้วบึกบึน         ไม่น้อย ช่วงไหล่กว้าง แผ่นอกกำยำ...กว้างขวางมากพอที่จะปกป้องใครคนหนึ่งได้

          ปลายคางและแนวกรามของเขาสะอาดสะอ้านแต่ก็ยังเห็น          ไรหนวดเขียวจาง ๆ พร้อมกับกลิ่นอาฟเตอร์เชฟอ่อน ๆ ให้ความรู้สึกแห่งบุรุษเพศแบบที่หล่อนไม่ค่อยได้สัมผัสนัก ริมฝีปากของเขาบางราวกับอิสตรี จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเข้มโค้งสวย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มแต่ทรงพลัง

          หากสายตาของเขาเปรียบเสมือนคมมีด ดวงตาของหล่อนก็เปรียบเสมือนปุยนุ่น...ปลายคมมีดสะบัดเล็กน้อย หล่อนก็พลันลอยฟุ้งกระจัดกระจายอย่างไร้ทิศทาง

          เขาจับมือหล่อนวางบนไหล่ และแตะมือบนเอวหล่อนอย่าง        นุ่มนวล พาหล่อนเคลือนไหวอย่างช้า ๆ ตามท่วงทำนองของบทเพลง

          เสียงเพลงนั้นวะแว่วหวานหู...เป็นเพลงที่หล่อนชอบฟัง

          I have died every day waiting for you

          Darling, don't be afraid I have loved you

          For a thousand years

          I'll love you for a thousand more

          A thousand years...เพลงประกอบภาพยนตร์แวมไพร์อันโด่งดัง ช่างไพเราะและนุ่มหู ชวนให้คนฟังเคลิบเคลิ้ม

          เพลงนี้เป็นเพลงโปรดของหล่อนก็จริง แต่ยามอยู่ในอารมณ์อันชวนตระหนกเช่นนี้ เพลงนี้กลับคล้ายเสียงกลองดังตึก ๆ ตัก ๆ อยู่ในหัวตามจังหวะการก้าวเท้าของหล่อน

          “คุณไม่ชอบเต้นรำใช่ไหม”

          เขาชวนคุย เสียงของเขานุ่มชวนฟัง มันสะท้อนอยู่ในอกของหล่อน...เป็นจังหวะเดียวกับการเต้นของหัวใจ

          “ค่ะ” หล่อนตอบรับสั้น ๆ ตามสัญชาตญาณแล้วก็ปิดปากเงียบตามเดิม

          “มือคุณเย็น ตื่นเต้นหรือกลัวครับ”

          เขาพยายามสร้างความเป็นมิตรกับหล่อน ซึ่งชายหนุ่มน้อยคนนักที่จะทำเช่นนี้ เพราะหากไม่มองผ่านเลยไปก็จะทักทายพอเป็นพิธีและตามมารยาทเท่านั้นเอง สายรุ้งจึงประหม่ามากกว่าเดิม ใจเต้นโครมครามราวกับคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงรัก

          “ว่าไงครับ ไม่ตอบแบบนี้...อย่าบอกนะว่าคุณกลัวผม”

          เพิ่งรู้สึกว่าเสียมารยาท หญิงสาวจึงรีบกะพริบตาเรียกสติของตนเอง

          “เปล่าค่ะ รุ้งไม่ได้กลัวคุณ แค่กำลังหาคำตอบให้คุณค่ะ”

          “แล้วได้คำตอบรึยังครับ”

          เขาถามยิ้ม ๆ และหล่อนก็ผ่อนคลายมากพอที่จะยิ้มตอบเขาแล้ว

          “ทั้งสองอย่างค่ะ รุ้งไม่ค่อยได้ออกงานแบบนี้ก็เลยตื่นเต้น แล้วรุ้งก็ซุ่มซ่ามมากกก...” เจ้าตัวลากเสียงยาวให้น้ำหนักกับคำพูดของตัวเอง “เลยกลัวว่าจะทำให้คุณพ่อขายหน้าน่ะค่ะ”

          เขาหัวเราะเบา ๆ เสียงของเขาดังอยู่แค่ในลำคอเท่านั้น แต่กลับก้องกังวานอย่างประหลาด

          ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์ชวนให้สาว ๆ หลงรัก กอปรกับหน้าตาอัน      หล่อเหลาด้วยแล้ว น่าแปลกที่เขามาขอหล่อนเต้นรำ

          ทำไมหนอ...

          พลันที่ถามตัวเอง หล่อนก็ได้คำตอบ

          ...ถ้าไม่ใช่เพราะสงสาร ก็สมเพชเวทนากระมัง

          สาวเดบูตองส์คนเดียวที่ถูกทิ้งให้ยืนเดียวดายกลางฟลอร์เต้นรำ      น่าอับอายขายหน้าน้อยเสียเมื่อไร เขาคงเป็นคนใจดี มีเมตตาจึงอยากช่วยหล่อนก็เท่านั้นเอง

          สายรุ้งไม่ได้หวังถึงขั้นว่าเขาจะสนใจหล่อน หรือเห็นว่าหล่อนมีตัวตนหรอก แต่คำตอบที่ให้กับตัวเองก็ทำให้หัวใจดวงน้อยเหี่ยวแฟบลงทันใด     หญิงสาวหลุบสายตาลงจับจ้องเพียงกระดุมเม็ดที่สองบนอกเขา ซ่อนแววตาของความผิดหวังไว้ หากหล่อนก็เศร้าได้ไม่นานหรอกเพราะคุ้นชินกับสภาพแบบนี้มาตลอดชีวิตแล้ว เมื่อเขาชวนคุยอีกครั้ง หล่อนก็ต่อบทสนทนาได้ทันที

          “ทำไมถึงกลัวละครับ คุณไม่น่าจะทำอะไรให้คุณพ่อขายหน้าได้เลยนะ”

          “ผิดแล้วค่ะ รุ้งน่ะทำให้คุณพ่อขายหน้าออกจะบ่อย”

          เมื่อเริ่มคุ้นเคย หล่อนก็คุยเจื้อยแจ้วได้มากขึ้น

          “โดยเฉพาะตอนออกงาน รุ้งชอบทำตัวเปิ่น ๆ ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ แถมยังซุ่มซ่ามอีกด้วยค่ะ”

          “ผมยังไม่เห็นว่าคุณจะเป็นแบบนั้นเลย” ประกายตาของเขาวิบวับขึ้นมาเมื่อเอ่ยประโยคถัดไป “ผมว่าคุณน่ารัก”

          น้อยครั้งที่จะมีชายหนุ่มสักคนชมหล่อน จึงช่วยไม่ได้ที่สายรุ้งจะรู้สึกเหมือนหัวใจพองโตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

          “น่ารักในแบบที่คุณเป็น...แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

          “จริงหรือคะ” หล่อนถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ ในเวลาเดียวกันนั้นก็ตวัดสายตาไปมองพี่สาวที่เต้นรำด้วยท่วงท่างามสง่า

          “รุ้งไม่คิดว่าเป็นแบบรุ้งจะดีหรอกค่ะ ต้องอย่างพี่ฝน...ทั้งสวย ทั้งสง่าแล้วก็เก่งไปซะทุกเรื่อง รุ้งอยากเป็นแบบนั้น”

          “เป็นตัวของตัวเองดีที่สุดไม่ใช่หรือครับ จริงอยู่...คนส่วนใหญ่อาจจะชอบพี่ของคุณ แต่คุณก็อย่าลืมว่าอย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีใครสักคนที่ชอบคุณเหมือนกัน”

          เป็นคำปลอบใจ หรือเป็นคำบอกกลาย ๆ ว่าเขาชอบหล่อนหนอ...สายรุ้งไม่อาจมองจ้องสบตาเขาอีกเพราะตอนนี้หัวใจของหล่อนหกคะเมน       ตีลังกาไปหลายตลบแล้ว

          “ขอบคุณนะคะ...ขอบคุณที่ให้กำลังใจรุ้ง”

          หลังจากนั้นก็นิ่งเงียบกันไป พักใหญ่กว่าเขาจะเอ่ยทำลายความเงียบ และกลบเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามของหล่อน

          “เรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย”

          เขาส่งยิ้มให้หล่อนก่อนจะเอื้อนเอ่ยชื่อของตัวเองด้วยน้ำเสียง        ภาคภูมิใจ

          “ผมกรครับ...พนมกร สุริยไพศาล”

          “รุ้งค่ะ สาย...”

          “สายรุ้ง นาฏยรัตน์” พูดยังไม่ทันจบ เขาก็ต่อให้เสียแล้ว

          “ผมจำได้แม่นเลยครับ”

          ไม่คิดว่าจะมีใครจดจำชื่อหล่อนได้ในครั้งแรกที่ได้พบกันเช่นนี้ สายรุ้งทั้งประหลาดใจ ประทับใจและดีใจอย่างประหลาด หล่อนยิ้มให้เขาจนตายิบหยี และบอกตัวเองว่าจะจดจำชื่อเขาไว้ด้วยตั้งใจว่าวันหน้าจะส่งของขวัญไปให้เขาเพื่อขอบคุณที่เขาช่วยชีวิตหล่อนในวันนี้ 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (12 รายการ)

www.batorastore.com © 2024