หนึ่งในหทัย (ศศิภา) (EBOOK)

หนึ่งในหทัย (ศศิภา) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: หนึ่งในหทัย
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 340.00 บาท 85.00 บาท
ประหยัด: 255.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

หนึ่งในหทัย โดย ศศิภา

บทนำ

ต้นจามจุรีสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านโอบคลุมโต๊ะไม้สี่ห้าตัวซึ่งมีไว้ให้นักศึกษาของมหาวิทยาลัยนั่งผ่อนคลาย สนทนาพูดคุย หรือแม้แต่นั่งอ่านหนังสือ หญิงสาวร่างเล็กผมยาวดำขลับดัดเป็นลอนใหญ่ตรงปลายสยายถึงกลางหลังกำลังมีความสุขกับตัวอักษรที่ถูกเรียงร้อยเป็นเรื่องราวตรงหน้า หนังสือนิยายเล่มหนาของนักเขียนชื่อดังทำให้รสสุคนธ์หลงลืมเวลา หลงลืมโลกรอบกาย หรือแม้แต่ลืมผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ในตอนนั้นเสียด้วยซ้ำ หล่อนไล่อ่านไปตามแต่ละตัวอักษรด้วยหัวใจที่เต้นระทึกระคนอ่อนหวาน บางคราจะเห็นรอยยิ้มบางเบาแตะแต้มบนริมฝีปากอิ่มเต็มได้รูป บางคราพวงแก้มนวลก็ปรากฏรอยระเรื่อราวลูกตำลึงสุก บางคราก็ถึงกับยกหลังมือเช็ดน้ำตาที่กำลังเอ่อท้นตรงหางตา หากใครๆหันมาเห็นคงนึกสงสัยว่าสาวน้อยร่างบางผู้นี้อาจจะเสียสติไปแล้วก็เป็นได้

นานเป็นชั่วโมงกว่ารสสุคนธ์จะเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ ลมแรงพัดโบกสะบัดจนผมของหล่อนปลิวไสวเผยให้เห็นโครงหน้ารูปไข่รับกับจมูกเล็ก เชิดรั้นตรงปลายนิดๆ ดวงตากลมโตล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวงดงามสดใสบริสุทธิ์เฉกเช่นดวงดาราที่ส่องประกายบนฟากฟ้า เสียงใบไม้ที่เสียดสีกันทำให้หล่อนต้องเงยหน้ามอง ต้นจามจุรีกำลังไหวเอนตามแรงลมขณะที่เมฆดำด้านบนกำลังเคลื่อนตัวเข้ามารวมกลุ่มกันหนาขึ้น

“เอ...ทำไมยังไม่มาอีกนะ” สาวน้อยรำพันกับตัวเอง แล้วเหลียวไปมองถนน...มีรถราผ่านมาเพียงประปราย หากรถเหล่านั้นก็ยังไม่ใช่รถกลางเก่ากลางใหม่สีขาวที่หล่อนรอคอยเลยสักคัน

ปกติแล้วหลังเลิกเรียน น้าเมฆ...คนขับรถที่คอยรับส่งหล่อนกับพี่สาวตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆจะเป็นคนมารับ แต่วันนี้ทั้งบิดา มารดา รวมถึงพี่สาวของหล่อนต่างพร้อมใจกันมารับ ด้วยตั้งใจว่าจะพาหล่อนไปรับประทานอาหารนอกบ้าน...ร้านอาหารชื่อดังใจกลางกรุงเพื่อเลี้ยงฉลองวันเกิดครบสิบแปดปีของหล่อน

เวลานัดหมายคือสิบหกนาฬิกา หลังหล่อนเลิกเรียนอย่างพอดิบพอดี ทว่า...หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือสายดำขึ้นมอง ก็พบว่าล่วงเลยเวลามาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว ความเป็นห่วงกังวลใจจึงค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละน้อยๆ คิ้วเรียวโค้งได้รูปพลันขมวดเข้าหากัน และจากที่นั่งอย่างสบายอารมณ์ รสสุคนธ์ต้องผุดลุกขึ้นยืน ยืดคอชะแง้แลหารถคันเล็กคุ้นตา แต่หาเท่าไรก็ไม่พบแม้แต่เงา หล่อนชักร้อนใจ แต่ทำได้แค่เดินกลับไปกลับมาอย่างงุ่นง่านเพียงเท่านั้น

ความจริงแล้วบิดาของหล่อนนั้นเป็นคนตรงเวลามาก ไม่มีทางที่จะมารับหล่อนช้าขนาดสายเป็นชั่วโมงแบบนี้แน่ ยังไม่ทันที่จะตัดสินใจทำเช่นไร รถคันหนึ่งก็หักเลี้ยวเข้ามาจอดชิดขอบทางเดินเท้า เป็นรถยุโรปราคาแพงสีครีม รสสุคนธ์รีบถอยห่างออกมาเมื่อประตูรถฝั่งที่อยู่ใกล้หล่อนเปิดออก แล้วหมุนตัวเดินเลี่ยงเปิดทางให้ใครก็ตามที่ลงจากรถคันนั้น

เพียงแค่สองก้าว คนคนนั้นกลับเร่งฝีเท้าเดินนำหน้าแล้วขวางหล่อนไว้ หญิงสาวชะงักกึก สองตาที่ก้มมองเพียงพื้นดิน ปรากฏรองเท้าหนังสีดำขัดมันเงาวับในคลองจักษุ หล่อนเลื่อนสายตาขึ้นไปก็พบกางเกงขายาวพอดีตัวสีเขียวเข้มกับเสื้อแขนยาวสีเดียวกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นชุดทหาร คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วยิ่งขมวดมากขึ้นไปอีกด้วยไม่เข้าใจว่าเหตุใดทหารนายใดนายหนึ่งจึงมาเดินเพ่นพ่านอยู่ในมหาวิทยาลัยเช่นนี้ แถมยังเสียมารยาทก้าวเข้ามาขวางหล่อนไว้อีก

รสสุคนธ์กำลังจะเอ่ยคำบริภาษออกไปแล้วแต่ยังยั้งถ้อยคำเหล่านั้นได้ทันเมื่อเห็นใบหน้าของคนตรงหน้าเต็มตา

รูปหน้าคมสัน คิ้วเข้มเด่นชัด ดวงตาคมกล้า จมูกโด่งเป็นสัน และเรียวปากหยักโค้ง ทำให้หล่อนเบิกตากว้าง

“ท่านชาย...” หล่อนพึมพำแผ่วเบา ตกใจไม่น้อยด้วยไม่คิดว่าจะพบอีกฝ่ายที่นี่ เวลานี้

เขาคือพี่เขยของหล่อน...พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐ ดิลบุตร!

ท่านชายเจตทรงมีวรองค์สูงใหญ่ บึกบึนสมกับเป็นชายชาติทหาร อีกทั้งมีท่าทางองอาจผึ่งผ่าย น่าเกรงขามและกริ่งเกรง

รสสุคนธ์ยืนนิ่งงัน นิ่งคิด หากก็ยังนึกไม่ออกว่าเหตุไฉนท่านชายจึงเสด็จมาหาหล่อนถึงมหาวิทยาลัยด้วยองค์เองเช่นนี้ ในเมื่อหล่อนกับท่านไม่ได้สนิทสนมอะไรกันด้วยซ้ำไป

ถึงแม้เมื่อหกเดือนก่อน พี่สาวของหล่อน...ชงโค มีบุญวาสนาได้ออกเหย้าออกเรือนเป็นหม่อมของหม่อมเจ้าเจตนิพิฐ และย้ายเข้าไปอยู่ในวังดิลบุตร กระนั้นท่านชายเจตกับหล่อนก็ได้หาสนิทสนมกันไม่ ถ้าจำไม่ผิดหล่อนพบท่านเพียงสองครั้งเท่านั้นกระมัง

...ครั้งแรกก็ตอนที่พี่ชงโคพาท่านชายมาที่บ้านและทำความรู้จักกับบิดา มารดารวมถึงตัวหล่อนด้วย ส่วนอีกครั้งนั้นก็ในพิธีมงคลสมรสของทั้งสอง จากนั้นเป็นต้นมาหล่อนก็ไม่เคยพบหน้าพูดคุยกับท่านชายอีกเลย จวบจนกระทั่งวันนี้...

รสสุคนธ์ปัดความสงสัยของตนเองทิ้งไป เมื่อรู้สึกว่าเสียมารยาท หล่อนรีบยกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อม ครั้นเงยหน้าและลดมือลง ยังไม่ทันได้ทูลถามใดๆ คนตรงหน้าก็รับสั่งตอบข้อสงสัยในใจของหล่อนเสียแล้ว

“รถที่พ่อเธอขับมาประสบอุบัติเหตุ”

ประโยคนั้นทำให้หล่อนต้องเบิกตากว้าง หากก็ยังไม่ทำให้ตกใจเท่าประโยคถัดไป

“พ่อของเธอ แม่ของเธอและ...”

ดวงเนตรคู่คมมีความอึดอัดชัดเจนจนคนมองสัมผัสได้

ลางสังหรณ์บอกหล่อนล่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น...หัวใจดวงน้อยพลันไหวโยนรุนแรงเฉกเช่นกิ่งไม้ของต้นจามจุรีที่ถูกลมพัดจนกระทบเสียดสีกันก่อเกิดเป็นท่วงทำนองวังเวง

เมฆหมอกบนฟากฟ้าเริ่มจับตัวเป็นก้อนและบดบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมายังโลกเสียแล้ว

“และชงโค...พี่ของเธอ เสียชีวิตแล้ว รสสุคนธ์”

สิ้นเสียงนั้น น้ำตาที่เอ่อคลอเต็มหน่วย ก่อนหยาดหยดลงบนแก้มนวล ผืนดินใต้ฝ่าเท้าราวกับไหวเอนไปมาดั่งคลื่นมหาสมุทรที่ถูกพายุโหมกระหน่ำไม่ยั้ง หญิงสาวปล่อยโฮอย่างลืมอาย ทรุดกายลงนั่งบนพื้น ยกฝ่ามือทั้งสองปิดบังใบหน้าที่เหยเกและเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจนั้นเสีย

“พ่อคะ แม่คะ พี่ชงคะ ทำไม...” หล่อนเอ่ยเสียงอู้อี้ สะอื้นจนตัวโยน และพึมพำอย่างปวดร้าวกับฝ่ามือของตน “ทำไม...”

จบคำนั้น ลมพลันพัดกรรโชกแรง หอบเอาสติสัมปชัญญะของหล่อนให้ปลิดปลิวหายไปด้วย!

 

บทที่ 1

หกเดือนถัดมา

ร่างโปร่งระหงในชุดกระโปรงสีฟ้าบานพลิ้วยาวครึ่งน่องจุดขาว ตัวเสื้อคอกว้างสีเข้าชุดกันมีระบายตรงช่วงอกเป็นผ้าโปร่งบางจนปลิวสะบัดยามลมพัดผ่าน ผมซึ่งยาวถึงกลางหลังดัดเป็นลอนใหญ่ถูกรวบไว้ด้วยผ้าสีชมพูอ่อนผืนบางจนแสงลอดผ่านได้ ปล่อยชายผ้ามาไว้ทางด้านหน้า ใบหน้ารูปหัวใจถูกแต่งแต้มด้วยแป้งฝุ่นแต่เพียงบางๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มเคลือบลิปสติกสีอ่อนจนแทบมองไม่เห็น ดูเผินๆจึงเหมือนไม่ได้แต่งหน้าด้วยซ้ำไป

รสสุคนธ์กำลังยืนเอามือประสานกันไว้ทางด้านหน้าอย่างเรียบร้อย สายตาหลุบต่ำจนเห็นแพขนตายาวขยับไหวชัดเจน ทางด้านหน้าหล่อนนั้นเป็นโต๊ะทำงานไม้สักขัดมันจนเงาวับ บนโต๊ะมีหนังสือหลายเล่มวางซ้อนกันเป็นตั้งๆ มีเล่มหนึ่งเปิดอ้าค้างอยู่เช่นนั้นโดยมีที่คั่นสีน้ำตาลวางทับอยู่ด้านบน ถัดจากหนังสือเป็นจดหมายหลายฉบับวางเรียงกันอยู่ในตะกร้าหวายเล็กๆอย่างเรียบร้อย ทุกฉบับต่างเก็บอยู่ในซองสีขาวเป็นอย่างดี หากมองเผินๆคงคิดว่าผู้ที่ได้รับจดหมายยังไม่ได้เปิดอ่าน

ทว่าแท้ที่จริงแล้วจดหมายทุกฉบับในตะกร้านั้นพันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงอ่านจนหมดแล้ว และนั่นคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้รสสุคนธ์ต้องมายืนตัวลีบในห้องทรงงานของท่าน

นับจากวันที่บิดา มารดา และพี่สาวเพียงคนเดียวจากโลกนี้ไป ชีวิตของรสสุคนธ์ก็เหมือนถูกกระแสลมพัดโหมกระหน่ำจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ครอบครัวของหล่อนเป็นครอบครัวเล็กๆญาติที่สนิทก็ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว ดังนั้นเมื่อทั้งสามจากไป หล่อนจึงเสมือนอยู่บนโลกใบนี้เพียงลำพัง

บ้านเรือนไทยหลังเล็กที่เคยมีเสียงหัวเราะพูดคุยระหว่างบิดา มารดาและลูกสาวทั้งสองกลับกลายเป็นเงียบวังเวงดั่งบ้านร้าง รสสุคนธ์ต้องร่ำไห้อย่างหนักแทบทุกวัน กับข้าวกับปลาก็รับประทานนับคำได้ เพียงอาทิตย์เดียว น้ำหนักของหล่อนก็ลดลงอย่างรวดเร็วจนร่างกายผ่ายผอมอย่างน่าเวทนา

หลังงานฌาปนกิจของทั้งสาม รสสุคนธ์แทบจะล้มทั้งยืน ยังดีที่มีท่านชายเจตคอยดูแลไม่ห่าง จะว่าไปแล้วท่านทรงมีน้ำทัยเอื้อเฟื้อกับหล่อนเหลือล้น ทรงงเป็นห่วงเป็นใย ถามไถ่สุขภาพของหล่อนอยู่เสมอ หล่อนจึงรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจยิ่งนัก ท่านชายทรงเข้ามาจัดการเรื่องมรดกที่บิดาและมารดาของหล่อนทิ้งไว้ให้ด้วย แต่เพราะหล่อนยังไม่บรรลุนิติภาวะ มรดกที่ควรได้จึงต้องอยู่ในความดูแลของพระองค์ไปก่อน เมื่อไรก็ตามที่หล่อนอายุยี่สิบปีบริบูรณ์ มรดกนั้นจึงจะตกอยู่ในการครอบครองของหล่อนโดยสมบูรณ์

โดยในระหว่างนี้รสสุคนธ์จะต้องอยู่ในความดูแลของพันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย อาหารการกิน ค่าใช้จ่ายและอื่นๆอีกจิปาถะ ยิ่งไปกว่านั้นหล่อนจะต้องย้ายเข้ามาอยู่ที่วังดิลบุตร ด้วยเหตุผลที่ว่า

‘เธอเป็นผู้หญิง จะอยู่ตัวคนเดียวได้อย่างไร ไปอยู่กับฉัน อย่างน้อยๆแม่ของฉันก็คอยดูแลเธอได้ ที่สำคัญเธอจะได้อยู่ในสายตาฉันในระหว่างที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเธอ’

รสสุคนธ์อยากบอกเหลือเกินว่าหล่อนอายุสิบแปดปีแล้ว โตมากพอที่จะดูแลตัวเองได้ หากก็หวั่นเกรงว่าท่านชายจะทรงไม่พอพระทัยจึงนิ่งเฉยเสีย

‘ฉันไม่อยากทำผิดสัญญาที่ให้ไว้กับชงโค’ ทรงเล่าด้วยสุรเสียงเรียบเฉย หากแววเนตรวูบไหวบอกชัดถึงแรงอารมณ์ภายใน

‘ฉันสัญญากับพี่สาวเธอไว้ว่าจะดูแลเธออย่างดีที่สุด ไม่ให้ขาดตกบกพร่องอะไรแม้แต่อย่างเดียว ฉันเป็นคนยึดถือคำมั่นเป็นที่หนึ่ง อะไรที่ฉันทำไม่ได้ ฉันไม่มีวันรับปาก แต่อะไรที่ฉันรับปากแล้ว ฉันต้องทำให้ดีที่สุด’ ทรงอธิบายเสียยืดยาวโดยที่หล่อนสรุปความได้เพียงสั้นๆว่าท่านชายทรงต้องการทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ชงโคเท่านั้น

‘ขอบพระทัยเพคะ’ หญิงสาวยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ยอมทำตามความต้องการของหม่อมเจ้าเจตนิพิฐแต่โดยดี

หลังจากวันนั้นรสสุคนธ์ก็ต้องเก็บข้าวของที่จำเป็นเพื่อย้ายเข้ามาอยู่ในวังดิลบุตร ไม่ว่าจะด้วยในฐานะอะไร หม่อมเจ้านวลแข...พระมารดาของหม่อมเจ้าเจตนิพิฐนั้นก็ทรงให้การต้อนรับหล่อนเป็นอย่างดี ท่านหญิงทรงมีสิริโฉมงดงาม รอยแย้มโอษฐ์บอกถึงความมีทัยดี ดวงเนตรคู่งามก็อ่อนโยนเหมือนแววตามารดาของหล่อนไม่ผิดเพี้ยน

‘มาอยู่ด้วยกันเสียที่นี่ก็ดีแล้ว วังนี้มีแต่ฉันกับชายเจต เงียบเหงาเกินไป ถ้าแม่รสมาอยู่ด้วย วังคงครึกครื้น’

ตรัสกับหล่อนด้วยสุรเสียงอ่อนหวาน ตอนนั้นรสสุคนธ์ทำเพียงยิ้มรับ อดคิดไม่ได้ว่าหล่อนจะมาทำให้วังครึกครื้น หรือปั่นป่วนก็ยังไม่แน่ใจนัก

สำหรับพระบิดาของท่านชายเจต...พลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศิฐเศรษฐนั้นสิ้นพระชนม์ด้วยอาการพระหทัยวายเมื่อสามปีก่อน หญิงสาวจึงได้เห็นเพียงพระรูปของพระองค์เพียงเท่านั้น กระนั้นแม้เห็นเพียงพระรูปของพระองค์ หล่อนก็ยังรู้สึกว่าพระองค์ทรงองอาจผึ่งผายสมชายชาติทหารเหลือเกิน...แบบนี้นี่เองเล่า พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐจึงทรงมีเสน่ห์ สง่าและดูน่าเกรงขามเพราะทรงถอดแบบมาจากพระบิดานั่นเอง

รสสุคนธ์ยังจำความรู้สึกเมื่อตอนเหยียบย่างเข้ามาที่วังแห่งนี้ได้ดีราวกับวันนั้นเพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน ทั้งๆที่ก็ล่วงเลยมาแล้วถึงหกเดือน

วังดิลบุตรซึ่งหล่อนต้องมาพำนักอาศัยอยู่ชั่วคราวนั้นเป็นวังที่พระองค์เจ้าศิฐเศรฐทรงสร้างขึ้นมาใหม่แทนวังเดิมที่ชำรุดทรุดโทรมไปมากแล้ว มีลักษณะเป็นตึกสองชั้นสีครีมนวลตา หลังคามุงกระเบื้องดินเผา มียอดโดมตั้งอยู่ตรงกลาง ชายคาและช่องลมประดับตกแต่งด้วยลวดลายไม้ฉลุ แวดล้อมด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่แผ่ร่มเงารอบด้าน เมื่อเดินผ่านประตูใหญ่สีขาวทางด้านหน้าซึ่งมีป้ายติดไว้ว่าวังดิลบุตรแล้ว เสียงจอแจของรถราที่ขวักไขว่ก็เงียบหายไปในบัดดล แทนที่ด้วยเสียงนกร้องก้องกังวานราวกับท่วงทำนองของดนตรี

เป็นครั้งที่สองที่รสสุคนธ์ได้เห็นวังอันงดงามวิจิตรวังนี้ หากความประทับใจก็ไม้เคยลดน้อยถอยลงเลย ตรงกันข้ามกลับยิ่งเพิ่มพบเท่าทวีคูณเสียด้วยซ้ำ

สถานที่ที่หล่อนชอบที่สุดภายในขอบเขตรั้วของวังดิลบุตรคือสวนหย่อมทางด้านข้างชิดริมรั้วของวัง มีดอกไม้นานาพันธุ์ปลูกเรียงรายละลานตา ข้างๆกันนั้นเป็นศาลาทรงแปดเหลี่ยมสีขาวใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ เหมาะสำหรับการนั่งพักผ่อน อ่านหนังสือ หรือพักสายตาก็ยังได้ รสสุคนธ์มักจะมานั่งอ่านหนังสือที่ศาลาแห่งนี้อยู่เป็นประจำ จะเรียกว่าทุกวันก็ว่าได้ จนหม่อมเจ้าเจตนิพิฐซึ่งคงทรงสังเกตหล่อนอยู่สักพัก ถึงกับออกโอษฐ์อนุญาตให้หล่อนหยิบยืมหนังสือทุกเล่มในห้องทรงงานนี้ไปอ่านได้ตามสบาย

ท่านชายเจตนั้นช่างดีไปเสียทุกอย่าง ถึงกระนั้นก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบไปเสียหมด อย่างน้อยๆท่านชายก็ยังคงมีข้อเสียให้หล่อนได้แอบค่อนขอดอยู่ในใจบ้าง

ข้อเสียที่ว่านั้นก็คือท่าทางวางอำนาจ ดูไว้องค์ และทรงดุเสียเหลือเกิน

หญิงสาวลอบมองวรองค์สูงใหญ่เบื้องหน้า แล้วต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น รู้ดีว่าวันนี้มิพักต้องถูกดุอีกตามเคย วันก่อนหล่อนก็เพิ่งโดนดุที่ไปสนทนาพูดคุยอย่างสนิทสนมกับนายเติบ...คนสวนวัยยี่สิบปลายๆของวังนี้

‘เธอเป็นผู้หญิง ไฉนจึงไม่ระวังรักษาตัวเสียบ้าง พูดคุยสนิทสนมกับผู้ชายเช่นนั้น หากใครอื่นมาเห็นเข้า เขาจะว่าไม่งาม’

เรื่อง ‘ไม่งาม’ นี่รสสุคนธ์ได้ยินท่านชายตรัสอยู่หลายต่อหลายครั้ง แม้แต่ท่านหญิงนวลแข ก็ยังทรงพร่ำบ่นเช่นกัน

‘เธอชักจะเก่งกล้าเกินชายเสียแล้ว รสสุคนธ์’ รับสั่งหลังจากรับรู้เรื่องราวจากแม่วาด...พระพี่เลี้ยงของท่านชายเจตนิพิฐว่ารสสุคนธ์กล้าหาญชาญชัยถึงขั้นปีนเก้าอี้ขึ้นไปเปลี่ยนหลอดไฟในห้องนอนด้วยตัวเอง

‘คนในบ้านนี้มีเป็นสิบ เหตุใดจึงต้องทำเองเล่า แม่รส’

รสสุคนธ์คิดว่าอะไรที่พอจะทำได้ ก็ควรจะทำ ไม่ใช่เอาแต่นั่งกินนอนกินไปวันๆอย่างสบายอารมณ์

ที่สำคัญบ้านนี้ไม่ใช่ของหล่อน บริวารทุกคนของที่นี่ก็ไม่ใช่บริวารของหล่อน หล่อนไม่มีสิทธิ์ออกคำสั่งหรือใช้งานพวกเขาแม้แต่น้อย หญิงสาวเจียมตัวอยู่เสมอว่าตนเองเป็นผู้อาศัยเพียงเท่านั้น

“เธอกับเจ้าหนุ่มนั่น...ฉันลืมไปเสียแล้ว คนรักของเธอชื่ออะไรนะ” สุรเสียงห้าวลึกดังขึ้นจากวรองค์สูงใหญ่ซึ่งกำลังยืนเอาหัตถ์ไขว้ไว้ทางเบื้องปฤษฏางค์ ดวงเนตรทั้งสองมองผ่านหน้าต่างที่เปิดอ้าออกรับสายลมยามสายให้โชยพัดเข้ามาภายใน เนตรคมหลุบต่ำมองแปลงดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งกำลังเบ่งบานรับแสงตะวัน

“หม่อมฉันยังไม่มีคนรักเพคะ”

“ไม่ใช่คนรักแล้วเหตุใดจึงต้องเขียนจดหมายโต้ตอบกันเช่นนี้” พร้อมกับรับสั่ง ทรงเอี้ยวองค์หันมาทางหล่อนแล้วชูกระดาษสีขาวในหัตถ์ให้เห็น

“เป็นเพียงแค่จดหมายไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันเท่านั้นเพคะ”

ท่านชายทรงสาวบาทกลับมาที่โต๊ะ ประทับนั่งลงบนเก้าอี้ไม้สักซึ่งฉลุลวดลายงดงาม มองปราดเดียวก็รู้ว่าราคาคงแพงลิ่ว

“รู้จักกันมานานเท่าไรแล้ว”

“เกือบสิบปีเพคะ พี่เอกเขา...” ยังเอ่ยไม่ทันจบ ท่านชายผู้มักทำพักตร์เรียบเฉยอยู่เป็นนิจก็ทรงทำเสียงอือออในลำศอ

“อ้อ...ฉันจำได้แล้ว คนรักของเธอชื่อทองเอกใช่ไหม”

“เพคะ” หญิงสาวตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ มีร่องรอยของความไม่พอใจแฝงเร้นอยู่แม้จะเล็กน้อยแต่หม่อมเจ้าเจตนิพิฐก็ทรงจับความรู้สึกของหล่อนได้ ท่านชายทรงยกพาหาท้าวลงบนโต๊ะแล้วใช้เนตรคมดุสีนิลจับจ้องวงหน้านวลที่ดูไม่สบอารมณ์อย่างพินิจพิจารณา และทรงพบว่าดวงตาคู่สวยมีแววขุ่นข้องหมองใจชัดเจน ริมฝีปากบางยังคงขยับเคลื่อนไหวเปล่งเสียงใสๆออกมาเจื้อยแจ้ว

“แต่...หม่อมฉันจำเป็นต้องย้ำอีกครั้งว่าพี่เอกไม่ใช่คนรักของหม่อมฉัน เราเพียงแค่รู้จักกันเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเท่านั้นเพคะ พี่เอกอาศัยอยู่ข้างบ้านหม่อมฉันมานาน ทำให้เราสองคนรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี จนเมื่อสามปีก่อนพี่เอกย้ายตามคุณพ่อของเขาไปอยู่ต่างจังหวัด ที่นู่นไม่มีโทรศัพท์ ทำให้พี่เอกต้องติดต่อหม่อมฉันทางจดหมาย ส่วนข้อความในจดหมายนั้น ก็อย่างที่ท่านชายทรงทราบว่าไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความห่วงใยฉันท์พี่น้องเลยสักนิดเพคะ”

ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ จนรสสุคนธ์เชื่อว่าหากมีเข็มสักเล่มตกลงบนพื้นคงดังกังวานก้องเป็นแน่แท้ หญิงสาวเม้มริมฝีปากนิดๆ ยามกลั้นใจเงยหน้าสานสบสายตากับดวงตาทรงอำนาจ นานเท่าใดก็สุดรู้กว่าหม่อมเจ้าเจตนิพิฐจะทรงพยักพักตร์

“ตกลง ฉันเชื่อว่าพี่เอกของเธอไม่ใช่คนรักของเธอ อีกทั้งเนื้อความจดหมายก็ไม่ได้เป็นไปในทางเกี้ยวพาราสีมากนัก”

มากนักงั้นหรือ...รสสุคนธ์อยากเถียงออกไปเหลือเกินว่า ไม่ใช่มากนัก แต่เป็นไม่มีเลยต่างหาก!

“การมีคนรักไม่ใช่เรื่องที่ผิดดอกนะรสสุคนธ์ แต่เธอควรจะโตกว่านี้ เป็นผู้ใหญ่กว่านี้จึงจะเหมาะสม”

“ท่านชายรับสั่งว่าทรงเชื่อหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ”

“แน่นอน ฉันเชื่อเธอ แต่...ในวันหนึ่งวันใดข้างหน้านี้ เธออาจจะพบรักกับหนุ่มที่ไหนสักคน ในฐานะผู้ปกครอง ฉันจำเป็นต้องพูด ต้องคุย และอธิบายให้เธอได้เข้าใจ”

หม่อมเจ้าเจตนิพิฐประทับยืน สาวบาทตรงมาหารสสุคนธ์ ฝีบาทของท่านทุกย่างก้าวเน้นหนักมั่นคงจนคนที่ยืนเอามือประสานกันไว้ด้านหน้าอย่างหลวมๆต้องบีบมือกระชับแน่นเข้า อกสั่นขวัญแขวนราวกับกำลังยืนอยู่หน้าลานประหารก็มิปาน

“ฉันไม่ได้ต้องการกีดกันความรักของเธอแม้แต่น้อย เพียงแต่ฉันคิดว่า...เธอควรจะรอให้บรรลุนิติภาวะเสียก่อน วันใดที่เธออายุครบยี่สิบและฉันไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ปกครองของเธอแล้ว เมื่อนั้นเธอจะคบใครก็ได้ฉันไม่ว่า แต่ในระหว่างนี้ฉันอยากให้เธอรักษาเนื้อรักษาตัว สงวนหัวใจไว้เสียก่อน อย่าเพิ่งเปิดทางให้ชายใดเข้ามาชิดใกล้มากนัก”

...ชายใดที่ว่านั้นรวมถึงท่านชายเจตด้วยหรือเปล่าหนอ คนตัวเล็กรำพึงรำพันเพียงในใจ

...หากรวมท่านชายด้วย รสสุคนธ์เห็นจะต้องขยับเท้าถอยห่างออกไปสักสามสี่ก้าวเสียแล้ว

ยามนี้ร่างโปร่งระหงกำลังยืนเกร็งตัว กลั้นใจมองพักตร์คมสันของหม่อมเจ้าเจตนิพิฐที่อยู่ห่างจากหล่อนเพียงแค่เอื้อมมือด้วยหัวใจเต้นระทึก นับเป็นครั้งแรกที่หญิงสาวได้อยู่ชิดใกล้ท่านถึงขนาดมองเห็นไรมัสสุเขียวครึ้มโดยรอบริมโอษฐ์ ยิ่งเมื่อสบเนตรคมดุด้วยแล้วหัวใจที่เต้นรัวก็โยนไหวรุนแรง รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกลงไปในหลุมดำมืดและหลงวนอยู่ในนั้นค้นหาทางออกไม่พบ

“...คนธ์...รสสุคนธ์” สุรเสียงห้าวดังขึ้นเรื่อยๆจนหล่อนแทบสะดุ้งสุดตัว

“ไม่ได้ยินหรือ ฉันเรียกอยู่ตั้งนาน”

“ขอประทานอภัยเพคะ” เพราะเหม่อลอยจึงไม่ทันได้ยินว่าท่านชายตรัสว่ากระไรบ้าง หญิงสาวยกมือไหว้แล้วเอ่ยถาม “เมื่อกี้รับสั่งว่าอะไรนะเพคะ”

“ฉันบอกว่า...ทีหลังอย่าแอบซ่อนจดหมายไว้อีก นี่ถ้าไม่ใช่เพราะฉันเห็นเธอลับๆล่อๆหน้าประตูใหญ่แล้วละก็ คงไม่ได้รู้ความจริงซินะว่าเธอกำลังเขียนจดหมายติดต่อกับพี่เอกของเธอ”

คนตัวเล็กหลุบสายตาลงต่ำ หน้าร้อนซู่อย่างนึกอาย นี่หล่อนกำลังถูกต่อว่าว่าแอบติดต่อกับผู้ชายในเชิงชู้สาวอยู่หรือไร...ก็บอกไปชัดเจนแล้วมิใช่หรือว่าทองเอกมิใช่คนรัก และไม่มีวันเป็นด้วย

แก้มนวลเริ่มแดงระเรื่อด้วยความโกรธและอาย หม่อมเจ้าเจตนิพิฐสังเกตเห็นจึงถอนพระทัยบางเบา แล้วรับสั่งด้วยสุรเสียงที่นุ่มนวลขึ้น...เล็กน้อย

“ฉันไม่ได้ต่อว่าอะไรเธอหรอกนะ แต่ที่ฉันทำแบบนี้ ก็เพราะเป็นห่วง ฉันไม่อยากทำให้ชงโคผิดหวัง”

รสสุคนธ์รู้ดี รู้มาตลอดว่าหม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงทำดีกับหล่อนมากมายเช่นนี้ ก็เพราะทรงสัญญากับพี่สาวของหล่อนว่าจะดูแลหล่อนให้ดีเพียงเท่านั้น

“หม่อมฉันทราบเพคะ...ทราบดีว่าท่านชายไม่มีทางผิดสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ชง”

“เพราะฉะนั้นถ้าฉันเข้มงวด หรือดุเธอไปบ้าง ก็อย่าได้ถือโทษโกรธกันเลย”

“อย่ารับสั่งเช่นนั้นเลยเพคะ หม่อมฉันมิบังอาจ...ท่านชายทรงเป็นผู้ปกครองและผู้มีพระคุณ หากจะว่ากล่าวตักเตือนหม่อมฉันเมื่อหม่อมฉันทำผิด ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วเพคะ”

รสสุคนธ์นั้นแม้จะนิสัยภายนอกจะแตกต่างกับชงโค แต่ยังคงมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่บ้างก็คือความนอบน้อม โอบอ้อมอารี มีสติ รอบคอบและเข้าใจในสถานการณ์ต่างๆได้เป็นอย่างดี หล่อนไม่โวยวายเลยแม้สักคำแม้พระองค์จะทรงถือวิสาสะเปิดอ่านจดหมายทุกฉบับระหว่างหล่อนกับทองเอก

“เธอคิดว่าฉันเป็นผู้ปกครองที่โหดเกินไปหรือเปล่า รสสุคนธ์”

คนตัวเล็กเงยหน้า ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย

“โหดหรือเพคะ”

“ใช่ ก็ฉันริดรอนสิทธิและอิสรภาพของเธออย่างไม่น่าให้อภัย”

...จะเรียกว่าโหดหรือเปล่า ก็คงไม่ใช่ เรียกว่าเคร่งเกินไปคงจะเหมาะกว่า

...อยากจะตอบออกไปเช่นนั้น แต่ก็เกรงจะถูกลงโทษ จึงทำเพียงแต่นิ่งเฉยเสีย เมื่อเห็นรสสุคนธ์ไม่ตอบหม่อมเจ้าเจตนิพิฐก็ไม่เซ้าซี้ให้มากความ รับสั่งต่อไปว่า

“จดหมายฉบับหน้า ไม่ต้องเอามาให้ฉันอ่านดอก ฉันถือว่าวันนี้ฉันได้คุยกับเธอรู้เรื่องแล้ว และฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันต้องการ”

แม้จะดูเหมือนใจดี ปล่อยให้หล่อนเป็นอิสระ แต่ลึกๆแล้วหม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงเชื่อว่ารสสุคนธ์จะไม่มีวันทำให้พระองค์ผิดหวังและเสียพระทัยต่างหาก...ช่างน่าแปลกนักที่ทรงเชื่อสาวน้อยตรงหน้าเต็มหทัย

“จะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะ” รสสุคนธ์ยกมือไหว้งดงาม กำลังจะเดินออกจากห้องก็ถูกเรียกไว้เสียก่อน

“อ้อ เดี๋ยว....มีหนังสือเล่มใหม่มา จำได้ว่าเป็นนักเขียนที่เธอชอบ” รสสุคนธ์ชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวออกไป เดินกลับมาที่โต๊ะ ยกมือไหว้ขอบคุณก่อนยื่นมือไปรับหนังสือเล่มบางที่หม่อมเจ้าเจตนิพิฐทรงยื่นมาให้

เพียงมองชื่อคนแต่งซึ่งอยู่มุมขวาล่างของหนังสือเล่มนั้น หญิงสาวก็ยิ้มกว้าง..ยิ้มทั้งปากทั้งตาเลยทีเดียว ดังนั้นพลันที่เงยหน้าขึ้นมองหม่อมเจ้าเจตนิพิฐ ดวงตากลมโตจึงเป็นประกายงดงาม เปล่งแสงเจิดจ้าดั่งดวงดาราบนนภาก็มิปาน

...ใครก็ตามที่ได้มองคงอดตกตะลึงกับความงามนั้นเช่นท่านชายเจตไม่ได้

ยามนี้หม่อมเจ้าเจตนิพิฐประทับยืนนิ่ง สานสบดวงตากลมโตราวตากวางอย่างเพลิดเพลินหทัย อดดำริไม่ได้ว่าเหตุไฉนองค์เองจึงไม่เคยสังเกตเห็นความงดงามของดวงตาคู่นี้มาก่อน...ไม่เคยสานสบ ไม่เคยเหลียวมอง และไม่เคยพินิจพิจารณาอย่าใกล้ๆ จึงทำให้ละเลยความงามของมันไป

แต่วันนี้ เวลานี้ พระองค์ทรงเห็นและรับรู้เต็มพระทัยแล้วว่าดวงตาของสาวน้อยตรงหน้ามีเสน่ห์มากเพียงใด

“ขอบพระทัยเพคะ” สุ้มเสียงดีใจรื่นเริงของหญิงสาวปลุกให้พระองค์ตื่นจากภวังค์ “หม่อมฉันขอยืมได้ไหมเพคะ”

“เอาไปเถิด ฉันตั้งใจจะให้เธอได้อ่านอยู่แล้ว”

“ขอบพระทัยเพคะ”

รสสุคนธ์ยกมือไหว้อีกครั้ง ก่อนเดินลิ่วจากมาด้วยหัวใจอิ่มเอมเปี่ยมสุขเพราะจะได้อ่านตัวอักษรที่เรียบร้อยจากปลายปากกานักเขียนในดวงใจ ขณะที่ใครอีกคน...กำลังประทับตราตรึงความงามที่เพิ่งสัมผัสได้ไว้ในหทัย

 

พอออกมาจากห้องทรงงานของท่านชายพร้อมหนังสือเล่มใหม่ รสสุคนธ์ก็ยิ้มแป้น เป็นสุขและอิ่มเอมใจทุกคราที่จะได้สัมผัสความงดงามของตัวอักษรซึ่งนักเขียนแต่ละท่านต่างร้อยเรียงอย่างตั้งใจ ด้วยเหตุนี้เองหญิงสาวจึงเลือกเรียนคณะอักษรศาสตร์ ด้วยหวังไว้ว่าในภายภาคหน้าอาจจะมีโอกาสได้เรียบเรียงเรื่องราวของตนเองและได้ตีพิมพ์ดังเช่นนักเขียนท่านอื่นๆบ้าง

ร่างโปร่งบางเดินมาตามทางเดินระหว่างตึก เดินผ่านห้องหลายห้องที่ปิดไว้ไม่มีคนพัก ครั้งเมื่อหล่อนเข้ามาอยู่ที่นี่วันแรกก็นึกสงสัยเป็นนักหนาว่าห้องหลายห้องในวังนี้มีไวทำอะไรบ้าง แต่จะถือวิสาสะเปิดเสียทุกห้องก็เป็นการเสียมารยาทนัก สุดท้ายจึงทำได้เพียงเก็บความสงสัยไว้ในใจ

จนบัดนี้ล่วงเลยมาหกเดือนแล้ว เวลาผ่านห้องที่ปิดตาย รสสุคนธ์ก็ยังอดเหลือบสายตามองและกระหายอยากเข้าไปสำรวจตรวจตราภายในไม่ได้เสียที ชงโคพี่สาวของหล่อนมักจะพร่ำบ่นอยู่เสมอว่า

‘เราน่ะอยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง’

พี่สาวของรสสุคนธ์เป็นหญิงสาวร่างผอมบางแทบจะปลิวลม รสสุคนธ์ว่าผอมแล้ว ชงโคผอมกว่าหลายเท่า ลักษณะนิสัยค่อนข้างเรียบร้อยและขี้อาย วันๆแทบจะไม่ออกจากบ้านไปไหน ที่ได้ออกเหย้าออกเรือนกับท่านชายเจตก็เพราะท่านหญิงนวลแขทรงเห็นดีเห็นงาม นึกชอบใจในความเรียบร้อยเป็นกุลสตรีและอ่อนน้อมถ่อมตน

ย้อนไปเมื่อปีที่แล้ว ครั้งที่ชงโคติดตามมารดามาเฝ้าหม่อมเจ้านวลแขที่วังนี้ จึงได้พบปะพูดคุยกันจนนำมาสู่ความประทับใจและชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง

มารดาของหล่อนนั้นเคยถวายการดูแลรับใช้ และเป็นคนสนิทของท่านหญิงมาก่อน ไม่ว่าท่านหญิงจะเสด็จไหน จะทำอะไร ต้องเรียกหาแต่แม่แช่มท่าเดียว หากพอพบรักกับพุ่ม แม่แช่มก็เลือกที่จะออกจากวังไปใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนไทยหลังเล็ก เป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างเต็มตัว มารดาของหล่อนห่างหายไม่ได้พบพักตร์ท่านหญิงเกือบยี่สิบปี อะไรดลใจให้ท่านตัดสินใจมาเข้าเฝ้าในวันนั้นก็ไม่ทราบได้ อาจจะเป็นพระพรหมชักนำพาให้ชงโคได้พบเจอกับหม่อมเจ้าเจตนิพิฐก็เป็นได้กระมัง

หลังจากวันนั้นหม่อมเจ้านวลแขก็โปรดชงโคเป็นอย่างมาก ถึงขั้นออกโอษฐ์เลียบๆเคียงถามบุตรเพียงคนเดียวของท่าน ได้ความว่าท่านชายก็ทรงพึงใจเช่นกัน นับจากนั้นอีกหนึ่งปีจึงได้มีงานอภิเษกสมรสขึ้น หากโชคร้ายที่ผ่านไปเพียงหกเดือนก็เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นเสียก่อน พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐกลายเป็นพ่อหม้ายเนื้อหอมตั้งแต่วันนั้น จวบจนกระทั่งวันนี้

รสสุคนธ์เห็นสาวน้อยสาวใหญ่เดินทางมาเข้าเฝ้าท่านหญิงนวลแขอยู่เป็นประจำ บางคนก็สวยสะคราญ งดงามไม่มีที่ติ บางคนก็ดูเย่อหยิ่ง จองหอง ทำตัวเด่นราวกับตนเองเป็นหม่อมของท่านชายก็ไม่ปาน รสสุคนธ์ออกจะเอือมระอากับคนประเภทหลัง บ่อยครั้งที่หล่อนพบเจอตอนนั่งอยู่ในสวน หรือไม่ก็ตรงบันได อยากจะหยิบยื่นไมตรีให้อยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นแววตาที่กวาดมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วเหยียดยิ้มเยาะแล้วนั้น รอยยิ้มที่กำลังจะแย้มเยื้อนจึงหุบลงทันควัน แต่เพียงเท่านั้นดูยังจะไม่สมใจพอ จึงแกล้งเดินเฉียดเข้าไปใกล้ พอที่จะเอาหัวไหล่กระแทกนั่นละ

สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงกรีดร้องราวกับหล่อนเป็นผู้ร้ายฆ่าคนเลยทีเดียว

‘ต๊าย ไร้มารยาทเสียจริง! ไม่รู้ท่านหญิงทรงเก็บมาเลี้ยงไว้ทำไม วังดิลบุตรเสื่อมเสียหมด’

ได้ยินเต็มสองรูหู หากก็ยับยั้งชั่งใจตัวเองไว้ไม่ให้ตอบโต้เนื่องด้วยเกรงว่าจะเสื่อมเสียเกียรติของผู้มีพระคุณทั้งสองท่าน

วันนี้คงไม่แคล้วมีสาวนางใดนางหนึ่งมาเยี่ยมเยียนถึงวังอีกกระมัง รสสุคนธ์หยุดมองที่หน้าต่างบานกลางตรงยอดโดม เห็นรถยุโรปกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งแล่นผ่านประตูเข้ามาด้านใน ตรงเข้ามาจอดริมต้นสนก่อนจะถึงตัวตึก หญิงสาวใช้มือข้างหนึ่งกอดหนังสือที่ท่านชายประทานให้ มืออีกข้างก็เกาะขอบหน้าต่างแล้วชะแง้แลมองลงมาอย่างสนใจใคร่รู้

ผิดคาดแฮะ...

คนที่ลงจากรถไม่ใช่สตรีคนใดอย่างที่คาด แต่เป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง สวมเสื้อสีฟ้าโปร่งบางจนเห็นเสื้อกล้ามด้านใน รสสุคนธ์ไม่อาจเห็นใบหน้าของชายคนนั้นได้เพราะหมวกสีเทาที่อยู่บนศีรษะบดบังไว้

ทว่าดูเหมือนคนมาเยือนจะรับรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตา จึงเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับถอดหมวกออก คนแอบมองถึงกับสะดุ้งเฮือก รีบหันขวับไปทางอื่น ใจเต้นโครมครามราวกับตนเองกำลังทำผิดมหันต์อย่างไรอย่างนั้น

รออยู่อึดใจใหญ่ๆ รสสุคนธ์จึงค่อยๆหันกลับไปมอง หลุบสายลงต่ำมองไปเบื้องล่างก็พบเพียงตัวรถสีครีมจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

จากที่เห็นเพียงชั่ววินาทีพบว่าผู้ชายคนนั้นหน้าตาดีไม่หยอก รูปร่างสูงโปร่ง ผิวออกจะขาวจัดจนเกือบซีด หากริมฝีปากบางกลับแดงจัด จะว่าไปก็เหมือนกับพระเอกที่ถูกบรรยายไว้ในนิยายเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ผิดเพี้ยน

รสสุคนธ์อยากรู้อยากเห็นขึ้นมาอีกแล้วว่าชายคนนั้นเป็นใคร จึงกวาดตามองหาคนสวนหรือไม่ก็คนรับใช้สักคนเพื่อซักถามให้ได้ความ หากสายตาก็สะดุดเข้ากับใครคนหนึ่งซึ่งทำลับๆล่อๆอย่าหน้าประตูใหญ่ เขาเป็นชายร่างสูงผอม สวมเสื้อกั๊กสีเทาทับกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กางเกงยาวสีเดียวกันกับรองเท้าหนังขัดมันวับ หญิงสาวขมวดคิ้วเมื่อไม่พบว่ามีใครอยู่แถวนั้น กอปรกับความสงสัยจึงตัดสินใจกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงจากตึกไป

เพียงไม่นานเจ้าตัวก็มาหยุดยืนอยู่ตรงประตูเล็กข้างๆประตูใหญ่สำหรับให้รถเข้าออกเสียแล้ว รสสุคนธ์ดูจะไม่เกรงกลัวคนแปลกหน้าเลยแม้แต่น้อย เมื่อหล่อนปลดล็อคดึงประตูให้เปิดออกแล้วชะโงกหน้าออกไป

คราวนี้หล่อนเห็นเขาเต็มตาเลยเชียวล่ะ ผู้ชายตรงหน้าหล่อนจัดว่าหน้าตาดีใช้ได้ แต่ออกจะดูเจียมเนื้อเจียมตัวไม่สง่าผึ่งผายสักเท่าไหร่ หนำซ้ำยังดูหวาดระแวงอะไรบางอย่างเสียด้วย

“ประทานโทษเถอะค่ะ คุณมาพบใครคะ”

เพียงแค่ซักถามเบาๆร่างผอมถึงกับสะดุ้ง ใบหน้าซีดเซียวกว่าเดิมหลายเท่าจนขาวราวกระดาษ

“ว่าอย่างไรคะ”

“เอ่อ...คุณทำงานที่นี่หรือครับ”

“ค่ะ” หญิงสาวตอบออกไปโดยไม่เสียเวลาคิด ก็จะให้หล่อนตอบว่าอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร จะว่าเป็นญาติ หล่อนก็ไม่อาจเอื้อมถึงขั้นนั้น

“คุณยังไม่ตอบฉันเลยว่ามาพบใคร ท่าทางคุณมีพิรุธและมายืนลับๆล่อๆแบบนี้ ฉันคงต้องแจ้งตำรวจแล้วนะคะ”

“โอ...ได้โปรด อย่าทำเช่นนั้นเลยครับ ผมแค่...” ชายหนุ่มทักท้วงขึ้นมาทันควัน ดูเหมือนจะกลัวคำขู่ของหล่อนเป็นอย่างมาก “ผมแค่อยากมาพบคุณชงโคน่ะครับ”

รสสุคนธ์ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที ดวงตากลมโตมีร่องรอยสงสัยเต็มเปี่ยม

“พี่ชงหรือคะ คุณมีธุระอะไรกับพี่ชง”

“พี่ชง? คุณสนิทกับคุณชงโคหรือครับ” สุ้มเสียงนั้นดูดีใจจนปิดไม่มิด

“ฉันเป็นน้องสาวค่ะ แต่...” กำลังจะเอ่ยออกไปว่าชงโคเสียชีวิตแล้ว ก็ไม่ทันเมื่ออีกฝ่ายจับมือของหล่อนไปกำไว้อย่างถือวิสาสะ ทำให้คนไม่เคยถูกมือชายมาก่อนอ้าปากค้าง นึกกังวลว่าจะมีคนมาเห็นจึงรีบชักมือกลับ แต่ชายหนุ่มก็ไม่วายดึงไปอีก คราวนี้เขาเอาจดหมายฉบับเล็กยัดใส่มือหล่อนเสียด้วย

“ฝากให้คุณชงโคด้วยนะครับ ขอบคุณมาก”

เอ่ยเสร็จก็วิ่งจากไป ไม่รอให้หล่อนทักท้วงใดๆเลย แล้วหล่อนจะเอาจดหมายฉบับนี้ให้พี่สาวได้อย่างไรในเมื่อพี่ชงของหล่อนจากโลกนี้อย่างไม่มีวันกลับเสียแล้ว รสสุคนธ์ถอนหายใจเฮือก ชะแง้แลมองตามแผ่นหลังที่หายลับเข้าไปในซอยซอยหนึ่งฝั่งตรงข้ามแล้วจึงปิดประตู เดินกลับขึ้นตึกไปโดยเก็บจดหมายฉบับนั้นไว้ในหนังสือที่กอดไว้แนบอก

ตรงบันไดเตี้ยๆด้านหน้าตึกนั้นเองที่หล่อนเกือบจะชนเข้ากับใครคนหนึ่ง ด้วยไม่ทันระวังเอาแต่ก้มหน้าก้มตามองพื้นครุ่นคิดอยู่นั่นเอง

“อุ๊ย” ร่างเล็กเซซวนแทบจะล้มทั้งยืน แต่ยังไม่ยอมปล่อยหนังสือในมือให้ร่วงหล่น ทำราวกับมันคือของล้ำค่าที่หล่อนต้องรักษาเยี่ยงชีวิต รสสุคนธ์หลับตาแน่นคิดว่าตนเองคงล้มจ้ำเบ้ากับพื้นแข็งๆแน่แล้ว หากก็มีอ้อมแขนแข็งแรงมากระหวัดรัดตัวหล่อนไว้เสียก่อน

...และไม่ใช่เพียงแขนเดียว หากเป็นสองแขนจากคนสองคน!

หล่อนลืมตาขึ้นหลังจากพบว่าตัวเองยังอยู่รอดปลอดภัยดี จากที่ตกใจคิดว่าจะบาดเจ็บกลับต้องตกใจที่ถูกกอดเอวไว้จากชายถึงสองคนด้วยกัน

ร่างเล็กกะพริบตาปริบๆ ตวัดสายตามองเนตรคมกล้า สลับกับดวงตาเรียวอ่อนโยน ซ้ายทีขวาที จนเป็นท่านชายเจตเองที่ทำลายความเงียบรับสั่งออกมาว่า

“เดินระวังหน่อยสิ รสสุคนธ์”

จากนั้นก็ทรงหันไปส่งสายเนตรดุๆให้กับชายอีกคน

“แกปล่อยมือได้แล้ว ทรงกลด”

ชายผิวขาวเลิกคิ้วน้อยๆ มองคนพูดด้วยแววตาออกกวนๆอยู่อึดใจ ก่อนยักไหล่แล้วถอยห่างออกไปแต่โดยดี

เมื่อได้มาอยู่ใกล้กันเช่นนี้ รสสุคนธ์จึงได้สังเกตเห็นว่าผิวของเขาไม่ได้ขาวซีดไปเสียทั้งหมด แต่มีบางส่วนออกแดงคล้ำเหมือนคนตากแดดนานๆ นี่ถ้าไม่ใช่คนที่มีผิวขาวจัดเป็นทุนเดิมแล้วล่ะก็ สีผิวของนาย ‘ทรงกลด’ คงไม่แคล้วเป็นสีเดียวกับท่านชายเป็นแน่

รสสุคนธ์เบือนสายตากลับมามองสบดวงเนตรคมดุอีกครา เพียงมองจ้องลึกไปในนัยเนตรดำสนิท เจ้าตัวก็ใจสั่นไหวขึ้นมาอีกจนได้ ร่างเล็กรีบผละออกห่างจากอ้อมกร ก่อนประกบมือเข้าหากันไหว้อย่างนอบน้อม

“ขอบพระทัยเพคะ”

จากนั้นจึงเผื่อแผ่ไปให้คนที่ยืนเยื้องอยู่ทางเบื้องปฤษฎางค์ของท่านชายเสียด้วยเลย คะเนแล้วเขาคงอายุมากกว่าพอสมควรจึงไม่แปลกอะไรที่หล่อนจะยกมือไหว้

“ขอบคุณค่ะ”

ฝ่ายนั้นยกมือรับไหว้ ก่อนเอ่ยด้วยสุ้มเสียงร่าเริง

“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ผิดที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ นี่ถ้าคุณเกิดบาดเจ็บขึ้นมา ผมคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่เลย”

โห...มันหนักหนาสาหัสถึงขั้นต้องรู้สึกผิดไปทั้งชีวิตเลยหรือไร หญิงสาวแอบขำอยู่ในใจ ขณะก้มหน้านิ่งเงียบ ริมฝีปากแย้มออกเพียงนิดเท่านั้น

“ฉันจะออกไปสังสรรค์กับเพื่อนหน่อย ฝากดูแลหม่อมแม่ด้วยนะ ตอนนี้ท่านคงหลับอยู่”

“เพคะ”

“ค่ำๆถึงจะกลับ” รสสุคนธ์เงยหน้ามองพักตร์คร้ามคม ก่อนจะเลี่ยงหลบให้อีกฝ่ายสาวบาทไปยังรถสีครีม เมื่อคนที่ชื่อทรงกลดเดินผ่านเขาก็แนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ

“ผมชื่อทรงกลดครับ คุณคือ...”

“รสสุคนธ์ค่ะ” เอ่ยแนะนำตัวเองก่อนยกมือไหว้อีกครั้ง

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ แล้วผมจะแวะมาบ่อยๆ เอ่อ...” ดูเหมือนเขาจะมีเรื่องพูดต่อ แต่ถูกท่านชายผู้เอาแต่พระทัยร้องเรียกยิกๆ จึงจำต้องผละห่างจากสาวน้อยหน้าแฉล้มไปโดยปริยาย

“ไว้พบกันวันหลังนะครับคุณรสสุคนธ์ บาย!”

ทรงกลดเอ่ยลาแบบสมัยใหม่แล้วเดินลิ่วจากไป รสสุคนธ์หันไปมองเพียงแวบเดียว จึงหมุนตัวเดินเข้าไปข้างใน ขึ้นบันไดตรงไปยังห้องบรรทมของท่านหญิงนวลแข กะจะไปอยู่รับใช้ท่านเสียหน่อย แต่เมื่อไปถึงก็พบว่าป้าวาดนั่งเย็บเสื้อเฝ้าอยู่หน้าห้อง

“ท่านหญิงบรรทมหรือคะ”

“เจ้าค่ะ คุณรสมีธุระอะไรกับท่านหรือเจ้าคะ” 

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ รสแค่จะมาดูแลท่าน”

“ไม่ต้องห่วงดอกเจ้าค่ะ เดี๋ยวป้าดูแลเอง เชิญคุณรสพักผ่อนตามสบายเถอะเจ้าค่ะ”

รสสุคนธ์ยิ้มและเอ่ยขอบคุณเบาๆ ก่อนหมุนตัวเดินกลับไปยังห้องนอนของตนซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของตัวตึก พอเข้ามาในห้องได้ ก็ทิ้งตัวลงนอนคว่ำหน้า เปิดหนังสือในมือแล้วหยิบจดหมายฉบับเล็กออกมาในทันใด

จดหมายในมือหล่อนแต่กรุ่นกลิ่นหอมเหมือนดอกไม้อบแห้ง ชวนให้หล่อนเผลอดอมดมอย่างชื่นใจไม่ได้ จากนั้นจึงยกมือพนม

“พี่ชงคะ รสขออนุญาตอ่านด้านในนะคะ พี่ชงคงไม่ว่าอะไร”

เมื่อขอเสร็จสรรพแล้วจึงค่อยๆบรรจงฉีกซองอย่างเบามือราวกลัวว่าจะทำให้จดหมายด้านในบุบสลายอย่างไรอย่างนั้น ด้านในมีจดหมายหนึ่งฉบับพับหลายทบ รสสุคนธ์หยิบออกมาแล้วเปิดอ่าน เพียงแค่เห็นบรรทัดแรก ร่างกายของหล่อนก็ชาวาบ หัวใจราวกับจะหยุดเต้นไปเสียอย่างนั้น

 

ชงโค สุดที่รักของพี่...

 

...นี่มันอะไรกัน...สุดที่รักงั้นหรือ?

...จะมีเพื่อนที่ไหนเขียนแบบนี้หากันเล่า ถ้าไม่ใช่จดหมายเกี้ยวพาราสี ก็ต้องเป็นจดหมายระหว่างสามีภรรยาแล้ว

รสสุคนธ์ยังไม่ทันอ่านข้อความในจดหมาย ก็ตวัดสายตาไปมองบรรทัดสุดท้ายเสียก่อน

 

รักเธอเสมอตราบจนชีวิตจะหาไม่

นพ

 

ลงท้ายด้วยถ้อยคำแสนหวานเกินกว่าคำว่าเพื่อน รสสุคนธ์ถือกระดาษใบนั้นด้วยมือที่สั่นระริก คิ้วบางขมวดเข้าหากันจนเป็นปม ขณะที่ดวงตากลมโตมีร่องรอยของความสงสัยไม่แน่ใจและหวั่นกลัว

...พี่สาวของหล่อนทำผิดต่อท่านชายหรือเปล่าหนอ...

...โธ่...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จดหมายฉบับนี้เป็นของพี่ชงจริงๆหรือ หรือว่ามีใครจงใจเขียนมาแกล้งหล่อน แล้วผู้ชายที่ชื่อนพเป็นใครกันเล่า รู้จักพี่สาวของหล่อนได้อย่างไร เขาคือผู้ชายที่ยืนลับๆล่อคนนั้นหรือเปล่า...

คำถามมากมายยังคงค้างค้าในใจ และแม้จะเสียเวลาครุ่นคิดทั้งคืนก็คงไม่อาจหาคำตอบให้กระจ่างแก่ใจได้นั่นเอง


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (12 รายการ)

www.batorastore.com © 2024