เพียงใจเจ้าเอย (ชุด เพียงดวงใจ) (ศศิภา)

เพียงใจเจ้าเอย (ชุด เพียงดวงใจ) (ศศิภา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786163613790
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 390.00 บาท 97.50 บาท
ประหยัด: 292.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

 

 

แสงอรุโณทัยทาบทาขอบฟ้าเบื้องบน สาดแสงกระทบผิวน้ำจนเกิดประกายระยับงดงาม หากวรองค์แบบบางผู้เคยโปรดปรานการชมรอยระยับบนผืนมหาสมุทร บัดนี้กลับสาวพระบาทเร่งร้อนจากพระตำหนักชโลทร ผ่านพระตำหนักบุปผางามและวนอุทยานหลายแห่ง

กระทั่งมาถึงพระตำหนักอิศเรศ...ที่ประทับของเจ้าฟ้าชายชลธิศธราดล

ทรงไม่รีรอใดๆทั้งสิ้น ฝีพระบาทเร็วจนเกือบเป็นวิ่งขณะขึ้นบันไดโค้งมุ่งหน้าสู่ห้องพระบรรทมของ ‘พระสวามี’ ซึ่งพระองค์เคยล่วงล้ำเข้ามาเพียงครั้งเดียว

ยามเมื่อมาถึงระเบียงทอดยาว ทรงเห็นมหาดเล็กและเหล่าทหารกำลังยืนอออยู่หน้าห้องบรรทมของพระองค์ตรงสุดปลายทางเดิน บอกชัดว่าทรงอาการ...สาหัส

ฟ้าหญิงอุษาวดีรีบเร่งฝีพระบาท คราวนี้ทรงไม่สนพระทัยแล้วว่าเสียงฝีพระบาทขององค์เองจะดังกึกก้องเพียงใด สิ่งที่สำคัญที่สุดในยามนี้คือ...ต้องเข้าไปข้างในห้องนั้นให้ได้

เมื่อทหารทั้งหลายหันมาเห็นวรองค์แบบบางก็รีบหลบและเปิดทางให้พระองค์ทันควัน ทรงคาดว่าคงไม่ยากที่จะเข้าไปด้านใน หากบุรุษร่างสูงในชุดรัดกุมสีน้ำเงินเข้ม โพกศีรษะด้วยผ้าสีเดียวกันกลับก้าวเข้ามาขวางก่อนที่จะทรงเอื้อมมือสัมผัสบานพระทวาร

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ทรงเข้าไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ทำไม” สุรเสียงทรงอำนาจ ดวงเนตรอ่อนแสงสุกสกาวแข็งกร้าวขึ้นมาในบัดดล “จะให้เราเข้าไปดีๆ หรือจะให้เราตัดหัวเจ้า!”

คนถูกขู่กะพริบตาปริบๆ ไม่คิดว่าวรองค์แบบบางตรงหน้าจะข่มขู่ได้น่ากลัวไม่แพ้ฟ้าชายผู้เป็นเจ้าชีวิตเลยทีเดียว

“เราจะเข้าไป”

เห็นแววเนตรแน่วแน่แล้ว ราชองครักษ์หนุ่มก็ต้องยอมถอยแต่โดยดี

เมื่ออีกฝ่ายเปิดทาง เจ้าฟ้าหญิงอุษาวดีก็ทรงสูดลมหายพระทัยลึกยาว รู้ว่าพระหัตถ์ขององค์เองสั่นระริกจนต้องประสานกันไว้ตรงบั้นพระองค์ รอจนนายทหารผู้นั้นเปิดบานพระทวารให้ พระองค์จึงสาวบาทเข้าไปด้วยดวงหทัยที่หวั่นเกรง

ต่อเมื่อสาวพระบาทเข้ามาประทับยืนด้านใน ก็ทรงเห็นวรองค์สูงใหญ่ประทับอยู่บนพระที่ กำลังหลับพระเนตร หายพระทัยอ่อนแรง พระพักตร์ไร้สีเลือดอย่างน่ากลัว และ...

อัสสุชลเอ่อคลออย่างไม่อาจห้ามได้ เมื่อเห็นพระโลหิตแดงฉานบนผ้าพันแผลบริเวณบั้นพระองค์และตรงพระอุระข้างซ้าย

นั่นแสดงว่าข่าวที่ได้รับเป็นเรื่องจริง พระองค์ทรงต้องพระแสงปืนเมื่อคืนนี้ ตอนออกไปลาดตระเวนแถบชายแดน

“พระชายา!” ทั้งเจ้าคุณกลาโหม โฆษิต แพทย์ทหาร และนายทหารที่ยืนดูพระอาการเรียกพระองค์อย่างตกใจ คงไม่คาดคิดว่าจะทรงรู้เรื่องทั้งที่ช่วยกันปิดข่าวกันยกใหญ่...ดีอยู่หรอกที่ทรงมีคนสนิทที่เก่งกาจในการสืบข่าวอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นก็ทรงยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเป็นแน่แท้

“เสด็จมาที่นี่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

ฟ้าหญิงอุษาวดีกะพริบพระเนตรถี่เร็วขับไล่อัสสุชลไม่ให้รินไหลตกต้องพระปราง ก่อนสาวบาทเข้าไปใกล้คนที่บรรทมไม่ได้พระสติ

“พระอาการเป็นยังไงบ้าง”

ไม่ตรัสตอบคำถามของหมอหลวงผู้นั้น แต่กลับสนพระทัยเพียงแต่พระสวามีผู้ซึ่งมีใครอื่นในพระทัยตลอดมา

“เสียพระโลหิตมาก...เกินไป”

คงจะดีถ้าคำรายงานนั้นไม่มีคำว่า ‘เกินไป’ต่อท้าย เพราะนั่นย่อมแสดงถึงแนวโน้มที่ไม่ค่อยจะดีนัก

“กระสุนฝังลึก และใกล้จุดสำคัญกระหม่อม”

วรองค์ในฉลองพระองค์สีครีมแทบทรุดฮวบลงกับพื้นหลังจากได้ยินคำรายงานจากแพทย์ผู้ถวายการรักษา พระหัตถ์ที่ประสานกันไว้สั่นระริก ก่อนอัสสุชลที่เฝ้ากล้ำกลืนมานานหยาดหยดลงมาอย่างไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป ถึงกระนั้นสุรเสียงของพระองค์ก็ยังมั่นคง

“ยังพอมี...โอกาสไหม”

“ถ้าทรงพ้นคืนนี้...” ได้รับคำตอบเพียงแค่นั้น เจ้าฟ้าหญิงอุษาวดีก็ทรงเข้าพระทัย...โอกาสรอด...ครึ่งต่อครึ่ง

ต่อจากนี้ไปคงทำได้แค่รอ...และภาวนา

เจ้าฟ้าหญิงอุษาวดีทรุดองค์ลงประทับนั่งเคียงข้างพระสวามี แล้ววางหัตถ์เล็กลงบนหัตถ์หยาบกร้านซึ่งวางอยู่ข้างพระวรกาย บีบกระชับเท่าที่แรงจะพอมี

ราวกับจะทรงรับรู้ถึงแรงสัมผัสนั้น พระเนตรที่หลับสนิทจึงค่อยๆลืมขึ้น

“ใคร...” สุรเสียงแหบแห้งผิดกว่าเคยราวกับเป็นคนละคน ดวงเนตรสีดำสนิทกวาดไปมา ก่อนมาหยุดอยู่ที่พระพักตร์หม่นแสง และมีน้ำพระเนตรรินไหลไม่ขาดสาย

“...วดี”

“เพคะ”

“อย่าร้องไห้...” ยิ่งถูกห้าม น้ำพระเนตรก็ยิ่งไหลริน ตกต้องหัตถ์เย็นเยียบของเจ้าฟ้าชายชลธิศธราดล “...พี่กลับมาแล้ว ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้า ไยจึงต้องร้องไห้”

“ใครมันกล้าทำ...” สุรเสียงดุดันเคียดแค้น ขณะคนเจ็บเพียงแต่ยกมุมโอษฐ์ขึ้นเล็กน้อย ก่อนรับสั่งช้าชัด

“อยากกลับสิขเรศไหม”

สิขเรศ...บ้านที่ทรงจากมาเกือบห้าเดือนแล้ว ทรงยังคิดถึงไม่สร่างซา ทว่า...คิมหันต์นครแห่งนี้พระองค์ก็ทรงผูกพันไม่แพ้กัน

“อยากให้วดี...ไปหรือเพคะ”...รับสั่งให้กลับสิขเรศ นั่นย่อมหมายถึงการไม่อยากพบเห็นกันอีกต่อไปมิใช่หรือ...อัสสุชลหลั่งรินราวทำนบพังทลาย

ทรงทราบมาตลอดว่าดวงหทัยของ ‘พี่ชล’ มีใครซุกซ่อนอยู่ แต่ไม่เคยคิดว่าจะทรงเกลียดพระองค์จนอยากไล่ไปเสียให้พ้นๆเช่นนี้

“ไม่ได้อยู่ที่อยาก หรือไม่อยาก” ทรงหายพระทัยแรง หลับพระเนตรนิ่งนานราวกับกำลังข่มความเจ็บปวด “อยู่ที่ควร หรือไม่ควร”

หากเป็นในยามปกติ ฟ้าหญิงอุษาวดีคงรับสั่งถามแล้วว่าควร ไม่ควรอย่างไร แต่ในยามนี้พระองค์ทำได้เพียงปิดพระโอษฐ์แนบแน่นเท่านั้น

“สิขเรศยังสงบ แต่ที่นี่...ยังมีเรื่องต้องสะสาง” คำอธิบายที่ไม่ได้ทำให้ดวงหทัยของคนฟังคลายความเศร้าและเจ็บปวดลงได้เลย “ไปเสียเถิด...จะให้ราชิดกับกษิดิษไปส่ง”

“แต่วดีห่วง...”

“ไม่ต้องห่วง...พรุ่งนี้ก็ลุกมาเดินไปไหนต่อไหนได้แล้ว”

ทรงทราบ...ถ้อยรับสั่งนั้นยากที่จะเป็นไปได้

“..ไปเถอะ”

เมื่อเป็นพระบัญชา วรองค์เล็กบางจึงไม่อยากขัด พระองค์ทรงประทับยืนอย่างเนิบช้า ปล่อยหัตถ์จากการเกาะกุมกันแนบแน่น แล้วรับสั่งด้วยสุรเสียงแผ่วเบา

“ดูแลองค์เองด้วยเพคะ”

“ถ้า...ยังมีชีวิตอยู่...จะไปรับ แต่ถ้าไม่...สิขเรศจะเป็นบ้านของเจ้าได้ดีกว่าคิมหันต์นคร โชคดี...อุษาวดี”

สุรเสียงยามเรียกพระนามของพระองค์ทอดหวานกว่าครั้งใด เจ้าฟ้าหญิงอุษาวดียกหัตถ์เช็ดน้ำพระเนตรขององค์เอง ก่อนมีพระบัญชา...เลียนแบบคนตัวโตซึ่งทำอยู่บ่อยครั้ง

“ต้องสัญญาว่าจะไปหาวดีที่สิขเรศ” ไม่รับสั่งว่าไปรับเพราะไม่แน่พระทัยนักว่าเมื่อถึงวันนั้น พระสวามีจะยังต้องการให้พระองค์มาอยู่ที่คิมหันต์นครด้วยหรือไม่...บางทีอาจจะเป็นเพียงไปพบตามสัญญาแล้วแยกย้ายจากกันไปเท่านั้น

“พี่ไม่ชอบผิดสัญญา”

“ถ้าไม่สัญญา วดีจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”

ดวงเนตรสีดำสนิทอ่อนแสงลง ก่อนจะวับหวานขึ้นเกินกว่าจะเป็นสายตาของคนเจ็บ ถึงกระนั้นคนมองสบก็หาได้รู้ความนัยแอบแฝงของดวงเนตรคู่นั้นไม่

“สัญญา...จะไป...”

“วดีเชื่อในสัญญา...จะคอย”

...นานแค่ไหนก็จะคอย จนกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง...ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม...

 

โปรดจงยึดมั่นในสัญญา

แม้เวลาผันผ่านไม่แปรผัน

จักเฝ้ารอตราบจนสิ้นชีวัน

ใจคงมั่นตราบวันโลกทลาย

 

 

 

สิขเรศ...เก้าปีก่อน

วันที่ลมเหมันต์พัดกระหน่ำพร้อมกับการมาเยือนของเจ้าฟ้าชายชลธิศธราดลแห่งคิมหันต์นครผู้ซึ่งมีพระชนมพรรษาครบสิบห้าพรรษาเมื่อไม่นานมานี้ การเสด็จมาในครั้งนี้มิได้มีผู้ติดตามมากมายเหมือนเมื่อครั้งพระบิดาของพระองค์เสด็จมา หากมีเพียงราชองครักษ์หนึ่งนาย และนายทหารผู้ติดตามขนข้าวของส่วนพระองค์มาให้เพียงเท่านั้น ถึงกระนั้นราชาทิศวัต...บรมกษัตริย์แห่งสิขเรศก็ทรงเปิดท้องพระโรงต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ

ภาพของหนุ่มน้อยร่างผอมสูงในฉลองพระองค์สีน้ำเงินเข้มรัดกุมแบบทหารคลุมทับด้วยผ้าคลุมน้ำเงินขลิบทองป้องกันความหนาว โพกพระเศียรด้วยผ้าฝ้ายสีน้ำเงินโดยปล่อยชายผ้าไว้มิได้นำมาปกปิดพระพักตร์แต่อย่างใดไม่ผิดไปจากที่เคยดำริไว้นัก เจ้าชายชลธิศธราดลทรงมีผิวพระวรกายคล้ำแดดเช่นชาวเมืองติดทะเลทั่วไป โครงพักตร์รูปไข่ ขนงเข้ม นาสิกโด่ง และพระโอษฐ์หยักลึก อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเมื่อถึงวัยหนุ่มเต็มตัว องค์ทิศวัตทรงเชื่อว่าจะทรง ‘งาม’ ไม่แพ้เจ้าฟ้าชายจากแคว้นอื่นเลยแม้แต่น้อย

 วรองค์อวบท้วมเสด็จลงจากราชบัลลังก์ เมื่อเจ้าฟ้าชายจากคิมหันต์นครทรงคุกพระชานุลงบนผืนพรมสีแดงเลือดหมูปักลวดลายวิจิตร พระหัตถ์ข้างหนึ่งทรงวางทาบลงบนพระอุระขององค์เอง สองเนตรหลุบลงต่ำ ต่อเมื่อทรงสาวบาทเข้าไปหาและประทับยืนตรงหน้า อีกฝ่ายจึงเงยพระพักตร์

“ยินดีต้อนรับ ชายชล...ลุงเคยพบเจ้าตอนเจ้ายังแบเบาะ แต่ตอนนี้เป็นหนุ่มแล้วสินะ” ทรงประคองวรกายผ่ายผอมให้ประทับยืน ก่อนกวาดสายพระเนตรพิจารณาอย่างใกล้ชิด

“สูงมาก...อีกหน่อยคงองอาจผึ่งผาย แข็งแกร่งไม่แพ้บิดาของเจ้าแน่ๆ”

คนถูกชมแย้มโอษฐ์เพียงน้อย ก่อนตรัสถามสารทุกข์สุกดิบตามมารยาท   

“เสด็จลุงสบายดีหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ยังสบายดีอยู่ แต่ก็เป็นหวัดประจำ” รับสั่งด้วยเสียงเริงรื่น “ที่นี่คงหนาวสำหรับเจ้าล่ะสิ”

“ยังพอทนได้พ่ะย่ะค่ะ”

“คงต้องดูแลตัวเองหน่อยล่ะ ชายชล อากาศที่นี่เย็นตลอดปีเลยทีเดียว” ทรงซักถามอีกสองสามประโยคจึงวางพระพาหาโอบรอบอังสาของฟ้าชายชล

“มา...มารู้จักครูของเจ้าก่อนเถิด”

ทรงพาพระองค์ไปทำความรู้จักกับเสนาบดีกลาโหม...พลเอกวิษศุเวศ เสนาบดีมหาดไทย...พลตำรวจเอกธาดา และที่ปรึกษาส่วนพระองค์...เจ้าชายนฤบดินทร์ผู้เป็นพระอนุชาขององค์ทิศวัตนั่นเอง ทรงทำความรู้จัก ทำความเคารพพระอาจารย์ทั้งสามอย่างไม่ถือองค์ เต็มไปด้วยความนอบน้อมจนเรียกรอยชื่นชมเอ็นดูจากคนทั้งสามได้เป็นอย่างดี

ระหว่างที่ต่างฝ่ายต่างพูดคุยทำความรู้จักกันนั้น ใครคนหนึ่งที่แอบดูจากข้างบนถึงกับดึงผ้าม่านออกมากขึ้นแล้วแทบจะชะโงกพระเศียรออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น หากถูกคนข้างพระวรกายปรามเบาๆ

“อย่าทำอย่างนั้น วดี ...ไม่งาม”

เช่นเดียวกับพระพี่เลี้ยงร่างผอม

“ใช่เพคะ ไม่งามเลยเพคะ ทูลกระหม่อมของนม”

คนถูกต่อว่าย่นพระนาสิกเชิดรั้น เบือนสายพระเนตรกลมโตพิสุทธิ์ใสมายังคนทั้งสอง

“ทำไมพี่หญิงกับนมถึงชอบพูดเหมือนกันอยู่เรื่อย”

ได้ยินสุ้มเสียงกระเง้ากระงอดของขนิษฐาตัวน้อย ฟ้าหญิงคคนางค์ถึงกลับกลั้นรอยแย้มสรวลไว้ไม่มิด ทรงวางหัตถ์ลงบนพระเศียรยุ่งๆของอีกฝ่ายแล้วเขย่าเบาๆอย่างเอ็นดู

“เจ้านี่มันจอมแก่นซะจริง หญิงวดี”

“วดีรู้เพคะ...ใครๆก็พูดกันแบบนั้น ไม่ว่าจะทูลหม่อมพ่อ ทูลหม่อมแม่ นมผ่อง หรือแม้แต่นมเอื้องของพี่หญิง ขนาดท่านลุงวิษยังพูดแบบนั้นอยู่บ่อยๆเลยเพคะ”

ทรงพร่ำบ่นด้วยความหงุดหงิด หากปุบปับกลับเลิกสนพระทัย เพราะเห็นว่าผู้ชายตัวสูงๆดู ‘เก้งก้าง’ ขยับกายตั้งท่าจะออกจากท้องพระโรงแล้ว คนตัวเล็กจึงกระทำวีรกรรมที่คงทำให้พระมารดาต้องส่ายพระเศียรอย่างระอาด้วยการปาดอกเอื้องที่ทรงเด็ดมาจากวนอุทยานเมื่อเช้าลงไป

และ...เหมาะเหม็ง!

ดอกสีส้มแสนสวยกระทบหน้าผากของคนหน้าดุเข้าอย่างจัง!

ร่างเล็กป้อมโปรยยิ้มอย่างสนุกสนาน ผิดกับพระพี่นางซึ่งเผยอพระโอษฐ์อย่างตกพระทัย พร้อมกับเปิดพระวิสูตรมากขึ้นเพื่อดูให้แน่ชัดว่าคนโชคร้ายผู้นั้นจะไม่เป็นอะไร จากนั้นจึงทรงต่อว่าคนก่อเรื่อง

“วดี! เจ้าทำอะไรลงไปน่ะ!”

ยังไม่ทันจะต่อว่าหรือกระทำการอันใดต่อ ตัวต้นเหตุของเรื่องก็รีบทรุดองค์ลงนั่งก้มศีรษะหลบสายพระเนตรของเจ้าฟ้าชายชลธิศ ทว่า...พี่หญิงของพระองค์หลบไม่ทัน จึงได้แต่เบิกเนตรกว้างอย่างตะลึงเมื่อเห็นวรองค์ผอมสูงจ้องเขม็งมายังพระองค์

เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีกว่านี้จึงทรงแย้มสรวลอย่างจืดเจื่อนแล้วรีบปิดพระวิสูตรในบัดดล ก่อนคว้าพระหัตถ์คนที่กำลังสรวลคิกคักอยู่บนพื้น

“รีบไปเถอะ พี่ไม่อยากโดนทูลหม่อมพ่อดุหรอกนะ” จากนั้นก็รีบลาก รีบดึงร่างเล็กให้เดินตามออกจากห้องเสียโดยเร็ว โดยมีพระพี่เลี้ยงของเจ้าหญิงพระองค์เล็กคอยตามติดไม่ห่าง

หลังจากม่านหนาหนักสีแดงเลือดหมูปิดลง พร้อมพระพักตร์หวานละมุนผลุบหายไป เจ้าฟ้าชายชลธิศจึงก้มพระพักตร์พิจารณาดอกเอื้องดอกเล็กที่ไม่เคยพบเห็นในคิมหันต์นครอย่างสนพระทัย อดขบขันเล็กๆไม่ได้ว่าการต้อนรับของสิขเรศดูแปลกกว่าแคว้นอื่นเสียเหลือเกิน ทรงพระสรวลเบาๆในลำพระศอก่อนจะรีบเก็บดอกนั้นในฉลองพระองค์ แล้วหันไปรับสั่งกับองค์ทิศวัตตามปกติเมื่อได้ยินถ้อยรับสั่งถาม

“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า เมื่อกี้ลุงเห็นอะไรหล่นมาจากด้านบน”

รับสั่งพลางเงยพักตร์ขึ้นไปยังชั้นสองของอาคาร แล้วพึมพำกับองค์เอง

“หวังว่าเจ้าตัวยุ่งคงไม่ก่อเรื่องหรอกนะ”

“อะไรหล่นหรือพ่ะย่ะค่ะ” ทรงผินพระพักตร์มาทางคนถามแล้วโบกหัตถ์ไปมา

“ช่างเถอะ ลุงคงตาฝาดไปเอง”

บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น เมื่อเจ้าฟ้าชายชลธิศต้องเสด็จฯไปยังพระตำหนักที่องค์ทิศวัตทรงเตรียมไว้ให้ล่วงหน้าเกือบห้าวันทีเดียว

 

วรองค์สูงผอมกับเล็กป้อมพากันวิ่งไปตามโถงทางเดิน วกอ้อมไปทางวนอุทยานเพื่อรีบกลับพระตำหนักขององค์เอง ขณะที่พระพี่เลี้ยงวิ่งตามอย่างเหนื่อยหอบ พอมาถึงครึ่งทางก็เอนตัวพิงต้นไม้ใหญ่อย่างหมดเรี่ยวแรง หากก็ยังไม่วายห้ามปรามอย่างเป็นห่วง

“ทูลกระหม่อมเพคะ อย่าวิ่งเพคะ”

เจ้าฟ้าหญิงคคนางค์ดูจะทรงเชื่อฟังอยู่บ้าง จึงชะงักฝีพระบาทไว้ ส่วนฟ้าหญิงพระองค์เล็กหาได้เชื่อฟังไม่ พระองค์ดึงพระหัตถ์ออกจากการเกาะกุมของพี่หญิง แล้วออกวิ่งตรงไปยังตำหนักของตนเอง ระหว่างนั้น เห็นนางกำนัลเดินผ่านมา ก็แกล้งหยอกนิดหยอกหน่อย บ้างก็แอบไปหลบมุมตรงสุมทุมพุ่มไม้ ก่อนจะโผล่พรวดออกมาอย่างรวดเร็วให้พวกสาวๆตกใจเล่น

เห็นดังนั้นฟ้าหญิงคคนางค์ก็ส่ายพระพักตร์ ทรงทราบมาตลอดว่าน้องหญิงขององค์เองแก่นแก้วขนาดไหน หากไม่คิดว่ายิ่งโตจะยิ่งซนขนาดนี้ พระองค์ทรงสาวพระบาทตาม และตะโกนเรียก

“วดี...ทำตัวดีๆหน่อย”

‘ทำตัวดีๆ’ ที่ว่าเป็นอย่างไรฟ้าหญิงอุษาวดีไม่เข้าพระทัยนัก พระองค์รู้แค่ว่าทรงสนุกและขบขันยามได้เห็นผู้คนกรีดร้องตกใจ หรืออ้าปากค้างจนแมลงวันแทบจะบินเข้าปากอยู่แล้วนั่นละ...สนุกนัก!

“วดี...หยุดรอพี่ก่อน”

แว่วสุรเสียงของพี่หญิงให้หยุดรอ  เจ้าหญิงพระองค์น้อยทรงหยุดจริง หากก็เพียงผินพระพักตร์มาทางพระพี่นางเพียงชั่วขณะ แล้วแย้มพระโอษฐ์กว้าง ก่อนตะโกนกลับไปว่า

“พี่หญิงก็วิ่งมาหาวดีสิเพคะ เดินช้าๆแบบนั้นเมื่อไหร่จะทันล่ะ”

แล้ว ‘เจ้าตัวยุ่ง’ ก็วิ่งบ้าง กระโดดบ้าง บางครั้งก็เด็ดดอกไม้ที่อยู่ตามรายทางมาปาทิ้งเล่นๆ และเพราะความที่เอาแต่หันไปทางนู้นที ทางนี้ที จึงไม่ทันระวังว่าจะชนเข้ากับใครบางคนจนแทบกระเด็น หากคนที่ถูกชนกลับรั้งพระองค์ไว้ได้ทัน

วรองค์เล็กร้องเบาๆอย่างตกพระทัย ต่อเมื่อรับรู้ว่าพระองค์ไม่ได้ล้มต่อหน้าใครๆให้ได้อาย จึงพ่นลมหายพระทัยทางพระโอษฐ์อย่างโล่งพระอุระ จากนั้นจึงเงยพระพักตร์ดูว่าคนที่กำลังกอดรัดพระองค์ในตอนนี้เป็นใคร

วรองค์ ‘เก้งก้าง’ คือคำตอบ

...คนที่ช่วยพระองค์ไว้คือเจ้าชายจากต่างแคว้นผู้มีพระพักตร์ดุและถูกพระองค์ต้อนรับด้วยดอกเอื้องแสนงามนั่นเอง

ยังไม่ทันจะตรัสทักทายหรือรับสั่งถามว่าเจ้าดอกเอื้องสีส้มดอกนั้นทำให้พระองค์ทรงเจ็บพระนลาฏหรือไม่ เหล่านางกำนัลก็วิ่งกรูเข้ามารายล้อม พร้อมกับพร่ำพูดฟังไม่ได้ศัพท์

“ตายแล้ว ทูลกระหม่อมหญิง ทรงเป็นอะไรไหมเพคะ”

เสียงอื้ออึงดังขึ้นพร้อมกับที่วรองค์ผอมๆคลายอ้อมพระกร คนถูกกอดอยู่นานจึงถวายบังคมผลุบ...รวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน ก่อนขออภัยโทษแบบขอไปที

“ขอประทานอภัยเพคะ”

แถมยังทำพระพักตร์บึ้ง ย่นพระนาสิกให้เสียอีก ขณะที่เสียงหนึ่งในพระทัยดังขึ้น

...เราไม่ผิดสักหน่อย อยากมาขวางทางเราทำไมล่ะ!

ไม่มีใครรู้ว่าตอนนั้นพระองค์ดำริในสิ่งใด จึงปราดเข้ามาสำรวจตรวจตราด้วยคิดว่าทรงบาดเจ็บ

“บาดเจ็บตรงไหนหรือเพคะ”

ยังไม่ทันตอบ ฟ้าหญิงคคนางค์ก็สาวบาทมาถึงพร้อมกับพระพี่เลี้ยงของพระขนิษฐา

อย่างแรกที่ทรงทำคือถวายบังคมอย่างงดงามชดช้อย นุ่มนวลอ่อนหวาน พร้อมกับสุรเสียงหวานละมุนชวนฝัน...แบบที่ฟ้าหญิงอุษาวดีสงสัยนักว่าต้องทำเช่นไรจึงจะหวานได้เท่าพี่หญิงของพระองค์

“ขอประทานอภัยแทนน้องหญิงของหม่อมฉันด้วยเพคะ...”

ถ้อยรับสั่งนั้นทำให้เจ้าฟ้าชายชลธิศธราดลรับรู้ว่าสาวน้อยทั้งสองตรงหน้าคือพระธิดาในบรมกษัติรย์แห่งสิขเรศ

คนหนึ่งนั้นมีวรองค์โปร่งระหง งดงามด้วยฉลองพระองค์สีครีมเน้นส่วนบั้นพระองค์ พระเกศาสีน้ำตาลอ่อนรับกับวงพักตร์หวาน ส่วนอีกคนดูป้อมๆกลมๆแก้มยุ้ยๆ...น่าหยอกเล่นจริงเชียว!

“หม่อมฉัน...คคนางค์เพคะ” เสียงนั้นดึงพระสติของฟ้าชายชลให้กลับคืน “ส่วนนี่...” รับสั่งพร้อมกับวางพระหัตถ์ลงบนพระเศียรของอีกฝ่าย “...น้องหญิงอุษาวดีเพคะ”

ฟ้าชายชลผงกพระเศียรรับรู้ ก่อนรับสั่งแนะนำองค์เองบ้าง

“หม่อมฉัน...ชลธิศธราดล  ยินดีที่ได้รู้จัก” จากนั้นก็ทรงเบือนสายพระเนตรมายังฟ้าหญิงพระองค์เล็ก แล้วให้ข้อสรุปกับองค์เองว่า...พระองค์ยังเด็ก และซุกซนจนฉลองพระองค์สีครีมกลายเป็นสีหม่นไปเสียแล้ว

“ยินดีที่ได้พบเช่นกันเพคะ”

ฟ้าหญิงคคนางค์รับสั่งพร้อมกับแย้มพระโอษฐ์อย่างสวยงาม...เป็นเสน่ห์ที่ฟ้าชายจากแคว้นอื่นเคยทอดเนตรอย่างตกตะลึง และหลงใหลมาแล้ว ครั้งนี้ฟ้าหญิงอุษาวดีไม่เห็นความแตกต่าง เมื่อ ‘คนเก้งก้าง’ ประทับยืนนิ่งอึ้งพร้อมรอยแย้มพระโอษฐ์บางๆและสายพระเนตรพึงพระทัย

พระพี่นางของพระองค์งดงามเสมอ ขณะที่องค์เอง...ไม่แก่นแก้วแสนซน ก็พระพักตร์มอมแมมอย่างกะแมวคราว ไม่อีกทีก็แสนดื้อรั้น ขณะที่ฟ้าหญิงคคนางค์ได้รับแต่คำชมเสมอมา ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่ได้น้อยพระทัยเลยแม้แต่น้อย เพราะเห็นว่าจริงตามนั้นทุกอย่าง...สำหรับองค์เองแล้ว ทรงไม่ชอบที่จะต้องเรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้เช่นพี่หญิง ทรงมีความสุขกับความซุกซนเล็กๆที่ไม่ได้ทำให้ใครๆรักมากมาย หากก็ไม่มีคนเกลียดเฉกกัน

“น้องหญิงของหม่อมฉันซุ่มซ่ามแบบนี้ประจำ...อภัยให้นางด้วยเถิดเพคะ”

‘คนซุ่มซ่าม’ทำพระโอษฐ์ยื่นยาว ขณะพระพี่นางรับสั่งต่อ

“กำลังจะเสด็จไหนหรือเพคะ”

“หม่อมฉันเห็นวนอุทยานสวยดี เลยอยากมาชมดอกไม้สักหน่อย...โดยเฉพาะ...” ทรงดึงดอกเอื้องออกมาจากฉลองพระองค์ แล้วยื่นออกมาตรงเบื้องพักตร์ “...ดอกนี้ หม่อมฉันบังเอิญเก็บได้”

คำว่า ‘เก็บได้’ น่าจะเปลี่ยนเป็นหล่นมาโดนพระเศียรเสียมากกว่า วรองค์เล็กยกมือปิดพระโอษฐ์เพื่อปกปิดรอยแย้มสรวลขององค์เอง ขณะที่พระพี่นางหลุบพระเนตรลงต่ำ พระปรางซับสีเรื่ออย่างน่ารัก

“หม่อมฉันไม่เคยพบดอกนี้ที่คิมหันต์นครเลย...สวยมาก”

ชมว่าสวยหากจับจ้องที่วงพักตร์ขาวผ่องของฟ้าหญิงคคนางค์ไม่วางตา คนที่แอบขันเมื่อครู่ถึงกับหรี่ตา ออกอาการชักจะหวงพี่หญิงของตนจึงก้าวเท้ามายืนตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง แล้วเอ่ยว่า

“ดอกเอื้องเพคะ ถ้าทรงอยากเห็น หม่อมฉันจะพาไปเอง” หญิงวดีตรัสพร้อมกับชี้พระดัชนีไปยังอีกฟากฝั่งของวนอุทยานแห่งนั้น บนต้นไม้ใหญ่นั่นเองที่ดอกสีส้มเกาะกลุ่มกันเป็นพวง...งดงามและน่าสนพระทัยที่จะเข้าไปเชยชมใกล้...ถ้าหากคนพาชมไม่ใช่ ‘เด็กน้อยร่างป้อม’

“เชิญเสด็จเพคะ”

นั่นเป็นการบังคับกลายๆ เพราะหากจะรับสั่งปฏิเสธก็ดูจะเป็นการเสียมารยาทจนเกินไป สุดท้ายพระองค์จึงหันไปสั่งให้องครักษ์ยืนรออยู่ตรงนั้น ก่อนสาวพระบาทตามวรองค์เล็กป้อมที่สาวบาทนำไปก่อนแล้ว ส่วนฟ้าหญิงคคนางค์นั้นยังประทับยืนอยู่ที่เดิม

‘เด็กซุ่มซ่าม’ มาถึงต้นไม้ใหญ่ก่อน หากคนเดินตามกลับสาวพระบาทอย่างเนิบช้าไม่ทันพระทัย จึงทรงโบกพระหัตถ์เรียก

“เร็วๆสิเพคะ ดูเสร็จแล้วหม่อมฉันจะได้รีบกลับ”

คนที่ถูกเรียกยิกๆเลิกพระขนงขึ้นสูง อยากจะแกล้งสาวพระบาทช้าลง...อีกนิด

หากก็นั่นละ ถ้าทำเช่นนั้นพระองค์จะต้องทรงอยู่กับฟ้าหญิงพระองค์เล็ก หาใช่ผู้เป็นพระพี่นางไม่ เมื่อดำริเช่นนั้นจึงทรงเร่งฝีพระบาทให้เร็วขึ้น เพียงพริบตาก็มาประทับยืนอยู่ตรงหน้าดอกเอื้องแสนอ่อนหวานแล้ว

ดอกสีสดลอยเด่นอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์ งดงามเสียจนละสายพระเนตรไปทางอื่นไม่ได้เลย

“สวยอย่างที่ดำริไว้ไหมเพคะ”

“สวย...สวยมาก” ทรงตอบตามตรง ขณะที่ในพระทัยยังชื่นชมฟ้าหญิงคคนางค์เช่นกัน

“โปรดมากหรือเพคะ”

วรองค์สูงใหญ่ขมวดขนงแล้วหันมาจับจ้องวงพักตร์กลม พระปรางอวบอ้วนและป่องจนน่าจับ

“โปรดเรื่อง?”

“ก็ดอกเอื้องสิเพคะ”

เจ้าฟ้าชายชลระบายลมหายพระทัยยืดยาว รู้สึกว่าการพูดคุยกับ ‘เด็ก’ นั้นช่างปวดเศียรเวียนเกล้า และต้องใช้พลังงานมากมายจริงๆ

“ใช่...หม่อมฉันโปรดถึงขั้นอยากเอาไปปลูกที่บ้านเลยล่ะ”

“ฮึ!” คราวนี้คนตัวเล็กทำเสียงในพระศออย่างไม่พอพระทัยชัดเจน “ดอกของเรา เราไม่ให้หรอก”

จากคำว่า ‘หม่อมฉัน’ กลายเป็น ‘เรา’ ไปเสียแล้ว คนหน้าดุหรี่ตามองแล้วส่ายหน้าอย่างระอาเล็กๆ

“ทรงปลูกเองหรือถึงได้ยึดไว้เป็นขององค์เอง”

“ก็มันขึ้นในบ้านของเรา ในที่ของเรา มันก็ต้องเป็นของเราสิ” ฟ้าหญิงอุษาวดีทำพระพักตร์บูดบึ้งราวกับกริ้วใครมาสักร้อยชาติ แล้วรับสั่งเป็นคำสุดท้าย

“ไม่คุยด้วยแล้ว หงุดหงิด!”

จากนั้นจึงเสด็จจากไป...ไม่สนพระทัยแล้วว่า ‘คนหน้าดุ’ จะ ‘ยึด’ อะไรจากสิขเรศไปบ้าง

...ไม่ว่าจะเป็นดอกเอื้องที่โปรดปราน หรือพระพี่นางที่ทรงรักรองจากทูลหม่อมพ่อ และทูลหม่อมแม่...

ทรงขอเพียงอย่างเดียว...ให้ฟ้าชายเก้งก้างพระองค์นั้นกลับคิมหันต์นครเสียโดยเร็วเป็นพอ!


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (12 รายการ)

www.batorastore.com © 2024