เพียงหนึ่งดวงใจ (ชุด เพียงดวงใจ) (ศศิภา)

เพียงหนึ่งดวงใจ (ชุด เพียงดวงใจ) (ศศิภา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786163823717
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 320.00 บาท 80.00 บาท
ประหยัด: 240.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

         

ขุนเขาสูงตระหง่าน สลับซับซ้อนเรียงรายกันสุดลูกหูลูกตา หมอกจางๆลอยอ้อยอิ่งอยู่บนยอดเขาก่อกำเนิดเป็นภาพอันงดงามในคลองจักษุ

          ยามต้นฤดูหนาวเช่นนี้ ลมจะพัดโชยระลอกแล้วระลอกเล่า ดอกสรี-    รายาที่กำลังเบ่งบานไปทั่วท้องทุ่งจะปลิดปลิว หลุดลอยมาตามลม บ้างลอย     ละลิ่วสู่ท้องฟ้าสีคราม บ้างร่วงหล่นลงสู่ผืนหญ้าสีเขียวเบื้องล่าง และอีกไม่น้อย หมุนวนอยู่รายล้อมรอบตัวหล่อน กลิ่นของมันโอบล้อมตัวหล่อน ส่งกลิ่นหอมจางๆซึมซาบในนาสิกและคงติดอยู่เช่นนี้จนกระทั่งหล่อนกลับถึงบ้าน

          ดอกสรีรายา...ดอกที่หล่อนโปรดปราน...ทั้งกลิ่นอันหอมจรุง ไม่ฉุนจนต้องเบือนหน้าแต่หวานละมุนจนปรารถนาจะสูดดมครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่สีม่วงอ่อนๆที่ตัดกับสีเขียวของทุ่งหญ้าหล่อนก็ชอบไม่น้อย หล่อนมักจะล้มตัวลงนอน ให้เจ้าดอกเหล่านี้ขับกล่อมให้หลับใหล หรือบางที...

          หล่อนก้มตัวลงเด็ดใบรูปหัวใจจากต้นดอกสรีรายา วางลงบนริมฝีปาก เพียงอึดใจ เสียงแหลมเล็กสลับทุ้มหวานจึงดังไปทั่วท้องทุ่ง ยาวบ้างสั้นบ้าง ก่อเกิดเป็นท่วงทำนองเพลง...เพลงที่ไม่มีคำร้อง ไม่มีชื่อ มีแต่ทำนองและอารมณ์ที่ไหวเอนไปตามความรู้สึกของหล่อนเพียงเท่านั้น

          เมื่อหล่อนกำลังเศร้า เพลงจึงเศร้าตาม...ทั้งทอดยาวและเนิบช้า ราวกับต้องการกล่าวคำอาลัย

          น้ำตาเอ่อคลอในดวงตากลมโตล้อมกรอบด้วยแพขนตายาว ปลายจมูกเชิดรั้นแดงก่ำ ทว่าแก้มกับซีดขาวไร้สีเลือด...ยากจะบอกว่าเพราะสะเทือนอารมณ์ หรือเพราะหนาวเหน็บจนเกินทนก็ไม่รู้แน่

          บนยอดเขา อากาศยิ่งหนาวกว่าด้านล่าง...ขณะนี้หล่อนสวมเพียงเสื้อผ้าฝ้ายแขนสั้น ทับด้วยซิ่นไหมคำยาวกรอมเท้า ผมสีดำขลับเส้นเล็กราวกับเส้นไหมถูกรวบไว้เป็นมวยกลางศีรษะ ประดับด้วยดอกสรีรายาสีม่วงอ่อน ลมหนาวจึงปะทะผิวกาย แม้จะเป็นเพียงต้นฤดูหนาวก็ยังหนาวจนตัวสั่น

          บทเพลงสิ้นสุดลงเมื่อหล่อนปล่อยใบไม้ในมือให้ปลิวไปตามลม

          แว่วเสียงทอดถอนใจ...ละม้ายเสียงลมพัดหวิววู่เมื่อภาพในวันก่อนผุดขึ้นมาในหัวหล่อนอีกครั้ง

          ‘ลูกไม่ยอมนะคะ จะให้ลูกไปอยู่ที่นู่น ไปเป็น...ไปเป็นสนมของคนหน้าตาน่าเกลียดแบบนั้น ลูกไม่เอานะคะ!

          ‘ลูกแน่ใจได้ยังไง เคยเห็นพระพักตร์ขององค์รุทรบดินทร์แล้วรึ

          ‘โธ่! ใครๆเขาก็พูดกันแบบนี้ทั้งนั้นนี่คะเจ้าแม่ ทั้งน่าเกลียด แถมยังป่าเถื่อน ชื่นชอบการทรมานผู้คนอีกด้วย ขืนให้ลูกไปอยู่ที่นั่น ลูกต้องตายแน่ค่ะ!

          ‘ถ้าเจ้าไม่ไป เวียงภูพญาจะเป็นเช่นไร เจ้ารู้ไหม

          ...ย่อมเกิดความเสียหายหนักกว่าที่เป็นอยู่ แค่สองสามเมืองที่เสียไปกับทหารที่ต้องจบชีวิตในสนามรบจำนวนหลายร้อยคนก็นับเป็นความเสียหายอันมหาศาลมากพออยู่แล้ว หากไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อโภไคย ผืนแผ่นดินเวียงภูพญาจะลุกเป็นไฟ และราษฎรก็จะต้องทนทุกข์อยู่ในกองเพลิงไปอีกกี่ปีก็ยากจะคาดเดา

          ทว่านั่นไม่ใช่ปัญหา เจ้านางหลวงหาวิธีแก้ไขได้ไม่ยาก...เพียงหันมาสบตาหล่อนปัญหาทุกอย่างก็พลันคลี่คลายไปในบัดดล

          ‘เจ้าไปแทนพี่ของเจ้าได้ไหม มทนาลัย

          ดั่งมีสายฟ้าฟาดลงตรงกลางใจ หล่อนตกใจในคราแรกได้แต่นิ่งงัน ไม่ทั้งตอบรับแเพหรือปฏิเสธ เจ้านางหลวงไม่ปล่อยโอกาสให้สูญเปล่าเมื่อสรุปอย่างง่ายดายและรวดเร็วแบบไม่ให้หล่อนได้ตั้งตัว

          ‘เจ้าตกลงแล้วใช่ไหม...ถ้าเช่นนั้นก็เป็นไปตามนี้ เจ้าจะไปเป็นข้าบาทบริจาริกาแห่งองค์รุทรบดินทร์แทนมณีมณฑ์พี่ของเจ้า

          ไม่มีเวลาให้ปฏิเสธ และถึงมีเวลาหล่อนย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ สิ่งใดที่เป็นหน้าที่...เพื่อแผ่นดินแล้ว ไม่ว่าลำบากเพียงใด หล่อนก็จำต้องทำ

          คำตอบรับจึงเป็นริมฝีปากที่เม้มปิดสนิทและดวงตาที่หลุบต่ำลง...เป็นลักษณะของการจำยอมโดยดุษณี

          อีกครั้งที่หล่อนถอนใจ สองตากวาดมองทั่วขุนเขา เพื่อจดจำสถานที่อันเป็นที่รักสลักไว้ในหัวใจ

          นานเท่านาน...หล่อนไม่มีวันลืม

          แม้ไม่ได้กลับคืน...ที่แห่งนี้จะยังคงงดงามอยู่ในหัวใจไม่มีเปลี่ยนแปร

          ยามอรุณเบิกฟ้าวันพรุ่งนี้ ต้องไปแล้ว...หล่อนจำต้องจากไป มิใช่เพื่อตัวเองแต่เพื่อแผ่นดิน

          ...แผ่นดินที่หล่อนมีหน้าที่ต้องแบกรับเฉกเช่นเดียวกับผู้เป็นพ่อ!

          ชีวิตในกาลข้างหน้าจะเผชิญกับสิ่งเลวร้ายอันใดก็สุดรู้ ขอเพียงแค่มีกำลังใจและเข้มแข็ง หล่อนเชื่อว่าหล่อนจะอยู่รอดปลอดภัยจากเจ้าชายผู้อัปลักษณ์และป่าเถื่อนผู้นั้นได้

          จริงหรือ เชื่อได้หรือ

          หล่อนจะรอดน้ำมืออันโหดเหี้ยมของคนผู้นั้นได้อย่างไร

          ไม่มีใครให้คำตอบหล่อนได้ แม้แต่ตัวหล่อนเอง...

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

หกปีก่อน...

          เวียงภูพญา เมืองเล็กๆกลางหุบเขาที่ขนาบข้างด้วยนครใหญ่อย่างโภไคยและหิมวันต์...ในยุคที่มีการสู้รบเพื่อขยายดินแดนทั้งสองนครต่างดิ้นรนเอาตัวรอดเพื่อให้ดินแดนของตนเองยิ่งใหญ่มากพอที่จะไม่มีใครกล้าต่อกร เมืองเล็กๆอย่างเวียงภูพญาคืออีกเป้าหมายที่ทั้งโภไคยกับหิมวันต์ตั้งใจจะยึดครอง

          ท่ามกลางความสงบเงียบของเวียงภูพญา มีการเคลื่อนไหวอย่างลับๆของทั้งสองนคร อยู่ที่ว่า...ใครจะลงมือก่อนเท่านั้น

          ในวันที่ลมหนาวพัดกระหน่ำรุนแรง...

          หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เกือบพ้นเขตชายแดนทางใต้ของเวียงภูพญา คนกลุ่มหนึ่งสวมชุดเก่าซอมซ่อมีรอยปุปะนับสิบ แบกท่อนไม้และท่อนฟืนเดินผ่านประตูทางเข้าหมู่บ้านอย่างเงียบเชียบ พวกเขาเหล่านั้นปกปิดใบหน้าของตัวเองเหลือไว้เพียงดวงตาซึ่งแลมองเพียงผืนดินใต้ฝ่าเท้าเพียงเท่านั้น

          ยามหนาวจัดเช่นนี้ ผู้คนส่วนมากจะปิดหน้าปิดตาเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ตัวเองจึงนับว่าไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่มีใครสนใจพวกเขา อาจจะมีชาวบ้านหันมามองบ้างหากเพียงอึดใจก็แลเลยผ่านไป

          ลมพัดกระโชกรุนแรง จนผ้าที่ปิดใบหน้าของคนผู้หนึ่งสะบัดไกว เปิดเผยรูปหน้าคมสัน คางเหลี่ยม ริมฝีปากบางราวอิสตรีและจมูกที่โด่งเสียจนสะดุดตา 

          เขาคนนั้นรีบดึงผ้าปิดปากก่อนใครอื่นจะหันมาเห็น แล้วก้าวเท้ายาวๆตามคนอื่นๆตรงไปยังโรงพักม้าซึ่งอยู่สุดทางเดินแห่งนี้ด้วย

          โรงพักม้าเป็นเรือนไม้สองชั้น ขนาดค่อนข้างเล็กและไม่มีชื่อร้าน...แต่น่าจะมีคนเข้าพักเยอะพอสมควร เนื่องเพราะมีคนเดินทางหลายคนมายืนออกันหน้าร้าน

          คนตัวสูงที่สุดในกลุ่มนั้นรีบเสนอความคิดเห็น

          “ไปตั้งกระโจมพักแรมกันดีไหมขอรับ น่าจะ...สะดวกกว่าที่นี่

          คนถูกถามพยักหน้าเพียงน้อย กลุ่มคนเหล่านั้นก็พร้อมใจกันเดินจากไป

          ผ่านหมู่บ้านแห่งนั้นเข้าสู่ป่าทึบ หาทำเลไม่นานก็ได้ที่เหมาะๆริมลำธารสำหรับตั้งกระโจม

          ส่วนหนึ่งแยกย้ายกันไปสำรวจพื้นที่ด้านนอก ที่เหลือนั่งล้อมวงกันในกระโจม ตรงกลางที่วางแผ่อยู่บนพื้น มีสายตานับเกือบสิบคู่จับจ้องอยู่คือแผนที่ฉบับหนึ่ง

          “เลยจากที่นี่ ต้องเดินผ่านอีกสามหมู่บ้านถึงจะถึงคุ้มหลวงคนพูดปลดผ้าที่ปิดหน้าตัวเองออก แล้วยกมือถูปลายจมูกโด่งๆของตัวเอง

          “ได้ข่าวทางนั้นบ้างไหม

          “ทางหิมวันต์ยังไม่เคลื่อนไหวใดๆครับ

          “ไม่รู้การเคลื่อนไหวแบบนี้...ไม่น่าไว้ใจนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเราต้องลงมือก่อน!

          เสียงสวบสาบด้านนอก ทำให้คนที่นั่งล้อมวงกันอยู่ขยับตัว มือสอดเข้าไปใต้ถุงเท้ากำด้ามกริชที่เสียบอยู่ในฝัก พร้อมจะชักมันออกมาทุกเมื่อ

          ครั้นเห็นว่าเป็นพวกเดียวกัน ไหล่ที่เกร็งจึงผ่อนคลาย

          ชายจมูกโด่งที่น่าจะเป็นหัวหน้าละมือจากกริชของตนแล้วถาม

          “มีเรื่องอะไร

          “มีคนมุ่งหน้ามาทางนี้ กำลังตั้งกระโจมพักแรมกันอยู่ขอรับ

          “ใคร

          “ถ้าการข่าวไม่ผิดพลาด น่าจะเป็น...เจ้าหลวงนพภูมิขอรับ!

          ดวงตาของคนฟังสว่างวาบ เป็นประกายทั้งยินดีและสนใจใคร่รู้ เขาผุดลุก คว้าคันธนูที่วางอยู่ด้านหลังมาสะพายไหล่แล้วออกคำสั่ง

          “เรา ไอ้กอบ ไอ้ริด ไอ้โมก ไอ้ทวน แล้วก็ไอ้วินจะไปดูลาดเลา พวกเจ้าอยู่เฝ้าที่นี่ ก่อนตะวันตกดินเราจะกลับมา

          จบคำนั้น ชายร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ก็ดึงผ้ามาปิดใบหน้าของตนแล้วเดินตัวปลิวออกจากกระโจมไปอย่างรวดเร็ว

 

ควันสีเทาลอยอยู่เหนือกองไฟขนาดเล็กหน้ากระโจมสีขาว กลุ่มชายฉกรรจ์สามสี่คนนั่งล้อมวงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ส่วนชายสูงวัยผู้หนึ่งนั่งอยู่ในกระโจมเอนกายพิงหมอนอิง ในมือถือหนังสือเล่มเล็กเล่มหนึ่ง

          “เป็นไงล่ะเรา บอกว่าอยากออกมาล่าสัตว์กับพ่อ สนุกไหมล่ะ

          สองตาของชายสูงวัยจับจ้องไปยังร่าังเล็กๆของเด็กสาวคนหนึ่งผู้ซึ่งสวมเสื้อผ้าฝ้ายและซิ่นยาวกรอมเท้ากำลังก้มหน้าเพ่งพิศคันธนูขนาดใหญ่ในมือของตน

          “สนุกสิคะเจ้าตัวหันไปมองชายสูงวัยผู้นั้นแล้วยิ้มจนตายิบหยีมัทน่ะอยากมากับเจ้าพ่อบ่อยๆเลยละค่ะ

          คนฟังถึงกับโบกมือไปมาแล้วส่ายหน้าอย่าเลยมัท อันตราย นี่ถ้าพ่อเข้าป่าลึกกว่านี้พ่อคงไม่ให้ลูกมาด้วยหรอกนิ่งไปอึดใจก่อนต่อว่าคราวหน้ามัทมาไม่ได้แล้วนะ พ่อเป็นห่วง

          “ว้า...เจ้าพ่อจะไม่ให้มัทมาด้วยจริงๆเหรอคะ

          “ก็ได้มาเห็นแล้วนี่ว่าล่ายังไง ลำบากยังไง ยังจะมาอีกหรือเขาหรี่ตา มองลูกสาวแล้วถามเจือเสียงหัวเราะไหนว่าสงสารเจ้าสัตว์พวกนั้นไง

          “ก็...สงสารค่ะ

          เจ้าตัวเข้ามานั่งข้างๆพ่อ เอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว

          “ล่าเล่นๆมัทก็ไม่ชอบหรอกค่ะ แต่ป้องกันตัวคงไม่เป็นไร หรือถ้าล่าเพื่อเป็นอาหารก็ยังพอได้ แต่ถ้าเพื่อความสนุก มัทไม่เอาด้วยหรอกนะคะ สงสาร

          คนเป็นพ่อเพียงแต่หัวเราะ ไม่พูดอะไรหลังจากนั้นเพราะให้ความสนใจกับหนังสือในมือเสียแล้ว ลูกสาวผู้ซึ่งได้แต่นั่งเฉยๆไม่รู้จะทำอะไรจึงค่อยๆย่องออกจากกระโจม ไม่ลืมที่จะคว้าชมพู่ที่วางอยู่ในถาดออกไปด้วย

          ออกมานอกกระโจมก็เดินไปทักคนนั้นทีคนนู้นที ระหว่างนั้นก็แทะกินอย่างเอร็ดอร่อย

          หนึ่งผลก็แล้ว สองผลก็แล้ว...เหลือผมที่สาม เด็กสาวยังไม่คิดจะทานตอนนี้เพราะสายตาสะดุดเข้ากับเจ้าสัตว์ตัวอวบอ้วนสีขาวที่เพิ่งวิ่งผ่านหน้าไป

          “อุ๊ย...กระต่ายน้อย!เจ้าตัวอุทานเบาๆก่อนจะวิ่งตามมันไป

          เพราะทุกคนกำลังพักผ่อนกันอย่างสบายอารมณ์ กอปรกับทานอาหารจนอิ่มหนำสำราญจึงพากันเอนหลังนอนหลับกันเป็นทิวแถว สุดท้ายก็ไม่มีใครทันเห็นว่าเด็กสาวผู้นั้นหายตัวไปเสียแล้ว

 

เจ้าขนปุยวิ่งเร็วเหลือเชื่อ ขณะที่เด็กสาวก็ตามไม่ลดละ มือข้างหนึ่งถลกผ้าซิ่นขึ้นเพื่อให้วิ่งสะดวก ส่วนมืออีกข้างกำผลชมพู่ไว้มั่น วิ่งพลางแทะพลาง กระทั่งเห็นเจ้าขนปุยหายลับเข้าไปในพุ่มไม้ เจ้าตัวได้ดึงผลชมพู่ออกจากปาก

          “โธ่...อย่าเพิ่งหนีสิ เจ้ากระต่ายน้อยพึมพำอย่างแสนเสียดายราวกับจะไม่ได้พบกันอีกมาให้ข้ากอดสักครั้งน่า เราเป็นเพื่อนกันได้นี่นา

          พูดราวกับเจ้าสัตว์ขนปุยตัวนั้นจะเข้าใจ พลางก้มๆเงยๆสอดส่ายสายตาผ่านพุ่มไม้ เมื่อยังได้ยินเสียงสวบสาบดังมาจากด้านใน แสดงว่าเจ้ากระต่ายยังไม่ได้หนีหายไปไหน

          “มามะ มาทำความรู้จักกันหน่อยพร้อมกับพูด เจ้าตัวทำท่าจะกระโจนเข้าไปในนั้นเสียด้วยซ้ำ แต่ต้องผงะเมื่อมีอะไรบางอย่างโผล่พรวดออกมา

          มทนาลัยไม่ใช่คนกรีดกราดโวยวายจึงอุทานเบาๆในลำคอเพียงเท่านั้น ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

          ไม่สิ...ไม่ใช่สิ่งแต่เป็นคน!

          คนตัวใหญ่ยักษ์ในชุดรัดกุมสีดำทั้งตัว โพกศีรษะและปกปิดใบหน้าส่วนล่างด้วยผ้าสีเดียวกัน

          เขา...หล่อนเดาว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย ด้วยไหล่กว้างตั้งตรง อกผายไหล่ผึ่ง รวมถึงมือที่ค่อนข้างใหญ่และดูแข็งแกร่งคู่นั้น

          เขายืนจังก้าตรงหน้าหล่อน มือข้างหนึ่งหนีบหูเจ้ากระต่ายขนฟูไว้แล้วยกขึ้นเกือบๆเสมอไหล่ ส่วนมืออีกข้างไพล่ไว้ทางด้านหลัง...ไม่รู้ว่าซ่อนอะไรไว้รึเปล่า มทนาลัยหรี่ตามองอย่างระแวง

          เจ้าพ่อเคยบอกหล่อนว่า ในป่ามีอันตรายรอบด้าน ทั้งคนทั้งสัตว์ หล่อนยังไม่เคยเจอสัตว์ร้าย แต่วันนี้คงโชคร้ายที่ได้มาเจอคนร้ายเสียก่อน

          “นั่น...เด็กสาวรวบรวมความกล้าแล้วชี้นิ้วไปที่กระต่ายตัวนั้นกระต่ายของเรา

          บังเกิดความเงียบระหว่างกันเมื่อเขาเอาแต่ใช้สายตาดุๆจับจ้องมองหล่อน ในช่วงเวลาอันแสนเงียบงันนั้นหล่อนจึงถือโอกาสพิจารณาเสื้อผ้าที่เขาสวม มันทั้งซอมซ่อ ทั้งแหว่งวิ่น มีรอยปะเป็นหย่อมๆนับได้หลายสิบ

          จากการคาดเดา หล่อนคิดว่าเขาอาจจะเป็นชาวบ้านแถวๆนี้ที่เข้ามาหาของป่า หรือไม่...อาจจะเป็นโจรที่กำลังหิวโซ...ทำตาดุๆแบบนี้ สงสัยจะโมโหหิวอยู่กระมัง!

          “เจ้าเป็นโจรรึเปล่า จะมาลักอะไร

          มองเลยไปยังด้ามกริชสลักลวดลายวิจิตรที่โผล่พ้นผ้าคาดเอวของเขาก็รู้ว่าราคาแพงมาก ไหนจะคันธนูที่อีกฝ่ายสะพายอยู่ทางด้านหลังอีก คนที่สวมชุดซอมซ่อเช่นนี้ไม่น่าจะเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้ได้

          หล่อนจึงสรุปเองในใจ

          เป็นโจรแน่ๆ...แต่โจรอะไรล่ะ โจรป่าหรือโจรธรรมดา

          ฉับพลันนั้น ลมหนาวพัดกระโชกแรง มทนาลัยถึงกับสะท้าน รีบยกมือกอดอกตัวเองไว้ ส่วนเขา...ผ้าที่ปิดใบหน้าส่วนล่างของชายผู้นั้นสะบัดปลิว เผยให้เห็นรูปหน้าที่ซ่อนอยู่ แนวกรามแข็งแกร่งรกเรื้อด้วยหนวดเครา ริมฝีปากเรียวบางที่เม้มน้อยๆ และจมูกโด่งๆที่แสนสะดุดตา

          “กระต่ายเจ้าหรือ

          เขาเอื้อนเอ่ยเป็นคำแรก เสียงของเขาก้องกังวาน มีท่วงทำนองสูงต่ำฟังไพเราะแต่แปลกหู

          “ก็ไม่เชิง...เราเห็นมันวิ่งผ่านหน้าเลยตามมันมาเห็นคนตัวโตเหลือบมองกระต่ายตัวนั้น หล่อนก็ชักใจไม่ดี...โจรอย่างเขา ถ้าไม่ได้เงินทองกลับไป ก็ต้องล่าสัตว์กลับไปสักตัว เจ้ากระต่ายที่น่าสงสารจะโดนจับกินรึเปล่าหนอ

          “เมื่อมันไม่ใช่ของเจ้า ข้าก็จับไปกินได้สิ

          นั่นปะไร! คนโมโหหิวเริ่มจะหาของกินละ!

          “อย่าเลย...มันน่าสงสารออก ปล่อยมันไปเถอะ

          อีกฝ่ายเลิกคิ้ว ดวงตาเป็นประกายแบบที่หล่อนอ่านไม่ออก เพียงอึดใจหลังจากนั้น เขาก็ยอมปล่อยมันไป เจ้ากระต่ายรีบวิ่งปรู๊ดหนีหายไปในทันใดราวกับกลัวว่าจะถูกคนตัวยักษ์จับกิน

          “ทำไมเจ้ามาวิ่งเล่นแถวนี้

          คนที่เพิ่งพรูลมออกจากปากอย่างโล่งอกหันกลับไปมองคนถาม

          “เปล่านะ เราไม่ได้มาวิ่งเล่น เรามาล่าสัตว์ตะหาก

          “มากับใคร ไม่ได้มาคนเดียวแน่ๆละ

          ครั้นคนตัวโตเริ่มซัก เด็กสาวกลับไม่อยากตอบ แต่จำต้องตอบส่งๆไปว่า

          “มากับพี่ชายมทนาลัยหรี่ตามองเขาสลับกับก้มมองผลชมพู่ที่เหลืออยู่ครึ่งผลในมือของตนเอง

          “หน้าตาเจ้าก็ดีนะ ไม่น่าเป็นโจรเลยเด็กสาวทำคอย่น ถามกลับอย่างใคร่รู้มากกว่าหวาดกลัวเจ้าจะจับเรากินรึเปล่า

          ...ก็แถวนี้มีข่าวแว่วๆว่ามีโจรป่ากินคนอยู่นี่นา

          คนคนนี้...น่าจะใช่ หนำซ้ำกำลังหิวอยู่ด้วย...เจ้ากระต่ายก็หนีไปแล้ว จะเหลืออะไรให้กินล่ะ ก็มีแต่หล่อนนี่แหละ!

          คนยังไม่อยากถูกจับกิน รีบโพล่งออกมา

          “อย่ากินเราเลย เนื้อเราไม่อร่อยหรอก ถ้าเจ้าหิว...เจ้าตัวยื่นผลชมพู่ในมือให้กับเขากินนี่ดีกว่า หวานหอมอร่อยกว่าเราเยอะ!

          ลมพัดหวิววู่ ใบไม้เสียดสีกันบังเกิดเป็นท่วงทำนองอันไพเราะ ผสานกับเสียงหัวเราะผะแผ่วของคนหลายคน

          มทนาลัยขมวดคิ้ว แลมองเข้าไปในพุ่มไม้ แต่มันหนาทึบจนไม่เห็นอะไร

          “เจ้า...มากันหลายคนเหรอ

          เห็นท่าไม่ดี หล่อนจึงชักกลัวๆขึ้นมาจริงๆเสียแล้ว

          มทนาลัยก้าวถอยหลัง ตั้งใจว่าตอนเขาเผลอจะรีบวิ่งสุดฝีเท้ากลับไปยังที่พัก   

          “เอ๊ะ!หล่อนชะแง้แลมองไปทางด้านหลังของเขา ร้องอุทานแล้วชี้มือส่งๆมั่วๆเจ้ากระต่ายน้อยนี่!

          พออีกฝ่ายหันขวับไปทางนั้น หล่อนก็วิ่งจ้ำอ้าวอย่างไม่คิดชีวิต มือยังคงกำผลชมพู่แน่น

          ...ก็แหม ของอร่อยๆแบบนี้ทิ้งไปก็น่าเสียดายสิ!!!

          วิ่งยังไม่ถึงสิบก้าวเลยกระมัง หล่อนก็ถูกใครคนนั้นอุ้มจนเท้าลอยเหนือพื้นด้วยแขนเพียงข้างเดียว!

          ไม่แปลกหรอก...ก็เขาตัวใหญ่ราวกับยักษ์ หล่อนน่ะตัวนิ้ดเดียว เท่าเอวเขาเองกระมัง!

          มทนาลัยหวีดร้อง กำลังจะตะโกนหาคนช่วย แต่กลับถูกเขาดุ

          “เงียบ! เจ้าอยากถูกกินจริงๆรึไง!จากนั้นเขาแบกหล่อนพาดบ่าพาวิ่งหายลับไปในพุ่มไม้ ไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์เกือบยี่สิบคน เปลือยอกท่อนบนและสวมกางเกงสีตุ่นสั้นครึ่งต้นขาก็เดินผ่านมา ในมือมีอาวุธพร้อมสรรพ ทั้งธนู ดาบ มีด กริช และ...หอกปลายแหลม

          คนที่ถูกกอดรัดอยู่ในพุ่มไม้เบิกตากว้าง คำบอกเล่าของผู้แก่ผู้เฒ่าในคุ้มผุดขึ้นมาในหัว

          ‘ไอ้พวกกินคนมันจะถือหอกไว้ตลอดเวลา

          ‘ทำไมล่ะคะคุณยาย

          ‘ก็เผื่อเจอเหยื่ออย่างไรเล่า ทีนี้ละไม่ว่าที่ไหนตอนไหนมันจะได้จัดการได้ทันที!

          นั่นไง...หอกที่ว่า

          มทนาลัยกลืนน้ำลายเอื๊อก ขนลุกชันไปทั้งตัวด้วยความสยดสยอง

          แน่แล้ว...กลุ่มชายในชุดประหลาดนั่นตะหากที่เป็นโจรป่ากินคน ส่วนคนที่กำลังกอดรัดจนหล่อนหายใจไม่ออกอยู่นี่น่าจะเป็นแค่...โจรป่าธรรมดาเท่านั้นเอง

          มทนาลัยนึกห่วงพ่อ แต่...องครักษ์เกือบยี่สิบ น่าจะปกป้องท่านได้

          คนตัวใหญ่ยักษ์ใช้แขนล่ำสันของตนกอดร่างเล็กๆ แถมยังเกยปลายคางกลางศีรษะของหล่อนอีกด้วย มทนาลัยเริ่มอึดอัดจนต้องขยับตัวยุกยิก เขาจึงปรามเบาๆ

          “ชู่ว์...อยู่นิ่งๆหน่อยสิเด็กน้อย

          “เรา...ก่อนที่คำพูดจะหลุดออกจากปากจิ้มลิ้ม มือใหญ่ก็ตะครุบปิดมันไว้เสียก่อน

          “ข้ายังมีงานต้องทำ ยังไม่อยากสู้กับไอ้พวกนั้นตอนนี้ เข้าใจไหม

          ใบหน้าที่ก้มต่ำ ทำให้หล่อนเห็นดวงตาดำลึกคู่นั้นชัดเจน 

          “อยู่เฉยๆ นิ่งๆ จนกว่ามันจะไป ได้รึเปล่า

          คนตัวเล็กผ่อนลมหายใจยาว ก่อนพยักหน้า พอเขาปล่อยมือจากปากหล่อน หล่อนก็ยืดตัวเล็กน้อยเพื่อกระซิบข้างหูเขาว่า

          “กอดเราเบาๆหน่อย เราหายใจไม่ออก

          คนฟังทำสีหน้าประหลาด ครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง

          “เราสัญญาว่าจะนั่งนิ่งๆ หายใจเบาๆด้วยเอ้า

          มุมปากเรียวบางยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม พร้อมกับอ้อมกอดที่คลายออก...เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

          “มากกว่านี้อีกไม่ได้เหรอคนตัวเล็กยังไม่พอใจ แต่ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านั้นเมื่อคนตัวโตยกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก พลางพยักเพยิดไปทางโจรป่ากินคนกลุ่มนั้น

          คนที่ไม่อยากถูกจับกิน จึงต้องรูดซิบปากเงียบไปโดยปริยาย

พวกโจรป่ากินคนยังไม่ยอมเดินผ่านเลยไป แต่กลับล้อมวงพูดคุย ปรึกษาหารืออะไรกันบางอย่าง จากความตกใจและหวาดกลัวกลับแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยใคร่รู้

          ...สวมแค่กางเกงตัวเดียวไม่หนาวหรือไงนะ

          เด็กสาวเพ่งมองผ่านพุ่มไม้ ยังพอมองเห็นรอยสักบนแผ่นหลังของชายกลุ่มนั้น

          ...รอยสักอะไรน้า เสือ หรือ ปีศาจ

          ถ้าไม่ใช่เพราะถูกกอดไว้ละก็ เจ้าหล่อนคงจะยื่นหัวออกจากพุ่มไม้ที่ใช้กำบังตัวไปแล้ว

          “นี่...คนตัวโตกำลังจะห้ามปรามเมื่อเห็นอีกฝ่าทำท่าจะยื่นหน้าออกไป หากก็ไม่ทันเสียแล้วเพราะหนึ่งในชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นหันมามองราวกับรู้ว่ามีคนซ่อนตัวอยู่

          มทนาลัยสะดุ้ง รีบยกมือปิดปากปิดจมูกของตัวเองไว้ แล้วนั่งตัวแข็งทื่อแทบไม่กล้าหายใจเลยทีเดียว ครั้นเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆก็เห็นสายตาตำหนิชัดเจน

          “เราไม่ได้ทำเสียงดังเลยนะเจ้าหล่อนพูดเสียงอู้อี้ ฟังแทบไม่รู้เรื่อง

          “ชู่ว์เพียงยกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก ปลายหอกด้านหนึ่งก็พุ่งผ่านพุ่มไม้เข้ามา

          มทนาลัยได้ยินเสียงปลายคมหอกแหวกผ่านอากาศ ด้วยความเร็ว แรงและ...อาจจะปลิดชีวิตหล่อนด้วย!

          ใจของหล่อนร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม รู้ชะตากรรมของตัวเองล่วงหน้าว่าคราวนี้คงไม่รอดแน่ หล่อนคงต้องตายภายใต้คมหอกนั่น  และอาจจะถูกฉีกเนื้อเป็นชิ้นๆเพื่อเป็นอาหารของคนกลุ่มนั้นด้วย

          หล่อนหลับตาปี๋ กรีดร้องอยู่ในอก ความกลัวทำให้หล่อนไม่กล้าเปล่งเสียง มือที่ยกปิดริมฝีปาก บัดนี้มันเกร็งแข็งและกดลึกลงบนผิวเนื้อของตนเองจนรู้สึกเจ็บ

          ในช่วงความเป็นความตาย เพียงชั่วลมหายใจ หล่อนคิดว่าปลายคมหอกนั่นต้องปักลงบนร่างกายของหล่อนส่วนใดส่วนหนึ่ง...ถ้าไม่ใช่ท้อง ก็ต้องเป็นอก หรือไม่ก็...กลางกระหม่อมของหล่อนเลยละ!

          ร่างเล็กขดตัวเข้าหากัน น้ำตารื้นเต็มเบ้า ก่อนจะหยาดหยดลงมาด้วยความกลัวตาย

          ฉึก!

          นั่นไง! ปลายหอกนั่นต้องปักลงตรง...

          หล่อนไม่อาจต่อคำได้ เพราะไม่ว่าตรงส่วนไหนบนร่างกายหล่อนก็ไม่ รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อยนิด

          เอ...แปลกจัง ทำไมไม่เจ็บนะ

          แว่วเสียงโห่ร้องตะโกน ตามมาด้วยเสียงต่อยกันตุบตับและเสียงฟาดฟันหนักหน่วง มทนาลัยค่อยๆปรือตามอง สะดุ้งน้อยๆเมื่อสบดวงตาเกรี้ยวกราดและทรงพลังของคนตัวใหญ่ยักษ์

          เขาโกรธแน่ๆละ...ทั้งโกรธ ทั้งเอือมระอา ทั้งหงุดหงิด สายตาของเขาบอกหล่อนเช่นนั้น

          “ดีนะที่คนของข้ามีหลายคน ไม่งั้น เจ้ากับข้าคงได้เป็นศพอยู่ตรงนี้แล้ว!จบคำนั้น ของเหลวสีแดงสดก็หยาดหยดลงมาบนเสื้อของหล่อน

          หยดแรก ตามมาด้วยหยดที่สอง สามและสี่

          เสื้อสีขาวของหล่อนกลายเป็นด่างดวง...แดงฉาน

          มทนาลัยเบิกตากว้างเมื่อก้มลงพิจารณาของเหลวนั้นแล้วพบว่ามันคือเลือด...ไม่ใช่เลือดของหล่อน แต่เป็นเลือดของเขา!

          “เจ้าบาดเจ็บ!

          แน่แล้ว...คมหอกนั่นต้องปักลงบนเรือนร่างของเขาแทนที่จะเป็นเรือนร่างของหล่อน

          มทนาลัยกวาดตามองหารอยแผล กลับไม่พบอะไร

          “เจ้าโดนแทงข้างหลังเหรอ

          หล่อนถามเสียงสั่นเครือ เริ่มใจไม่ดีเมื่อเห็นเลือดของเขาลงมาไม่ขาดสาย น้ำตาของหล่อนเอ่อท้นขึ้นมาอีกคราจนภาพในคลองจักษุพร่าไปหมด

          “หะ...ให้เราดูคราวนี้หล่อนพูดเจือสะอื้น ความหวาดกลัวว่าเขาจะตายมีมากกว่ากลัวว่าตัวเองจะถูกฆ่าเสียอีก

          ก็เขาช่วยชีวิตหล่อนไว้...หากเขาเป็นอะไรไป หล่อนคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตเป็นแน่

          “ระ...เราจะช่วยเจ้าเอง

          คนตัวโตแค่นเสียงหัวเราะ มองใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตาเกรอะกรังนั้นอย่างไม่เชื่อถือ

          “เจ้าน่ะนะจะช่วยข้า อายุเท่าไรแล้วเรา เคยเรียนหมอมาหรือไง

          “เคยเรียนมาบ้าง ส่วนอายุ...เท่าไรก็เท่านั้นแหละน่าเอ่ยพลางยกหลังมือเช็ดน้ำตาของตัวเองอย่างลวกๆ ระหว่างนั้นคนของยักษ์ตัวโตยังตั้งหน้าตั้งตาสู้กับพวกโจรป่ากินคน ดูท่าจะชนะเสียด้วย เพราะฝ่ายนั้นค่อยๆ ร่นถอยไปแล้ว

          “โตพอแล้วกัน

          เด็กสาวไม่ยอมขยายความว่าโตพอนั้นคือเท่าไร เหมือนกับว่าไม่อยากจะบอกอายุตัวเองกับใครอย่างไรอย่างนั้น

          “มา! ให้เราดูหน่อย

          คนตัวโตส่ายหน้าดิกแล้วผุดลุก แม้จะทำหน้าเหยเกเพราะความเจ็บ แต่กลับไม่มีเสียงร้องโอดโอยใดๆ แม้แต่นิดเดียว

          พอเขาลุก มทนาลัยจึงเห็นหอกปลายแหลมนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ปลายคมหอกมีรอยเลือดแดงฉาน บนพื้นก็มีเลือดเปรอะเปื้อนเป็นหย่อมๆ เช่นกัน

          “เจ้าเสียเลือดมาก ต้องรีบห้ามเลือดก่อน

          คนตัวเล็กลุกตาม รีบคว้ามือเขาไว้ ตั้งใจจะพาไปยังกระโจมที่พักเพื่อให้ทหารของพ่อรักษา แต่เขากลับไม่ยอมให้หล่อนช่วย

          “ไม่ต้อง! แผลแค่นี้ ข้าไม่เป็นไรหรอก

          “ไม่เป็นไรได้ไง เลือดเจ้า...

          พูดยังไม่ทันจบ คนตรงหน้าก็ใช้นิ้วดีดหน้าผากของหล่อนอย่างแรง หนำซ้ำยังกล่าวหาหล่อนอีก

          “เป็นเพราะเจ้า...ข้าถึงได้ซวยแบบนี้ไง!จากนั้นก็ออกคำสั่งรีบกลับไปหาพี่ชายของเจ้าซะ แล้วอย่ามาเดินเล่นคนเดียวอีก

          “ไม่ต้องห่วง...

          ...แถวนี้ถิ่นข้า คำนั้นกลืนหายไปในลำคอ เมื่อเขาพูดขัดขึ้นมาว่า

          “ข้ากลัวคนอื่นจะซวยเหมือนอย่างข้า!

          “เจ้า!มทนาลัยโกรธจนพูดไม่ออก ได้แต่จ้องมองเขาตาวาววับ

          ถ้าไม่ใช่เพราะเขาช่วยชีวิตหล่อนไว้ละก็ หล่อนจะเดินหนี ไม่สนใจเขาเลยแม้แต่นิดเดียว หากความเป็นคนจิตใจดีและมีน้ำใจ ทำให้เด็กสาวไม่อาจทำเช่นนั้นได้ หล่อนจึงยื่นชมพูที่ยังถือไว้ในมือให้กับเขา

          “ตอบแทนน้ำใจที่ช่วยเราไว้

          ชมพู่ม่าเหมี่ยวผลสีแดงเข้ม เหลืออยู่ครึ่งผล...พอจะทานได้อยู่หรอกถ้ามันไม่เปรอะเปื้อนกะดำกะด่างเช่นนั้น

          “กินได้แน่เหรอ

          คนตัวเล็กก้มมองตามสายตาคนพูด พอเห็นสภาพของมันก็ทำเสียงบางอย่างในลำคอราวกับเสียดาย ก่อนจะใช้มือปัดๆ เช็ดๆ ให้มันพอดูได้

          “กินได้น่า...โจรอย่างเจ้าไม่น่าเลือกกินนี่นา มีอะไรให้กินก็กินๆ ไปเถอะ แต่ขออย่างเดียว อย่าล่าคนเอาเนื้อไปกินแล้วกัน!

          หล่อนเหลือบไปเห็นโจรป่ากินคนวิ่งหนีกระจัดกระจายแยกย้ายไปคนละทาง จึงพูดต่อว่าคนของเจ้าเก่งชะมัด!...ไม่เหมือนโจรป่าเลย เจ้าคงไม่ใช่...

          หล่อนพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำตอนที่เขาก้าวโหย่งๆเข้ามาไปผู้ติดตาม

          “นี่! เจ้าเดินหนีเราเหรอ เรายังพูดไม่จบเลยตะโกนปาวๆพร้อมกับโบกไม้โบกมือไปด้วย มือข้างนั้นยังถือชมพู่ไว้อยู่ พอเหลือบเห็นมันเท่านั้นแหละ  เด็กสาวก็ย่นจมูกใส่มัน แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเขาไป

          “จะยังไงก็ช่าง เจ้าต้องรับชมพู่ผลนี้ไว้หล่อนวิ่งมาดักหน้าเขาแล้วยื่นชมพู่ให้อีกครั้งเราจะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก

          “ชมพู่ครึ่งผลแลกกับที่ข้าต้องเจ็บตัวเพราะเจ้าเนี่ยนะ เฮอะ! คุ้มจริงๆ ให้ตาย!

          “เอ๊ะ! อย่ามาสบถใส่เรานะ!

          “ก็ดูของตอบแทนที่เจ้าให้ข้าสิว่าพลางชี้นิ้วไปรอบๆชมพู่ผลนั้นกินเข้าไปแล้วจะตายรึเปล่าก็ไม่รู้ ไม่มีอะไรที่มัน....ดูดีกว่านี้แล้วเหรอ

          คนถูกขอสิ่งที่ดูดีกว่าทำปากยื่นยาว พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด ก่อนหยิบอะไรบางอย่างออกจากเข็มขัดคาดเอวของตน

          “เอ้า! เรามีแค่นี้แหละ

          สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นกำไลข้อมือทำจากผ้าฝ้าย...บนนั้นปักลวดลายดอกไม้อ่อนช้อย...เป็นดอกสีม่วงอ่อนแซมด้วยใบไม้สีเขียวเล็กๆ ลายปักราวกับมีชีวิต เพราะมันดูเหมือนกำลังไหวเอนตามแรงลม

          “ของมีค่าที่สุดของเรา เราให้

          “ของมีค่าของเจ้า แล้วจะเอามาให้ข้าทำไม

          คนตัวเล็กชักโมโหจริงๆจังๆ เจ้าหล่อนถลึงตาใส่เขาแล้วเอ่ยด้วยเสียงกระแทกกระทั้น

          “ก็เจ้าบอกอยากได้ของดีๆไม่ใช่รึไง ก็นี่แหละดีที่สุดแล้ว!

          เห็นอีกฝ่ายยังยืนนิ่ง มทนาลัยจึงจับผ้าผืนนั้นเหน็บไว้ในผ้าคาดเอวของเขา

          “อย่าให้มันเปื้อนล่ะ เรารักมันมากรู้รึเปล่า

          เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าหล่อนยังยัดผลชมพู่ใส่มือเขาอีก

          “ชมพู่นี่ก็ด้วย เราอุตส่าห์ให้ เจ้าจะกินหรือไม่กินก็ตามใจ แต่เจ้าต้องรับไว้หล่อนเงยหน้าสบตาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

          “เราเคยเรียนหมอมาบ้าง อย่างน้อยๆก็ให้เราช่วยทำแผลให้เถอะ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่สบายใจ

          ดวงตากลมโตนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจและ...ออดอ้อนนิดๆ

          ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าไม่ทราบได้ คนที่ไม่ไว้ใจฝีมือเด็กอย่างหล่อนจึงยอมพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้

          “เอ้า...เอาก็เอา! อยากรู้เหมือนกันว่าฝีมือเจ้าจะขนาดไหน!


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (12 รายการ)

www.batorastore.com © 2024