เพรงพรหมข้ามภพ (ศศิภา)

เพรงพรหมข้ามภพ (ศศิภา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786164137813
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 320.00 บาท 80.00 บาท
ประหยัด: 240.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

 

 

 

 

คนหรือผี!

 

 

 

 

ประตูทองเหลืองเก่าคร่ำกะดำกะด่างไม่น่าดูถูกผลักให้เปิดกว้างเพื่อให้หญิงสาวร่างกลมกลึงก้าวเท้าเข้าไปด้านใน คนเดินนำเป็นหญิงกลางคนร่างท้วมสวมเสื้อแขนกระบอกสีพื้น กระโปรงดำอัดพลีทยาวครึ่งเข่า และสวมแว่นกรอบดำทรงสี่เหลี่ยมช่วยปิดบังรูปหน้าที่ค่อนข้างกลมไว้ได้ ที่สะดุดตาคือทรงผมที่ถูกดัดเป็นลอนฟูฟ่องไปทั้งศีรษะ

          “ราคานี้พิเศษสุดๆ แล้วนะคะคุณน้อง ถูกมากกก...        หาราคานี้ไม่ได้แล้วนะค้า...” เจ้าตัวลากเสียงยาวแหลม ก่อนจะโปรยยิ้มกว้างอวดฟันค่อนข้างเหลืองของตน

          “แถวนี้ไม่มีที่ไหนให้เช่าถูกเท่านี้แล้วละค่ะ”

          ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘คุณน้อง’ เป็นสาวน้อยวัยยี่สิบต้นๆ รูปร่างแม้จะไม่ได้เพรียวตามสมัยนิยม หากก็ไม่ได้อวบอ้วนจนเกินพอดี เรียกได้ว่าท้วมนิดๆ พอน่ารัก แก้มยุ้ยๆ แดงปลั่งเพราะเดินมาจากสถานีรถไฟฟ้าไกลพอควร กอปรกับแดดยามบ่ายจัดจ้าเสียจนแทบแผดเผาผิวกายให้มอดไหม้

          ข้าวหอมขยับปลายหมวกให้ต่ำลงขณะกวาดสายตามองตัวบ้านสีครีมสูงสองชั้น สองห้องนอน สองห้องน้ำด้วยความสนอกสนใจ ทางด้านหน้าเป็นสนามหญ้าที่แม้จะไม่เขียวชอุ่มแต่ก็ยังพอมองออกว่าได้รับการดูแลอย่างดี

          “หนูรู้นะคะว่าถูก แต่...บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ ไม่เก่ามากด้วยทำไม คุณป้าถึงให้เช่าถูกจังล่ะคะ หนูสงสัยเรื่องนี้เรื่องเดียวแหละค่ะ”

          ‘คุณป้า’ ยังคงโปรยยิ้มเช่นเดิม หากข้าวหอมเห็นอาการกระตุกชัดเจน แม้แต่ดวงตาภายใต้แว่นยังฉายชัดถึงความตื่นตระหนกเล็กน้อย

          “ก็แหม...ป้าเองมีบ้านเช่าอยู่หลายหลัง ได้เงินแต่ละเดือนก็มากเกินพอแล้ว ก็เลยอยากปล่อยบ้านเช่าให้กับคน...เอ่อ...”

          คุณสุพรรณีหยุดชะงักเพียงเล็กน้อย กวาดตามองเสื้อยืดคอย้วยๆ กับกางเกงสีซีดขาดแหว่งวิ่นตรงเข่าและดูเก่าเก็บราวกับใช้มาเป็นสิบปีของคนตรงหน้าแล้วเอ่ยต่อด้วยสุ้มเสียงหวานๆ และรอยยิ้มบาดใจ

          “กับคนที่การเงินไม่ค่อยคล่องตัวเท่าไหร่น่ะจ้ะ ถือว่าช่วยๆ กันไป”

          คนฟังพยักหน้ารับรู้ ก่อนพยายามโปรยยิ้มอย่างเข้าใจไปให้ ทว่าในใจรู้ดี...เหตุผลที่อีกฝ่ายให้มานั้นเป็นเพียงการแก้ตัวไม่ใช่เหตุผลจริงๆ ที่ปล่อยบ้านให้เช่าในราคาที่แม้จะเป็นบ้านเช่าในต่างจังหวัดก็ยังเรียกว่าถูกมาก แต่บ้านหลังนี้อยู่กลางตัวเมือง อยู่ในแหล่งชุมชน สิ่งอำนวยความสะดวกพรั่งพร้อม ทว่าราคาเช่ากลับถูกเหลือเชื่อ แต่ก็นั่นแหละ...แม้จะสงสัย หล่อนก็ทำเป็นลืมๆ ไป เพราะอย่างน้อยบ้านหลังนี้ก็ทำให้หล่อนประหยัดค่ากินค่าอยู่ได้เยอะเลยทีเดียว

          ไม่ว่าบ้านเช่าหลังนี้จะมีอะไรแอบแฝงอยู่ ไม่ว่าอันตรายแค่ไหน ข้าวหอมยังคิดจะลองย้ายมาอยู่สักพัก ทำสัญญาเช่าสักสองเดือน ถ้ามันไม่ ‘เวิร์ก’ จริงๆ ค่อยหาที่ใหม่ก็ยังไม่สาย

          “ราคาเดิมเหมือนตอนที่หนูถามคราวที่แล้วใช่ไหมคะ”

          “จ้ะ ราคาเดิมเลยจ้ะ”

          คุณสุพรรณีล้วงพัดในกระเป๋าถือแบรนด์เนมขึ้นมาคลี่ออกแล้วโบกสะบัดไปมาช่วยให้คลายร้อนลงไปได้บ้าง ยิ่งในยามนี้...ตอนที่ลุ้นระทึกว่าสาวน้อยตรงหน้าจะเช่าหรือไม่เช่า อากาศรอบกายก็ดูจะอบอ้าวยิ่งขึ้นกว่าเดิม

          “คุณน้องเข้าไปดูในบ้านอีกรอบก็ได้นะจ๊ะ เชิญจ้ะเชิญ”

          “ไม่ละค่ะ หนูเพิ่งเข้าไปดูเมื่อเดือนที่แล้วเอง คุณป้าไม่ได้เปลี่ยนอะไรข้างในใช่ไหมคะ”

          คนถูกถามส่ายหน้าดิก ยืนยันเสียงเข้มว่าไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว จะพูดให้ถูกคือเจ้าหล่อนแทบจะไม่เหยียบย่างเข้าไปด้านในเลยด้วยซ้ำไป

          ข้าวหอมเดินดูรอบๆ บ้านอีกสักพัก จึงพยักหน้าตกลงทำสัญญาเช่าในที่สุด

          “ตกลงค่ะ ทำสัญญาสองเดือนตามที่ตกลงกันไว้ก่อน       นะคะ...ลองอยู่ดูก่อน ถ้าหนูชอบ หนูจะต่อสัญญาอีก”

          คุณสุพรรณีแทบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ รีบฉวยแฟ้มสัญญาที่ใส่กระเป๋าถือมาด้วยออกมา แล้วยื่นให้หล่อนทันที

          “ลองอ่านอีกรอบดูนะจ๊ะ สัญญายังเป็นฉบับเดิม ป้าไม่ได้เปลี่ยนตรงไหนเลยจ้ะ” พูดพลางยื่นปากกาลูกลื่นให้ หญิงสาวรับมาถือไว้ หมุนควงปากกาด้ามนั้นเล่นตามความเคยชิน

          หญิงสาวกวาดสายตาอ่านสัญญาฉบับนั้นอย่างคร่าวๆ    ไม่ต้องคิดอะไรมาก ทันทีที่อ่านถึงบรรทัดสุดท้าย หล่อนก็จรดปลายปากกาลงบนช่องลายเซ็นทันที

          อุปาทานหรือไรไม่ทราบได้ พลันที่ปากกาแตะลงบนกระดาษ  กลิ่นหอมรวยระรินของดอกไม้ชนิดหนึ่งก็ลอยมาตามลม หล่อนขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นกวาดตามองไปรอบๆ กลับเห็นเพียงสนามหญ้า และต้นมะม่วงสองสามต้นเท่านั้น หาได้มีต้นไม้ต้นใดที่สามารถส่งกลิ่นหอมจรุงจนซ่านซึ้งไปทั่วทั้งโสตนาสิกเช่นนี้ได้เลย

          “คุณน้อง คุณน้องขา เป็นอะไรไปคะ”

          เสียงของคุณสุพรรณีปลุกให้หล่อนตื่นจากภวังค์ หญิงสาวกะพริบตาถี่เร็วก่อนจะส่ายหน้า พึมพำว่าไม่เป็นไร จากนั้นจึงเซ็นชื่อลงบนสัญญา เสร็จแล้วจึงยื่นส่งคืนให้อีกฝ่าย

          “พรุ่งนี้หนูย้ายเข้ามาอยู่ได้เลยใช่ไหมคะ”

          “ได้เลยจ้ะ ได้เลย ถ้าคุณน้องอยากได้คนช่วยขนของ โทร.บอกป้าได้เลยนะ ป้าจะให้คนของป้ามาช่วย”

          ข้าวหอมพึมพำขอบคุณ หันกลับไปมองบ้านทรงโคโลเนียลสองชั้นสีครีม ตระหง่านอยู่กลางแสงแดดด้วยความรู้สึกประหลาด

          ...ลางสังหรณ์บางอย่างบอกหล่อนว่า หากก้าวเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ชีวิตของหล่อนจะต้องเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง!

 

ที่อยู่เดิมของข้าวหอมเป็นเพียงห้องเช่าเล็กๆ ราคาถูก   แถบชานเมือง หล่อนอยู่ได้สบายไม่เดือดร้อน ถ้าที่ทำงานใหม่จะไม่อยู่ไกลจนทำให้การเดินทางมาทำงานใช้เวลานานเกินไป เพราะเหตุนี้หญิงสาวจึงจำเป็นต้องหาที่อยู่ใหม่ใกล้ๆ ที่ทำงานซึ่งเป็นร้านอาหารแห่งหนึ่งในละแวกนี้ โชคดีที่หล่อนได้มาเจอบ้านปล่อยเช่าหลังนี้เข้า ตอนแรกคิดว่าค่าเช่าคงแพงเกินตัวจนสู้ไม่ไหว เกือบจะตัดออกจากตัวเลือกแล้ว แต่ไม่รู้อะไรมาดลใจให้หล่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.หาเจ้าของ เพราะเหตุนี้หล่อนจึงได้รู้ว่าบ้านหลังนี้ปล่อยให้เช่าในราคาที่พอๆ กับห้องเล็กๆ ที่หล่อนเคยอยู่...เป็นบ้านเช่าที่ถูกมาก ถูกเกินไปจนหล่อนหวั่นใจจึงยังไม่กล้าตัดสินใจทำสัญญาเช่าตั้งแต่แรก แต่คนอย่างข้าวหอมก็ไม่มีทางเลือกอะไรมากนัก อะไรที่ประหยัดได้ก็ต้องประหยัด ดังนั้นเมื่อมาดูบ้านครั้งที่สองหล่อนจึงตกลงทำสัญญาเช่าโดยไม่ลังเลอีกต่อไป

          เนื่องจากข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวและเสื้อผ้าของข้าวหอมมีไม่มากนัก หล่อนจึงปฏิเสธคุณสุพรรณีที่จะให้คนมาช่วยขน หญิงสาวมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับกระเป๋าเดินทางเก่าๆ หนึ่งใบ ยืนสำรวจตัวบ้านที่ดูเงียบสงบด้วยความรู้สึกกึ่งพอใจกึ่งกริ่งเกรง หล่อนจ้องอยู่อึดใจจึงสูดลมหายใจลึก สาวเท้าเดินมาที่ประตูบานเล็ก ไขกุญแจเรียบร้อยจึงผลักประตูบานนั้นให้เปิดออก ก้าวเข้าไปด้านใน เดินไปตามถนนปูด้วยตัวหนอนซึ่งทอดยาวสู่บนไดเตี้ยๆ หน้าประตูไม้บานใหญ่

          ข้าวหอมเดินอย่างช้าๆ จนมาหยุดอยู่หน้าประตูบานนั้น ไขกุญแจและเปิดประตู ฉับพลันนั้นลมเย็นพัดโชยมาปะทะผิวกายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หล่อนไม่รู้ว่าลมพัดมาจากไหน หรือเข้ามาจากทิศทางใดของตัวบ้านเพราะประตูและหน้าต่างล้วนแล้วแต่ปิดสนิททุกบาน หญิงสาวเริ่มรู้สึกหวาดๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว         จึงยืนละล้าละลังอยู่เช่นนั้น และยิ่งลังเลเมื่อเสียงของผู้เป็นเพื่อนผุดขึ้นมาในความคิด

          ‘ระวังนะเว้ยไอ้ข้าว! บ้านถูกๆ แบบนั้นแสดงว่ามันต้องมีอะไรที่ฉันเตือนก็เพราะเป็นห่วงไม่ได้ตั้งใจจะขู่ให้แกกลัวหรอกนะ’

          ข้าวหอมกลัวจริงๆ...เพิ่งจะมารู้สึกกลัวจนขนลุกกราวก็ตอนนี้เอง

          ทว่า...ความที่เป็นคนจิตแข็งมาตั้งแต่เด็กทำให้หล่อนกัดฟันสู้ หลับหูหลับตาก้าวพรวดเข้าไปด้านใน ยืนคว้างอยู่กลางห้องโถงที่มีแชนเดอเรียราคาแพงห้อยย้อยลงมาจากเพดาน    หญิงสาวค่อยๆ เปิดเปลือกตาข้างซ้ายเมื่อไม่พบความผิดปกติใดๆ จึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ส่ายหน้าและหัวเราะเบาๆ กับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองก่อนจะกวาดตามองโดยรอบอย่างละเอียด

          ทางด้านซ้ายของห้องโถงเป็นบันไดโค้งทอดขึ้นสู่ชั้นบนของบ้าน ทางด้านหลังมีประตูเปิดออกไปสู่ห้องครัวและห้องรับประทานอาหาร ส่วนทางซ้ายเป็นห้องรับแขกและห้องนั่งเล่น

          ห้องรับแขกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจสีขาว ทั้งตู้โชว์ ตู้วางโทรทัศน์ หรือโต๊ะตัวยาวหน้าโซฟาบุหนังสีน้ำตาลอ่อนล้วนฉลุลวดลายงดงาม

          ที่ติดกันนั้นเป็นห้องนั่งเล่น ข้าวหอมเดาว่าเจ้าของบ้านเดิมคงตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อให้ลูกๆ เข้ามานั่งเล่นหรือทำการบ้าน เห็นได้จากมีของเล่นวางเรียงรายอยู่ในตู้ส่วนหนึ่ง และเบาะรองนั่งทรงกลมขนาดใหญ่แบบสี่ห้าคนโอบ วางชิดผนังอีกด้าน ใกล้ๆ กันนั้นมีโต๊ะทรงเตี้ยรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าพับวางพิงผนังอยู่ หล่อนมองสำรวจอีกครู่จึงเดินกลับมาหิ้วหระเป๋าเดินขึ้นไปยังห้องนอนซึ่งมีอยู่สองห้องนอน หล่อนเลือกห้องทางปีกซ้ายที่เคยเข้ามาสำรวจแล้วเมื่อเดือนก่อน

          ข้าวของในห้องไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ทั้งเตียงขนาดหกฟุตซึ่งวางชิดผนังห้องด้านหนึ่ง โต๊ะทรงเตี้ยข้างเตียงมีโคมไฟวางตั้งอยู่ อีกฟากของห้องจัดไว้สำหรับนั่งอ่านหนังสือมีตู้หนังสือกรุกระจกสูงเกือบจดเพดานวางชิดผนัง ใกล้ๆ กันนั้นเป็นโซฟาบุหนังปรับเอนได้ มีโต๊ะกลมวางอยู่ข้างๆ และมีเก้าอี้ทรงเตี้ยอยู่ข้างใต้ที่ผู้เป็นเจ้าของคงใช้สำหรับเหยียบขึ้นไปหยิบหนังสือที่วางอยู่ชั้นบนสุดลงมาอ่าน

          ถัดจากมุมอ่านหนังสือเป็นห้องเล็กๆ สำหรับเก็บเสื้อผ้าและแต่งตัว มีฝาไม้ฉลุลายกั้นอยู่ ด้านหลังฝานั้นคือห้องอาบน้ำและห้องน้ำสร้างแยกกัน ข้าวหอมเดินสำรวจรอบห้องอีกครั้งก่อนจะลงมือเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ จัดวางของใช้ส่วนตัวจนเรียบร้อยจึงทิ้งกายลงนั่งตรงปลายเตียง

          ผ้าปูที่นอนสะอาดและเรียบตึงเพราะคุณสุพรรณีให้คนมาเปลี่ยนให้ตั้งแต่เมื่อวาน ที่นอนกับหมอนใบใหญ่ก็เป็นของใหม่เช่นกัน ด้วยเหตุนี้หล่อนจึงค่อนข้างพอใจเพราะไม่ต้องเสียเงินซื้อข้าวของเครื่องใช้ใหม่เข้าบ้านเลยสักอย่างเดียว

          ข้าวหอมกำลังจะลุกขึ้นยืนเพื่อลงไปสำรวจห้องครัว กลิ่นหอมของอะไรบางอย่างก็ลอยมาแตะจมูกอีกครั้ง เป็นกลิ่นหอมเดียวกับที่หล่อนได้กลิ่นเมื่อวานไม่ผิดเพี้ยน ขนในกายที่นอนนิ่งสงบพลันลุกชันขึ้นมาอีกครา เจ้าตัวต้องยกมือขึ้นกอดอกเมื่อรู้สึกห้องทั้งห้องอุณหภูมิต่ำลงอย่างน่าประหลาด

          ปกติหล่อนไม่กลัวผี เพราะไม่เคยได้พบได้เห็นด้วยตาของตัวเองสักครั้ง กระนั้นหล่อนก็ไม่เคยลบหลู่ จึงรีบยกมือไหว้ปะหลกๆ

          “ใคร...หรืออะไรก็ตามที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ได้โปรดอย่ามาหลอกหลอนกันเลยนะคะ ข้าวแค่มาขอพักอาศัย ไม่ได้มาทำร้าย” ว่าพลางกวาดตามองซ้ายขวาอย่างหวั่นๆ ปากก็พูดต่อไป “เราอยู่ด้วยกันอย่างสันติเถอะค่ะ ไว้ข้าวไปวัดเมื่อไหร่จะอุทิศส่วนกุศลให้นะคะ”

          กลิ่นหอมนั้นค่อยๆ จางหายไป อุณหภูมิที่ลดต่ำก็ค่อยกลับมาเป็นปกติ ข้าวหอมลอบระบายลมหายใจยาว ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

          ทว่าในวินาทีนั้น เข่าหล่อนแทบทรุดเมื่อเห็นอะไรบางอย่างรางๆ อยู่ตรงหน้า ละม้ายห้องห้องนั้นกลายเป็นห้องอีกห้องหนึ่งก็ไม่ปาน หล่อนพยายามเพ่งมองให้เห็นชัดๆ แต่ทุกอย่างก็แผ่วจาง และวูบไหวไปมาราวกับไม่มีอยู่จริง

          ข้าวหอมคิดว่าสายตาของตนเองผิดปกติจึงรีบหลับตา     พักสายตาอยู่ครู่ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภาพประหลาดตรงหน้าก็หายไปเสียแล้ว

          หญิงสาวถึงกับถอนหายใจเฮือกกับตัวเอง พร่ำบ่นอย่างหัวเสียว่า

          “เพราะแกเลยยัยปิ่น! พูดกรอกหูฉันซะเห็นภาพหลอนเลย!”

          บ่นพึมพำอีกสองสามประโยคแล้วรีบเดินออกจากห้องไป

          หากเหลียวหันมามองสักนิด หล่อนคงได้เห็นชายร่างสูงใหญ่ ผิวคร้ามคมสวมเสื้อแขนกระบอก และนุ่งโจงกระเบนสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่    ริมหน้าต่าง เขาเท้าแขนลงกับขอบหน้าต่างไม้ ทอดสายตาเหม่อมองออกไปเบื้องนอก ชมวิวทิวทัศน์ที่เป็นลำคลองสายหนึ่งมีเรือแล่นผ่านสองสามลำ หาใช่ถนนลาดยางที่มีรถวิ่งพลุกพล่านเช่นทุกวันนี้ไม่

 

ข้าวหอมเดินลงมาสำรวจห้องครัว ทอดสายตาอย่างพอใจเมื่อคุณสุพรรณีจัดการซื้อเครื่องครัวไว้ให้อย่างครบครัน ทั้งหม้อ กระทะ ตะหลิว ทัพพี ไมโครเวฟ ตู้เย็น จานชามและช้อนส้อมอีกจำนวนหนึ่ง ของพวกนี้หญิงสาวไม่ต้องควักเงินจ่ายเอง เพราะเจ้าของบ้านเช่าใจดีตระเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพ ดูท่าคงหาคนมาเช่าบ้านหลังนี้อยู่นาน พอมีคนหลงเข้ามาถึงได้ลดแลกแจกแถมเสียยกใหญ่

          หล่อนกวาดตามองห้องครัวและห้องรับประทานอาหารเล็กๆ อีกครั้ง ก่อนหมุนตัวเดินจากมา ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา พบว่าถึงเวลาต้องไปทำงานแล้ว หล่อนจึงเร่งฝีเท้าเดินกลับขึ้นไปบนห้อง รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุด   เสื้อยืดแขนสั้นสีดำลายแมวน้อยฉีกยิ้มกว้างอวดฟันขาวเป็นระเบียบ กับกางเกงยีนสีซีด ฉวยรองเท้าผ้าใบที่เก็บอยู่ในกล่องออกมา ก้าวฉับๆ มาที่โต๊ะเครื่องแป้ง หยิบหวีขึ้นมาหวีผมเหยียดตรงของตนเองอย่างลวกๆ หันซ้ายขวาสำรวจความเรียบร้อยก็รุดออกจากห้อง        โดยเร็ว

          หล่อนไม่ชอบแต่งหน้า แต่ถ้าจะแต่งก็พอแต่งได้ เพียงแค่ทาแป้ง ปัดบลัชออนและทาลิปสติก เท่านี้ถือว่าไม่ลำบากอะไร แต่ถ้าวันไหนคิดจะเขียนอายไลน์เนอร์ เขียนคิ้ว หรือปัดมาสคาร่าละก็ ต้องเผื่อเวลาแต่งหน้าไปอีกครึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงเต็มๆ อีกทั้งหล่อนยังเห็นว่าการแต่งหน้าเป็นการเสียเวลาโดยใช่เหตุ เพราะถึงอย่างไรพอไปถึงที่ทำงานหล่อนก็ต้องแต่งหน้าใหม่อยู่ดี แถมมีคนแต่งให้ ไม่ต้องลำบากแต่งเองอีกด้วย

          ข้าวหอมเป็นคนขาว แม้ไม่แต่งหน้า แต่พอออกกำลังเล็กๆ น้อยๆ ผิวแก้มของหล่อนจะมีเลือดฝาดตามธรรมชาติ ใบหน้าเปล่งปลั่งสดใสโดยไม่ต้องแต่งแต้มอะไรให้มากมาย เพียงแค่หล่อนวิ่งกระหืดกระหอบลงมาชั้นล่าง มาสวมรองเท้าคู่ใจอยู่หน้าประตู แก้มของหล่อนก็ปรากฏรอยระเรื่อแล้ว

          ข้าวหอมไม่ใช่คนสวยจนหนุ่มๆ ต้องเหลียวมอง เรียกว่าหน้าตาธรรมดาแทบกลืนไปกับฝูงชนอย่างง่ายดาย ยิ่งถ้าหล่อนอยู่ท่ามกลางหญิงสาว สวย ขาว หุ่นดีด้วยแล้ว แทบจะไม่มีหนุ่มคนไหนสังเกตเห็นหล่อนเลยด้วยซ้ำ แต่ข้าวหอมไม่เคยน้อยใจในสิ่งนี้ หล่อนไม่ได้ห่วงสวย ไม่เคยสนว่าจะมีผู้ชายมาสนใจ หรือจะมีแฟนเมื่อไร ตอนไหน เพราะเหตุนี้ตั้งแต่เกิดจนอายุยี่สิบ หล่อนก็ยังไม่เคยคบผู้ชายเลยสักคน แต่ก็พอรู้จักความรักอยู่บ้าง เพราะเคยแอบหลงรักรุ่นพี่นักกีฬาบาสเกตบอลของโรงเรียนในตอนที่หล่อนอายุสิบสองสิบสาม...เป็นปั๊บปี้เลิฟที่ไม่ได้  ลึกซึ้งมากมายอะไร นานวันเข้าหล่อนก็ลืมๆ ไปเสียแล้ว แม้แต่หน้าตาของรุ่นพี่คนนั้น หล่อนก็แทบจำไม่ได้

          ครั้งหนึ่ง ปิ่นมณีเคยถามหล่อนว่า

          ‘แกไม่อยากมีแฟนเหมือนคนอื่นๆ เขาเลยหรือวะไอ้ข้าว’

          คนที่เพิ่งคบกับแฟนใหม่คนที่สี่ถามอย่างสงสัยจริงจัง หนำซ้ำยังคะยั้นคะยอให้หล่อนไปออกเดตกับเพื่อนของแฟนเสียอีก แต่ข้าวหอมปฏิเสธท่าเดียว

          ‘ไม่เอาอะ อยู่คนเดียวก็ดีอยู่แล้ว อยากทำไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป ไม่ต้องมาคอยถามว่าไปที่นู่นดีไหม ที่นี่ดีไหม เดี๋ยวก็ต้องมานั่งรอให้เวลาว่างตรงกันอีก วันดีคืนดีเดี๋ยวก็ทะเลาะกัน เดี๋ยวก็ดีกัน สามวันดีสี่วันไข้เหมือนแกละก็’ หล่อนสั่นศีรษะจนผมกระจาย ‘ฉันขออยู่เป็นโสดไปจนตายดีกว่า!’

          ‘เออ! แล้วฉันจะคอยดู! ไอ้คนที่พูดแบบนี้น่ะแต่งงานก่อนเพื่อน   ทั้งนั้น!’

          ข้าวหอมรับฟังด้วยความขบขัน อยากจะแย้งเพื่อนเหลือเกินว่า    ชาตินี้หล่อนคงไม่มีวันได้แต่งงานหรอก เพราะแม้แต่เนื้อคู่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ!

          ผ่านมายี่สิบปี ข้าวหอมยังคงครองตัวเป็นโสด ไม่มีใครเข้ามา และหล่อนก็ไม่สนใจใคร ไม่รู้หัวใจมันด้านชาต่อความรักหรือเปล่าจึงไม่รู้สึกหวั่นไหวกับผู้ชายคนไหนเลย นานวันเข้าปิ่นมณีก็อดบ่นพึมพำจามประสาคนขี้บ่นไม่ได้

          ‘แกกำลังรอเทพบุตรตกจากสวรรค์อยู่รึไง’

          ‘อืม...ความคิดแกเข้าท่าดีนะ ถ้าวันไหนมีเทพบุตรสุดหล่อมาหล่นตุบลงตรงหน้าฉัน ฉันจะไม่ปล่อยให้หลุดมือเลยเอ้า!’

          คนเป็นเพื่อนถอนใจเฮือก ส่ายหน้าอย่างระอาแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยไปเลย คงรู้ว่าพูดเรื่องนี้ปากเปียกปากแฉะสักเท่าไหร่ ข้าวหอมก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจ

          ‘หัวใจแกน่ะมันตายด้านแล้วไอ้ข้าว! อยากรู้จริงจริ๊งว่าผู้ชายคนไหนจะทำให้แกหลงรักได้’

          นึกมาถึงตรงนี้หล่อนก็อดหัวเราะกับตนเองไม่ได้ เกือบสามปีแล้วที่ปิ่นมณีรอแต่ก็ได้แต่รอแกร่วอยู่เช่นนั้น เพราะหัวใจของหล่อนไม่เคยหวั่นไหวกับผู้ชายคนไหนแม้สักคนจริงๆ

          ข้าวหอมสูดลมหายใจลึก ดึงตัวเองตื่นจากภวังค์ พร้อมกับผูกเชือกรองเท้าให้เสร็จ เมื่อเรียบร้อยก็รีบรุดมาที่ประตูใหญ่ทางด้านหน้า ครั้นปิดประตูและเดินจากมา ภาพอาคารก่ออิฐถือปูนสองชั้นด้านหลังหล่อนกลับมีภาพอีกภาพหนึ่งซ้อนทับอยู่ ภาพชายหนุ่มผู้หนึ่งกอดหนังสือเล่มหนึ่งด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างไพล่ไว้ทางด้านหลัง และกำลังเดินทอดน่องราวกับเพลิดเพลินกับการชมวิวทิวทัศน์โดยรอบ

 

เนื่องเพราะร้านอาหารที่ข้าวหอมทำงานอยู่นั้นอยู่ไม่ห่างจากบ้านเช่าเท่าไรนัก หล่อนจึงไม่จำเป็นต้องนั่งรถเมล์ นั่งแท็กซี่ ใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างหรือขึ้นรถไฟฟ้า เพียงเดินไปตามทางเดินเท้าลงไปทางทิศใต้ประมาณสิบนาที แล้วเลี้ยวเข้าซอยซอยหนึ่ง เดินไปอีกประมาณไม่กี่นาทีก็ถึงจุดหมาย

          เหงื่อที่ผุดพรายมาตามไรผมและภายในร่มผ้าทำให้ข้าวหอมอึดอัด แต่พอก้าวพ้นประตูไม้ของร้านอาหารเข้าสู่พื้นที่อันร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ลมพัดโชยแผ่วเบา หล่อนจึงรู้สึกสบายขึ้น และยังหายใจหายคอได้คล่องขึ้นเมื่อควันจากท่อไอเสียรถยนตร์เบาบางลงจนแทบไม่ได้กลิ่น

          ผ่านพ้นประตูทางเข้าซึ่งเป็นไม้สักมีหลังคาและมีป้ายติดว่า  ‘เรือนพิกุล’ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกพิกุลที่ปลูกทั้งสองฟากฝั่งประตูก็ลอยโชยมากระทบโสตประสาท ด้านในยังมีต้นพิกุลอีกเกือบสิบต้นปลูกเรียงรายไปตามทางเดินอิฐ สู่ตัวอาคารเรือนไทยสองชั้นยกพื้นสูง มีการผสมผสานศิลปะฉลุฉลายขนมปังขิงตามขอบหน้าต่าง ประตู และระเบียง ชั้นบนเป็นร้านอาหารโดยแบ่งพื้นที่ตรงการสำหรับการแสดงนาฏศิลป์ ละครรำ และดนตรีไทย ส่วนชั้นล่างจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ของเก่าซึ่งเป็นมรดกตกทอดของ   ผู้เป็นเจ้าของ

          เลยออกไปทางด้านหลัง เป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยโต๊ะอาหารเรียงรายเป็นระเบียบ สำหรับผู้ที่ต้องการทานอาหารซึมซับบรรยากาศอันเงียบสงบเพียงอย่างเดียว บริเวณโดยรอบเป็นต้นไม้สูงใหญ่ประดับไฟสีนวลเย็นตา เฉพาะยามเทศกาลเท่านั้นจึงจะเปลี่ยนเป็นไฟหลากสี

          ข้าวหอมชอบร้านอาหารแห่งนี้เป็นพิเศษ...ชอบตั้งครั้งแรกที่ก้าวผ่านประตูเข้ามาเลยด้วยซ้ำ หล่อนโชคดีที่ได้มาทำงานที่นี่ทั้งๆ ที่เรียนไม่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก คุณนฤมลผู้เป็นเจ้าของกลับใจดีรับหล่อนไว้

          หล่อนกับคุณนฤมลพบกันเมื่อหนึ่งปีก่อน ตอนนั้นหล่อนกำลังลำบาก เพราะแขกในร้านอาหารที่ทำงานอยู่พยายามลวนลามหล่อน ไม่มีใครช่วยเหลือหล่อน หรือจะพูดให้ถูกคือไม่มีใครกล้าช่วยเพราะเกรงว่าจะถูกเจ้านายไล่ออก หล่อนเองก็ไม่กล้าทำอะไรรุนแรงเพราะไม่อยากหางานทำใหม่ ด้วยวุฒิการศึกษาในเวลานั้นทำให้หล่อนต้องคิดก่อนจะทำอะไรลงไป

          ระหว่างที่ยืนใช้ความคิดอยู่ คุณนฤมลก็เดินอาดๆ เข้ามาด่าทอชายผู้นั้นแล้วกระชากมือของหล่อนออกโดยแรง อีกทั้งยังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.แจ้งตำรวจอีกด้วย กลุ่มชายวัยกลางคนที่กำลังเมาได้ที่ พอเห็นว่าคุณนฤมลเอาจริงก็รีบออกไปจากร้านแทบไม่ทัน

          ครั้นผ่านพ้นเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ข้าวหอมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะยกมือไหว้คุณนฤมลอย่างสำนึกในบุญคุณ

          ‘ขอบคุณมากค่ะคุณ ขอบคุณที่ช่วยหนู’

          ‘ระวังๆ หน่อยนะหนู ผู้ชายเดี๋ยวนี้ไว้ใจไม่ได้เลย’ เธอว่าพลางพินิจหล่อนอย่างตั้งอกตั้งใจ ‘หนูใช่คนที่รำเมื่อกี้ใช่ไหมจ๊ะ รำฉุยฉายพราหมณ์น่ะ’

          ‘ค่ะ’ หล่อนพึมพำตอบอย่างงงๆ เพราะเวทีการแสดงอยู่ไกลเพียงนั้น คุณนฤมลไม่น่าจะจำหล่อนได้

          ‘หนูรำสวย ฉันชอบ’

          เป็นคำชมที่หล่อนได้รับมาตลอดห้าปีขณะที่เรียนอยู่ในโรงเรียนนาฏศิลป ผลการเรียนของหล่อนแม้ไม่ได้เป็นที่หนึ่งของรุ่น ไม่ได้เด่นที่สุด แต่ก็ถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ เมื่อมีงานข้างนอกเข้ามา ครูมักจะเลือกหล่อนด้วยเสมอ หล่อนย่อมดีใจเพราะเมื่อรับงาน หล่อนก็จะได้ค่าจ้างด้วยแม้จะเป็นเงินเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม

          ชีวิตของหล่อนไม่ได้สวยหรู หล่อนไม่ร่ำรวย และไม่มีครอบครัวอบอุ่นเหมือนใครอื่น แม่ของหล่อนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่หล่อนอายุแปดขวบ หลังจากนั้นเพียงปีเดียว พ่อของหล่อนก็แต่งงานใหม่กับน้ากรองกาญจน์

          แม่เลี้ยงของหล่อนเป็นผู้หญิงสวย ช่างแต่งตัว ผมดัดเป็นลอนเงางาม ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางไว้แทบตลอดเวลา เสื้อผ้าของน้ากรองกาญจน์ ถ้าไม่เป็นสีแดง ก็สีเขียว เหลือง หรือส้ม ส่วนใหญ่เป็นสีฉูดฉาดแบบที่หล่อนไม่ชอบ เล็บมือตัดเป็นระเบียบ แวววาม และมักจะเคลือบยาทาเล็บสีแดงไว้เสมอ เนื้อตัวประพรมน้ำหอมจนฉุน หล่อนนิ่วหน้าทุกครั้งเวลาเข้าใกล้หรือเดินผ่าน หล่อนไม่เข้าใจว่าพ่อของหล่อนหลงรักผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไร น้ากรองกาญจน์ไม่มีอะไรเหมือนแม่เลยแม้แต่นิดเดียว

          แม่ของหล่อนอ่อนหวาน เรียบร้อย ไม่แต่งหน้าแต่งตัวจนจัดจ้าน ไม่พรมน้ำหอมจนต้องเบือนหน้าหนีเช่นนี้ ยามอยู่ใกล้แม่ หล่อนรู้สึกเหมือนนั่งริมแม่น้ำที่ลมเย็นพัดโชย แต่กับน้ากรองกาญจน์ หล่อนรู้สึกเหมือนมีกองไฟสุมตัวหล่อนอยู่ พ่อของหล่อนไม่รู้สึกเช่นนี้เลยหรือ

          ...เป็นคำถามที่หล่อนถามตัวเองอยู่เป็นประจำ แต่พอผ่านพ้นไปสามสี่ปี หล่อนก็เลิกสนใจ

          ในเมื่อพ่อของหล่อนรักผู้หญิงคนนี้ หล่อนก็จำต้องยอมรับให้ได้

          ตอนแรกข้าวหอมไม่คิดจะเรียนนาฏศิลป์ แต่เมื่อน้ากรอง-       กาญจน์บอกว่าอยู่ใกล้บ้าน เดินไปเรียนได้ไม่เปลืองค่ารถ แถมตอนเย็นเลิกเรียนปุ๊บก็กลับบ้านได้เร็ว ไม่ต้องพะวงกับรถติด

          ‘กลับบ้านเร็วก็มาช่วยดูร้านให้กรองได้ ไม่ดีหรือคะคุณ’

          พ่อเพิ่งเปิดร้านอาหารจำพวกสเต๊กมาได้สองปี โดยให้น้า               กรองกาญจน์ดูแลร้าน ส่วนพ่อไม่มีเวลาดูแลเพราะมีงานประจำทำอยู่...กรรมการผู้จัดการบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งเป็นงานที่เงินเดือนไม่ใช่น้อยๆ    เรียกว่าหล่อนอยู่ได้อย่างสบายไม่ลำบากเลยแม้แต่นิดเดียว

          ทว่า...ชีวิตของหล่อนเปลี่ยนแปลงไปนับตั้งแต่น้ากรอง-กาญจน์เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน

          พ่อของหล่อนหลงใหลผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน ไม่ว่าน้า       กรองกาญจน์จะพูดอะไร พ่อก็เชื่อหมดทุกอย่าง ความรัก ความสนิทสนมที่มีมาก่อนหน้านั้นเริ่มห่างหาย หล่อนรู้สึกเหมือนพ่อเป็นคนแปลกหน้า ยิ่งเมื่อน้ากรองกาญจน์มีลูกติดวัยกำลังน่ารัก พ่อก็หันไปเอาใจใส่เด็กคนนั้นมากกว่าหล่อน

          ข้าวหอมรู้สึกเคว้งคว้างอยู่หลายปี และเมื่อหล่อนอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ ทุกอย่างยิ่งแย่ลงกว่าเดิม พ่อของหล่อนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต หล่อนต้องอยู่ในความดูแลของน้ากรองกาญจน์ หล่อนต้องซักผ้า ล้างจาน ทำอาหาร ทำความสะอาดบ้านด้วยตัวเองตามคำสั่งของอีกฝ่ายเพื่อประหยัดค่าจ้างแม่บ้านในแต่ละเดือน ยิ่งไปกว่านั้น น้ากรองกราญจน์ยังเอาสมบัติของพ่อไปเล่นพนัน เล่นหุ้นจนหมด และยังเป็นหนี้นอกระบบอีก จำต้องขายบ้าน ขายร้าน และย้ายมาอยู่ห้องเช่าเล็กๆ ราคาถูก ส่วนหล่อนก็ต้องหางานทำเพื่อนำมาเป็นค่าเทอม ค่าใช้จ่าย และช่วยแม่เลี้ยงของหล่อนใช้หนี้ด้วย ครั้นไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม หล่อนก็จำต้องออกจากโรงเรียน ในเวลานั้นหล่อนเพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า

          อีกหนึ่งปีถัดมา น้ากรองกาญจน์ได้แฟนใหม่ เป็นวิศวกรชาวต่างชาติ และย้ายออกจากบ้านไปอยู่กับเขาทันทีหลังจากคบกันได้เพียงสองเดือน แต่ก็ยังใจดีอยู่บ้างที่ชดใช้หนี้ของตัวเองจนหมด ทำให้หล่อนปลดภาระหนี้สินได้โดยไม่ต้องตกระกำลำบากมากนัก หล่อนต้องอยู่คนเดียวนับตั้งแต่นั้น ต้องหางานทำ ไม่ว่างานอะไรหล่อนก็ทำได้หมด ทั้งพนักงานเสิร์ฟ ล้างจาน แจกใบปลิว รับงานรำบ้างบางครั้ง ข้าวหอมเพิ่งจะมีงานมั่นคงก็ที่ร้านแห่งนี้ แต่ค่าตอบแทนที่น้อยนิดอีกทั้งเจ้าของร้านยังเบี้ยวไม่จ่ายเงินเดือนเป็นเดือนสองเดือนทำให้หล่อนอยากหางานใหม่ โชคดีที่คุณนฤมลสนใจในตัวหล่อนพอดี

          ‘มาทำงานกับฉันไหม รับรองว่าค่าตอบแทนดี แต่ฉันไม่มีที่อยู่ให้นะ หนูต้องหาเอง’

          ไม่ต้องเสียเวลาคิด ข้าวหอมตอบตกลงทันควัน ช่วงแรกหล่อนยังพักอยู่ที่เดิม ครั้นหนึ่งปีให้หลัง หล่อนจึงคิดย้ายที่อยู่ใหม่       

          ความคิดของหล่อนสะดุดลงเมื่อแว่วเสียงคุณนฤมลดังขึ้นทางด้านหลัง

          “หนูข้าว! ยืนเหม่ออะไรอยู่จ๊ะ” เอ่ยพลางกอดไหล่หล่อนเดินขึ้นไปยังชั้นสองของตัวอาคาร “เมื่อวานตอนที่ฉันไปส่งสตีฟ เขาชมหนูเปาะเลยน้า แถมยังฝากของขวัญมาให้ด้วย”

          สตีฟเป็นชาวต่างชาติวัยหกสิบปลายๆ ชื่นชอบรำไทยเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะยามที่หล่อนรำให้เขาดู

          เขาไม่ได้ชอบหล่อนในเชิงชู้สาว แต่ชอบการแสดงของหล่อนมาก อีกทั้งยังเอ็นดูหล่อนเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง เวลาเขาแวะมาที่ร้านจึงมักเรียกหล่อนไปพบพูดคุย และมักมีของขวัญติดไม้ติดมือมาให้อยู่เสมอ

          “ของขวัญหรือคะ?”

          “จ้ะ” ตอบพลางยิ้มกว้าง แล้วรุนหลังหล่อนเข้าไปยังห้องสำนักงานซึ่งเปิดไฟสว่างอยู่ก่อนแล้ว คุณนฤมลก้าวฉับๆ ไปนั่งตรงเก้าอี้ไม้ตัวยาววางชิดผนัง วางถุงหิ้วสีขาวที่ถือมาด้วยลงบนโต๊ะอย่างระวัง ก่อนหยิบกล่องกล่องหนึ่งขึ้นมา ส่งให้หล่อน

          “ของหนูจ้ะ”

          ข้าวหอมรับสิ่งนั้นมา ครั้นก้มมองก็พบว่าเป็นกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน ขนาดใหญ่กว่ามือหล่อนเล็กน้อย

          “เปิดดูสิจ๊ะ”

          หญิงสาวทำตาม ค่อยๆ เปิดฝากล่องอย่างระมัดระวัง สิ่งแรกที่กระทบตาหล่อนคือประกายทองแวววาวจากทับทรวงทองคำประดับเด่นด้วยทับทิมและมรกต เห็นคราแรกหล่อนตาพร่า และใจสั่นราวกับจะเป็นลม

          ความผิดปกติในร่างกายทำให้หล่อนรีบเงยหน้าขึ้น แทนที่จะดีขึ้น หัวใจหล่อนแทบหยุดเต้นเมื่อพบว่าด้านหลังคุณนฤมลนั้นมีชายผู้หนึ่งยืนอยู่ หน้าตาเป็นอย่างไร หล่อนไม่ทันได้มอง เพราะในวินาทีถัดมา ตัวเขากลับโปร่งแสง และดูเลือนๆ จนแทบจะเลือนหายไปต่อหน้าต่อตาหล่อน

          ข้าวหอมผงะถอยหลัง ดวงตาเบิกกว้างขึ้น ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

          ผู้ชายคนนี้...เข้ามาได้อย่างไร เป็นใคร และทำไมหล่อนจึงเห็นเขาอย่างรางเลือนเช่นนี้เล่า

          ...เป็นเพราะหล่อนตาพร่าจนมองภาพทุกอย่างเลือนไปหมด หรือสิ่งที่หล่อนเห็นไม่ใช่คน...แต่เป็นผี!

รายละเอียด

เจ้าจำปีสีนวลอวลกลิ่นกรุ่น

อุ่นละมุนหอมละไมกำซาบซ่าน

อุ่นหัวใจประทับไว้ตราบเท่านาน

วันคืนผ่านคะนึงหา...เพียงนวลเอย

 

 

‘หัวใจของพี่จักจดจำเจ้าทั้งยามหลับแลยามตื่น

ทั้งความจริงและความฝัน

ไม่ว่าวันนี้ อีกสิบปี อีกร้อยปี

หัวใจพี่จักมีเพียงเจ้า...มีเจ้าเพียงคนเดียว‘

 

 

 

 

 

คำนำ

 

    ‘เพรงพรหมข้ามภพ’ เป็นนวนิยายชุดลิขิตเหนือกาลเล่มที่ ๒ เล่มแรกคือเรื่อง ‘ฤๅพรหมอธิษฐาน‘ ถ้าถามว่าจำเป็นต้องอ่านทั้งสองเล่มไหม คำตอบคือไม่จำเป็น อ่านแยกเล่มเพราะเนื้อเรื่องไม่ต่อกันค่ะ

          สำหรับเล่มนี้ จะมีตอนพิเศษระหว่างพระนางเล่มแรกไว้ด้วย บางท่านที่ไม่เคยอ่านเล่มแรกมาก่อนอาจจะงงเล็กน้อย      แต่เป็นตอนพิเศษเพียงสั้นๆ เท่านั้น

          สุดท้ายนี้ฝากติดตามเอาใจช่วยพระนางเล่มนี้ด้วยนะคะ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทางผู้เขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยค่ะ

 

ศศิภา

๒๘/๗/๒๕๕๙


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (12 รายการ)

www.batorastore.com © 2024