แต่บุพกาล (ฉมังฉาย)

แต่บุพกาล (ฉมังฉาย)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: แต่บุพกาล
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

วันนี้ ขึ้นสิบห้าค่ำ เป็นวันพระใหญ่ แดดเช้าสว่างสดใสยิ่งนัก
อุโบสถทรงหอคำหลวงหลังหนึ่งโดดเด่นอยู่ในหมู่ต้นไม้หลากชนิด
ด้านหน้าของอุโบสถนั้นมีพญานาคสองตัวทอดตัวอยู่ข้างบันไดเตี้ย ๆ
นาคคู่นั้นเป็นสีเงินกลมกลืนอย่างยิ่งยวดกับสีของอุโบสถอันเป็นสีขาว
และความขาวนี้เองได้ขับเน้นให้หลังของอุโบสถที่เป็นกระเบื้องดินเผาสี
น้ำตาลเข้มดูเข้มมากขึ้นไปอีก และการที่ไม่ได้ตกแต่งด้วยลวดลายวิจิตรใด
ๆ นั้น ก็ไม่ได้ทำให้อุโบสถแห่งนี้ลดทอนความงดงามลงไปแม้แต่น้อยเลย
ส่วนภายในอุโบสถนั่นเล่าผนังก็แสนว่างเปล่า เรื่องราวอันเป็นพุทธประวัติ
ไม่ได้ถูกวาดลงบนผนังสีขาวสักด้าน อย่างที่วัดทั่วไปมักจะมีจิตรกรรมฝา
ผนังกัน สิ่งที่โดดเด่นภายในอุโบสถแห่งนี้ คือพระประธาน ซึ่งเป็น
พระพุทธรูปปางเปิดโลก สีขาวล้วน สูงห้าเมตร
หญิงสาวสวมชุดขาว ผมยาวรวบตึงเป็นหางม้า กำลังจัดแท่นบูชา
ให้เรียบร้อย ธูปและเทียนต้องเตรียมไว้ให้พร้อมพรัก บ้านของเธออยู่ไม่
ไกลจากวัดแห่งนี้ ทุกวันพระเธอจะมาวัดเช้ากว่าคนอื่น มีงานเล็ก ๆ น้อย
แต่บุพกาล 4 ฉมังฉาย
ๆ ให้ทำมากพอสมควร เช่นการจัดแท่นบูชาภายในอุโบสถหรือตามแท่น
พระพุทธรูปกับเทวรูปที่อยู่ในภายในบริเวณอีกสี่ห้าจุด
ชาวบ้านทยอยมาวัดกันสี่ห้าคนแล้ว บ้างเดินมา บ้างนั่งรถ
มอเตอร์ไซค์มา เป็นหญิงสูงวัยเสียส่วนใหญ่ และไม่นานก็มาสมทบอีก
จำนวนหนึ่ง ในแต่วันของวันพระเธอนับผู้มาตักบาตรฟังธรรมได้ไม่เกิน
ยี่สิบ ซึ่งก็ถือว่ามากแล้วสำหรับหมู่บ้านแห่งนี้ ที่หมู่บ้านอื่น ซึ่งอยู่ใน
ละแวกนี้ ชาวบ้านไปตักบาตรฟังธรรมที่วัดประจำหมู่บ้านในวันพระก็ไม่
เกินนี้แหละ ในบางครั้งคนแก่คนเฒ่าก็มากันไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ แล้วคน
หนุ่มคนสาวล่ะ มีไหม แทบจะไม่มีให้เห็นเลย
“มาเช้านะ แม่เนตรทิพย์” แม่เฒ่าคนหนึ่งเดินค่อมร่างทักหญิงสาว
ด้วยความรักและเอ็นดู แม้ว่าไม่ใช่ญาติพี่น้องกัน แต่ก็เห็นเธอเป็น
ลูกหลานคนหนึ่ง
“จ๊ะ แม่อุ้ย” เธอยิ้มกว้าง ฟันขาวสะอาดเรียบ ร่องรอยของกาลเวลา
ผุดขึ้นตรงหางตาให้เห็นนิดหน่อย หญิงสาวผ่านโลกมาห้าสิบห้าปี ไม่ใช่
สาวรุ่นแต่อย่างไร
เนตรทิพย์ไม่ได้รีบร้อนในการปฏิบัติภารกิจของเธอ เธอทำไป
เรื่อย ๆ และกระทำอย่างมีสติและเมื่อใกล้เวลาเจ็ดโมงเช้าทุกอย่างก็
พร้อมสรรพตามที่คาดหวัง
เนตรทิพย์ยืนอยู่ตรงชั้นสูงสุดของบันไดพญานาค ภายในอุโบสถ
มัคนายกกับหญิงสูงวัยนั่งอยู่สักจำนวนสิบกว่าคน ขณะที่เนตรทิพย์กำลัง
แต่บุพกาล 5 ฉมังฉาย
จะหันหลังเดินเข้าไปในตัวอุโบสถก็เห็นรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นมา
จอดใต้ต้นสาละ ซึ่งเป็นบริเวณด้านหน้าของอุโบสถพอดี
ชายหนุ่มเป็นคนขับ หญิงสาวเป็นคนซ้อน ทั้งคู่สวมชุดขาว เนตร
ทิพย์มองพวกเขาอย่างสนใจใคร่รู้ เธอไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อนเลย แต่ใน
ความเป็นคนแปลกหน้าของคนทั้งสองนั้นหาใช่เหตุสร้างความฉงนฉงาย
ให้แก่เธอไม่ ความเป็นคนหนุ่มคนสาวต่างหากเล่าที่ทำให้เธอรู้สึกทึ่ง มี
น้อยนักที่คนวัยขนาดนี้จะมาเข้าวัดเข้าวากัน
“สวยมาก อุโบสถนี่ เธอดูซิ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างตื้นตันใจ แววตา
เป็นประกาย ใบหน้าของเขาอิ่มสุขยิ่งนัก หญิงสาวพยักหน้ารับและเกิด
ความประทับใจในตัวอุโบสถเช่นกัน
“ดูนี่สิ พญานาคก็งามเหลือเกิน” ชายหนุ่มแนะนำต่อ
“ฉันไม่เคยเห็นพญานาคที่ไหนทาสีเงินแบบนี้มาก่อนเลย” หญิง
สาวกล่าวอย่างตื่นเต้น พินิจอย่างไม่ละสายตา
ชายหนุ่มเอามือแตะตรงบริเวณลำคอของพญานาคตัวข้างซ้าย และ
เพ่งดูดวงตาของพญานาค ซึ่งเป็นลูกแก้วสีแดง และตอนนั้นเองมีรู้สึกว่า มี
พลังบางอย่างออกมาจากตัวพญานาคและแล่นเข้ามาสู่มือของเขา
ชายหนุ่มขนลุกซู่ รีบชักมือกลับฉับพลัน แต่หญิงสาวไม่เห็น
อากัปกิริยาของเขา
“เชิญขึ้นมาเลยจ้า พระจะลงอุโบสถแล้ว” เนตรทิพย์ร้องเรียกคน
ทั้งสองด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ไม่อยากให้พวกเขาแชเชือนอยู่ตรงนั้น
แต่บุพกาล 6 ฉมังฉาย
ชายหนุ่มก้าวขึ้นบันไดไป ส่งยิ้มให้เธอ หญิงสาวอุ้มขันเงินก้าว
ตามไปติด ๆ
“ขอโทษนะคะ พี่ไม่เคยเห็นหน้าพวกคุณเลย อยู่ในหมู่บ้านนี้เหรอ
เปล่าเนี่ย” เนตรทิพย์ถาม จ้องคนนั้นคนนี้เป็นการสำรวจตรวจตราอย่าง
ละเอียด
“เปล่าครับ” ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงดัง และห้วนยิ่งนัก
“เรามาจากอีกหมู่บ้าน โน้นหมู่บ้านสหกรณ์นะค่ะ เรารู้ว่าที่นี่พระ
ลงโบสถ์ทุกวันพระ ซึ่งไม่เหมือนกับที่หมู่บ้านของเรา เราจึงต้องการมาตัก
บาตรที่นี่คะ พี่ เอ่อ...” หญิงสาวตอบข้อซักถามอย่างเต็มใจ
“อ้อ พี่ชื่อเนตรทิพย์นะ ยินดีต้อนรับ แล้วชื่ออะไรกันบ้างเนี่ย”
“ผม ประพันธ์ ส่วนภรรยาผม โสมวรรณ” ชายหนุ่มเป็นคน
แนะนำตัวด้วยความรวดเร็ว แถมน้ำเสียงก็กระด้างยิ่ง นั่นมันก็เป็นแบบ
ฉบับของเขา ถึงจะไม่เสนาะหูของเนตรทิพย์เท่าที่ควรก็ตาม
เจ้าอาวาสก้าวเข้ามาในอุโบสถ ทุกคนยกมือไหว้ขณะที่พระเดิน
ผ่านไปยังแท่นอาสนะ เนตรทิพย์นั่งอยู่แถวหน้า ประพันธ์กับโสมวรรณ
นั้นด้วยว่ามาใหม่ จึงต้องนั่งอยู่หลังสุด ใกล้ ๆ ประตูออก เจ้าอาวาสเห็น
แล้วว่าทั้งสองเป็นคนแปลกหน้าของที่นี่ จึงร้องถามอย่างเป็นมิตรว่ามาจาก
ที่ไหนกัน
แต่บุพกาล 7 ฉมังฉาย
ประพันธ์เล่าและหลังจากนั้นเจ้าอาวาสก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมี
เมตตาว่ามีความยินดีเหลือหลายที่คนต่างหมู่บ้านมาตักบาตรและฟังธรรม
ที่วัดของท่าน อีกทั้งยังกล่าวชวนเชิญให้มาอีกในวันพระครั้งหน้า
ก่อนจะทำพิธีเจ้าอาวาสซึ่งเป็นพระรูปเดียวของวัดได้แจ้งข่าวสาร
ให้ทราบว่า ทางวัดมีโครงการจะปั้นรูปพญานาคสองตัว เป็นนาคเล่นน้ำ
บริเวณที่จะตั้งพญานาคนั้นเป็นด้านข้างของอุโบสถ ซึ่งมีบึงน้ำเล็ก ๆ ตั้งอยู่
ท่านว่าพญานาคตัวหนึ่งจะมีราคาประมาณสามหมื่นบาท ดังนั้นสองตัวก็
จะมีความใช้จ่ายอยู่ที่หกหมื่นบาท ตอนนี้มีคนใจบุญบริจาคมาแล้วสาม
หมื่นบาท เหลืออีกครึ่งหนึ่งที่จะต้องหามาเพิ่ม
“บ้านเรามันก็มีความเกี่ยวพันกับพญานาคอยู่นะโยมก็รู้กันอยู่
ฉะนั้นอาตมาก็อยากให้โยมช่วย ๆ กัน เงินแม้ว่าดูว่ามาก แต่ถ้าเราช่วยกัน
คนละเล็กคนละน้อย เดี๋ยวก็ได้ครบเอง จริงมั้ยโยม” พระมองไปที่เนตร
ทิพย์ เหมือนกับต้องการพูดกับเธอเป็นการเฉพาะ เธออมยิ้ม พยักหน้าและ
ตอบสั้น ๆ ด้วยความอิ่มใจ
“เจ้าค่ะ”
ประพันธ์สะดุดคำพูดของจ้าอาวาสมาก เขามองท่านไม่ละสายตา
ในขณะที่ท่านกล่าววาจา เขารู้เพียงเลา ๆ มาว่า แถบถิ่นนี้ก็มีเรื่องเล่าของ
พญานาคด้วย ในตอนนี้การที่พระสงฆ์บอกอย่างนั้นก็เท่ากับว่าท่านมี
ข้อมูลเชิงลึกแน่นอน เขานั่งฟังอย่างตั้งใจ รอว่าท่านอาจพูดอะไรเกี่ยว
แต่บุพกาล 8 ฉมังฉาย
พญานาคออกมาอีก แต่แล้วท่านก็หยุดไว้แค่นั้น แล้วร้องบอกให้พ่อเฒ่า
คนหนึ่งลุกขึ้นไปจุดธูปเทียนที่แท่นบูชา เพื่อจะเริ่มพิธี
นาคสาวหยุดมองไปข้างหลังนิดหนึ่งขณะที่เยื้องย่างไปบนถนน
สายหนึ่งของเมือง ปราสาททองคำเรืองรองเด่นอลังการอยู่ในสายตาของ
เธอ นาคสาวตนนี้มีชื่อว่า วิกจะนาคี เป็นธิดาของเจ้าเมืองนี้ ซึ่งเป็นเมือง
บริวารของอาณาจักรบาดาล อันปกครองโดยพญานาคที่ชื่อว่า กัปปะ
นาคราช เมืองบริวารนั้นมีมากมาย มีทั้งเล็กทั้งใหญ่ เมืองของบิดาของ
วิกจะนาคีเป็นเมืองบริวารขนาดกลาง ในยามธิดาเจ้าเมืองรู้สึกเบื่อหน่ายที่
ต้องขลุกตัวอยู่แต่ในวัง เธอจะออกมาเดินเล่นกับสาวรับใช้สม่ำเสมอ วันนี้
ก็เช่นกันเธอมากับสาวรับใช้สามตน ทั่วทั้งเมืองนั้นเต็มไปด้วยความสวย
ความงาม ดอกไม้หลากสีสันตามรายทางมีให้ยลยินเหลือคณานับ และกลิ่น
นั้นเล่าก็หอมยั่วยวนจิตใจยิ่งยวด วิกจะนาคีต้องการไปเล่นน้ำที่บึงนอกวัง
เธออยู่ในวัยแรกรุ่นดรุณี งามผุดผ่อง อายุราวห้าร้อยปี เธอถือกำเนิดมาแบบ
โอปปาติกะ
พวกนาคสาว ๆ ทำอาการเอื่อยๆ เรื่อย ๆ ไปบนถนนสายนั้น สี
หน้าแต่ละตนอิ่มเอิบด้วยความสุข พวกเธออยู่ในร่างเหมือนมนุษย์ ซึ่งจริง
ๆ แล้วพญานาคก็คืออดีตมนุษย์นั่นเอง ธิดาเจ้าเมืองสวมอาภรณ์สีทอง
อร่าม มวยผมเป็นมุนสูง รัดเกล้าที่สวมเป็นนาคเจ็ดหัว เครื่องประดับอื่น
คือสร้อยคอ รัดแขน รัดกรและสายสะเอวล้วนแล้วสร้างจากทองคำและ
แต่บุพกาล 9 ฉมังฉาย
เป็นรูปพญานาคทั้งสิ้น สำ หรับสาวรับใช้สวมอาภรณ์สีเขียวสด
เครื่องประดับมีตกแต่งเช่นเดียวกับธิดาสาว ยกเว้นว่าพวกเธอไม่มีรัดเกล้า
กัน
“อ้าว...มาเร็ว ๆ องค์หญิง” สาวรับใช้คนหนึ่งฉุดมือของวิกจะนาคี
อย่างนุ่มนวล เมื่อเห็นว่าเธอยังเอื่อยเฉื่อยอยู่ในบริเวณนั้น
บึงน้ำที่พวกเธอจะไปว่ายเล่นนั้นอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง
ธิดาสาวสรวลยิ้ม ก้าวตามนางรับใช้ไปอย่างเริงรื่น ความงามของเธอเป็นที่
โจษจันของเมือง มีหนุ่มนาคชั้นสูงหลายตนหลงรักเธอ แต่ทว่าตลอดเวลา
ที่ผ่านมาวิกจะนาคีไม่เคยเปิดหัวใจรักชายใดทั้งสิ้น
และด้วยความรีบร้อนของนางนาครับใช้นั่นเอง ทำให้หนึ่งในสาม
นั้นชนเข้ากับสิ่งหนึ่ง
“โอ๊ะ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เสียงหนึ่งร้องขึ้นด้วยความ
สุภาพ แทนที่นาคสาวรับใช้จะเป็นคนกล่าวคำขอโทษ เพราะเป็นคนชนคน
อื่นเขา แต่กลับเป็นคนถูกชนกล่าวคำนั้นเสียเอง
สาวรับใช้หันไปมอง แต่พวกเธอต้องตาลุกวาวเป็นไข่ห่าน
เนื่องจากว่านาคหนุ่มตนนั้นมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาเอาการ ซึ่งไม่
เพียงแต่นางนาครับใช้เท่านั้นที่ตกอยู่ในอาการตะลึงพรึงเพริดแบบนั้น
วิกจะนาคีเองก็จังงันกับความงามสง่าของเขาไม่น้อยเหมือนกัน
แต่บุพกาล 10 ฉมังฉาย
“โอ...ไม่เป็นไร จริง ๆ ข้าเสียอีกที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษเจ้า” นาง
นาครับใช้ตนหนึ่งพูดอย่างสำนึกผิด และทำท่าเอียงอายจนเพื่อนบางตน
หมั่นไส้เอา
นาคหนุ่มตนนั้นเปลือยท่อนบน สร้อยคอ รัดแขน และรัดกรเป็น
รูปพญานาคสีเขียว เขาเกล้าผมสูง แต่ไม่ได้สวมรัดเกล้า ทั้งที่เขาเป็น
พญานาคชั้นสูง พญานาคหนุ่มตนนี้มีชื่อว่า นาโครคินทระ อายุห้าร้อยกว่า
ปี เป็นบุตรของสัตตะนาคราช ซึ่งเป็นบุตรของกัปปะนาคราชอีกที กล่าว
ง่าย ๆ คือว่า เขาเป็นหลานชายของเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ อันปกครองนครบาดาล
แห่งนี้นั่นเอง
นาโครคินทระเองก็ถือกำเนิดแบบ โอปปะติกะเหมือนกัน เขาได้
เดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองแห่งนี้เป็นประจำ แต่ครั้งนี้เพิ่งได้พบกับวิกจะ
นาคี และสะดุดความงามของธิดาเจ้าเมืองเข้า เขายอมรับเลยว่า ได้หลงรัก
สาวนาคตนนี้แล้วอย่างหมดใจ และไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นหรอกที่ตกอยู่ใน
อาการอย่างนั้น วิกจะนาคีเองก็มีใจให้เขาไม่น้อยเช่นกัน
แสงของดวงอาทิตย์ยามสายสาดส่องลงมาทำให้แผ่นน้ำวาวจ้าเป็น
สีเงิน ฝั่งที่เป็นเนินสูง ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่แน่นขนัดนั้นสงบนิ่ง แต่ฝั่งตรงกัน
ข้ามที่เป็นหาดทรายเตียนโล่งนั้นดูจะร้อนเร่า และหาดนี้ได้ทอดตัวสูง
ขึ้นมาจรดพื้นดินกินเนื้อที่กว้างขวาง มิหนำซ้ำมันยังทอดตัวขนานไปกับ
แม่น้ำยาวเป็นกิโลเมตร สายน้ำนั่นเล่าไหลเอื่อยช้า ประหนึ่งต้องการจะ
แต่บุพกาล 11 ฉมังฉาย
หยุดเวลาให้เพียงแค่นั้น ซึ่งช่างขัดแย้งกันอย่างยิ่งยวดกับกิจกรรมบน
ชายหาด ท่อนซุงที่ผูกร้อยกันเป็นแพ พร้อมที่จะล่องไหลไปตามแม่น้ำลอย
นิ่งอยู่ในแม่น้ำจำนวนมาก คนงานเร่งมือกันอย่างอลหม่านวุ่นวาย ควาญ
ช้างส่งเสียงอย่างจริงจัง บังคับช้างตนให้ชักลากท่อนซุงขนาดใหญ่ลงมา
สมทบกับซุงเก่า ชายคนหนึ่ง รูปร่างไม่สูงนัก แต่กำยำยิ่ง ผิวสะท้อนแสง
เป็นมันเลื่อม ก้าวย่างไปตามท่อนซุงอย่างคล่องแคล่วว่องไว โอกาสจะลื่น
ไถลตกน้ำยากเต็มทีและก็ได้กระโดดขึ้นฝั่งในที่สุด
“แพเสร็จแล้วเหรอ หนานคำ” เสียงที่ร้องถามมาจากชายฝั่ง ทำให้
ชายคนนั้นสะดุ้งนิดหนึ่ง จากนั้นหันไปมองทางต้นเสียง
“เรียบร้อยแล้วครับ นาย” เขาตอบอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว
หัวหน้าของหนานคำมองไปยังแพท่อนซุง รู้สึกเบาใจที่งานดำเนิน
ไปอย่างไม่ล่าช้าเลย ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการทั้งสิ้น ต่อจากนั้นเขามอง
หนานคำด้วยแววตาชื่นชม หนานคำเป็นคนงานที่อาวุโสที่สุดของที่นี่ เป็น
คนขยัน มีความชำนาญงานอย่างยิ่ง และที่สำคัญ คือเขาไว้ใจได้ที่สุด
“ที่นี่งดงามมากนะ” หัวหน้ามองไปรอบ ๆ ปางพักตั้งอยู่บนฝั่ง
ของแม่น้ำ มองทีไรก็ตราตรึงในความรู้สึกทุกที ส่วนหน้างานนั้นลึกเข้าไป
ในป่าสักสี่ห้ากิโลเมตร
“ครับ ผมเห็นมันมาสี่สิบกว่าปีแล้ว ครับนาย” หนานคำตอบรับ
เขาเกิดที่นี่ หมู่บ้านของเขาอยู่เลยจากปางพักไปเพียงสองกิโลเมตร ติดกับ
แต่บุพกาล 12 ฉมังฉาย
แม่น้ำ สายนี้ หมู่บ้านของเขานั้นไม่ใหญ่โตมากและก็ไม่ถึงกับเล็ก
จนเกินไป
“ถ้าไม้หมดแล้ว หนานคำจะย้ายไปกับบริษัทมั้ย” หัวหน้าชวนคุย
หนานคำมองหน้าเขาครู่เดียว ยิ้มบาง ๆ “ก็ไม่แน่ครับนาย จริง ๆ
แล้วผมไม่อยากไปไหนไกลบ้านสักเท่าไหร่นักหรอก”
“มันก็พูดยากนะ ก็หนานคำมีครอบครัวอยู่ที่นี่นี่ มันไม่เหมือนกับ
ฉันที่โสด ร่อนแรมไปที่ไหนก็ได้ ไม่มีอะไรมารั้ง มาต้องให้ห่วง” หัวหน้า
หัวร่อ เขาเป็นอารมณ์ดีแม้ว่างานในปางไม้จะเป็นงานที่หนักหนาสาหัส
มากทีเดียว หัวหน้าไม่ใช่คนแถบถิ่นนี้ เป็นคนในจังหวัดทางภาคกลาง
เดินทางขึ้นมาทางภาคเหนือ ก็หวังเสี่ยงโชค ในอดีตเขาตะลุยปางไม้
มาแล้วหลายที่ ก่อนจะมาจบลง ณ ที่แห่งนี้
“นายยังหนุ่มยังแน่น นายท่องโลกไปไหนก็ได้ ส่วนไอ้ผมเนี่ย มัน
แก่แล้ว อีบัวคงไม่ยอมให้ไปไหนไกลแล้วละนาย” หนานคำหัวเราะ เกาหัว
เล่นหยิก ๆ
“เย็นนี้ว่างหรือเปล่าล่ะ” หัวหน้าถาม
“นายจะใช้ผมทำไร ผมน่ะว่างเสมอครับ” หนานคำตอบอย่าง
สำนึกตัวเอง
“เปล่า ๆ ฉันไม่มีอะไรให้ทำเป็นพิเศษหรอก ฉันอยากเข้าไปใน
หมู่บ้าน อยากไปกินเหล้าด้วย ขัดข้องมั้ย หนานคำ” หัวหน้าถาม
แต่บุพกาล 13 ฉมังฉาย
“โอย จะขัดข้องอะไร ได้ครับ ได้ครับ นาย งั้นผมจะบอกให้อีบัว
มันฆ่าไก่ไว้สักตัวนะ จะได้ยำให้นายกินแกล้มเหล้า” หนานคำพูด
“ฉันไปบ้านหนานคำทีไร ไก่หนานคำเดือดร้อนทุกที” หัวหน้าพูด
ทีเล่นทีจริง
“ช่างมันเถอะ ผมเลี้ยงไว้เยอะ” หนานคำว่า ก่อนทั้งสองจะแยก
ย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่.
แต่บุพกาล 14 ฉมังฉาย
2
ชายหนุ่มเปลี่ยนจากชุดขาวมาเป็นเสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงยีนขา
สั้น เขากินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว หญิงสาวอยู่ในกางเกงยีนขาสั้นกับเสื้อผ้าบาง
ๆ สีอ่อน อากาศไม่ร้อนจนเกินไป ที่บ้านของเขามีต้นไม้ให้ร่มเงามากมาย
“เราจะไปหาหลวงพ่อตอนไหน” โสมวรรณถามสามี ภายในหนึ่ง
สัปดาห์เธอจะยึดเอาวันพุธ เพื่อปิดร้านหนึ่งวันและวันนี้คือวันหยุดของเธอ
ประพันธ์ยืนอยู่หน้าตู้หนังสือ กำลังค้นหาหนังสือบางเล่มอยู่ เขา
ถือหนังสือเล่มหนึ่งค้างอยู่ในมือ หันไปพูดกับเธอ “สักครู่ได้มั้ย”
“ได้ ๆ ค่ะ” เธอตอบ
ประพันธ์หยิบหนังสือสองสามเล่มออกมากจากตู้ไม้ใบหนึ่ง มีตู้
เก็บหนังสือจำนวนห้าใบ แต่ละใบนั้นอัดแน่นด้วยหนังสือ ซึ่งมีทั้ง
วรรณกรรมและสารคดี กลิ่นหนังสือที่โชยออกมาจากชั้นวางชวนให้
หลงใหลยิ่ง สำหรับเขากลิ่นพวกนี้มีกลิ่นเฉพาะตัว เขาบอกไม่ได้ว่ามัน
หอมเหมือนอะไร แต่เขามักจะบอกกับภรรยาว่า กลิ่นหอมนั้นเป็นกลิ่นของ
ตัวอักษรนั่นเอง
แต่บุพกาล 15 ฉมังฉาย
“เอาผลงานไปให้หลวงพ่อดูสักหน่อย ท่านจะได้ระแวงเรา”
ประพันธ์ว่า พลางใส่หนังสือลงไปในถุงผ้าดิบ
“แล้วท่านจะให้ความร่วมมือเหรอพี่” โสมวรรณไม่มั่นใจเลยว่า
สิ่งที่จะกระทำต่อจากนี้นั้นจะราบรื่น ไร้อุปสรรค
“นี่ไง ฉันถึงทำอย่างนี้ไง” เขาชูถุงผ้าดิบให้เธอดู
จากบ้านของพวกเขามาถึงวัดเมืองเลนไม่ไกล ใช้เวลาขี่รถเครื่อง
มาไม่ถึงห้านาที อุโบสถรูปทรงหอคำหลวงสว่างจ้าอยู่ในแสงแดดบ่าย
พญานาคที่บันไดอุโบสถทอดเงาลงลงบนพื้นบาง ๆ เขานึกถึงเหตุการณ์
เมื่อเช้า ตอนที่ได้สัมผัสกับตัวพญานาคและพลังลึกลับแล่นสู่ฝ่ามือมันชวน
ให้ขบคิดเหลือเกิน ถามว่ากลัวไหม ตอบว่าตอนนั้นไม่ได้นึกกลัวอะไร
และยิ่งตอนนี้ก็ไม่หวาดหวั่นอีก ทว่าความรู้สึกอันประหลาดที่เกิดขึ้นกับ
ตนเองนั้น มันยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้ ทั้งๆ ที่เขาเองเก่งกาจในเรื่อง
อธิบายหรือบรรยายความ
“หลวงพ่อจะอยู่มั้ยก็ไม่รู้นะ” โสมวรรณย่นคิ้ว หญิงสาวเป็นชาว
เหนือ แต่ผิวออกคล้ำๆ สักหน่อย ผมที่สั้นถูกซอยเป็นทรงบ็อบ เธอสูงหนึ่ง
ร้อยหกสิบ ต่ำกว่าสามีถึงสี่ห้าเซนติเมตร
“ลองเรียกดูนะ” ประพันธ์มองไปที่ประตูของกุฏิ อาคารหลังนี้เป็น
อาคารทรงไทยชั้นเดียว ไม่ถึงกับเก่า แต่ก็ไม่ใหม่จนเกินไป
แต่บุพกาล 16 ฉมังฉาย
ประพันธ์ส่งเสียงเบา ๆ เพราะเกรงใจ ไม่นานเลยพระภิกษุก็ก้าว
ออกมาจากภายในกุฏิ “อ่า...อือ...อ๋อ...โยมเมื่อเช้านี้เอง” พระเปรยขึ้น แต่
จำชื่อของคนทั้งสองไม่ได้
ประพันธ์ไวต่อความรู้สึก เขาจึงพูดแนะนำตัวเองว่า “ครับ...ผม
ประพันธ์และภรรยาผม โสมวรรณ”
“อ๋อ...โยมประพันธ์กับโยมโสมพรรณนั่นเอง”
“โสมวรรณค่ะ” หญิงสาวกล่าวแก้
“อ๋อ โสมวรรณ ว่าแต่ว่าพวกคุณมีธุระอะไรกับอาตมาหรือ” พระ
ถาม “เอ้า ๆ เชิญ ๆ นั่งก่อน” พลางชี้ไปที่เก้าอี้ไม้สัก ซึ่งเป็นชุดรับแขก
ประพันธ์มองพนักพิง มันถูกแกะเป็นลายพญานาค เขาทรุดนั่ง
อย่างช้า ๆ โสมวรรณนั่งติดกับเขา ส่วนเจ้าอาวาสนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ยาว
“หลวงพ่อครับ” ประพันธ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ผมเป็นนักเขียน
นะครับ เห็นเมื่อเช้าตอนอยู่ในโบสถ์ท่านพูดถึงเรื่องพญานาค เผอิญว่าช่วง
นี้ผมเองสนใจเรื่องนี้อยู่พอดี ผมอยากเขียนนวนิยายเกี่ยวกับพญานาคสัก
เรื่องหนึ่ง มานี้ก็จะมาขอความกรุณาจากหลวงพ่อ หลวงพ่อจะให้ข้อมูลแก่
ผมได้มั้ยครับ”
“เอ้า เป็นนักเขียนเหรอ” ท่านตาโต เลิกคิ้วสูง สนใจในตัวของเขา
ขึ้นมาทันที ที่นี่มีแต่ชาวบ้านธรรมดา หาคนที่มีความสามารถพิเศษยากยิ่ง
นัก “เออ...แต่ว่าอย่าเรียกหลวงพ่อเลยนะ เพราะอาตมายังไม่แก่ถึงขนาด
นั้น เรียกอาตมาว่าหลวงพี่น่าจะเหมาะสมกว่า” ท่านยิ้ม ๆ
แต่บุพกาล 17 ฉมังฉาย
ประพันธ์เพิ่งมองเห็นได้ชัดเจนตอนนี้ว่า พระสงฆ์ยังหนุ่มยังแน่น
จริง ๆ หากจะให้เดาอายุ ท่านก็คงไม่เกินห้าสิบ “ครับ หลวงพี่”
“เมื่อตะกี้นี้บอกว่าเป็นนักเขียนไม่ใช่เหรอ” พระถามซ้ำ และเป็น
เพราะท่านถามอย่างนั้น ประพันธ์จึงนึกขึ้นได้ว่า ได้ตระเตรียมหลักฐานมา
แสดงแล้ว
“นี่คือผลงานของผมครับ มีทั้งรวมเรื่องสั้นกับนวนิยาย” เขาดึง
หนังสือสามเล่มออกมาจากถุงผ้าดิบแล้วส่งให้กับพระสงฆ์
“น่าสนใจจริง” ท่านพูด หลังจากเปิดหนังสือไล่หน้าไปอย่าง
รวดเร็ว
ประพันธ์ปล่อยให้พระสงฆ์ชื่นชมผลงานของเขาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อ
พระสงฆ์เงยหน้าและส่งหนังสือทั้งหมดคืนมาให้ เขาจึงเอ่ยขึ้น
“หลวงพี่บอกว่าจะมีการสร้างพญานาคเล่นน้ำสองตัวเมื่อตอนเช้า
ผมอยากทราบว่าความคิดนี้เกิดขึ้น เพราะตั้งใจให้สอดคล้องกับเรื่อง
ตำนานของที่นี่ใช่หรือไม่ครับ”
“ตำนานอะไรหรือโยม” ท่านถาม ค่อนข้างแปลกใจที่เขามีข้อมูล
อย่างนั้น จำได้ว่าเมื่อเช้าตนไม่ได้รายละเอียดอะไรเลย
ประพันธ์ชี้ไปทางด้านหลังวัด ซึ่งเป็นถนนหลวงตัดผ่าน “ก็คือว่า
ตรงโน้นคือถ้ำนาคา” แล้วเขาก็ชี้ไปทางด้านหน้าของวัด ซึ่งมองเห็นภูเขา
ลูกหนึ่งอยู่ไกลลิบ ๆ “แล้วตรงนั้นชาวบ้านก็เชื่อว่ามีถ้ำสมบัติของพญานาค
แต่บุพกาล 18 ฉมังฉาย
ซุกซ่อนอยู่ ผมรู้เรื่องนี้ไม่ละเอียดนักหรอก จึงอยากให้หลวงพี่ช่วยเล่าให้
ฟังหน่อย รบกวนท่านหรือเปล่าครับ”
“โอย ไม่รบกวนหรอกโยม แต่เรื่องนี้อาตมาเองก็รู้ไม่มากนะ รู้
อย่างที่โยมรู้นั่นแหละ และจริง ๆ แล้วมันก็ไม่มีอะไรลี้ลับสักเท่าไหร่นัก
หรอก มันก็แค่ตำนาน ซึ่งจะจริงหรือไม่อาตมาก็บอกไม่ได้ แต่ชาวบ้านเขา
เชื่อของเขาอย่างนั้นมานานนมแล้ว”
“เอ้า แล้วการดำริจะสร้างรูปปั้นพญานาคมันเกี่ยวข้องกับอะไรละ
คะ” โสมวรรณถาม เพราะเธอเชื่อว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะถูกสร้างโดย
ไม่มีต้นตอของเรื่อง
“ถ้าจะให้พูดชัด ๆ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาตมาโดยตรงหรอก
ชาวบ้านเขาคิดของเขาเอง เขาต้องการทำให้มันสอดคล้องกับตำนาน ซึ่ง
มันก็ไม่ได้มีเรื่องราวพิลึกพิลั่นอะไรมากนัก อย่างที่พูดนั่นแหละ ขอย้ำว่า
อาตมาก็รู้เท่ากับโยมรู้นั่นแหละ”
ประพันธ์รู้สึกผิดหวังเล็กหน่อย สิ่งที่ตนปรารถนาจะรู้นั้นก็เป็นแค่
ตำนานเล็ก ๆ แถมยังไม่มีรายละเอียดอะไรให้ชวนตื่นตาตื่นใจเอาเสียเลย
ประพันธ์ไม่เคยไปเที่ยวที่ถ้ำนาคานั่นหรอก แต่มีบางคนเล่าให้ฟังเท่า
นั่นเอง ถ้ำนาคาก็เป็นเพียงถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งก็ไม่แปลกประหลาดอะไรไป
กว่าถ้ำอื่น ๆ หากจะแตกต่างจากถ้ำอื่น ๆ ก็ตรงที่ปากทางเข้าถ้ำนั้นอยู่สูง
จากพื้นดิน ดังนั้นการจะเข้าชมถ้ำก็ต้องขับรถขึ้นไปตามเส้นทางที่สูงชัน
จากนั้นต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกหนึ่งร้อยขั้นถึงจะพบกับปากทางเข้าถ้ำ ถ้ำ
แต่บุพกาล 19 ฉมังฉาย
นาคามีทั้งหมดเจ็ดชั้น ชั้นสุดท้ายเป็นเส้นทางน้ำไหลผ่าน และพื้นถ้ำชั้น
เจ็ดนั้นมีรอยคล้ายรอยพญานาคเลื้อยผ่าน ซึ่งนี้เองเป็นที่มาของชื่อของถ้ำ
ส่วนภูเขาที่เชื่อว่ามีถ้ำสมบัติของพญานาคซ่อนอยู่ ชื่อว่าเขานางเมาะ
ภาษากลางแปลว่านางหมอบ แต่ก็ไม่มีใครเคยได้เห็นถ้ำสมบัตินั้นจริง ๆ
ทั้ง ๆ ที่สมัยก่อนนั้นมีคนออกสืบเสาะค้นหาก็ตาม แต่ก็คว้าน้ำเหลวทุกราย
และทำไมต้องชื่อว่านางเมาะนั้นก็ไม่ได้มีเรื่องเล่าอะไรทั้งสิ้น
เจ้าอาวาสเห็นว่าอาการผิดหวังของประพันธ์ จึงถามเพื่อจะเอาใจ
เขาว่า “แต่ว่าเรื่องพญานาคนี้ มีคนคนหนึ่งเขามีความเชื่อเฉพาะของเขา
โยมสนใจมั้ยล่ะ เรื่องนี้”
“ยังไงล่ะครับ หลวงพี่” ประพันธ์หูผึ่ง กระตือรือร้นขึ้นมาหน่อย
หนึ่ง
“คือ เขามีเรื่องราวพญานาคเฉพาะตัวของเขาเอง ที่แทบไม่
เกี่ยวข้องกับถ้ำนาคาหรือถ้ำสมบัติพญานาคเลย”
“ใครครับหลวงพี่”
“เมื่อเช้าโยมประพันธ์จำผู้หญิงชุดขาวที่นั่งอยู่ด้านหน้าได้มั้ย โยม
เนตรทิพย์น่ะ”
ประพันธ์พยายามนึกภาพ “อ๋อ จำได้ครับและได้ทักทายกันด้วยที่
บันไดขึ้นโบสถ์”
แต่บุพกาล 20 ฉมังฉาย
“นั่นแหละ หากโยมสนใจ เขามีเรื่องเล่าแปลก ๆ เยอะ แต่อาตมาก็
รู้ไม่มากนะ เพราะไม่ได้สนใจถามไถ่ โยมคงรู้ดีว่า พระพุทธศาสนาเรา
ไม่ได้เน้นสอนในเรื่องพรรค์อย่างนี้ คือเรื่องลี้ลับหรือปาฏิหาริย์”
“แล้วบ้านเขาอยู่ตรงไหนล่ะครับ หลวงพี่” ประพันธ์ถามด้วยความ
ปรารถนาจะไปหาเธอ
ทั้งสองขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปตามเส้นทางที่เจ้าอาวาสบอก ซึ่งบ้าน
ของเนตรทิพย์หาไม่ยากเลย บ้านนั้นเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว มีเนื้อที่เกือบหนึ่ง
ไร่ มีรั้วปูนล้อมรอบทุกด้าน
เนตรทิพย์โผล่ออกมาจากมุมหนึ่งของบ้าน มาเปิดประตูรั้วให้กับ
พวกเขา หลังจากได้ยินเสียงเรียกของพวกเขาครู่หนึ่ง
“อ้าว น้องสองคนนี่เอง” เธอโปรยรอยยิ้มให้กับพวกเขา แปลกใจ
ที่พวกเขามาเยี่ยมเธอถึงบ้าน โดยไม่ได้นัดหมาย อีกทั้งไม่ได้สนิทสนมกัน
ด้วย
“เจอกันอีกครั้งแล้วนะคะ” โสมวรรณกล่าว ตอนสบตากับเนตร
ทิพย์นั้นเธอรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้น เป็นดวงตาที่คุ้นเคยมาก ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นการ
คุ้นเคย เพราะพบกันในวัดมาก่อน แต่มันนานกว่านั้น เธอพยายามนึก แต่
นึกไม่ออก
หญิงเจ้าของบ้านเชื้อเชิญให้แขกสองคนนั่งบนเก้าอี้หินขัดข้าง
บ้าน
แต่บุพกาล 21 ฉมังฉาย
“อันที่จริงแล้ว เมื่อเช้านี้ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะมาวัดนี้โดยตรงนะ
เพียงแต่หลายเดือนก่อนผมขี่รถเครื่องผ่านมาตรงนี้ เห็นวัดสวยงามดี เกิด
ความประทับใจขึ้นมา และวันนี้ซึ่งเป็นวันพระเราอยากตักบาตร แต่วัดที่
หมู่บ้านผมพระไม่ลงโบสถ์ แต่มีคนบอกว่าวัดเมืองเลนนี้ พระลงโบสถ์ทุก
วันพระ ผมกับแฟนเลยตัดสินใจมาที่นี่”
“รู้มาว่าหมู่บ้านสหกรณ์ที่น้องอยู่ พระจะลงโบสถ์ทุกวันพระก็
เฉพาะช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น”เนตรทิพย์กล่าว
“นี่เอง เลยทำให้เราได้มาพบกับพี่เนตรทิพย์” ประพันธ์ว่า
“แต่พี่ไม่แปลกใจหรอกนะ พี่รู้อยู่แล้วว่า พี่ต้องพบกับพวกเธอใน
วันนี้”
“รู้” ประพันธ์ประหลาดใจที่ได้ยินเธอกล่าวอย่างนั้น
“ยังไง พี่” โสมวรรณซักด้วยความสงสัย
“พ่อพญานาคบอกพี่ว่า พวกเธอจะมากันวันนี้” เธอเฉลย
ประพันธ์นึกถึงคำพูดของเจ้าอาวาส เนตรทิพย์มีเรื่องราวพญานาค
เฉพาะตัวจริง ๆ ด้วย แต่อันที่จริงแล้วเขาไม่ควรจะสงสัยในคำพูดของพระ
เนื่องจากพระภิกษุไม่กล่าวมดเท็จอยู่แล้ว เพราะมันเป็นหนึ่งในเบญจศีลนี่
นา
ประพันธ์ไม่รั้งรอ จึงบอกความประสงค์ของเขาไป และไม่ลืมอ้าง
คำพูดของพระ เพื่อเป็นการโน้มน้าวเนตรทิพย์อีกทางหนึ่งด้วย
“อ๋อ หลวงพี่อดุลย์ว่าอย่างนั้นเหรอ”
แต่บุพกาล 22 ฉมังฉาย
ขณะที่ฟังชายหนุ่มพูด เนตรทิพย์นิ่งเงียบ แล้วในที่สุดเธอก็พูดขึ้น
ว่า “เรื่องมันยาว พูดไปก็จะหาว่าพี่เพ้อฝัน เล่าไปหากไม่เข้าใจกันก็จะหาว่า
พี่บ้าบอ อย่างนี้แหละพี่เลยไม่อยากเล่าเรื่องให้ใครฟังมากเท่าไหร่ พี่กลัว”
ที่เนตรทิพย์กล่าวออกตัวมาอย่างนั้น ไม่ใช่ว่า เธอจะหมายความ
ตามนั้นทั้งหมด แต่ที่เธอไม่อยากเล่าเรื่องให้พวกเขาฟัง คือหนึ่งเธอยังไม่
ไว้ใจพวกเขา และสองบุคลิกอันโผงผางของประพันธ์ เธอไม่ชอบสัก
เท่าไหร่
“เรื่องนี้มันเป็นความเชื่อเฉพาะตัว จะว่าบ้าหรือเพี้ยนไม่ได้หรอก
ครับพี่ เราต้องเคารพกันในสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าพอเราเห็นต่าง เราก็บอกว่า
อีกฝ่ายผิด อีกฝ่ายไม่ชอบธรรม” ไม่เชิงเอาใจเธอ ทว่าประพันธ์กล่าวอย่าง
ระมัดระวังยิ่งยวด แต่ถึงอย่างไรเนตรทิพย์ก็ยังสงวนท่าทีอยู่ดี โดยกล่าวว่า
หากเขาสนใจในเรื่องพญานาคจริง ๆ ละก็ ก็ขอให้เขาพยายามมาหาเธอให้
บ่อย ๆ เธอจะค่อย ๆ เปิดเผยเรื่องราวให้กับเขาเอง ซึ่งลึก ๆ ในใจแล้วเนตร
ทิพย์เชื่อว่า ความอดทนอดกลั้นของประพันธ์คงมีไม่มากนักหรอก ไม่นาน
เขาก็หมดความสนใจ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะเป็นเรื่องดีสำหรับเธอ
มาก
“อีบัว ยำไก่ของแกน่ะ เสร็จยัง” หนานคำตะโกนถามเข้าไปใน
ครัว ควันสีขาวลอยขึ้นจากเตาฟืนแทรกทะลุหลังคาใบตองตึงขึ้นไปใน
แต่บุพกาล 23 ฉมังฉาย
อากาศ เพราะมีเสียงชามกระทบชามดังอยู่แผ่ว ๆ ทำให้รู้ว่าเมียตนยังอยู่ใน
นั้น
“วันนี้ นายจะได้กินมั้ยเนี่ย” หนานคำหัวร่อ พูดเย้าหัวหน้าเล่น
พลางรินเหล้าสาโทให้กับหัวหน้าด้วยความสนิทสนม
“ไม่เป็นไร ฉันรอได้อยู่แล้ว ไอ้นี่ก็ยังอยู่เต็มจานอยู่เลย” หัวหน้าชี้
ไปยังจานเนื้อย่างที่วางอยู่ตรงหน้า
“เหนียวไปนิดหนึ่ง” หนานคำติ
“สงสัยว่าวัวแก่” หัวหน้าพูดกลั้วหัวเราะ
“อี...” หนานคำยังไม่ตะโกนหมดคำ หญิงนางหนึ่งก็ออกมาจาก
ห้องครัว แคร่ไม้ไผ่ที่ทั้งสองนั่งดื่มเหล้าอยู่นั้นตั้งใต้ร่มไม้มะขาม ใกล้ ๆ
ครัวนั่นแหละ
“มาแล้วจ้า มาแล้วยำไก่ ขอโทษด้วยนะคะนาย ที่ช้าไปนิดหนึ่ง”
หญิงนางนั้นพูดพลางยิ้มหวานเต็มไปด้วยจริงใจ แล้วหันไปเอ็ดสามี “พี่ก็
ตะโกนอยู่ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกน้าบัว ฉันไม่เร่งร้อนอะไร หอมเชียวนะ อร่อย
แน่นอนเลย” หัวหน้ายิ้ม มองหน้าของเมียลูกน้อง ซึ่งมีอายุแก่กว่าด้วย
ความชื่นชม
“ตามสบายนะนาย หากะเอาอะไรเพิ่มเติม ตะโกนบอกฉันนะ” บัว
บอก พลางมองไปที่สามี เธอรู้สึกภาคภูมิใจมากที่ทำให้สามีกับหัวหน้าของ
เขามีความสุขได้
แต่บุพกาล 24 ฉมังฉาย
“ไม่เป็นไร แค่นี้ก็พอแล้ว” หัวหน้าพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ
“เออ...นี่ ฉันมาตั้งนานแล้วยังไม่เห็นหน้าลูกสาวน้าบัวเลย ไป
ไหนครับ” หัวหน้าถาม พลางมองไปรอบ ๆ บริเวณบ้าน
“อ๋อ อีบัวตองนั่นเหรอคะ โน่น ซักผ้าอยู่ที่ริมน้ำโน่นค่ะ”
หนานคำมองหัวหน้า เขาพึงพอใจที่หัวหน้าถามถึงลูกสาววัยสิบสี่
ของเขาอย่างนั้น
“โอ...น้าบัว ยำไก่อร่อยมากเลยครับ” หัวหน้าพูดเปลี่ยนเรื่อง
“ขอบคุณมากค่ะ นาย” บัวยิ้ม พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะเดินเลี่ยง
ออกไป
พอลับหลังเมีย หนานคำก็เอ่ยขึ้นว่า “นาย ถามตรง ๆ นะ นายเห็น
ว่าอีบัวตองมันเป็นยังไงบ้าง” แม้ว่าหนานคำ จะเกริ่นนำ ว่าถาม
ตรงไปตรงมา แต่คำถามของเขาก็ยังอ้อมค้อมอยู่ดี เพราะเป็นการถามหยั่ง
เชิงนั่นเอง
“นี่มันเป็นคำถามอ้อมโลกเลยนะ” หัวหน้าพูดอย่างรู้ทัน “โอย
หนานอย่าคิดมาก ฉันก็ถามไปยังงั้นแหละ มาถึงบ้านหนานก็นานโขแล้ว
พอไม่เห็นบัวตองก็ถามตามประสาคนรู้จักกัน ฉันน่ะไม่คิดอะไรกับบัว
ตองหรอก ฉันมีคนจรหมอนแทบหมิ่น ไม่คิดปักหลักที่ไหนหรอก หนาน
คำ”
“นาย ไม่เหมือนผม อย่างที่บอก ผมไม่อยากไปไหนแล้ว อยู่ที่นี่
ยอมรับเลยว่า มีความสุขมาก” หนานคำกล่าวเปิดอกอย่างสุขท่วมท้น เขา
แต่บุพกาล 25 ฉมังฉาย
อาจผิดหวังเล็กน้อยที่หัวหน้าของเขาไม่สนใจในตัวลูกสาวของเขาในเชิงชู้
สาว แต่ถึงกระนั้นก็ตามหนานคำยังหวังอย่างยิ่งว่า ในไม่ช้าเรื่องนี้หัวหน้า
อาจเปลี่ยนใจก็ได้
“หนานน่ะ โชคดีแล้ว น้าบัวเป็นหญิงงาม การบ้านการเรือนก็ไม่
เป็นสองรองใคร ส่วนบัวตองก็กำลังงามสะพรั่ง ฉันว่าในหมู่บ้านแห่งนี้ หา
ลูกสาวบ้านไหนเทียบกับบัวตองไม่ได้เลยสักคน และอีกอย่างหนึ่งนะลูก
ชายของหนานคำก็เป็นเด็กดี ทุ่มเทให้กับงานที่ปางอย่างที่หลายคนเทียบ
ไม่ติดเลย สมบูรณ์พร้อมอย่างนี้แล้ว...”
ยังไม่ทันขาดคำของหัวหน้า คนที่ถูกกล่าวถึงก็เดินเข้ามาทันท่วงที
“เอ้า ชุ่มมาพอดีเลย เหล้าสักหน่อยมั้ย” หัวหน้าทักลูกชายของหนานคำ
ด้วยความเป็นกันเอง สลัดฐานะตำแหน่งหน้าที่การงานทิ้งไปหมด
“โอย นาย ไม่ไหวแล้ว ผมซัดมากับเพื่อนแล้วครับ เชิญนายตาม
สบายกับพ่อไปเถิด ขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวจะไปอาบน้ำสักหน่อย”
“เออ เห็นว่าอีบัวตองไปซักผ้าที่ริมน้ำ เอ็งจะไปอาบน้ำพอดี ก็ไปดู
น้องมันหน่อนยนะ หายไปนานแล้ว ข้าชักเป็นห่วง” หนานคำบอกลูกชาย
หัวหน้ายิ้มอย่างพึงพอใจต่อความรักที่หนานคำมีต่อลูก ๆ
“เพราะมันมีกันแค่สองคนพี่น้อง ไอ้ชุ่มมันจึงรักอีบัวตองมาก”
หนานคำหันมาพูดกับกับหัวหน้าอย่างตื้นตันใจ หลังจากมองลูกชายเดิน
หายเข้าไปในเรือนแล้ว
แต่บุพกาล 26 ฉมังฉาย
“เออ หนานคำน่าจะพอทราบข่าวแล้วนะว่า อาทิตย์หน้าจะมี
เจ้านายมาจากในเมืองคนหนึ่ง” หัวหน้าสบตาลูกน้องคนสนิท
“ครับ เห็นคนงานเขาลือ ๆ กันครับ” หนานคำตอบ หลังจากยก
แก้วเหล้าสาโทขึ้นจิบ และวางแก้วลงบนแคร่ สายตาของเขาจับจ้องหัว
หน้าที่กำลังใช้ช้อนตักกับแกล้มเข้าปากอยู่ คอยคำพูดจากหัวหน้าอย่างใคร่
รู้เกี่ยวกับคนที่มาใหม่ แต่หัวหน้ากล่าวตอกย้ำถึงฝีมือของบัว
“โอ ยำไก่นี้รสชาติอร่อยแท้ หนานไม่ลองกินสักคำล่ะ”
“ครับ นาย”.

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (75 รายการ)

www.batorastore.com © 2024