สงครามรักคู่หมั้นกำมะลอ (Cookie)
ประหยัด: 81.75 บาท ( 75.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 1 รายการราคา 66.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
บทที่ 1
เสร็จงานกะเช้า อาหารเย็นก็ทำเสร็จแล้ว อาบน้ำเรียบร้อย เตรียมชาสมุนไพรไว้แล้ว เปิดเพลงโปรดจากนั้นก็เริ่มกางหนังสือนิยายที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวานออกอ่าน แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดช่วงเวลาพักผ่อนอันแสนสุข
พักนี้โทรศัพท์บ้านที่ปกติไม่ค่อยได้ช้งานจะดังค่อนข้างถี่ ไม่ต้องมองหน้าจอเพื่อดูหมายเลขโทรเข้าก็รู้เลยว่าคนที่โทรมาคือพ่อแน่ๆ ความจริงจะทำเป็นไม่สนใจก็ได้ แต่ถ้าไม่รับตอนนี้ อีกเดี๋ยวพ่อก็ต้องโทรเข้ามือถืออยู่ดี และถ้ายังไม่รับอีก พ่อก็คงฝากข้อความไว้ในเครื่องตอบรับ
ฉันวางหนังสือ หรี่โวลุ่มเสียงเพลงลง ถอนหายใจทีหนึ่งก่อนจะยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา
“สวัสดีค่ะ”
“โอ้ เคียวโกะเหรอ”
เสียงดังๆ ของพ่อสะท้อนก้องออกมาจากหูโทรศัพท์
“ค่าๆ พ่อมีธุระอะไรคะ”
จริงๆ แล้วตอนกลับมาถึงบ้านเหนื่อยๆ ฉันไม่ค่อยมีอารมณ์อยากคุยกับพ่อเท่าไร แต่ดูเหมือนพ่อที่ท่าทางจะสบายดีไม่เคยสนใจอารมณ์ของฉันเลย ยังคงโทรมาชวนคุยหลายวันติดๆ กันทั้งๆ ที่ฉันเหนื่อยนี่แหละ
“วันหยุดคราวนี้จะไม่กลับมาหน่อยเหรอ”
“พ่อคะ หนูบอกตั้งหลายครั้งแล้ว หนูทำงานเป็นกะและไม่ได้หยุดวันเสาร์นะคะ”
“พ่อรู้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้หยุดเลยใช่มั้ยล่ะ”
“มันไม่มีวันหยุดติดกันสองวันนี่คะ หยุดได้แค่วันเดียวเอง ถ้าจะกลับไป แค่เดินทางไปกลับก็หมดวันแล้ว”
“เออนี่ ญาติเราที่เคยเล่นด้วยกันตอนเด็กๆ ฮิโระคุน่ะ จำได้มั้ย”
พอเป็นเรื่องที่ไม่อยากฟังพ่อก็ทำเป็นไม่ได้ยินขึ้นมาเชียว ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งเอาแต่ใจ ไม่ยอมฟังที่คนอื่นพูดเลย ทั้งที่เมื่อก่อนยังรู้สึกว่าจะสนใจฟังคนอื่นพูดบ้างแท้ๆ
“จำได้ค่ะ พี่ฮิโระทำไมเหรอคะ”
“ดูเหมือนจะหย่าแล้วน่ะสิ ก็เลยกลับมาทางนี้”
ทีแรกยังคิดอยู่ว่าพูดเรื่องญาติขึ้นมาผิดจากทุกทีแฮะ...แต่แบบนี้ก็พอจะเดาความคิดได้แล้วล่ะ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ ว่าแต่แล้วยังไงคะ ทีนี้จะบอกให้หนูแต่งงานกับพี่ฮิโระงั้นเหรอ”
“ไม่หรอกน่า พ่อแค่เห็นว่าไม่ได้เจอกันนานแล้ว ถ้าได้เจอกันสักหน่อยจะเป็นไรไป เคียวโกะก็สามสิบแล้วนี่นา ส่วนฮิโระคุงก็สามสิบแปด ถือว่าวัยใกล้ๆ กันพอดี ไอ้เรื่องหยุมหยิมเล็กๆ น้อยๆ น่ะไม่ต้องไปใส่ใจมันก็ได้”
มาแล้วไง ตั้งใจจะจับคู่กับฉันทางนั้น...จริงๆ ด้วยสินะ
“พ่อคะ ขอโทษนะคะ รู้สึกว่าเพื่อนหนูจะมาแล้ว ต้องวางสายแล้วล่ะค่ะ”
“แฟนเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็รีบพามาแนะนำกันบ้างสิ”
“แค่-เพื่อน-ค่ะ เท่านี้นะคะ หนูวางสายล่ะ”
หลังจากวางกระแทกหูโทรศัพท์อย่างแรงฉันก็เดินไปหยิบเบียร์ในตู้เย็น เปิดดื่มอั้กๆ ตรงนั้นเลย แน่ล่ะว่าไม่มีเพื่อนที่ไหนมาหรอก ไม่ได้นัดให้มาด้วย ก็แค่วิธีตัดบทคุยโทรศัพท์ที่เข้าท่าที่สุดเท่านั้นเอง
“เฮ้อ”
ถึงดื่มแล้วจะมีกลิ่นเหมือนพวกลุงๆ ฉันก็ไม่สนใจแล้ว หลังจากคุยโทรศัพท์กับพ่อทีไรเป็นต้องรู้สึกอยากดื่มขึ้นมาติดหมัดทุกที
ฉัน นิฮอนยานางิ เคียวโกะ เพิ่งต้อนรับวันเกิดครบรอบสามสิบปีไปเมื่อเดือนก่อ นและหลังจากวันนั้นพ่อก็เริ่มโทรมาหาถี่ยิบอย่างกับตามทวงหนี้กันเลยทีเดียว
คำแรกที่ควรจะบอกกับลูกสาวในวันเกิดน่าจะเป็นคำอวยพรมากกว่า แต่ไม่รู้ทำไมถึงกลับกลายเป็นเร่งรัดให้แต่งงานไปเสียได้ แล้วพอรู้ว่าฉันไม่มีใครที่กำลังคบหาอยู่ด้วย คราวนี้เลยมาคะยั้นคะยอให้เข้าพิธีดูตัวเสียอย่างนั้น ฉันก็พอจะเข้าใจสาเหตุที่พ่อมาคอยเซ้าซี้อยู่หรอกนะ ครั้นจะปฏิเสธไปอย่างเด็ดขาดก็เกรงจะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีก
บ้านเกิดของฉันอยู่ที่ยามาอาอิ จังหวัดนีงาตะ เป็นตระกูลเก่าแก่แบบที่ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยนับแต่อดีตและมีที่ดินซึ่งตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น พ่อของฉันเป็นลูกชายคนโตของบ้านจึงได้รับบ้านหลังใหญ่และที่ดินสืบทอดมาเป็นมรดก เนื่องจากท่านมีลูกสาวซึ่งก็คือฉันเป็นทายาทคนเดียว จึงได้แต่คอยพร่ำบอกว่าให้หาลูกเขยแต่งเข้าบ้านมาตั้งแต่สมัยฉันเพิ่งเรียนจบมัธยมปลาย
พอจบมหาวิทยาลัย ฉันซึ่งยังคงเวอร์จิ้นอยู่ก็น่าจะสนองรับความคาดหวังของพ่อได้ด้วยการหาแฟนที่จะกลายมาเป็นเขยขวัญของบ้าน ฉันเคยหมั้นไปแล้วครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่ทางบ้านฉันเกิดเรื่องยุ่งยากวุ่นวายขึ้นหลายอย่าง สุดท้ายก็ไปไม่รอด หลังจากนั้นฉันก็ย้ายงานจากแผนกต้อนรับมาอยู่แผนกจัดเลี้ยงแต่งงานของโรงแรมที่ตัวเองทำงานอยู่ มันทำให้ฉันได้มองเห็นความเป็นจริงของการแต่งงาน
เพราะเหตุนั้นเลยทำให้ฉันเลิกมองการแต่งงานเป็นเหมือนความฝันอีกต่อไป กระทั่งความตื่นเต้นหวือหวากับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ก็ยังพลอยถดถอยลงไปด้วย ถึงจะรู้สึกผิดต่อพ่อผู้กำลังร้อนรน แต่มันอาจจะไม่มีการแต่งงานของฉันเกิดขึ้นในอนาคตเลยก็เป็นได้
“...แต่งงานงั้นเหรอ”
ดื่มเบียร์อย่างเงียบเหงาอยู่คนเดียวนี่ล่ะคือความเป็นจริงของฉันในเวลานี้ ถ้าจะว่ากันถึงเรื่องโรแมนติก ฉันไม่รู้สึกชอบใครเลยสักคนเพราะไม่เคยรู้สึกว่ามีคนที่ดีพอ แต่ถ้าขืนยังอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ สังหรณ์ใจว่าสักวันต้องถูกพ่อเซ้าซี้ให้ไปดูตัวแน่ๆ
ที่ที่ฉันทำงานอยู่เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ กระทั่งแผนกที่ทำงานอยู่ตอนนี้ก็ค่อนข้างใหญ่โตทีเดียว ฉันย้ายงานจากแผนกเดิมที่เคยทำมาทำงานที่แผนกนี้ตอนอายุยี่สิบสี่ปี เดิมทีฉันทำหน้าที่อยู่ที่ฟร้อนต์ของแผนกต้อนรับลูกค้า แต่ปีต่อมาก็ย้ายมาอยู่แผนกจัดเลี้ยงแต่งงาน ซึ่งหน้าที่ที่ฉันทำอยู่คือผู้ประสานงานในแผนก และที่นี่เองที่ฉันได้พบศัตรูคู่แค้นที่ฟ้าส่งมาเกิด...
“นิฮอนยางิ นี่มันหมายความว่ายังไง”
พอมาถึงที่ทำงานก็เจอกับใบหน้าอารมณ์เสียของคู่กรณีเข้าให้ทันทีเลย
“อะไรหมายความว่ายังไงคะ ก็ตามเอกสารนี่ไง”
โดยไม่ยอมสบตา ฉันรับเอกสารซึ่งเป็นกำหนดการของลูกค้ามาพลางนึกในใจว่าเขาจะบ่นอะไรกันเนี่ย
“หัวหน้าคางุระซากะไม่พอใจอะไรหรือคะ”
พยายามถามอย่างซอฟต์ๆ ที่สุดแล้วเพื่อไม่ให้เป็นการยั่วยุ แต่ในใจกำลังอดกลั้นกับความรู้สึกเข่นเขี้ยวว่าเขาจะมาตำหนิอะไรกันอีก
“อาหารพวกนี้น่ะสิ ครอบครัวทางฝ่ายเจ้าบ่าวส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุก็เลยตกลงว่าจะเป็นอาหารญี่ปุ่นไม่ใช่เหรอ”
ฉันวางเอกสารลงบนโต๊ะใกล้ๆ ค่อนข้างแรงแล้วชี้ไปตามรายการ
“ก็นี่ไงคะ ตอนนั้นหลังจากหัวหน้าลุกออกไปแล้วฉันก็คุยกับฝ่ายเจ้าสาวอีกครั้ง”
ตอนที่ลูกค้ารายนี้มาปรึกษาเรื่องการจัดงานเมื่อวันก่อน คุณคางุระซากะก็อยู่ด้วยและตัดสินใจเรื่องอาหารกับเทเบิลเซ็ตติ้งกันไปเรียบร้อยแล้ว ทางเจ้าบ่าวตกลงเอาเป็นอาหารญี่ปุ่นตามที่คุณคางุระซากะบอก แต่ตอนนั้นทางด้านเจ้าสาวดูมีท่าทีแปลกๆ พอคุณคางุระซากะลุกออกจากโต๊ะไปฉันก็เลยลองถามความต้องการของเธอดูอีกครั้ง
“ทางฝ่ายเจ้าสาวบอกว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้อาหารสไตล์ตะวันตกมากกว่าอาหารญี่ปุ่นค่ะ แต่ทางเจ้าบ่าวตกลงใจไปเรียบร้อยแล้วเธอก็เลยทนนิ่งเงียบไว้”
“เราไม่มีทางทำตามความต้องการของทั้งสองฝ่ายได้หมดทุกอย่างหรอกนะ”
“ใช่ค่ะ ฉันก็เลยขอคุยกับทางเจ้าบ่าวอีกครั้งแล้วขอเปลี่ยนเป็นอาหารญี่ปุ่นฟิวชั่นแทน เพราะทางฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นคนเลือกอาหารญี่ปุ่น”
สิ่งที่เรียกว่าพิธีแต่งงานคือการใช้เงินไปอย่างสิ้นเปลืองในคราวเดียว ด้วยความที่ทั้งชีวิตอาจจะได้จัดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นทำให้เราอยากได้นั่นอยากได้นี่ไปเสียหมด และการจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างดังปรารถนารายจ่ายก็จะมากขึ้นตามไปด้วย การจัดการความต้องการกับงบประมาณให้ออกมาอย่างเหมาะสมที่สุดก็คือหน้าที่ของพวกฉันนี่เอง
“เป็นความต้องการของเจ้าสาวจริงๆ น่ะเหรอ”
“ลองโทรไปถามดูก็ได้นะคะ”
อารมณ์ที่สะกดกลั้นไว้ใกล้จะถึงขีดสุดของความอดทนแล้ว ถ้าคู่กรณีของฉันเป็นคนคนนี้ทีไร ความอดทนแทบ
(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)