ฝันนั้นไม่มีวันสลาย (นางแก้ว)

ฝันนั้นไม่มีวันสลาย (นางแก้ว)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: ฝันนั้นไม่มีวันสลาย
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ตอนที่

     1

               

                บันทึกแผ่นสุดท้ายของรสสมัยถูกฉีกขย้ำเป็นก้อนเมื่อเคลื่อนย้ายศพออกไปจากห้องนอน และจีรุจน์เข้ามารื้อข้าวของพี่สาวหลังตำรวจชันสูตรพลิกศพแล้วบันทึกเล่มสีน้ำตาลกระดาษแผ่นสุดท้าย

 

                เริ่มรู้แรกรักรื่นรมย์

                สุขสมเสกสรรหรรษา

                จากแล้วลาร้างโรยรา

                เธอฆ่าฉันด้วยลืม

                                               

                “ไอ้บ้า ไอ้พี่บ้า” จีรุจน์ขยำกระดาษแผ่นนั้นทิ้งร่ำร้องด้วยความโกรธเกี้ยวระคนเสียใจอย่างที่สุด รูปถ่ายในชุดนักศึกษา มีคำจารึกไว้ด้านหลังทุกใบ

                รักเธอ

                เป็นของเธอคนเดียว

                รักเธอชั่วกาล

การผิดหวังจากความรัก การถูกทอดทิ้งเพียงแค่นี้ ทำไมพี่สาวของตนเองจึงเลือกหนทางตาย 

                “ทำไมพี่ต้องรักมันมากกว่าแม่ ทำไมพี่ไม่รักผม ไม่คิดถึงผมบ้าง”

มือเรียวถืออัลบั้มรูปของพี่สาวกับผู้ชายคนนั้นด้วยมือที่สั่นเทา แรงสะอื้นจากภายในทำให้กายของเขาสั่นสะท้าน

 ความคับแค้นใจ อัดแน่นในอกของจีรุจน์ เขาไม่มีวันสลัดมันออกไปจากความคิด จากหัวใจ เขาเกลียดและเขาโกรธเหลือเกิน  ผู้ชายที่ทำให้พี่สาวของเขาอ่อนแอ

 

หลังงานศพผ่านไป เด็กหนุ่มถือรูปของพี่สาวมาวางไว้บนหัวเตียงในห้อง และหมกตัวนิ่งอยู่ในห้องส่วนตัวของพี่สาว เขานั่งชันเข่าอยู่ข้างเตียงที่คลุมด้วยผ้าสีเทาลายขวาง ใบหน้าคมเข้มดูหม่นหมอง ขณะที่น้ำตาของลูกผู้ชายเอ่อคลอหน่วย หากเมื่อมันรินไหลออกมาเขารีบปาดทิ้งโดยเร็ว

ภายนอกห้องของผู้ที่จากไป มีหญิงวัยสี่สิบร่างเล็กค่อนข้างบอบบาง กำลังใช้มือเรียวเคาะประตูเรียกลูกชายคนเล็ก นางอยู่ในชุดดำปลอดทั้งเสื้อและกระโปรง

เสียงเรียกหลุดจากปากเบาๆเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ด้วยความห่วงใยผู้ที่ไม่ยอมออกจากห้องของพี่สาวนับแต่กลับมาจากงานเผาศพของเธอ

                “เปิดประตูให้แม่หน่อย” ถ้อยคำที่เอ่ยกับลูกอ่อนโยนเช่นน้ำเสียงนุ่มนวล

เรียวลุกจากข้างเตียง พาร่างสูงเกินร้อยแปดสิบเซนติเมตรเดินไปเปิดประตูให้มารดา เด็กหนุ่มค้อมกายนิดๆ เพราะมารดาร่างเล็ก แต่จีรุจน์รู้ว่าหัวใจของท่านแกร่งและแข็งยิ่งนัก

เมื่อสานสบดวงตาที่บ่งบอกถึงความเข้าใจในตัวลูกชาย ทำให้ความอ่อนแอที่ ‘เรียว’พยายามซ่อนเร้นก็เอ่อท้นออกมาอีก

 คุณบุญศรีจับแขนลูกชายคนเล็กแผ่วเบา เขาค้อมตัวลงกอดร่างบางไว้แน่น สะอื้นไห้อย่างไม่อาจกลั้นไว้ได้อีก

                “ทำไมพี่รสต้องฆ่าตัวตายด้วยครับแม่”

                “อย่าเสียใจมากไปเลยนะเรียวอดทนไว้ ลูกยังต้องไปเรียนเดินไปสู่อนาคต”  มารดาร่างเล็กของเขาให้กำลังใจอย่างเข้มแข็ง ทำให้เด็กหนุ่มเขาคลายกอดมารดา มีสตินึกคิดขึ้นมาในความรับผิดชอบของผู้ที่ยังมีลมหายใจ

หน้าที่ของเขายังมีอยู่ตามที่มารดาบอกว่า อนาคต แต่เขาไม่มีวันลืมจุดจบของพี่สาวเด็ดขาด

 

นับจากบิดาไปมีครอบครัวใหม่เมื่อเขาอายุได้เพียงเจ็ดขวบ เด็กน้อยในวันวานติดพี่สาวคนเดียวแทบไม่เคยห่าง เพราะแม่ทำงานหนัก ส่วนพ่อที่เขาเคยรักและติดท่านไม่น้อยก็ไม่ได้พบเห็นกันอีก พูดถึงพ่อครั้งใด มารดาจะนิ่งไม่ยอมพูดกับเด็กชายร่างโย่ง

ทำให้ในที่สุดคำว่าพ่อก็หายไปจากบ้านหลังนั้นนานสิบปี

 

วันที่เกิดเรื่องนั้นมารดาไปสัมมนาต่างจังหวัด ส่วนพี่สาวร้องไห้ทั้งคืน  ก่อนเสียงแห่งมัจจุราชจะแผดก้องบ้าน

เลือดไหลรินไม่ขาดสายจากบาดแผลที่ขมับขวา ร่างของหญิงสาวนั่งพิงข้างฝาศีรษะห้อยพับติดตัวภาพนั้นยังติดตาของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ลืมเลือน

วันปลงศพพี่สาวเพียงคนเดียวได้สิ้นสุดลง บ้านทั้งหลังเงียบเหงาเด็กรุ่นหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่โต๊ะทำงานของรสมัย

ไหล่กว้างของเด็กรุ่นสะท้านเพราะแรงสะอื้น เขาร้องไห้โดยไม่มีเสียง และนั่นภายในอกของเขาทั้งแห้งและร้าวรานด้วยความรู้สึกแห่งความสูญเสียที่ไม่มีวันได้กลับคืนมาอีกแล้ว

 ในขณะที่คุณบุญศรีวางท่าทีเงียบดังเคย หากดวงตาแห้งผากคล้ายคนไม่มีวิญญาณ

คนใกล้ชิดเช่นน้องสาวเท่านั้นที่รู้ว่าหัวใจของพี่สาวเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา

                “คุณบุญศรีแข็งจริง ๆ นะ ลูกสาวตายทั้งคนไม่เห็นน้ำตาสักหยด”แขกมาร่วมงานศพแอบค่อนขอด

คุณคุณบุหงาทอดถอนใจด้วยความหดหู่กับชีวิตที่อาภัพของพี่สาว นางถูกสามีทอดทิ้งไป นั่นก็เคยเจ็บปางตาย คุณบุญศรีเคยปรารภว่าเพราะห่วงลูกสองคนจึงยังตายไม่ได้ หากแล้ววันนี้ลูกสาวก็อีกที่ทำร้ายมารดาโดยไม่รู้ตัว

ทิฐิมานะเท่านั้นที่ทำให้คุณบุญศรียังมีลมหายใจ!!

                “รอเรียวอีกคน” คุณบุญศรีหลุดปากกับน้องสาว เมื่อเห็นจีรุจน์เดินผ่านไปใส่ดอกไม้จันท์เป็นคนสุดท้าย “เขาจะคิดถึงแค่ตัวเองหรือเปล่า”

                “พี่ศรี”คุณบุหงาสะอื้นฮักเมื่อฟังคำพี่สาว “เรียวไม่เป็นเหมือนคนนั้น”

                 คนที่น้องสาวพูดคืออดีตพี่เขย ที่นางคิดว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว

นี่หรือเครื่องพันธนาการชีวิตที่คนเป็นแม่ไม่เคยคิดให้บ่วงนี้หลุดไปจากใจตนเอง ความรับผิดชอบต่อชีวิตที่นางให้กำเนิดมา

               

                ในบ้านเดี่ยวสามห้องนอน มีรั้วรอบขอบชิดอยู่กันตามลำพังสองคนแม่ลูกและในที่ ที่ มีอดีตแห่งนั้นก็ไม่อาจจะทนอาศัยได้อีก คุณบุญศรีจึงปิดประกาศขาย โดยไปหาซื้อบ้านใหม่อยู่ มีคุณคุณบุหงาน้องสาว จัดการให้เรียบร้อย

                “เป็นบ้านตรงข้ามเขาย้ายไปอยู่ต่างประเทศ หงาจะช่วยออกให้ครึ่งหนึ่งก่อนพี่มีแล้วค่อยมาใช้คืน”คุณบุหงาเข้าใจสถานภาพของพี่สาวซึ่งทำงานอย่างหนักเพื่อให้มีรายได้เลี้ยงครอบครัว และจากการที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจนี้เองที่ทำให้ครอบครัวต้องสูญเสีย สามี เพราะเขาทนเหงาไม่ได้ และมาเสียลูกสาวไปเพราะความอ่อนแอไร้การคิดสู้ต่อไป

                ความมีน้ำใจของน้องสาวทำให้คุณบุญศรีลำบากใจ

                “เกรงใจคุณเอก” คุณบุญศรีหมายถึงน้องเขยร่างท้วมพอๆกัน กับน้องสาว

                “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะพี่ศรี เรื่องบ้านหลังนี้คุณเอกเขาเป็นคนติดต่อเสียด้วยซ้ำ พี่ย้ายไปอยู่ใกล้ ๆ กันก็ดี หงาจะได้ช่วยดูหลานเวลาที่พี่มีสัมมนาต่างจังหวัด”

                น้องสาวเป็นธุระให้จนเรียบร้อย บ้านใหม่ มีเพียงสองห้องนอน โถงรับแขกและห้องครัวเล็กหลังบ้านตามความนิยมของคนไทย แม้จะมีสามีต่างชาติก็ตามที

หน้าบ้านมีสนามหญ้าและทำสวนหย่อมไม่กว้างมากนัก ซึ่งแม้บ้านหลังนี้ไม่ใหญ่เท่าเดิมแต่ก็พออยู่อาศัยแล้วสำหรับสองคนแม่ลูก

ลูกชายวัยรุ่นต้องอยู่ตามลำพังเป็นเรื่องที่คุณบุญศรีกังวลอยู่บ้าง แต่เธอก็ต้องสร้างฐานะให้ร่ำรวยมากยิ่งขึ้นก็เพื่อสายเลือดเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่คนนี้นี่เอง

                เมื่อนางได้เสียสามีและลูกสาวไปแล้ว นางคิดว่าจะหยุดงานไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นางไม่อยากได้ชื่อว่าทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จสักอย่างเดียว

                การตายของลูกนางไม่โทษตัวเอง แต่นางโทษที่ลูกไม่ยอมบอกนางว่า มีอะไรเกิดขึ้นจึงทนการใช้ชีวิตอยู่ไม่ได้ เช่นเดียวกับสามีที่นางลืมความเสียใจไปนานแล้ว เพราะคิดว่าเขานั้นเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมอดทนทั้งที่นางก็เหงาไม่แพ้กัน

                จีรุจน์คือลูกที่เหลือเพียงคนเดียวที่จะเป็นแรงผลักดันให้นางได้ทำงานเพื่อเขาเอง ขอเพียงลูกคนนี้เข้มแข็ง อย่าอ่อนแอดังพ่อและพี่สาวของเขาก็พอแล้ว

 

อีกมุมเมือง

ตึกทรงสวยสองชั้นตั้งอยู่บนเนินหญ้าเขียวขจีถัดจากตัวตึกมีสระน้ำสีฟ้าใสขนาดสิบห้าเมตร โต๊ะชุดข้างสระนั่งด้วยชายผิวขาวสวมเสื้อคลุมสีเข้มกำลังดื่มกาแฟพร้อมทั้งอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสบายอารมณ์

ร่างสูงต้องสะดุ้งเมื่อเสียงเอ็ดอึงของสาวใช้และคนสวนมองปราดไปที่เกิดเหตุจึงเห็นเด็กรุ่นหนุ่มแต่งกายรุงรังเหมือนจิ๊กโก๋โดยทั่วหากแต่ผมตัดสั้นเกรียนดังเด็กมัธยมทั่วไป คนสวนล็อกคอเด็กรุ่นที่ดิ้นสะมัดโวยวาย จิตราสาวใช้ช่วยคนสวนทุบตีพร้อมด่าว่าอึงไป

                “ผมจะมาหาพ่อ ผมปล่อยเดี๋ยวนี้บอกให้ปล่อย” พลรีบลุกไปร่วมเหตุการณ์ คุณเผด็จและคุณรพีพรรณพาวัยใกล้เกษียรออกมาจากในบ้านในมือคุณเผด็จถือไม้ตะพดคู่ใจไปด้วย

                “เอะอะอะไรกันแล้วนั่นใครล่ะนายน้อม” พลเอามือไพล่หลังถามคนสวน ส่วนเด็กรุ่นหนุ่มจ้องตาเอาเรื่องมาที่หนุ่มใหญ่กัดริมฝีปากสีสดราวเด็กผู้หญิงกับว่าเห็นพลแล้วยิ่งโกรธมาก

คุณเผด็จและคุณรพีพรรณมาถึงคุณเผด็จใช้ไม้ตะพดชี้หน้าเด็กรุ่นหนุ่มหน้าคมแต่ดูเอาเรื่องไม่ใช่เล่น

                “เอ็งเป็นใครไอ้หนุ่มเข้าบ้านผิดหรือจะมาหาเรื่อง”

                “ปล่อยก่อนได้มั้ยจะได้คุยกัน” น้ำเสียงห้าวเพราะพึ่งแตกเนื้อหนุ่มตวาดใส่คนสวน มีวาจาห้วนไม่ยอมสนิทสนมด้วย 

                “ปล่อยเขา”พลสั่งให้นายน้อมปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ

 เด็กรุ่นขยับเสื้อพร้อมกระเป๋าสะพายใบโตให้เข้าที่ ทำยึกยักเล่นท่าไม่ตอบซะงั้น ทำให้พลเริ่มไม่พอใจจึงดุเสียงแข็ง

                “เอ้าจะบอกได้หรือยังว่าเราเป็นใครมาจากไหน”

                “ใครชื่อพลไปตามมาหน่อยเด๊ะ” มันว่าท่าทียียวนกวนอารมณ์พลชี้บอกตัวเองนึกไม่ออกว่ารู้จักเด็กรุ่นคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

                “ฉันนี่แหละมีธุระอะไร”

                กล่าวจบเด็กรุ่นคนนั้นก็เดินรอบ ๆ พลมองสำรวจท่าทางกวนจนคุณเผด็จเงื้อไม้ตะพด

                “ไอ้นี่จะมาไม้ไหนกันวะไม่พูดีด ๆ ก็ออกไปจากบ้านฉันเสียที”

                “คำก็ไล่สองคำก็ไล่ แก่แล้วจะทำบาปกรรมไปถึงไหนกัน” มันว่าพร้อมรอยยิ้มเหยียดหยันชอบกล คุณรพีพรรณรู้สึกหน้ามืดจะเป็นลมจนต้องถลันเข้าประคองไว้ เด็กรุ่นหนุ่มเอ่ยต่อ

                “แม่ผมชื่อขวัญรู้จักมั้ยคุณพล” เขาเงยขึ้นถามร่างสูงของอีกฝ่าย ครานี้หน้าหล่อเผือดไปถนัดใจ คุณรพีพรรณเกิดลมสว่านขึ้นจนเป็นลมเป็นแล้งไปอีก พลรีบอุ้มมารดาขึ้นตึก พร้อมสั่งรัว จากนั้นเรียกหามารดาให้รู้สึกตัว

                “เร็วไปหายาลม คุณแม่ครับ คุณแม่” เด็กรุ่นขยับตาม หากนายน้อมล็อกตัวไว้คุณเผด็จหันมาสั่งคนสวน

                “ปล่อยให้เข้ามา”

                เหตุการณ์กลับตาละปัดไปว่า ประมุขบ้านให้เด็กหนุ่มจอมซ่าเข้าบ้านได้

และแล้วข่าวก็แพร่เข้าไปในครัวอย่างรวดเร็ว นางแช่มแม่บ้านเก่าแก่ตบอกตัวเองผาง จนเด็กรับใช้ในครัวสงสัยยิ่ง

                “เอาแล้วไง”

                “ใครเอาอะไรป้า”นางแช่มไม่ตอบคำนาย

 

ในห้องโถงใหญ่ นายน้อมถูกตะเพิดให้ออกมา คงเหลือเพียงสาวใช้คนสนิทของคุณรพีพรรณอยู่ปฐมพยาบาล คุณรพีพรรณมีอาการค่อยดีขึ้น แต่ต้องเอนกายนอนบนเก้าอี้ยาวตัวนุ่มในห้องรับแขก ส่วนเด็กรุ่นกระแทกตัวนั่งบนเก้าอี้นุ่ม ถ่างขากว้างสบายเฉิบ

                พลเหลือบมองเด็กรุ่นด้วยสายตาคมกริบ ครั้นสำรวจอีกฝ่ายได้ชัดตาทำให้หนุ่มวัยไม่ถึงสามสิบต้องลูบหน้าตัวเอง ผลิตผลของเขาไม่ผิดแน่แล้ว  ฉุกคิดขึ้นมาได้ดังนั้นแล้ว พลขนลุกมาเสียเฉย ๆ เขาพึ่งอายุยี่สิบเก้าแต่มีลูกเป็นหนุ่มขนาดนี้

                “จะให้ผมอยู่ที่ไหนก็บอกมาแต่ถ้าไล่ผมไม่ยอม”

                เด็กรุ่นหนุ่มยังพูดห้าว ๆ ไม่ใส่ใจกับกับการเป็นลมของคุณรพีพรรณเพราะเขาก็ตั้งใจที่จะมาทำความตกใจให้คนในบ้านนี้อยู่แล้ว คุณเผด็จถอนใจยาวเมื่อรู้ว่าไอ้เด็กคนนี้มันเป็นใคร และคิดจะมาทวงสิทธิ์ พลตะครั่นตะคร้อเหมือนจะเป็นไข้ยังตั้งรับไม่ถูก  แต่ไอ้ท่าทียวน ๆ เกเรนิด ๆ ของเจ้าหมอนั่นมันช่างลอกแบบเขาในวัยรุ่นได้ไม่ผิดเพี้ยน ทั้งที่ไม่เคยพบหน้ามันเลยตั้งแต่เกิด

                “ชื่ออะไร”

                “เพชร” ในใบแจ้งเกิดเป็นลูกนายเผด็จกับนางรพีพรรณแต่ความจริงที่แม่บอกคือลูกนายพลกับนางขวัญถึงจะถูก” เพชรตอบเล่นลิ้นอย่างสบอารมณ์

                พลอยากลุกขึ้นเตะสักป้าบ คนที่ตะลึงคือจิตรา เธอยังนั่งปรนนิบัติคุณรพีพรรณจึงได้ยินชัดเจน คุณเผด็จถามเพชรเริ่มรู้สึกเอ็นดูมันขึ้นทีละนิดเพราะมันช่างเหมือนพลไม่มีผิดยิ่งเพ่งพิศก็ยิ่งเหมือน

                “แล้วแม่เอ็งไปไหนเพชร”

                “ตายได้สองปีแล้วครับ” ครานี้มันสลดลงเมื่อเอ่ยถึงแม่ “เป็นปอดบวมป่วยแล้วยังต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงผม โดยที่พ่อนั่งเสวยสุขอยู่ที่นี่” ประโยคท้ายเอ่ยกร้าว  กล่าวหาเรื่องผู้ให้กำเนิด พลรู้สึกปากชาจนหนักเอ่ยโต้ตอบอะไรไม่ได้สักคำเพชรรื้อกระเป๋าผ้าหาของบางอย่างจนเจอจึงหยิบออกมาวางบนโต๊ะเป็นสร้อยทองเส้นเล็ก ๆ มีพระห้อยอยู่

“ผมจะขายกินหลายครั้งแล้วแต่แม่บอกว่าให้ไว้ให้ย่าดูเผื่อไม่เชื่อว่าผมเป็นลูกบ้านนี้ และผมไม่ยอมนะถ้าไล่ผมไปจากที่นี่”

                “ไม่ไล่หรอกน่า” ครานี้พลเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง เพชรดีใจจนลืมตัวโผกอดร่างที่นั่งใกล้ ๆ

                สัมผัสแรกของสายเลือดทำให้พลถึงกับกอดเพชรจนแน่นลูกชายของเขาจริง ๆ ไอ้เด็กคนนี้ เพชรร้องไห้โฮไม่อายใครผิดท่าทางยียวนกวนประสาทอย่างสิ้นเชิง

                จิตราเดินเข้าครัว ป้าแช่ม นายน้อม เด็กสะอิ้ง นั่งหน้าสลอนรอฟังคำบอกเล่าจากจิตราซึ่งก็ปากสว่างเล่าหมดเปลือก  มีต่อท้ายด้วยคำว่า

                “ลูกคุณพลซะงั้น จะเป็นไปได้ไงนะป้า คุณพลยี่สิบเก้าส่วนเด็กคนนั้นก็สักสิบสามสิบสี่เห็นจะได้”

                “คุณพลได้เด็กในบ้านตั้งแต่อายุสิบห้า”

                “ฮ้า” ทุกคนทำตาเหลือเชื่อ

                “ขวัญอายุแก่กว่าคุณพลหลายปี ไม่รู้ไปสป๊ากกันอีท่าไหน ขวัญท้องโย้ขึ้นมา  คุณผู้หญิงจะเล่นงานคุณผู้ชายเพราะความน่าจะเป็นคือคุณผู้ชาย แต่กลายมาเป็นฝีมือคุณพล”

                “แหมก้นไวเป็นบ้าคุณพล นึกไงมาคว้าคนใช้” นายน้อมเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ

                “ขวัญมันสวยนะ” ป้าแช่มนึกถึงหน้าสวย ๆ ของคนที่เอ่ยถึง

                “แล้วไงอีกป้า” สะอิ้งใคร่รู้เพราะเรื่องนี้คล้าย ๆ นิยาย ป้าแช่มรู้เรื่องดีจึงขยายต่อ

                “ใครจะให้เด็กในบ้านมนั่งชูคอ แล้วฐานะอย่างท่านกับเรามันห่างกันลิบ คุณผู้หญิงจะเอาลูกไว้ และให้เงินขวัญพร้อมเชิญให้ออกจากบ้านไป ขวัญเลยหอบลูกหนีไปไม่ติดต่อมาอีกเลย แต่ท่านก็ไม่ได้ไปตามเพราะถ้าตามขวัญต้องมาด้วย”

                “แล้วคุณพลละป้า” สะอิ้งนั่นแหละช่างซัก เพราะคุณพลในวันนี้หล่อลากดินแถมมีประวัติฟันคนใช้ ฟังแล้วใจวาบหวามใจพิลึก

                “เด็กสิบห้าจะทำอะไรได้พอ รู้ว่าขวัญท้องก็หนีไปอยู่บ้านคุณหญิงย่าไม่เคยกลับมาให้เห็นหน้ากันอีกเลยน่ะสิ” ป้าแช่มจำได้ติดตาว่าพลไม่มองหน้าขวัญเลยสักนิดเดียว

                “ใจดำจัง” สะอิ้งและจิตราเอ่ยพร้อมกันโดยลืมนึกไปว่าวุฒิภาวะของเด็กหนุ่มแรกรุ่น ดีแต่นึกสนุก แต่จะไปผูกพันใครอย่างจริงจังคงยากเหลือเกิน วัยสิบห้าปีเป็นวัยไม่พ้นอกแม่ แม้จะไปลักลอบซุกอกสาว แต่ความรับผิดชอบย่อมไม่มี “แล้วเมื่อกี้เป็นไงจิตรา” ครานี้ผู้รู้ถามจิตราบ้าง

                “กอดกันกลมไปเท่านั้นเองสิป้า  แหมแต่คุณเพชรท่าทางเอาเรื่องน่าดู แกบอกไม่ยอมถ้าไม่รับแกเข้าบ้าน”

                “คุณท่านไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำนี่นาเกิดมาก็ยังรับเป็นลูกเองด้วยซ้ำ”

                “งั้นก็มีศักดิ์เป็นน้องคุณพลน่ะสิ”

                “เออ ยุ่งพิลึกเลยที่นี้”

                “ที่สำคัญ” นายน้อมเอ่ยขึ้นบ้าง “คุณพลยังโสด”

                คนใช้นินทานายพากันสรุป และคิดข้ามไปถึงอนาคตที่อาจจะวุ่นวาย เพราะพ่อลูกอายุไม่ได้ห่างกันมากนัก และอาจจะหนุ่มทันกัน

                สำหรับพล เขาตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างที่มีลูกอยู่วัยที่ตนเคยทำให้เขาเกิด ดังนั้นจะคิดสอน คิดปรามเพชร จึงเป็นสิ่งที่เขากระดากที่จะทำ เพราะท่าทางของเพชร ดูกร่าง เอาเรื่อง ไม่ยอมใคร ซึ่งไม่แตกต่างจากนิสัยในวัยลุ่ยของตนเอง ดังนั้นเมื่อเพชรก้าวเข้ามาในฐานะน้องชาย ซึ่งในความจริงเพชรรู้ว่าเป็นลูก เด็กหนุ่มจึงจ้องมองผู้ให้กำเนิดอย่างจับผิดตลอดเวลาทีเดียว

                พลคิดหาทางลดช่องว่างให้เหลือน้อยลง!!

            ห้องนอนกว้าง เฟอร์นิเจอร์หรูหรา ทำให้เพชรมองเหมือนตัวเองลอยขึ้นได้ เพราะช่างแตกต่างจากสภาพที่เคยอยู่กับแม่ตามลำพังในห้องเช่า

                พ่อของเขาเป็นลูกมหาเศรษฐี ส่วนแม่เป็นคนใช้ เขาจึงคิดตามประสาเด็กวัยรุ่นว่าตนเองเป็นลูกครึ่ง ครึ่งจนครึ่งรวย

                “ไง นอนลงหรือเปล่าล่ะ” พลถามดังมาจากหน้าห้องซึ่งไม่ได้ปิดประตู

                “ผมว่าจะนอนกับพื้น” เพชรประชด “กลัวขี้กลากขึ้น”

                “ระวังปากหน่อย ยังไงก็เดินเข้ามาหาพ่อเอง”

                “พ่อคนไหนล่ะ”เพชรไม่ยอมลดละให้ “พ่อที่เป็นปู่หรือว่าพ่อที่อายุมากกว่าสิบห้าปี”

                “เพชรคิดจะมีอะไรกับผู้หญิงหรือยัง”พลย้อนถาม

                “โอ๊ย คิดได้ไง” เด็กรุ่นโวยออกมาทันที “แฟนยังไม่มีเลย” โพล่งออกไปแล้วได้คิดว่าพ่อมาหลอกถาม จึงได้ย้อนกลับไปทันทีที่ฉุกใจคิด “อ๋อ คุณคิดเปรียบคุณกับผมหรือไง”

                “ไม่ได้เปรียบ แต่ป๋า” พลเรียกสรรพนามตนเองแล้วเก้อไปบ้างกับการเป็นพ่อคน หากว่าคิดแล้วคำนี้เหมาะสมที่สุด “ป๋ากำลังให้เพชรคิดว่าช่วงนั้นของป๋ากับของเพชรเหมือนกันหรือเปล่า ป๋าไม่ได้คิดอะไร แต่แม่เพชรเขา…ยังไงก็ขอบคุณเขาที่เลี้ยงเพชรมาจนทุกวันนี้ จากนี้ป๋าเลี้ยงต่อเอง”

เด็กรุ่นอยากเถียงเอาชนะ หากพูดไม่ออก พลก้าวเดินผ่านกรอบประตูเข้ามา จากนั้นโอบร่างโปร่ง ซึ่งคงจะสูงมากในวัยที่มากขึ้น เพชรเหมือนโดนสะกดเอผู้ให้กำเนิดพาไปนั่งเก้าอี้ยาวข้างผนังห้อง หย่อนกายลงนั่งจากนั้นได้แต่เงียบฟัง

                “ป๋ายังเด็กไม่รู้จักความรับผิดชอบ แค่เกิดเรื่องก็กลัวคุณพ่อตีแทบแย่แล้ว ทำอะไรไม่ได้นอกจากหนีหน้า แต่ไม่ใช่ไม่อยากรู้ว่าลูกหน้าตาเป็นยังไง ป๋าแอบมามองแม่ของเพชร แต่ไม่กล้าพบเขา”

                “ทั้งที่ตอน ‘ทำ’ เพชรช่างกล้ามากใช่มั้ยป๋า”

                “ไม่ค่อยกล้าหรอก กลัวๆ”พลเอ่ยจากใจทีเดียว “แต่ ก็ได้เพชรมานั่นแหละ มันก็เป็นบทเรียนมาตลอดทำให้กลัวไปเลยล่ะ”

                “แก่ขนาดนี้คงไม่กลัวแล้วมั้ง คนมันเคย”

                “ที่พูดออกมาน่ะคิดบ้างหรือเปล่า”

                “คิดมากกว่าป๋านั่นล่ะ”

                “ก็ดีจะได้ไม่ต้องมาโยนความรับผิดชอบให้ผู้ใหญ่เหมือนป๋า” เพชรนิ่งอึ้ง แม้เป็นผู้ชายแต่ก็อยากรู้ว่า คนที่เรียกตัวเองว่าป๋า

                “ให้โอกาสป๋าได้ทำหน้าที่ ที่ไม่เคยทำ ได้มั้ยล่ะ”

                “ป๋ามีเมียใหม่หรือยัง”

                “ทำไมล่ะ อายุป๋าไม่น้อยแล้ว”

                “งั้นเพชรก็จะเอาไม่เลือกเลย”

พลจึงหัวเราะชอบใจ ดึงอีกฝ่ายเข้าไปกอด ซึ่งเพชรไม่คุ้นเคย แต่ไม่ปฏิเสธว่า อบอุ่นใจเหลือประมาณอ้อมกอดของผู้ให้กำเนิดที่มีความจริงใจให้กับสายเลือดที่เขาให้กำเนิดในช่วงวัยน้อยนัก


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (68 รายการ)

www.batorastore.com © 2024