คุณหมอจอมบงการ (เพลงมีนา) (EBOOK)

คุณหมอจอมบงการ (เพลงมีนา) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: คุณหมอจอมบงการ
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 139.00 บาท 34.75 บาท
ประหยัด: 104.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

 

            ฝนหลงฤดูกระหน่ำลงอย่างหนักรถจี๊ปคันเก่าที่ว่าเก๋าก็ยังติดหล่มยากจะดึงดันให้หลุดพ้น ชายหนุ่มกระโดดลงจากรถลงมาช่วยชาวบ้านเข็นรถขึ้นจากหล่ม

            “คุณหมอไม่ต้องลงมาหรอกครับ” ชายวัยกลางคนกล่าวเสียงดังแข่งกับเสียงฝน

            “ไม่ช่วยได้ไง ต้องช่วยซิ” หมอหนุ่มหัวเราะพลางเช็ดน้ำฝนที่สาดเข้าหน้า “ลุงไปหาไม้มาหนุนล้อก่อน เราช่วยเข็นกันสองสามแรงจะได้ออกจากหล่มได้เสียที”

            “คุณหมอเลยต้องมาลำบากเพราะพวกเราเลย” ชายวัยกลางคนพึมพำแล้วไปหาไม้แถวๆ นั้นมาหนุนใต้ล้อรถเพื่อให้รถหลุดจากหล่ม

            “โธ่! ลำบากอะไรกัน”

ชายหนุ่มออกแรงดันรถ เขาตะโกนบอกให้เด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่หลังพวงมาลัยเหยียบคันเร่งเต็มที แต่รถก็ขยับขึ้นไปนิดก่อนจะไหลลงมาที่เก่าซ้ำยังดีดโคลนใส่คนที่อยู่ท้ายรถจนเนื้อตัวมอมแมมไปหมด

            ท้องฟ้ามืดมิดมีเพียงแสบแลบแปลบปลาบจากสายฟ้า    ชายหนุ่มเม้มปากเน้นอย่างครุ่นคิด เขาออกมาตรวจคนไข้ที่อยู่ไกลจากโรงพยาบาลหลายสิบกิโลเมตร แต่ขากลับติดพายุฝนจนเริ่มค่ำมืดก็ยังไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง รถจี๊ปคันเก่าก็ดันมาติดหล่มเสียอีก  เห็นท่าว่าคืนนี้อาจจะได้ตากฝนอยู่แถวนี้จนถึงรุ่งเช้าเป็นแน่   ขณะที่เขากำลังคิดหาทางออก แสงไฟวาบก็ส่องมาทางเขาจนต้องยกมือขึ้นป้องแสงที่แยงตา

            “ไอ้หมอ! ไอ้หมอธันวา!”

            หมอหนุ่มเจ้าของชื่อเพ่งสายตาหลังแว่นตาจ้องมองไปผู้มาใหม่ ชายหนุ่มร่างใหญ่ในชุดเสื้อกันฝนเนื้อหนาสีเขียวทหารเดินเข้ามาใกล้แล้วยื่นมามาข้างหน้า ธันวาหรือหมอธันวาจับมือเพื่อนที่ที่ช่วยดึงเขาขึ้นจากโคลน เพื่อนตบไหล่สองสามทีแล้วหันไปสั่งลูกน้องที่ตามมาให้ช่วยกันลากรถจี๊ปขึ้น 

            “หมอเอากระเป๋ามาแล้วไปกับเราก่อน” พิชญะสั่งเพื่อน  “เราเอารถมาสองคัน  เดี๋ยวให้ลูกน้องจัดการลากรถหมอกลับไปเอง”

            “ได้ๆ”

ธันวาเอื้อมมือไปหยิบเป้ส่วนตัวกับกระเป๋าเครื่องมือเดินตามหลังเพื่อนมาที่รถรถโฟร์วิลล์ที่มีสติกเกอร์ ‘ไร่ฉายฉาน’ ติดอยู่ประตูรถ โชคดีที่เขาออกตรวจเพียงลำพัง ถ้าวันนี้มีพยาบาลติดตามมาด้วยคงลำบากไม่น้อย ธันวาก้าวขึ้นนั่งแล้ว พิชญะก็ส่งผ้าขนหนูผืนกำลังดีให้ซับหน้าก่อนจะพารถเคลื่อนออกไป

            “โชคดีที่นายผ่านมาทางนี้พอดี” ธันวาถอดแว่นตาออกแล้วเช็ดหน้าที่เปื้อนน้ำฝน เขามองแว่นตาในมือมีโคลนเลอะติดแว่นของเขาด้วย

            “ไม่ได้บังเอิญผ่านมาแต่ตั้งใจมาเลยล่ะ” พิชญะหัวเราะและบังคับรถฝ่าสายฝนด้วยความชำนาญ

            “อ้าว! ยังไงกันละ?” ธันวามองเพื่อนแล้วขมวดคิ้ว “ที่บ้านมีใครไม่สบายหรือเปล่า คุณรินหรือลูกชายของนายป่วยเหรอ”

            พิชญะแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง “คนที่บ้านเราปกติดีทุกคน  แต่คนที่บ้านนายนั้นแหละมีปัญหาแน่ๆ”

            “ตกลงมันอะไรกัน นี่เรางงไปหมดแล้ว” 

            “ไม่ได้กลับบ้านกี่เดือนแล้วล่ะ” พิชญะถามยิ้มๆ “บ้านที่กรุงเทพฯนะ”

            ธันวาโคลงศีรษะไปมา เขากำลังจะบอกว่าไม่กี่เดือนนี่เอง แต่พอนับนิ้วในใจก็กว่าครึ่งปีแล้วกระมั้ง เอ...หรือจะนานกว่านั้นแล้วนะ แต่คงไม่ถึงปีแน่ๆ เอ๋? หรือจะครบปีแล้วละนี่?

            “แม่นายโทรมาตามให้กลับบ้าน”

            “มีใครเป็นอะไรหรือเปล่า?” คุณหมอหนุ่มเริ่มเป็นกังวล  จริงๆ แม่ของเขามักจะโทรศัพท์พูดคุยกันบ่อยๆ เขาจึงไม่รู้สึกห่างเหินคนที่บ้านนัก  เพียงแต่ค่เขามีบางอย่างที่ทำให้ไม่อยากกลับบ้านก็เท่านั้น

            “อันนี้ไม่รู้นะ” พิชญะยักไหล่ “แต่คงเป็นกังวลที่ติดต่อนายไม่ได้เสียที  ก็พอดีเมียเราเห็นฝนลงหนักกลัวนายจะออกจากหมู่บ้านหลังเขาไม่ได้ เราก็เลยต้องรับรถมารับนายไง”

            “อ่อ! นี่คำสั่งเมีย” ธันวาหัวเราะออกมาบ้าง เพื่อนซี้ของเขาแต่งงานไปเมื่อปีที่แล้วและตอนนี้ก็มีลูกชายตัวน้อยน่ารักวัยไม่ถึงขวบดีนัก “ไอ้เราก็นึกว่าเป็นห่วงเพื่อน”

            “ทำเป็นหัวเราะไป  มีเมียเมื่อไหร่เดี๋ยวก็รู้เอง”

            ธันวาส่ายหน้าไปมานี่เขาก็เพิ่งอกหักทั้งที่ไม่ได้บอกรักก็เพราะไอ้คุณเพื่อนซี้นี้นะ แต่ในเมื่อผู้หญิงไม่ได้รักเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ รอยยิ้มจางไปเมื่อนึกถึงเรื่องที่บ้าน เขาก็แอบถอนหายใจหนักๆ ไม่ได้กลับบ้านร่วมปีคงทำให้แม่ไม่ค่อยพอใจนัก การที่เขามาทำงานเป็นแพทย์ชนบทอย่างนี้แม่ก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยอยู่แล้ว   แม้จะเข้าใจดีว่าแม่อยากให้เขากลับไปทำงานอยู่ใกล้ๆ แม่มีหุ้นในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังและหวังใจให้เขาทำงานที่นั้น แต่หัวใจเขาปฏิเสธการทำงานในเมืองหลวง แม่เรียกว่าเขาเป็นพวกกินอุดมการณ์  เกือบสิบปีแล้วที่เขาทำงานอย่างนี้ทำให้เขากลับบ้านแทบนับครั้งได้เพราะไม่ต้องการได้ยินเสียงบ่นว่าของแม่          

            แต่ถ้าแม่โทรมาตามให้กลับบ้านนี่คงไม่ธรรมดาแน่ๆ    จริงๆ งานที่นี่เขาก็วางระบบทุกอย่างไว้ดีแล้ว  แล้วตลอดหลายปีมานี่เขาแทบไม่เคยลาหยุดเลย ถ้าจะลากลับบ้านสักอาทิตย์สองอาทิตย์คงไม่เป็นไร อย่างน้อยก็กลับไปให้แม่บ่นว่าจะได้สบายใจก็แล้ว.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1

 

            หญิงสาวผมยาวสลวยยิ้มแย้มอย่างอ่อนหวาน เธออยู่ในชุดเดรสสีครามเคร่งขรึมทว่าให้ความรู้สึกสง่างามช่างภาพกำลังเก็บภาพหญิงสาวหลังจากการให้สัมภาษณ์เสร็จสิ้น หญิงสาวขยับตัวโพสท่าตามคำขอของช่างภาพจนเมื่อได้ภาพที่พอใจแล้วจึงกล่าวขอบคุณพร้อมกับนักข่าวสาวที่มาทำสัมภาษณ์เธอ

            “คุณมิ้นต์นี่ขึ้นกล้องจริงๆ นะคะ ไม่คิดจะเป็นดารานางแบบเต็มตัวบ้างหรือคะ”

            มิ้นต์ หรือ ดารัณ สุวิชญา หญิงสาววัย 27 ที่หน้าอ่อนเหมือนเด็กมัธยม  เธอเป็นเซเลบฯชื่อดังในเมืองไทยทำงานในบริษัทของครอบครัว หญิงสาวเป็นบุตรคนเดียวของตระกูลสุวิชญาที่แสนจะร่ำรวยนั่นทำให้เป็นที่จับตามองเป็นอย่างยิ่ง ทั้งความสวยและความเก่งเกินวัยพลอยส่งให้เธอเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น      ดารัณยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะน้อยๆ ด้วยท่าทีสุภาพไม่ดูดัดจริตจนเกินงาม ทำให้ความรู้สึกจริงใจพลอยให้คู่สนทนาพลอย

 

หัวเราะตามไปด้วย

            “โธ่! พี่ๆ ค่ะ แค่นี้มิ้นต์ก็ทำให้พี่ช่างภาพลำบากต้องเล็งหามุมสวยแย่พอแล้ว ขื่นให้ไปเป็นดารานางแบบอะไรนี่ก็ยิ่งป่วนไปทั้งกองแน่ๆ”

            “แต่คุณมิ้นต์ก็เคยถ่ายแบบเดินแฟชั่นนะคะ”

            “นั่นงานการกุศลค่ะ แต่มิ้นต์ไม่กล้าคิดจริงจังด้านนี้หรอกค่ะ”

            “น่าเสียดายนะคะ”

            หญิงสาวยิ้มอ่อนหวานแล้วหยิบถุงกระดาษน่ารักๆ สี่ใบส่งให้นักข่าวและช่างภาพคนละสองถุง “ถือว่าเป็นของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ นะคะ ถุงหนึ่งของพี่ อีกถุงเอาไปฝากคนที่บ้าน แต่ถ้ายังไม่มีคนที่บ้านก็ฝากคนข้างๆ ก็ได้ค่ะ ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติค่ะ เป็นสินค้าแนะนำจากร้านพรรณนาค่ะ”

            “อุ้ย! ขอบคุณคุณมิ้นต์มากค่ะ”

            หญิงสาวพูดคุยกับนักข่าวและช่างภาพอีกเล็กน้อยแล้วทั้งสองก็ขอตัวกลับ ดารัณระบายลมหายใจเบาๆ เมื่อไม่มีใครอยู่ในร้านพรรณนาแล้วนอกจากเจ้าของร้านซึ่งเป็นหญิงสาวร่างสูงโปรงเดินออกมาจากหลังร้านพร้อมรอยยิ้ม

            “ให้สัมภาษณ์บวกถ่ายรูปแค่สองสามชั่วโมงทำหน้าเหมือนไปวิ่งมาสักสี่สิบกิโล”  

ลักษณ์นารา หญิงสาวเจ้าของร้านพรรณนา ร้านขายผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เช่นสบู่ แชมพูสระผม ตลอดจนผ้าย้อมสีธรรมชาติที่ตัดเป็นชุดสวยที่เพื่อนรักใส่อยู่

            “หนิงก็รู้ว่ามันไม่ใช่นิสัยมิ้นต์” ดารัณเดินมานั่งที่เก้าอี้หวายตัวสวยที่ตั้งอยู่มุมร้าน  

            “แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้” 

ลักษณ์นาราหัวเราะเธอเป็นหญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงผมยาวประบ่าใบหน้าแต้มแต่งเครื่องสำอางบางๆ ในขณะที่วันนี้ดารัณแต่งหน้าค่อยข้างจัดแต่ไม่ถึงกับจัดจ้าน ริมฝีปากแต้มสีแดงกุหลาบเข้ากับสีแก้มเนียนและเปลือกตาประกายน้ำตาลทอง     

“มิ้นต์อุตส่าห์นัดมาสัมภาษณ์ที่ร้าน หนิงจะได้โฆษณาร้านไปในตัวยังจะมาพูดแบบนี้กับเพื่อนอีก” มิ้นต์แยกเขี้ยวใส่เพื่อน

“จ้า ขอบใจคุณเพื่อนมากมายมหาศาล” ลักษณ์นารารินน้ำผลไม้ใส่แก้วส่งให้เพื่อนดื่ม “นี่น้ำฟักข้าว ทำเองกับมือเชียว”

“แน่ใจนะว่าถ้าฉันดื่มแล้วฉันจะปลอดภัย” ดารัณรับมาดื่มแล้วก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก

“จะกลัวอะไรมีคู่หมั้นเป็นหมอนี่” ลักษณ์นาราหัวเราะออกมา

“ยัยหนิง!”         

ดารัณหน้าแดงจัด  เธอไม่อาจซ่อนความเขินอายเมื่อพูดถึงคู่หมั้นคู่หมาย แม้จะเป็นเรื่องที่พ่อแม่จัดการให้ตั้งแต่เธอยังเด็ก    แม้จะเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ตกลงกันแต่เธอก็ไม่ปฏิเสธ คู่หมั้นของเธออายุมากกว่าถึง 9 ปี แต่สำหรับเธอเขาคือฝันดีทุกคืนของเธอ

“ฉันเห็นพ่อเทพบุตรของเธอแค่รูปในมือถือเมื่อไหร่จะได้เจอตัวจริงละนี่”

“ฉันก็ยังไม่รู้เลย” ดารัณเสียงแผ่วลง เธอพูดได้เต็มปากเลยว่ารักเขา แต่เขากลับเฉยชาทุกครั้งที่พบกัน แม้เขาจะไม่ปฏิเสธเรื่องการหมั้นหมายที่ผู้ใหญ่จัดการให้แต่เขาก็แสนจะเย็นชากับเธอทุกครั้งที่พบหน้า

“หนิง...” ดารัณเรียกชื่อเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ที่ผู้ใหญ่พูดกันว่าอยู่ๆ กันไปก็รักกันเองมันจะจริงไหม มันจะเป็นจริงได้เหรอ”

ลักษณ์นาราถอนหายใจเบาๆ ยื่นมือไปแตะหลังมือของเพื่อนให้กำลังใจ  เธอรู้ว่าดารัณแอบรักคู่หมั้นอยู่ฝ่ายเดียวมานานหลายปี   การที่ผู้ใหญ่หมั้นหมายให้นั้นแต่ถ้าคนอย่างดารัณไม่ยินยอมก็ไม่มีทางการเกิดขึ้น เธอทุ่มเทกับความรักของเธอมากมายเหลือเกิน ไม่เพียงแต่เธอจะใส่ใจญาติว่าทีแม่สามีในอนาคต เธอยังทำงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้โรงพยาบาลในเครือที่แม่สามีเธอมีหุ้นอยู่ด้วย ภายนอก ‘ดารัณ สุวิชญา’ สาวไฮโซหรือเซเลบฯ ชื่อดังผู้มีทั้งชื่อเสียงและชื่อเสียเพราะความสวยและเก่งรอบด้านเป็นที่อิจฉาของคนอื่น บ่อยครั้งที่มีข่าวป้ายสีเพื่อนซี้จนลักษณ์นาราโมโหแทน แต่ดารัณมักนิ่งเฉยเป็นการโต้ตอบ   ผู้หญิงสวย รวย เก่ง สมบูรณ์แบบอย่างดารัณย่อมมีผู้ชายมาจีบนับไม่ถ้วนแต่เธอก็ปฏิเสธทุกราย สิ่งที่ดารัณทำไปทุกอย่างก็หวังเพียงจะเป็นหญิงสาวผู้เพียบพร้อมสำหรับคู่หมั้นผู้แสนเย็นชาคนนั้น

“ถ้าฉันบอกว่าไม่เชื่อ จะเป็นการทำลายจิตใจเธอเกินไปหรือเปล่าล่ะ” ด้วยความเป็นเพื่อนสนิทลักษณ์นาราจึงกล้าพูดตรงๆ

“แต่ฉันรักพี่ธันวานะ รักมากด้วย” ดารัณพูดเสียงเบา

“แกรักพี่เขาแต่พี่เขาจะรักแกหรือเปล่าละ” ลักษณ์นาราโคลงศีรษะไปมา “ทำใจเผื่อไว้บางก็ดี ที่เขาไม่ยอมแต่งงานกับแกเสียทีเขาอาจเป็นเกย์ก็ได้”

“ยัยหนิง!”  ดารัณเอื้อมมือมาตีไหล่เพื่อนดังเพี้ยะ! “อย่ามาว่าพี่ธันวาแบบนั้นนะ”

“โอ๊ย! ปกป้องจังนะ” ลักษณ์นาราหัวเราะร่วน มือเล็กๆ แบบนี้ตีไปก็ไม่เจ็บอะไรนัก  “ก็มันจริงไหมละ ผู้หญิงสวยๆ อย่างแกถ้าเขาไม่สนใจก็เป็นเกย์อย่างเดียวเลย”

ดารัณพลอยหัวเราะออกมาด้วยอารมณ์หวั่นไหวเมื่อครู่จึงดีขึ้น เสียงโทรศัพท์มือถือทำให้หญิงสาวผละมือจากเพื่อนรักมารับสายหมายเลขที่คุ้นเคย

“สวัสดีค่ะคุณหญิงแม่” ดารัณรับสาย ปกติถ้าเธอไม่ไปหาที่บ้านท่านก็โทรมาหาเสมอจนเหมือนเธอเป็นคนในครอบครัวนั้นแล้ว

“วันนี้ว่างไหมลูกมิ้นต์”

“ว่างค่ะ มิ้นต์เพิ่งให้สัมภาษณ์นักข่าวเสร็จไปเมื่อครู่ค่ะ” 

“ถ้าอย่างนั้นมาทานข้าวเย็นที่บ้านแม่นะจ๊ะ”

“มีอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ” หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ เพราะปกติเธอก็ไปบ่อยอยู่แล้ว

“ตาธันกลับบ้านนะซิ แม่เลยอยากให้มิ้นต์มาหา”

“อะไรนะคะ” คราวนี้ดารัณถึงกับทำตาโตตื่นตกใจ “คุณแม่ว่าอะไรนะคะ”

“ได้ยินชัดแล้วยังจะแกล้งถามซ้ำอีก” 

“ค่ะ...ค่ะคุณแม่ มิ้นต์จะรีบไปค่ะ”

ลักษณ์นารามองสีหน้าตื่นตระหนกของเพื่อนอย่างแปลกใจ “เป็นอะไรหรือเปล่า”

“พี่ธัน...พี่ธันวากลับบ้านมาแล้วนะซิ”

“พี่ธันวา? คู่หมั้นที่ไม่ได้เจอกันนะเหรอ” ลักษณ์นาราทำเป็นจำไม่ได้

“จะมาตอกย้ำกันทำไมนะ” ดารัณค้อนขวับเข้าให้ เธอหันไปดูเวลาจากนาฬิกาวินเทจในร้านแล้วก็ต้องอุทานเพราะต้องรีบเดินทางได้แล้ว  แต่เมื่อลุกขึ้นจากเก้าอี้ก็อดก้มมองสภาพตัวเองไม่ได้

“ฉันดูเป็นไงบ้าง” 

ลักษณ์นารามองเพื่อนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ผมยาวสลวยดัดเป็นลอนอ่อนรับใบหน้ารูปไข่ ใบหน้าแต้มแต่งพอเหมาะน่ามอง ชุดเดรสผ้าฝ้ายย้อมครามที่สวมก็เรียบหรูดูดีไม่สั้นจนเกินไปเหมาะกับการเข้าพบผู้ใหญ่ แต่ท่าทางตื่นเต้นกังวลของเพื่อนเธอนะซิทำให้อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“หัวเราะทำไม?”

“สวยแล้ว” ลักษณ์นาราบอก “ก็อย่างที่บอกไง ถ้าแบบนี้ผู้ชายคนไหนไม่ชอบก็แสดงว่าเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันแล้วล่ะ”

“พูดอะไรไม่ให้กำลังใจเลย” ดารัณส่ายหน้าไปมาแล้วหยิบกระเป๋าของตนเองขึ้นคล้องไหล่ “ฉันไปก่อนนะ  กลัวรถติดนะกว่าจะไปถึงแล้วจะทำให้ผู้ใหญ่รอนานคงดูไม่ดี”

“จ๋า” ลักษณ์ณาราโบกมือไปมา “รีบไปเถอะ คู่หมั้นรอนานจะไม่ดี”

“ยัยหนิง!”

ดารัณค้อนเพื่อนเข้าให้วงใหญ่ ลักษณ์นาราโบกมือไล่เพื่อนซี้  ดารัณรีบเดินไปที่ลานจอดรถแล้วขับรถเก๋งคันเล็กของตนไปปลายทางที่คุ้นเคย แม้รถจะไม่ติดมากอย่างที่เธอคิดแต่ทุกนาทีที่ผ่านไปหัวใจเธอร้อนรน ไม่ได้เจอหน้าคู่หมั้นเกือบปีแต่ที่ผ่านมาทุกครั้งที่เจอกันก็แค่ไม่กี่ชั่วโมง เขามีสีหน้าเคร่งขรึมเสมอและแทบไม่มีอะไรคุยกับเธอเลยสักนิด  กี่ปีแล้วนะที่เขามีเพียงความเย็นชามอบให้ ไม่ตอบรับแต่ไม่ปฏิเสธ หากเขาไม่ยินดีกับการหมั้นหมายก็น่าจะบอกกันตามตรง  เขายอมสวมแหวนหมั้นแต่กลับทำเย็นชากับเธอ คุณหญิงเพ็ญแขมารดาของพี่ธันวาให้กำลังใจเธอเสมอ  ท่านรักและเอ็นดูเธอราวกับลูกสาวคนหนึ่งเลยทีเดียว ดารัณหมั้นกับธันวาในวัยเพียง 18 ปีเท่านั้น  ปีนั้นแม่ของเธอป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ด้วยมีเธอเป็นลูกสาวคนเดียวจึงปรารถนาจะเห็นเธอมีคู่ชีวิตที่ดีที่รักและจะดูแลเธอได้ทั้งชีวิต  คุณแม่ของเธอกับคุณหญิงเพ็ญแขเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนโรงเรียนประจำ ตั้งแต่เธอจำความได้ก็ได้ยินแม่กับคุณหญิงพูดกันเรื่องให้เธอเป็นลูกสาวอีกคนของ ตระกูลกมลฉัตร 

หญิงสาวยังจดจำความรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่ได้ใส่ชุดสวยและนั่งพับเพียบต่อหน้าผู้ใหญ่โดยมีเจ้าของร่างสูงนั่งอยู่เคียงข้าง  เขาสวมแหวนหมั้นให้เธอและเธอก็สวมให้เขา ทว่านับตั้งแต่วันนั้นเธอแทบไม่เคยเห็นรอยยิ้มจากเขาอีกเลย หญิงสาวคิดเสมอว่าอาจเป็นเพราะอายุที่ห่างกันและเขาเป็นถึงนายแพทย์หนุ่มคงไม่ค่อยมีเวลามาเล่นหัวกับใครเท่าไหร่ ทว่านับถึงวันนี้เธอรู้ดีว่าเขาห่างเหินและเย็นชากับเธอ        หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจ  เธอเคยคิดว่าความรักและซื่อสัตย์ที่เธอมีให้เขามาตลอดจะเปิดใจของเขาได้  แต่มันกลับมาได้เพียงแค่ความว่างเปล่า

เมื่อไหร่เขาจะยิ้มให้เธออีก ยิ้มอ่อนโยนและลูบผมเธอเบาๆ  เขาจะจำได้ไหมว่าเขาเคยทำแบบนั้นกับเธอมาก่อน ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กหญิงผมเปียสวมกระโปรงยาวลายสก็อต

“เป็นอะไรไปเด็กน้อย” ชายหนุ่มสวมแว่นสายตายิ้มอ่อนโยนแล้วลงนั่งข้างๆ “เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”

เด็กหญิงวัยสิบสามจ้องมองชายหนุ่มร่างสูงโปรง ร่างของเขาช่วยบังแสงอาทิตย์ยามเย็น เธอมาแอบนั่งหลังต้นไม้ใหญ่ซ่อนเสียงร้องไห้ไม่ให้ใครได้ยิน ชายหนุ่มยิ้มอ่อนโยนแล้วลูบผมของเธอเบาๆ ความอบอุ่นที่เขามอบให้ทำให้เธออุ่นในใจขึ้นมาอย่างประหลาด ดวงตากลมโตจ้องมองคนที่มาใหม่อย่างแปลกใจ

“น้องมิ้นต์ใช่ไหมครับ” เขาถามยิ้มๆ เหมือนไม่ต้องการคำตอบ “มาเล่นซ่อนแอบคนเดียวแบบนี้ไม่ดีนะครับ ผู้ใหญ่หาไม่เจอเขาเป็นห่วงน้องมิ้นต์กัน”

“มิ้นต์ไม่กล้าเข้าบ้าน” เด็กหญิงเริ่มสะอึกสะอื้น “มิ้นต์กลัวคุณพ่อดุ  มิ้นต์ทำแจกันของคุณพ่อแตก”

“เด็กน้อย” ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาให้เด็กหญิง “ไม่มีใครโกรธเด็กน่ารักๆ ได้ลงหรอกครับ โดยเฉพาะเด็กที่กล้ายอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำผิด ถ้ามิ้นต์ขอโทษคุณพ่อ พี่เชื่อว่าท่านต้องให้อภัย”

“จริงหรือคะ”  เด็กหญิงจ้องมองทั้งน้ำตา

“จริงซิครับ เอาอย่างนี้พี่ไปส่งนะ พี่จะอยู่เป็นเพื่อนละกัน”

เด็กหญิงพยักหน้ารับแต่เมื่อเธอยืนขึ้นก็รู้สึกหมดแรงอาจเพราะกลัวพ่อจะดุจนแข็งขาอ่อนก็เป็นได้ ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ในลำคอ หันหลังแล้วลงไปนั่งบนส้นเท้า

“มาซิ ขึ้นหลังมา พี่พาไปส่ง”

“จะดีหรือคะ มิ้นต์อ้วนนะคะ” เด็กหญิงเขินจนหน้าแดงแต่เพราะเขาหันหลังจึงไม่เห็นสีหน้าแดงจัดของเด็กหญิง

“มาเถอะครับ ขี่หลังพี่ดีกว่า ไปนะ”

เด็กหญิงไม่มีทางเลือกอื่น เธอขึ้นหลังเขา มือใหญ่จับมือเล็กของเธอให้คล้องคอเขาก่อนจึงลุกขึ้นเดิน เขาเดินสบายๆ เหมือนเธอเป็นตุ๊กตา

“พี่ชายใจดีจังค่ะ”

“ถ้าไม่รู้จักกันก็อย่าไปไหนกับคนแปลกหน้าง่ายๆ นะครับ”

“อ้าว! มิ้นต์ไม่รู้จักพี่ชายนี่ค่ะ”

“ยกเว้นพี่แล้วกัน”

“ทำไมละคะ”

“เพราะคุณพ่อกับแม่ให้พี่ออกมาตามหาน้องมิ้นต์ไงล่ะครับ” ชายหนุ่มหัวเราะอีกครั้ง “พี่ชื่อธันวา เอาเป็นว่าเรารู้จักกันแล้วนะ”

“ค่ะ...พี่ธันวา”    

เด็กหญิงรู้สึกใจเต้นแรง เธอเป็นลูกสาวคนเดียวไม่เคยรู้ว่าการมี ‘พี่ชาย’ แบบในหนังจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ เขาให้เธอขี่หลังจนกลับถึงบ้าน เธอโดนพ่อดุนิดหน่อยแต่ไม่ใช่ที่ทำแจกันแต่เพราะเธอหายไปจนใครๆ หาไม่เจอ เด็กหญิงได้แต่ฟังคำดุของพ่อและคำปลอบโยนจากแม่ และเมื่อหันไปมองก็เห็นเจ้าของร่างสูงที่ยิ้มให้เธอ

นั้นเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เธอหลงรักเขามาตลอด ดารัณหัวเราะให้กับความทรงจำของตัวเองจะเรียกว่าแก่แดดหรือเปล่านะ เขาเป็นรักแรกของเธอในวัยเพียงแค่สิบสามเท่านั้น หลังจากนั้นเธอได้พบเขาอยู่หลายครั้งและเขาก็มองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนเสมอ จนถึงวันที่ได้สวมแหวนหมั้นรอยยิ้มจึงเลื่อนหายไปบนใบหน้า เธอไม่รู้ว่าเธอทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเขามีคนในหัวใจหรือเปล่า เธออยากจะถามเขา เคยนึกอยากถอดแหวนหมั้นคืนอิสระให้เขาทว่ามันกลับเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนียวจิตใจเธอไว้             

จะว่าเธอเห็นแก่ตัวก็ได้  แม้จะรักเพียงข้างเดียวก็ยังขอครอบครองเขาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่สองมือเธอจะรั้งเขาได้ก็พอ.


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (22 รายการ)

www.batorastore.com © 2024