รักพลิกล็อกของซาโฮะ เล่ม 1 (senorita-p)

รักพลิกล็อกของซาโฮะ เล่ม 1 (senorita-p)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: รักพลิกล็อกของซาโฮะ1
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 385.00 บาท 96.25 บาท
ประหยัด: 288.75 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

“นั่นซาโฮะซังไม่ใช่เหรอ”

“จริงด้วย วันนี้ก็สวยเหมือนเดิมเลยเนอะ”

“อรุณสวัสดิ์ค่ะซาโฮะซัง”

ฉันปรายตาไปมองเหล่านักเรียนสาวที่ส่งเสียงทักทาย พยายามขยับรอยยิ้มหวานชนิดที่คนมองต้องละลาย บางครั้งหน้าตาที่พอจะไปวัดไปวาได้นี่ก็มีประโยชน์เหมือนกัน

“สวัสดีจ้ะ สบายดีมั้ย”

ถามออกไปแบบนั้น ไม่ได้อยากรู้คำตอบเลยสักนิด

“สบายดีค่ะ ซาโฮะซังล่ะคะ”

“สบายดีจ้ะ”

สบายกะผี ฉันมึนหัวจะตายแล้ว คือสิ่งที่อยู่ในใจ

“ขอตัวก่อนนะ”

สุดท้ายจึงตัดสินใจปลีกตัวออกมา เพราะกลัวว่าถ้าต้องฉีกยิ้มต่ออีกสักวินาทีฉันอาจจะเผลอแสดงตัวตนที่แท้จริงออกไปก็ได้ เมื่อเหล่าสาวน้อยเห็นดังนั้นก็ยิ้มตอบพอเป็นมารยาท ก่อนแต่ละคนจะแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง

ฉันเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ มันบอกว่าอีก 10 นาทีจะถึงคาบเรียนถัดไป นั่นแปลว่ายังพอมีเวลาให้เถลไถล จึงตัดสินใจเดินไปเข้าห้องน้ำ ถ้าได้ล้างหน้าล้างตาสักหน่อยคงจะรู้สึกดีขึ้นมาก

ไปถึงก็พุ่งตัวไปเปิดก๊อกน้ำ ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นของเหลวกะปริบกะปรอยไหลออกมา ลุ้นจนแทบขาดใจว่ามันจะค่อยๆ หยุดไหลหรือจะทำเซอร์ไพรส์โดยการพุ่งออกมาใส่ฉันที่ยืนรออยู่

ทว่าดูเหมือนวันนี้จะยังไม่ถึงคราวซวย เพราะคู่ถัดมาน้ำในก๊อกเริ่มไหลแรงขึ้น ฉันจึงรีบลงมือล้างหน้าล้างตา พลางจ้องมองตัวเองในกระจกเพื่อตรวจดูความเรียบร้อย

ผมสีน้ำตาลอ่อนยาวถึงเอวยุ่งเล็กน้อย ฉันจึงเอื้อมมือไปสางมัน การรักษาภาพลักษณ์จำเป็นมากในสถานที่แห่งนี้ ครั้นเมื่อจัดการผมเผ้าเรียบร้อยแล้วจึงชะโงกหน้าเข้าไปใกล้กระจกอีกนิด แอบชักสีหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของตัวเองมีรอยแดงจางๆ ที่เกิดจากการอดหลับอดนอน

บัดซบจริงๆ ฉันไม่น่าหลวมตัวไปซื้อวิดีโอเกมอันใหม่มาเลย บ่อนทำลายสุขภาพอย่างเห็นได้ชัด

คิดด้วยความหงุดหงิดแล้วถอยตัวออกมา จัดระเบียบเสื้อผ้าอีกครั้ง พร้อมแล้วที่จะเดินออกไปสู่โลกภายนอก โลกที่ฉันต้องบากหน้าฉีกยิ้มให้คนเป็นร้อยที่รอทักทายอยู่

ก็แน่ละ ใครๆ ก็อยากจะเข้าหาประธานนักเรียนสาวสวยแบบนี้ทั้งนั้น

หลังนวยนาดอวดโฉมเรียกคะแนนนิยมจนสาแก่ใจ สิบนาทีต่อมาฉันก็ พาตัวเองมาอยู่ในห้องเรียนจนได้ จึงจัดการหยิบหนังสือวิชาคณิตศาสตร์มาตั้งเตรียมพร้อมสำหรับการเรียน ขยับแว่นที่หยิบขึ้นมาสวมทุกครั้งเพื่อเสริมภาพลักษณ์นักเรียนดีเด่น ทำเป็นยืดตัวรอบอกทำความเคารพอาจารย์ ทั้งที่ความจริงอยากจะล้มตัวนอนลงบนโต๊ะให้รู้แล้วรู้รอดมากกว่า

โชคยังดีว่าไม่มีเวลาสำหรับการทำเช่นนั้น เพราะทันใดนั้นอาจารย์หนุ่มที่คนทั้งโรงเรียนลงความเห็นว่าหน้าตาดีสุดๆ ก็เดินเข้ามา ใบหน้าคมคายขยับรอยยิ้มทักทาย เรียกเสียงวี้ดว้ายเบาๆ ให้ดังขึ้นรอบห้อง ก่อนร่างสูงจะหันไปขีดเขียนบางอย่างบนกระดานดำ บางอย่างที่ดูเหมือนรหัสลับจากต่างดาวสำหรับสาวน้อยผู้ด้อยสติปัญญาทั้งหลาย

“โจทย์ข้อนี้มีใครตอบได้บ้าง”

เสียงทุ้มเอ่ยถาม กวาดตามองไปรอบห้องด้วยแววตามีความหวัง

ซึ่งถ้าไม่ติดว่านักเรียนสาวๆ ในห้องโง่เกินกว่าจะตอบได้ ฉันคิดว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยอยากยกมืออาสา หวังจะให้อาจารย์หน้าหล่อได้จดจำตัวเองในแง่ดีสักครั้ง

แต่ก็นั่นละ

นั่นมันโจทย์ระดับโอลิมปิกชัดๆ คงไม่มีใครอีกแล้วที่จะตอบได้

คงไม่มีใครอีกแล้วนอกจากฉัน

สิ่งมีชีวิตทรงปัญญาเพียงหนึ่งเดียวในห้อง

ดังนั้นหลังจากปล่อยให้ห้องเงียบงันเหมือนห้องดับจิตอยู่หลายนาที ฉันผู้ดำรงฐานะประธานนักเรียนของโรงเรียน นักเรียนดีเด่น และหัวหน้าห้องจึงต้องยอมยกมือ

“ชิรายูกิ ซาโฮะ…คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นเธอ”

สึบุรายะ มาโคโตะ เรียกชื่อของนักเรียนสาวเพียงคนเดียวที่ยกมือ (ฉันเอง) ขยับรอยยิ้มน่ามองที่ทำให้สาวๆ หลายคนอิจฉา พลางรอฟังคำตอบด้วยสีหน้าจดจ่อ

“X = 724 ค่ะ”

ตอบเสียงเรียบ ทำหน้าตาเหมือนการแก้สมการบนกระดานเป็นเรื่องง่ายจนคนอื่นแอบมองด้วยสายตาอิจฉา

ทางด้านอาจารย์หนุ่มเมื่อได้รับคำตอบที่ถูกต้องก็พยักหน้ารับ แสดงท่าทีชื่นชมฉันอย่างออกนอกหน้า ก่อนจะหันไปขีดเขียนโจทย์ข้ออื่นต่อ

หลังผ่านวันอันยาวนาน ในที่สุดกริ่งหมดเวลาคาบสุดท้ายก็ดังขึ้น ฉันรีบเก็บข้าวของทันที มุ่งมั่นที่จะตรงกลับบ้านโดยไม่รีรอ แต่หนทางก็ช่างยาวไกลเหลือเกินเมื่อมีมนุษย์อัธยาศัยดีนับร้อยรอบอกลาฉันทุกๆ หนึ่งเมตร

ถึงอย่างนั้นด้วยความวิสาหะก็ลากตัวเองมาถึงจุดหมายจนได้ ฉันรีบเปิดประตูบ้านแล้วเคลื่อนร่างกายหนักอึ้งเข้าไปด้านใน จัดการถอดถุงเท้า ปลดเปลื้องเน็กไทที่คอ ตามด้วยเสื้อสูทตัวนอก พวกมันถูกขว้างลงบนพื้นโดยปราศจากการเหลียวแล แต่ก็คงไม่นานนัก เพราะอีกสักพักจะมีคนมาคอยตามเก็บให้แล้ว

หลังจากแปลงร่างกลับไปใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น ฉันก็ลากหุ่นเพรียวบางของตัวเองที่ใครๆ ต่างก็ชมกันนักหนาออกมาที่ห้องนั่งเล่น มือคว้ารีโมทมาเปิดทีวี ก่อนจะเดินไปต้มน้ำร้อนเพื่อใส่บะหมี่ถ้วยที่เตรียมไว้

ครั้นเมื่ออาหารเย็นพร้อมแล้ว ฉันจึงกลับมาประจำการยังที่ประจำ นั่งชันเข่าพร้อมกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ พยายามหนีรายการโง่เง่าไม่ประเทืองปัญญาที่คิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 99 ของรายการทีวีทั้งหมด

เสียงประตูหน้าบ้านเปิดออกในไม่กี่นาทีต่อมา เรียกสายตาของฉันให้ปรายไปมองเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมาก ด้วยรู้ดีว่าบุคคลนั้นเป็นใครโดยไม่ต้องรอให้ ‘เขา’ ปรากฏตัว

“สกปรก”

คนที่เพิ่งเข้ามาทำท่ารังเกียจ แถมยังซัดบรรดาเสื้อผ้าที่ฉันถอดทิ้งไว้บนพื้นมาให้ ก่อนร่างสูงจะเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมานั่งที่ห้องนั่งเล่นเช่นกัน

“กินบะหมี่อีกแล้วเหรอ”

ฉันตวัดสายตาไปมองคนตั้งคำถาม พยักหน้าตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“ใช่ ทำไม? มีปัญหาเหรอ”

“เปล่าหรอก อาหารไร้ประโยชน์ก็ดูเหมาะกับเธอแล้ว”

สึบุรายะ มาโคโตะ พูดด้วยน้ำเสียงกวนประสาท ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ฉัน ในมือของเขามีอาหารกล่องชั้นดี สันนิษฐานว่าคงแวะซื้อระหว่างทางกลับจากโรงเรียน

“ไม่คิดจะเอามาฝากกันบ้างเหรอ”

ฉันถาม เหลือบมองของท่าทางน่ากินในถุงพลาสติกข้างๆ ตัว

“อยากกินก็ไปหาซื้อเอาเอง”

อีกฝ่ายรีบกระชากมันออกไปจากระยะสายตาของฉันทันที

ฉันเลยได้แต่เบ้ปากด้วยความขัดใจ จนป่านนี้ก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าอาจารย์หนุ่มผู้เป็นดั่งเจ้าชายของคนทั้งโรงเรียนจะเป็นคนกวนประสาท ขี้รำคาญ แถมไม่ใส่ใจความรู้สึกคนอื่นแบบนี้ ฉันเองตอนรู้ว่าหมอนี่เป็นนักตีสองหน้าชั้นยอดยังตกใจแทบช็อค

“เออ…เสาร์นี้เตรียมตัวให้พร้อมด้วย คุณปู่เรียกพวกเราไปพบ”

ฉันเลิกคิ้วขึ้นทันที นึกสงสัยว่าผู้อาวุโสคนนั้นมีธุระสำคัญอะไรเร่งด่วน

“จะคุยเรื่องอะไร”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

อาจารย์หนุ่มยักไหล่ตอบพลางแกะกล่องข้าวราคาแพงไปด้วย ซ้ำยังจงใจเลื่อนมันมาให้ฉันเห็นชัดๆ เพื่อข่มกัน

“อ่อ แล้วก็…เอาแหวนแต่งงานไปด้วย”

คำสั่งดังกล่าวทำฉันชะงักไปทันที ดูเหมือนหมอนี่ก็สังเกตเห็นพิรุธเช่นกัน เพราะจู่ๆ ร่างสูงก็วางตะเกียบในมือแล้วหันมาจ้องหน้าฉันด้วยแววตาจับผิด

“คงไม่ใช่ว่าทำหายไปแล้วหรอกนะ” เสียงทุ้มเอ่ยคาดเดา

“เปล่า จะบ้าเหรอ ใครจะไปทำหาย”

ฉันส่ายหน้า โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน

“งั้นเหรอ ก็ดี แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหน”

“จะไปไหนได้ ก็อยู่แถวๆ นี้แหละ”

“แถวนี้นี่แถวไหน?”

“ก็…แถวโรงรับจำนำ…ที่อยู่แถวๆ นี้”

สงสัยคำตอบของฉันจะไปสะกิดต่อมโมโหเข้า

เพราะคนฟังผุดสีหน้าเดือดดาลทันที

“โรงรับจำนำเนี่ยนะ!? เธอบ้ารึเปล่า!? แต่งงานไม่ทันถึงเดือนก็เอาแหวนไปขายแล้วเหรอ” มาโคโตะตวาด ส่งผลให้ฉันรีบหดคองอตัวเหมือนพวกผู้ร้ายกระทำความผิด

“อย่าโวยวายสิ เดี๋ยวฉันจะไปไถ่คืนเร็วๆ นี้แหละ”

ตอบด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม เรื่องนี้ต้องยอมรับว่าฉันเป็นคนผิดจริง

“บ้าบอจริงๆ ให้ทันวันเสาร์ก็แล้วกัน ฉันขี้เกียจตอบคำถามคุณปู่”

คำสั่งของอาจารย์คณิตศาสตร์บังคับให้ฉันต้องจำใจพยักหน้ารับ แม้ยังไม่รู้ก็ตามว่าจะหาเงินที่ไหนไปไถ่ของคืน เพราะดันเอาไปผลาญกับวิดีโอเกมที่ซื้อมาเมื่อวานหมดแล้ว

คิดพลางลอบกลืนน้ำลาย เหลือบมองใบหน้าคมคายที่ยังแสดงความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด พลันก็นึกประหลาดใจขึ้นมาเหมือนกันที่พวกเราอยู่ร่วมบ้านกันมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว

ใช่แล้วละ…ฉันกับอาจารย์คณิตศาสตร์ของตัวเอง

พวกเราเพิ่งแต่งงานกันเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง

1

เรื่องมันเริ่มจากการไปดูตัว

“แต่งงาน?”

ฉันทวนคำพูดที่เพิ่งได้ยิน มองหน้ามนุษย์ชายหญิงสองคนที่หน้าตาเหมือนพ่อกับแม่ แต่พูดจาเหมือนเอเลี่ยนที่คุยกันคนละภาษา รู้สึกได้ว่าคิ้วตัวเองกระตุก

“ฝ่ายโน้นเป็นผู้มีพระคุณของบ้านเรา พ่อกับแม่เลยเกรงใจไม่กล้าปฏิเสธ แถมเขายังยื่นเงื่อนไขมาว่าให้แต่งแค่ 3 ปีเอง ถ้าอยู่กันไม่รอดก็อนุญาตให้หย่ากันได้ทันที”

ฉันถลึงตาใส่บุพการีตัวเอง ประโยคที่เพิ่งผ่านหูไม่ได้ทำให้รู้สึกสบายใจเพิ่มขึ้นแม้แต่นิดเดียว นึกสงสัยในใจว่าคนประเภทไหนกันที่จะคิดเงื่อนไขบ้าบอแบบนี้ออกมาได้

“แต่ ‘ผู้มีพระคุณ’ ที่ว่าน่ะ…เป็นคุณปู่แก่ๆ ไม่ใช่เหรอคะ”

ฉันถามตามที่เข้าใจ จำได้ว่าคนที่คอยช่วยอุปถัมภ์บ้านเรามาตลอดหลายปีเป็นเศรษฐีวัยชรา ที่ดันเป็นเพื่อนสนิทของคุณตาฉัน หลังจากคุณตาเสียไปเขาก็อุ้มชูเราจนแทบจะเหมือนเครือญาติเลยทีเดียว ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ฉันก็ไม่เคยเจอหน้าเขาหรอก มีเพียงพ่อกับแม่เท่านั้นที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างเรากับบ้านนั้น

“ใช่ แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องไปแต่งงานกับเขาหรอกนะ คนที่แกจะแต่ง ด้วยน่ะ…หลานชายของเขา”

คำอธิบายของพ่อทำฉันเลิกคิ้ว ไม่ยักรู้มาก่อนว่าคุณปู่หัวใจเปลี่ยวจะมีลูกมีหลาน สารภาพตามตรงคือฉันนึกว่าเขาเอ็นดูเราเพราะไม่มีครอบครัวของตัวเองเสียอีก

แต่เดี๋ยวก่อนนะ…แบบนี้อีกฝ่ายก็ถูกจับคลุมถุงชนเหมือนกันน่ะสิ

หากแทนที่จะโล่งใจ ข้อเท็จจริงนั้นกลับเรียกคำถามประหลาดๆ ให้ผุดขึ้นมาในหัวอัตโนมัติ

“แล้วหลานปู่คนนั้นไม่มีปัญญาหาเมียเองเหรอคะ ถึงต้องมาใช้วิธีแบบนี้น่ะ” ดูเหมือนฉันจะถามตรงไป เพราะแม่รีบโน้มตัวจากโต๊ะอีกฝั่งมาตีแขนฉัน

“ดูพูดจาเข้า เป็นสาวเป็นนางแท้ๆ” แม่ดุพร้อมทำสายตาค้อนขวาง

“ที่โรงเรียนเขาไม่รู้เหรอ? ว่าตัวจริงแกมีนิสัยแบบนี้น่ะ”

พ่อถามขึ้นบ้างพลางส่ายหน้าปลงๆ เป็นที่รู้กันดีในครอบครัวว่าภาพลักษณ์ของฉันที่โรงเรียนช่างตรงข้ามกับนิสัยที่แท้จริงโดยสิ้นเชิง

“ก็มันจริงนี่ หนูว่าหลานปู่คนนั้นคงหน้าตาย่ำแย่ สุขภาพจิตไม่ดี หรือไม่ก็มีปัญหาอะไรบางอย่าง…นี่พ่อกับแม่อยากจะให้คนแบบนั้นมาแต่งเป็นเขยบ้านเราจริงเหรอ”

ฉันพูดสิ่งที่คิดออกไป คงไม่มีผู้ชายปกติคนไหนยอมถูกจับคลุมถุงชน อีกแล้วในยุคสมัยนี้ นอกจากจะมีลักษณะผิดปกติตามกฎการคัดเลือกตามธรรมชาติ ถึงต้องยืมมือคนอื่นมาช่วยคัดให้แบบนี้

“ว่าไปเรื่อย แม่ไปเห็นมาแล้ว หลานชายคุณปู่เขาหล่อมากเลยนะ การศึกษาก็ดี มารยาทก็ดี…บางทีก็คิดว่าดีเกินไปสำหรับแกด้วยซ้ำ”

ฉันเลิกคิ้วขึ้น ทำหน้าไม่เชื่อสุดฤทธิ์โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย เพราะถึงนิสัยส่วนตัวจะไม่น่าดึงดูดนัก แต่ภาพลักษณ์ที่ฉันสร้างไว้ก็เป็นอุดมคติของหลายๆ คนเลยนะ

“เป็นไปไม่ได้หรอก หนูว่าต้องพิการหรือเป็นโรคอะไรบางอย่างแน่ๆ” ฉันยังเถียงต่อ

“พิกงพิการอะไร มาโคโตะคุงน่ะครบ 32 แบบสมบูรณ์ทุกประการ แล้วก็ดูไม่เหมือนคนป่วยด้วย”

ตอนนี้ฉันได้ชื่อคู่กรณีมาแล้ว เหมือนจะชื่อ ‘มาโคโตะ’ สินะ

“ใครจะไปรู้ อาจป่วยเป็นโรคที่มองเห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่าก็ได้”

ฉันสันนิษฐาน ทำท่ายกนิ้วเคาะริมฝีปาก

“โรคอะไรของแก” พ่อถามขึ้นบ้าง

“ไม่รู้สิ…อาจจะเป็นหมันหรืออะไรแบบ…โอ๊ย!”

เป็นอีกครั้งที่แม่โน้มตัวมาฟาดแขนฉัน แถมรอบนี้แรงกว่าเดิมจนต้องยกมือขึ้นมาลูบป้อยๆ ด้วยสีหน้าหงุดหงิด

“ปากเสีย”

คุณนายชิรายูกิบ่น ดูเหมือนจะเทใจให้คนบ้านโน้นไปเรียบร้อยแล้ว

“ถ้ายังไงลองไปดูตัวกันก่อนมั้ยล่ะ ฝ่ายนั้นเองก็บอกมาว่าอยากเปิดกว้างให้แกได้ตัดสินใจเหมือนกัน”

พ่อเอ่ยข้อเสนอ แต่ฉันส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“ไม่ดูอะไรทั้งนั้น หนูไม่แต่งเด็ดขาด”

“นี่แกเคยคิดจะรักษาหน้าพ่อกับแม่บ้างมั้ย…ซาโฮะ?”

เอาอีกแล้ว…มาแบบนี้อีกแล้ว

ทุกครั้งที่ไม่ได้ดั่งใจพ่อมักจะงัดไม้แข็ง ทำน้ำเสียงจริงจังแล้วมองฉันด้วยสายตากดดันจนทำให้รู้สึกผิด

แต่บอกไว้เลยว่าครั้งนี้ไม่ได้ผลหรอก

“พ่อกับแม่นั่นแหละ ได้ฟังที่ตัวเองพูดออกมาบ้างรึเปล่า หนูยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่แท้ๆ จะให้ไปแต่งงานอยู่กินกับผู้ชายได้ไง”

ฉันต่อต้าน เชิดหน้าชูคอทำเสียงแข็ง ส่งผลให้คนฟังนิ่งไปเลย ทั้งคู่เหลือบมองหน้ากัน ก่อนจะหันมามองหน้าฉันอีกรอบแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว

“ก็ได้…ถ้าพูดถึงขนาดนั้นแกไม่ต้องไปดูตัวก็ได้”

นี่สิ ถึงจะพอพูดกันรู้เรื่องหน่อย

ฉันรีบพยักหน้ารับก่อนพ่อจะเปลี่ยนใจ หากก็ต้องชะงักไปอีกรอบเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

“แต่ต่อไปนี้แกจะไม่ได้ค่าขนมจากฉันสักเยน”

บ้าจริง! ฉันคิดว่าพวกเราโอเคกันแล้วซะอีก

“ไปเถอะซาโฮะ ถ้าไม่พอใจอะไรค่อยลองคุยกับฝั่งโน้นดูอีกทีก็ได้”

แม่เริ่มเกลี้ยกล่อม มันเป็นกลยุทธ์การเลี้ยงลูกของบ้านนี้เขาละ ถ้าพ่อเล่นบทโหดใส่ฉัน แม่ก็จะทำตัวเป็นแม่พระทันที แต่ก็มีจุดประสงค์เดียวกันทั้งคู่นั่นแหละ

ฉันถอนหายใจ ไม่ได้รู้สึกผิดหรือต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้เลยสักนิด แต่ค่าขนมที่มันค้ำคอก็ทำให้ต้องยอมอ่อนข้อ

“หนูไปก็ได้…แต่บอกไว้เลยนะว่าไม่แต่ง”

และแล้วก็มาจนได้

ฉันคิดพลางเหลือบมองร้านอาหารตรงหน้า มันเป็นร้านสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม ตัวอาคารสร้างจากไม้ อาณาบริเวณกว้างขวางโอ่อ่าจนเหลือที่ไว้ทำสระน้ำ รอบด้านประดับประดาด้วยต้นไผ่จนชักแยกไม่ออกว่ามากินข้าวหรือมาเที่ยวป่า ถึงกระนั้นก็ต้องยอมรับทีเดียวว่าบรรยากาศค่อนข้างเป็นส่วนตัวและสวยงาม ดูเหมาะสมที่จะคุยเรื่องยัดเยียดความเป็นฝั่งเป็นฝาให้ลูกสาวอย่างฉันเป็นที่สุด

พ่อในวันนี้สวมชุดสูทที่ลงทุนไปขุดค้นมาจากก้นตู้เสื้อผ้า ส่วนแม่สวมเดรสสีเหลืองอ่อนที่ตัดเย็บอย่างประณีต ตัวฉันเองก็ถูกจับแต่งองค์ทรงเครื่องชนิดที่แทบจะเดินเข้าพิธีแต่งงานได้เลย

“ครอบครัวชิรายูกิใช่มั้ยคะ เชิญด้านในเลยค่ะ โต๊ะพร้อมแล้ว” พนักงานในชุดกิโมโนเดินออกมาเรียกพวกเรา ได้ยินดังนั้นฉันจึงเริ่มสาวเท้าเยื้องกราย พยายามสงบเสงี่ยมเจียมตัวเพื่อรักษาหน้าพ่อกับแม่

หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือรักษาค่าขนมรายเดือนของตัวเอง

กระทั่งในที่สุดพนักงานของร้านก็พาเรามาถึงห้องๆ หนึ่ง มันใหญ่โตกว้างขวางและค่อนข้างเป็นส่วนตัว กระทั่งลวดลายของประตูกั้นก็ดูไฮโซแปลกแยกอย่างเห็นได้ชัด

“เชิญค่ะ”

สาวในชุดกิโมโนเลื่อนประตูแล้วผายมือให้พวกเราเดินเข้าไป

ทันทีที่สภาพภายในห้องปรากฏสู่สายตา ฉันก็เผลอใจเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ตื่นเต้นชนิดที่ถ้าไม่ติดว่าต้องรักษากริยามารยาทคงซู้ดปากแล้วยกมือขึ้นมาถูกันกลางอากาศไปแล้ว

เพราะสิ่งที่เห็นคือโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ซึ่งเปี่ยมไปด้วยสำรับมากมาย พวกมันจัดเรียงตัวกันอย่างสวยงามตระการตา ขนาดยืนอยู่ห่างหลายเมตรยังบอกได้ว่ามีแต่วัตถุดิบชั้นดี เฉพาะค่าอาหารมื้อนี้คงพอจ่ายค่าเทอมฉันได้ทีเดียว

หากความตะกละในแววตาก็ต้องรีบสลายตัวไป เมื่อดันไปสบตาเข้ากับชายชราท่าทางใจดี ข้างๆ ผู้อาวุโสคนนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงเป็นว่าที่เจ้าบ่าวในอนาคตของฉัน

ฉันจึงต้องรีบเก็บอาการ ก้มหน้าก้มตาทำความเคารพอีกฝ่ายก่อนเดินไปทรุดตัวลงนั่งยังเบาะที่ว่างอยู่

ทันทีที่ประจำที่เรียบร้อย ฉันก็ลอบมองคู่กรณีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ถึงจะไม่รู้ว่าเขาเป็นหมันหรือป่วยเป็นโรคอะไรหรือเปล่า แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าหมอนี่หน้าตาดีเข้าขั้นวิกฤติทีเดียว

ผมสีดำสนิทถูกจัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ ผิวขาวใสสุขภาพดีจนฉันยังอาย ใบหน้าได้รูปมีแว่นตากรอบเงินราคาแพงประดับอยู่ แลดูภูมิฐานน่าเชื่อถือประหนึ่งนักธุรกิจหนุ่มที่มีรายได้หลักล้านต่อเดือน ถ้าเดินควงคนแบบนี้ในเมืองมีหวังสาวๆ จิกฉันตาถลนแน่นอน

ดูเหมือนอีกฝ่ายก็รู้ตัวว่าฉันมองอยู่ เขาหันมาขยับรอยยิ้มอ่อนโยนให้ ขับให้หน้าตาที่ดูดีอยู่แล้วกลายเป็นดูดีโคตรๆ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นมันกลับทำให้รู้สึกปั่นป่วนในอกอย่างบอกไม่ถูก

เพราะรอยยิ้มนั้นเหมือนเวลาฉันยิ้มให้เพื่อนที่โรงเรียนไม่มีผิด

มันคือรอยยิ้มของคนสองบุคลิก รอยยิ้มของคนที่ซ่อนอะไรบางอย่างไว้ใต้หน้ากาก

“ซาโฮะจังใช่มั้ย?” คุณปู่จากอีกบ้านเอ่ยถาม ฉันเลยต้องละสายตาจากว่าที่เจ้าบ่าวเพื่อหันไปส่งยิ้มทักทาย

“ค่ะ ขอบคุณที่ดูแลครอบครัวเรามาตลอดนะคะ”

ฉันเอ่ยเสียงหวานพร้อมค้อมตัวทำความเคารพ

พ่อจะเห็นมั้ยนะว่าฉันมีมารยาท

จะเห็นมั้ยว่าฉันรอความเมตตาจากค่าขนมในเดือนถัดไปอยู่

“นี่หลานชายฉันเอง…สึบุรายะ มาโคโตะ”

ฉันทำสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แน่นอนว่าแกล้งทำ ก่อนจะก้มหัวทักทายเขาเช่นกัน “ชิรายูกิ ซาโฮะค่ะ” แนะนำตัวบ้าง ไหนๆ จะเจอกันเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว บอกชื่อไว้คงไม่เสียหาย

“เป็นเด็กที่สวยเหมือนคุณน้าจริงๆ ด้วยนะครับ”

ว่าที่เจ้าบ่าวของฉันพูดขึ้น เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเสียงเขา แม้จะเป็นเสียงที่สุภาพอ่อนน้อมรื่นหูเพียงใดแต่คำพูดกลับน้ำเน่าจนทำให้คันยิบๆ ทว่าแม่ของฉันไม่รับรู้ ซ้ำยังขยับตัวพร้อมกับบิดตัวเขินอาย

“ก็พยายามเลี้ยงดูให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นแหละจ้ะ”

อี๋ น่าขนลุกฉิบหาย

ฉันเหลือบมองคุณนายชิรายูกิ อดสยองไม่ได้เมื่อได้ฟังประโยคชวนอ้วกแบบนั้น นี่แม่ไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าหมอนี่มันแกล้งชมไปอย่างนั้นแหละ

หลังจากนั้นพวกผู้ใหญ่ก็เริ่มคุยกันอย่างออกรส ส่วนฉันก็จ้วงอาหารมูลค่าเท่าค่าเทอมเข้าปากเงียบๆ ลอบมองว่าที่เจ้าบ่าวสุดหล่อที่ส่งยิ้มมาให้เป็นระยะไปด้วย แม้เขาจะมีท่าทางเป็นมิตร แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ชอบพออะไรฉันเท่าไหร่ ที่สำคัญฉันสัมผัสได้ว่าเขาเองก็ค่อยไม่พอใจที่ถูกจับคลุมถุงชนเหมือนกัน

แบบนี้ก็คงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงสินะ? ฉันคงไม่ต้องผันตัวจากนักเรียนดีเด่นไปเป็นแม่บ้านเร็วๆ นี้หรอก นั่นเป็นสิ่งที่ฉันคิดในตอนนั้น

“เอาละ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า”

ผ่านไปเกือบชั่วโมงพวกผู้ใหญ่ก็เริ่มหันกลับมาสนใจพวกเรา ฉันยืดตัวตรงเล็กน้อย นึกดีใจที่จะได้กลับบ้านไปนอนพักผ่อนเสียที มาดูตัวบางทีก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เพราะอาหารที่นี่อร่อยเป็นบ้าเลย

“เป็นยังไง เจอกันแล้ว…คิดว่ายังไงบ้าง”

คุณปู่บ้านสึบุรายะถามขึ้น จงใจหันมามองฉันเป็นพิเศษ

“วันนี้หนูสนุกมากค่ะ อาหารอร่อยมาก มาโคโตะซังก็ดูเป็นคนดี แต่หนูคิดว่าพวกเรา…”

“พวกเราอยากแต่งงานกันครับ”

ฉันยิ้มค้าง คำพูดปฏิเสธที่อุตส่าห์เรียบเรียงในหัวกลายเป็นม่ายทันที

อะไรนะ? เมื่อกี้หมอนี่ว่าไงนะ??

“ดีมาก!…เป็นผู้ชายก็ต้องหนักแน่นแบบนี้”

ผู้อาวุโสที่สุดในห้องเอ่ยชมหลานชายพร้อมตบหลังเขาอย่าง ภาคภูมิใจ โดยมีพ่อกับแม่ของฉันหัวเราะผสมโรงไปด้วย ไม่ได้สนใจฉันที่อ้าปากค้างจนรถไฟทั้งขบวนลอดได้แม้แต่นิดเดียว

คู่ถัดมาฉันจึงหุบปาก กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมูที่กำลังจะถูกนำเข้าโรงฆ่าสัตว์ ทุกคนที่นี่เป็นบ้ากันไปหมดแล้วหรือไง

“พูดอะไรของคุณน่ะ”

กัดฟันถาม เหลือบมองพ่อแม่และคุณปู่ที่ยังหัวเราะเหมือนคนเสียสติ พยายามรักษามารยาทโดยการเรียกว่าที่เจ้าบ่าวตัวเองว่า ‘คุณ’ เผื่อเขาจะปราณี ยอมรับว่าดื่มกินของมีพิษเข้าไปเลยละเมอพูดจาเพ้อเจ้อแบบเมื่อกี้ ออกมา

“ก็ได้ยินชัดแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

หากคนหน้าหล่อกลับทำเป็นถามกลับ ฉีกยิ้มที่ฉันมั่นใจว่าเป็นยิ้มเพชฌฆาต เป็นรอยยิ้มของนักแสดงที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี

“แต่งงานกันเถอะ…ชิรายูกิ ซาโฮะ”

ฉันในวัย 17 ปีที่ถูกขอแต่งงานกะทันหันอ้าปากค้างทันที

บ้าไปแล้ว! นี่ฉันถูกหลอกมาที่นี่ชัดๆ ทุกคนวางแผนกันไว้หมดแล้ว กระทั่งหมอนี่ที่ดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยกลับเป็นฝ่ายเดินตามเกมโดยไม่ปริปากบ่น

หรือเขาจะผิดปกติเหมือนที่ฉันเคยเดาไว้

สึบุรายะ มาโคโตะ…นายเป็นหมันจริงๆ ใช่มั้ย!?

รายละเอียด

จากใจผู้เขียน

สวัสดีค่ะ senorita-p เองนะคะ ^^ ขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนและรับน้องโฮะไปเลี้ยงดูเน้ออ นิยายเรื่องนี้เป็นแนวโรแมนติก-คอเมดี้ และเป็นนิยายลำดับที่ 2 ในทำเนียบงานเขียนของข้าพเจ้า (เรื่องแรกคือ Erika No Nikki นั่นเอง) ตอนแรกตั้งใจว่าจะเขียนคั่นเวลาและเบรกอารมณ์จากการเขียนเอริจังมาเขียนอะไรง่ายๆ เบาสมอง แต่ไปๆ มาดันลากยาวเสียอย่างนั้น 555

ขอบคุณทุกท่านที่ให้การตอบรับและทำให้น้องโฮะกลายมาเป็นรูปเล่มได้นะคะ เรื่องนี้เป็นนิยายทำมือ ตีพิมพ์และจัดจำหน่ายโดยนักเขียน เรียกได้ว่าเป็น Limited Edition เฉพาะแฟนๆ ของเราเท่านั้น -//- ต้องบอกเลยว่าตั้งใจทำมากกก ยิ่งไม่มีสำนักพิมพ์มาตรวจให้ก็ยิ่งต้องละเอียดขึ้นไปอีก ถึงอย่างนั้นอาจมีตะกุกตะกักบ้างเพราะเป็นการทำมือครั้งแรก หากเจอข้อผิดพลาดใดในหนังสือก็มาแจ้งกันได้เลยนะคะ ^^ หรืออ่านแล้วชอบใจไม่ชอบใจอย่างไรก็มาคุยกันในเพจได้เช่นกัน

ありがとうございます

Senorita-P

 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (67 รายการ)

www.batorastore.com © 2024