ปรารถนาที่จะรัก (ฉมังฉาย)

ปรารถนาที่จะรัก (ฉมังฉาย)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: ปรารถนาที่จะรัก
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

1.
เรืองวิทย์สวมเสื้อยืดโปโลสีขาวกับกางเกงขายาวสีน้ำตาล ยืนอยู่
ห้องนั่งเล่น แผ่นหลังตรง ไหล่ไม่หลู่ผิดรูป เส้นผมบนศีรษะตัดสั้น มี
หงอกแซมอยู่ประปราย ไม่ย้อมผม เขายอมรับกับมันได้ อายุไม่น้อยแล้ว
เพื่อนของเขาหลายคน อยู่ในวัยหกสิบห้าปีเช่นเดียวกันบนศีรษะพราวไป
ด้วยสีขาวราวเกล็ดหิมะ ถึงเขาจะภูมิใจในเส้นผมของตัวเอง แต่ถ้าเลือกได้
หากหงอกขาวโพลนไปทั้งหัว แล้วสุขภาพไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ เขาก็จะ
เลือกที่เป็นแบบนั้น
ชายวัยหกสิบห้าหยิบภาพที่อยู่ในกรอบรูปขนาดเล็กที่วางอยู่บน
โต๊ะ ปนอยู่กับอีกหลาย ๆ ภาพ ขึ้นมา ในภาพนั้นเขาสวมชุดราชการเต็มยศ
เข้ารับพระราชทานรางวัลกับพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์หนึ่ง ในฐานะ
เป็น ‘นักการศึกษาดีเด่น’ เขาแย้มยิ้มบาง ๆ กับเกียรติยศที่ได้รับในวันวาน
ปีนั้นในจังหวัดของเขา เรืองวิทย์ได้รับตำแหน่งนี้เพียงคนเดียว
เรืองวิทย์วางกรอบภาพนั้นลง วาดสายตามองบนโต๊ะ และบนฝา
ผนังบ้าน มีภาพจำนวนเกือบสิบภาพที่เขาได้รับรางวัลในฐานะครูบา
อาจารย์ที่โดดเด่นในเรื่องผลงานประดับอยู่ ตลอดเวลาที่คลุกคลีอยู่กับเด็ก
นักเรียน เขาทุ่มเทให้กับการศึกษาของเด็กนักเรียนมาตลอด นอกจากภาพที่
แขวนหรือตั้งอยู่ในภายในบ้านหลังนี้แล้ว โล่หรือถ้วยรางวัลอีกจำนวน
หนึ่งที่วางอยู่ในตู้โชว์ก็เป็นประจักษ์พยานในความดีงามของเขาได้ดีทีเดียว
เขาระบายรอยยิ้มลงบนใบหน้าอีกครั้งภาคภูมิใจกับคุณค่าของตนเองที่
ได้รับในอดีต
เรืองวิทย์เดินลากนิ้วไปกับขอบโต๊ะ นาฬิกาโบราณบนผนังบอก
เวลาสิบโมงกับสิบห้านาที ลูกตุ้มของนาฬิกาแกว่งไปมา แสดงชัดว่ามันยัง
ไม่ตาย เช่นเดียวกับลมหายใจที่เข้าออกอันอุ่น ๆ ของเขาก็บ่งชี้ว่าชายสูงวัย
คนนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน แม้การมีชีวิตอยู่นั้นอาจจะไม่ปกติไปบ้างก็ตาม
ความเงียบสงัดแผ่ปกคลุมไปทั่วบ้านปูนสองชั้น ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่
หนึ่งไร่ บริเวณบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ จริง ๆ แล้วเขาไม่ค่อยชอบ
ต้นไม้สักเท่าไหร่หรอก แทบทุกต้นในบ้านหลังนี้ภรรยาของเขาเป็นคนลง
มือปลูกทั้งสิ้น
“มือพี่ร้อน ไม่เหมือนมือเธอที่เย็น ปลุกอะไรก็ขึ้น ปลูกอะไรก็งาม
ไปหมด” เขาอ้างอย่างนั้นกับภรรยาคู่ชีวิต
“ไม่สำคัญหรอกว่ามือร้อนหรือมือเย็น มันอยู่ที่ว่า หลังจากปลูก
แล้ว เราจะดูแลพรวนดินให้ปุ๋ยแก่มันได้มากน้อยขนาดไหนเท่านั้นเอง
ต้นไม้ก็เหมือนคน ทิ้งขว้างก็ไม่โต ถึงโตก็โตอย่างไม่มีคุณภาพ เอ้... เรื่องนี้
พี่เป็นครูพี่ก็รู้ดีนี่นา” ภรรยาของเขาพูด
“จริง แต่เธอก็รู้ว่าพี่ยุ่งอยู่กับเด็ก ๆ เวลาที่จะเหลือมาให้กับต้นไม้
ใบหญ้าแทบจะไม่มีเลย” เรืองวิทย์อ้างเรื่องข้อจำ กัดของโมงยาม
ปรารถนาที่จะรัก 5 ฉมังฉาย
และด้วยว่าเขาไม่ค่อยใส่ใจกับต้นไม้สักเท่าไหร่นัก เมื่อภรรยาของ
เขาไม่อยู่แล้ว ต้นไม้ที่เธอฟูมฟักมากับมือก็เริ่มมีปัญหา บ้างต้นก็รกเรื้อไม่
เป็นรูปเป็นทรง เพราะไม่ได้ตัดแต่งกิ่ง บ้างต้นก็ล้มตายไป โดยที่ไม่มีการ
ปลูกใหม่ทดแทน เพราะน้ำปุ๋ยไม่เพียงพอ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม บ้านของเขา
ก็ยังจัดว่าร่มรื่นอยู่ดี หากเทียบกับบ้านของน้องสาวของเขาซึ่งอยู่ติดกัน
เรืองวิทย์ทรุดนั่งบนโซฟาตัวยาว เอนหลังพิง ผ่อนคลายอิริยาบถ
เสียงแมวทะเลาะกันอยู่หลังบ้าน เขาไม่ได้เลี้ยงแมวหรือสุนัขแต่อย่างใด
สัตว์พวกนั้นเป็นของคนอื่นที่ท่องเที่ยวมาถึงบ้านของเขา บางคืนแมวตัวผู้ก็
ร้องหง่าวหาคู่ เสียงของมันชวนให้หมองใจยิ่งนัก เมื่อก่อนเขาไม่ได้รู้สึก
อะไรกับเสียงแมวที่คร่ำครวญถึงแมวสาวเลย แต่ช่วงหลัง ๆ มานี้ เขา
สะท้านอ่อนไหว และบางทีถึงขนาดปวดร้าวจิตใจ กับการได้ยินเสียงอย่าง
นั้นของเจ้าสัตว์จตุบาทที่รักอิสระ
ชายวัยหลังเกษียณโน้มตัว และยื่นมือไปที่โต๊ะโซฟา หยิบรีโมท
คอนโทรลขึ้นมา กดปุ่มเปิดเครื่องเสียง ลำโพงพ่นเพลงออกมาเบา ๆ เขา
กดปุ่มเพิ่มเสียงอีกนิดหนึ่ง สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยที่บ้าน
ของเขาเปิดเพลงลูกทุ่งเก่า ๆ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงของดีเจชื่อดัง ดีเจมีอายุ
ประมาณเขาจะว่าไปแล้วเขากับดีเจคนนั้นเป็นเพื่อนกัน
ปรารถนาที่จะรัก 6 ฉมังฉาย
เขายกหูโทรศัพท์บ้าน กดเบอร์สถานีวิทยุฯ เพื่อนของเขารับสาย
เขากล่าวคำทักทายเพื่อนดีเจเล็กน้อย จากนั้นบอกกับเพื่อนว่า ขอเพลงฟัง
หนึ่งเพลง
“เหมือนเดิม” ดีเจว่า อมยิ้มให้กับเพื่อนผ่านทางอากาศ ส่วนเรือง
วิทย์พยักหน้า แล้วครางในลำคออือ ๆ เป็นอันรู้กันว่า เขาต้องการฟังเพลง
นั้น เพลงที่ดีเจทราบดีว่าเพื่อนสนิทอย่างเขาชอบเพลงอะไร
วันใดปิ๊กมาอ้ายบ่ลืมน้อง
ซื้อยีนไว้รอ แรงเลอร์ ฝากน้องบ้านนา
มันใกล้จะมีทุกทีแล้วงาน
สงกรานต์เดือนห้า
บ่ลืมสัญญาหรอกนะแรงเลอร์
วันใดปิ๊กมาถ้ามีเงินหลาย
ซื้อเสื้อชั้นในวาโก้ ฝากน้องแน่เด้อ
ขอโทษนะเธอใช้เบอร์อะไร
ซื้อไปกลัวเก้อ
อ้ายจำเสมอที่เคยอู้กัน
จะนุ่งแอ่วงาน สงกรานต์เจียงใหม่
คอยอ้ายแล้วก่า
สั่งเสื้อผ้าราคาเป็นพัน
ปรารถนาที่จะรัก 7 ฉมังฉาย
สายคอขอมา ราคามันขึ้น
ของอื่นแล้วกัน
คิดถึงตึงวัน โอ้ สันกำแพง...
จบเพลง “ไม่ลืมสาวสันกำแพง” ซึ่งขับร้องโดยเสรี รุ่งสว่างแล้ว
เรืองวิทย์ก็เผลอหลับไป แต่ก็ไม่ถึงสิบนาทีต่อมา มีเสียงกดแตรรถ
มอเตอร์ไซค์ดังขึ้นที่ริมรั้วบ้านพร้อมกับเสียงตะโกนว่า
“รับจดหมายด้วยครับ”
เขาสะดุ้งตื่น ยันกายขึ้นจากโซฟา วิทยุฯยังเป็นเสียงเพลงลูกทุ่งอยู่
เหมือนเดิม
“ครับ...คอยเดี๋ยว” เขาตะโกนไปที่ประตูบ้าน ก้าวย่างอย่าง
ระมัดระวังไปบนลานปูน
“จดหมายลงทะเบียนครับ เซ็นตรงนั้นจะครับน้า” บุรุษไปรษณีย์
หนุ่ม ชี้ลงบนกระดาษของเขา เรืองวิทย์ตวัดปลายปากกา เขียนชื่อตัว
บรรจง จากนั้นก็รับจดหมายลงทะเบียนมาจากมือของคนที่มาส่ง
“มาจากไหน” เขามองซองใบนั้นอย่างสงสัย มันจ่าหน้าซองถึงเขา
ด้วยการพิมพ์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ และไม่มีชื่อที่อยู่ของผู้ส่งบนหน้า
หรือหลังซองอีกต่างหาก
ปรารถนาที่จะรัก 8 ฉมังฉาย
เขาถือจดหมายฉบับนั้นเข้าไปในบ้าน ตลอดเวลาพลางนึกถึงแต่
คนส่งมา ทว่าเขาก็ไม่สามารถคิดออกได้ว่า ใครคือผู้ที่ส่งจดหมายฉบับนี้
มายังเขา
ถึงจิตของเขาจะจดจ่ออยู่กับมัน แต่เขาก็ไม่กังวลอะไรกับข่าวที่
มาถึง มันอาจเป็นอะไรก็ได้ เขาคิดอย่างนั้น เขาแกะซองออกอย่างช้า ๆ มือ
สั่นเล็กน้อยด้วยความชรา พลางทรุดนั่งบนเก้าอี้โยกที่หน้าบ้าน
เขาดึงเนื้อจดหมายออกมา พบว่ามันไม่ใช่กระดาษเขียนจดหมาย
แต่อย่างใดเลย มันเป็นการ์ดเชิญร่วมงานมงคลสมรส เขาฉงนฉงายยิ่ง
ค่อย ๆ อ่านชื่อที่ปรากฏอยู่ในการ์ดแผ่นนั้น และทันทีที่เขาเห็นชื่อเจ้าสาว
มือของเขาก็เย็นเฉียบ เขาอ่านซ้ำ เผื่อว่าตอนแรกจะเป็นการอ่านผิด แต่
ตอนนี้ชื่อและนามสกุลของเจ้าสาวชัดแจ้งในคลองสายตา พร้อมกันนั้น
เรี่ยวแรงของชายวัยหกสิบห้าก็เร้นหายไปสิ้น เขาอ่อนแรงจนทำการ์ดเชิญ
ใบนั้นร่วงผล็อยลงพื้น
“แล้วมันก็ถึงวันนี้” เขาละเมอคำนั้นออกมาแผ่วเบา วางมือสอง
ข้างลงบนตัก หัวใจยังเต้นหนัก ๆ เลือดในกายยังสูบฉีดแรง และโดยไม่
รู้ตัวเบ้าตาของเขาก็ร้อนผ่าว แต่ไม่มีน้ำตาของชายหลังวัยเกษียณล้นออกมา
แม้แต่หยดเดียว เพราะจากว่าน้ำตาของเขาขังนองอยู่ภายในหัวใจที่บาดเจ็บ
อย่างหนัก...
ปรารถนาที่จะรัก 9 ฉมังฉาย
เสียงไก่ขันข้างนอกบ้านดังแว่ว ๆ ไก่มันขันแข่งกับเสียงนาฬิกา
ปลุกที่แผดเสียงอย่างไม่รู้เหนื่อยบนหัวเตียง เขาเอื้อมมือไปกดปุ่มปิดเสียง
ตีห้าข้างนอกบ้านยังมืดอยู่มาก เขาเปิดไฟหัวเตียง นั่งอยู่บนเตียงหลายนาที
เขาแง้มหน้าต่างทิ้งไว้ครึ่งหนึ่ง ผ้าม่านที่หน้าต่างไหวเยิบยาบ อากาศช่วงนี้
เย็นสบาย จึงไม่ใช้เครื่องปรับอากาศ ไก่หลายตัวยังขันไม่หยุดหย่อน เรือง
วิทย์ลากตัวเองลงจากเตียงอย่างไม่สู้เต็มใจนัก พับผ้าห่มให้เรียบร้อย และ
วางไว้ที่ปลายเตียง เขาไม่จำเป็นต้องเร่งรีบอะไรนัก ยังมีเวลาเหลืออีกมาก
แต่ที่เขาเลือกตื่นเช้าอย่างเช้าวันนี้ เนื่องเพราะต้องเดินทางไปจังหวัดภูเก็ต
ชายหลังเกษียณอายุถอดชุดนอนออก เขานุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว ทำ
ธุระในห้องสุขา จากนั้นก็อาบน้ำอย่างระมัดระวัง ท่าอาบน้ำของเขา คือจะ
ยกแขนซ้ายขึ้นเพื่อไม่ให้แขนข้างนั้นเปียกน้ำ
ใกล้หกโมงเช้า ฟ้าสาง บนถนนหน้าบ้านของเขาคือถนนเพชร
เกษมมีเสียงรถราแว่วมาได้ยินแล้ว ที่ดินของเขาถึงแม้ว่าอยู่ติดถนนก็ตาม
แต่ตัวบ้านที่ปลุกนั้นลึกเข้ามาข้างใน และมีต้นไม้น้อยใหญ่ปกคลุม ด้วย
สองสิ่งนี้จึงช่วยลดทอดเสียงรบกวนที่มาจากถนนได้มากทีเดียว
เรืองวิทย์สวมเสื้อเชิ้ตตาหมากรุกแขนสั้นสีสันสดใส กางเกงนั้น
เป็นผ้าเวสปอยขายาวสีน้ำตามเข้ม รองเท้าที่จะสวมใส่เป็นรองเท้าหนัง
ลำลองสีน้ำตาลอ่อน ชายสูงวัยทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้เอนตรงชานบ้าน สูด
อากาศบริสุทธิ์ยามเช้า
ปรารถนาที่จะรัก 10 ฉมังฉาย
“โลกนี้น่าอภิรมย์มากกว่านี้ หากว่าสุขภาพของาเราแข็งแรงกว่านี้
สักหน่อย” เขารำพัน แมวตัวหนึ่งเดินอ้อมมาจากด้านข้างของบ้าน มันหยุด
มองเขาด้วยอาการไม่ค่อยไว้ใจคน
“ตื่นเช้าเชียวนะไอ้เหมียว” เขาร้องทักแมวสีดำตัวนั้น
แมวยังไม่ขยับหนี แม้ว่าจะตื่นกลัวเล็กน้อย “อิสระจังนะแก” เขา
พูดกับแมวอีก เป็นแมวของใครก็ไม่รู้ แต่มันไม่สำคัญหรอก เพราะที่นี่มี
แมวมีเยอะ
ลมเย็นพัดมาจนเขารู้สึกหนาว เขาไขว้มือพาดหน้าอก แล้วบีบต้น
แขนทั้งสองข้าง เผื่อกระตุ้นให้เลือดลมเดินสะดวก เสียงประตูรั้วดังขึ้น
จากนั้นบานประตูรั้วก็เปิดกว้าง หญิงคนหนึ่งก้าวผ่านเข้ามา ฝีเท้าของ
ผู้หญิงคนนั้นมั่นคง แต่ไม่ได้เร่งร้อนอะไร เธอเดินมาบนพื้นปูนด้วย
ความคุ้นเคย เธอมีกุญแจรั้วบ้านของเรืองวิทย์ดอกหนึ่ง ดังนั้นสามารถเปิด
ประตูรั้วของเขาได้อย่างสะดวกสบาย
“เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย” หญิงผู้คนนั้นร้องถาม เธอมีรูปร่างเจ้าเนื้อ
สูงสักหนึ่งร้อยห้าสิบเซนติเมตร ซึ่งต่ำกว่าเรืองวิทย์มาก
“อืม...รออยู่แล้วละ จุ๋ม” เรืองวิทย์ตอบน้องสาว พลางยื่นกุญแจ
รถยนต์ให้กับเธอ
จุ๋มรับอาสาขับรถยนต์ให้กับพี่ชาย เธอเต็มใจที่ได้บริการเขา ชาย
หลังวัยเกษียณคนนี้เป็นที่รักของเธอมาก จุ๋มไม่เคยคิดว่าตนเองเหน็ด
เหนื่อยเลยกับการดูแลพี่ชายของเธอ
ปรารถนาที่จะรัก 11 ฉมังฉาย
ออกจากบ้านที่ตะกั่วป่าไม่นานเท่าใด ก็เข้าเขตหมู่บ้านบางสัก
ด้านขวาของถนนเพชรเกษมที่มุ่งหน้าไปยังภูเก็ตนั้นจะมีทะเลขนานอยู่
ไกล ๆ บางช่วงของถนนจะเห็นผืนน้ำได้ไม่ยาก แต่บางช่วงก็มองไม่เห็น
เพราะถนนดีดตัวออกห่างจากชายฝั่งมากพอสมควร
เรืองวิทย์ผินหน้ามาทางด้ายซ้าย ก้มหน้าลงนิด ๆ เพราะเขาไม่
อยากมองไปทางด้านทะเล หรือหากหลีกเลี่ยงได้เขาก็จะไม่เดินทางผ่าน
หาดบางสักอย่างเด็ดขาด เมื่อหลายปีก่อนนั้นอาการเจ็บปวดรวดร้าวรุนแรง
กว่านี้มาก เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาผ่าน ณ จุดนี้ เขามีอาการคลื่นเหียน ท้อง
ไส้ปั่นป่วน และอาเจียนทั้งน้ำตา อย่าว่าต้องมาที่นี่เลยในตอนนั้น อยู่ที่บ้าน
แค่คิดถึงที่นี่หัวใจของเขาก็รวดร้าวเกือบจะเกินรับได้ เขาไม่ยอมมาที่นี่
นานแรมปี จนกระทั่งอาการเหล่านี้ค่อยเบาเทาลงเมื่อวันเวลาหมุนผ่านไป
แต่ถึงกระนั้นก็ตามมันก็ยังสะกิดความรู้สึกของเขาอยู่ดีที่ทุกครั้งต้องสัญจร
ผ่านไปมา ณ บริเวณนี้
จุ๋มตระหนักดีว่า พี่ชายของเธอรู้สึกอย่างไรในขณะนี้ เธอเหยียบ
คันเร่ง พารถเก๋งไปจากเขตหมู่บ้านบางสักให้เร็วที่สุด และเมื่อพ้นจากตรง
นั้นมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าเรืองวิทย์ถอนใจ ปลอดโปร่ง และสีหน้าก็มีเลือด
ลมวิ่งสะดวกมากขึ้น
น้องสาวของเรืองวิทย์พารถเก๋งออกจากถนนใหญ่เข้าไปในบริเวณ
โรงพยาบาล ลานจอดด้านหน้ายังมีที่ว่างอยู่มาก พนักงานรักษาความ
ปรารถนาที่จะรัก 12 ฉมังฉาย
ปลอดภัยโบกมือให้บริการอย่างเป็นมิตร เธอจอดรถเก๋งใกล้ ๆ กับต้นไม้
ใหญ่ หวังจะได้พึ่งร่มเงาของมันเมื่อแดดกล้าขึ้น
เรืองวิทย์ก้าวลงอย่างระมัดวะวัง ยิ้มให้กับพนักงานรักษาความ
ปลอดภัยคนนั้น จุ๋มก็ยิ้มทักทายพนักงานฯเช่นกัน
“นั่งรถไหมครับ” พนักงานรักษาความปลอดภัยเอ่ยปากถาม จะมี
รถกอล์ฟวิ่งรับส่งผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยหรือผู้ที่มาติดต่อธุระกับ
โรงพยาบาลจากลานจอดกับตัวอาคาร
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวจะเดินไปเอง” เรืองวิทย์ตอบตรงที่รถเก๋งของ
เขาจอดอยู่ไม่ได้ไกลจากตัวอาคารมากนัก ดังนั้นเรืองวิทย์อยากเดินยืดเส้น
ยืดสาย หลังจากนั่งอยู่ในรถเก๋งมานานเกือบสองชั่วโมง
พนักงานต้อนรับสาวสองคนที่ยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าอาคารหลัก
ยกมือไหว้เรืองวิทย์ ใบหน้าของเธอเบิกบานเปี่ยมสุข มีคนหนึ่งหล่อนจำ
เรืองวิทย์ได้ หล่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนหวาน
“รถเข็นไหมจ๊ะ”
เรืองวิทย์ส่ายหน้าปฏิเสธ เขาก็จำหล่อนได้เหมือนกัน ที่นี่พนักงาน
มีจำนวนมากเหลือเกินหลายคนก็คุ้นหน้า บางคนก็ไม่ชินหน้า โรงพยาบาล
แห่งนี้เป็นโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ เป็นสาขาของโรงพยาบาลชื่อดัง
ในกรุงเทพมหานคร
เรืองวิทย์ก้าวไปที่บริเวณตรงกลางของอาคาร ขวามือของเขาเป็น
ลิฟต์ เขาเดินผ่านลิฟต์ ขวามืออีกเช่นกันเป็นบันไดวนขึ้นไปยังชั้นสองของ
ปรารถนาที่จะรัก 13 ฉมังฉาย
อาคาร เขาย่ำย่างเท้าผ่านบันไดวนนั้น ถัดไปนิดเดียวเป็นห้องอาหารของ
โรงพยาบาล
จุ๋มก้าวตามหลังพี่ชายมาติด ๆ เธอเลือกโต๊ะที่นั่ง เป็นมุมหนึ่งของ
ร้าน ร้านอาหารผู้คนยังบางตา จุ๋มปล่อยให้เรืองวิทย์ไปเลือกอาหาร ส่วน
เธอไปหยิบหยิบช้อนและกดน้ำเปล่ามาวางรอท่าที่โต๊ะ แล้วนั่งคอยเรืองวิ
ทย์กลับมาอย่างใจเย็นหลังจากนั้นเธอค่อยไปสั่งอาหาร
เรืองเลือกกับข้าวง่าย ๆ เสร็จแล้วเขาถือจานอาหารมาที่โต๊ะ จุ๋ม
มองพี่ชายด้วยความห่วงใยและรักใคร่ เขาเชื่องช้าลงไปมากตั้งแต่ป่วยไข้
จริง ๆ แล้วความหม่นหมองของเขามีมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เกิดเรื่องในปี
2547 ชายผู้นี้อกต้องตรมใจต้องเศร้ามาตลอด จะดีขึ้นบ้างเมื่อวันวาลผ่าน
ล่วงไป แต่แล้วเขาก็ต้องระทมทุกข์อีกครั้งเมื่อโรคภัยเข้ามาเยือนอย่าง
กะทันหัน
“จุ๋มกินไร หนมจีนน่าจะอร่อยนะ” เขาชวนน้องสาวคุย สงสารเธอ
ไม่น้อยที่ต้องมาลำบากกับเขา
“เดี๋ยวลองดูก่อน” จุ๋มว่า
เรืองวิทย์ต้องรับประทานอาหารก่อนจะเข้าห้องฟอกเลือด คิวฟอก
เลือดคือเที่ยงวัน แต่เจ้าหน้าที่อาจจะเรียกเร็วกว่านั้นหากว่ามีเตียงผู้ป่วยใน
ห้องฟอกเลือดว่างลงก่อน
น้องสาวคนโปรดของเขากลับมาที่โต๊ะ เธอถือจานขนมจีนน้ำยา
มาด้วย ทรุดนั่งตรงข้ามกับพี่ชาย เหลือบมองเขา ซึ่งกำลังกินอาหารอยู่
ปรารถนาที่จะรัก 14 ฉมังฉาย
“อร่อยมั้ย” เธอถาม เรืองวิทย์รับประทานด้วยความอร่อย ปกติ
แล้วเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้กินของแสลงได้ แต่ละมื้อของวันจะเป็น
อาหารรสจืด ซึ่งทำให้เขารู้สึกเบื่ออาหารไปเลย แต่สำหรับมื้อก่อนจะทำ
การฟอกเลือดนั้น เขาสามารถกินอะไรก็ได้ที่ตนอยากจะกิน แต่ก็ต้องไม่มี
ปริมาณมากเกินไป เพราะว่าเมื่อฟอกเลือดแล้ว ของที่เป็นพิษเหล่านั้นก็จะ
ถูกกำจัดออกมา
เรืองวิทย์รวบช้อนส้อม เขาอิ่มแล้ว ดื่มน้ำเปล่าจากแก้วที่น้องสาว
กดจากเครื่องมาให้ สักครู่เขาก็ต้องขึ้นไปยังห้องฟอกเลือดที่ชั้นสาม เขามา
ที่นี่สัปดาห์ละสองครั้ง คือวันอังคารกับวันศุกร์ และต้องถูกฟอกเลือดครั้ง
ละสี่ชั่วโมง เริ่มจากเที่ยงวันและจะเสร็จก็ประมาณสี่โมงเย็น
การฟอกเลือดแต่ละครั้งนั้นเขาต้องจ่ายเงินให้กับโรงพยาบาล
เอกชนแห่งนี้เป็นจำนวนเก้าร้อยบาท ซึ่งเป็นส่วนต่าง ดังนั้นสัปดาห์หนึ่ง
เขาต้องจ่ายเป็นเงินหนึ่งพันแปดร้อยบาท หากคิดเป็นรายเดือนแล้ว เดือน
หนึ่งต้องจ่ายเขาต้องควักเงินเป็นจำนวนเจ็ดพันสองร้อยบาทเพื่อการนี้ นี่ยัง
ไม่รวมค่าน้ำมันรถเก๋งที่ต้องวิ่งไปกลับตะกั่วป่ากับภูเก็ต เป็นระยะทางร้อย
สองกว่ากิโลเมตรต่อหนึ่งครั้ง
เรืองวิทย์ใช้ลิฟต์เพื่อขึ้นไปบนชั้นสาม ที่หน้าลิฟต์บนชั้นสามเป็น
แผนกผู้ป่วยโรคหนึ่ง ห้องฟอกเลือดของเขาอยู่ทางขวาของลิฟต์ ที่หน้า
ห้องฟอกเลือดเปิดไฟเพดานไม่สว่างมาก ญาติผู้ป่วยบางคนนอนหลับอยู่
บนโซฟายาวอย่างเกียจคร้าน พวกเขานอนรอญาติที่กำลังฟอกเลือดอยู่ข้าง
ปรารถนาที่จะรัก 15 ฉมังฉาย
ใน เรืองวิทย์ยิ้มให้กับบางคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ ก่อนทรุดนั่งลงบนเก้าอี้
หนังตัวเล็ก ๆ โดยไม่ต้องกล่าวอะไรกับน้องสาว จุ๋มรู้หน้าที่ดีว่าต้องทำ
อะไร เธอเดินเข้าไปห้องฟอกเลือด ตรงใกล้ประตูห้องนั้นเป็นเคาน์เตอร์
ของเจ้าหน้าที่ประจำแผนกไตเทียม
“พี่เรืองวิทย์มาแล้วนะคะ” เธอบอกแก่เจ้าหน้าที่สาวบางคน เป็น
การแจ้งให้พวกเขารับรู้ว่าผู้ป่วยในคิวของรอบเที่ยงมาถึงแล้วในตอนนี้
“จ๊ะ” เจ้าหน้าที่สาวตอบรับ
จุ๋มกลับมานั่งที่หน้าห้องฟอกเลือด เอนกายพิงพนักเก้าอี้ ผ่อน
คลายความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าที่เกิดขึ้นจากการขับรถระยะทางไกล
เธอสนทนากับคนบางคนด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ส่วนพี่ชายของเธอติดหนังสือ
นวนิยายไทย เรื่อง “จ้าวแผ่นดิน” เขียนโดยวิมล ไทรนิ่มนวลมาด้วย เขา
เปิดอ่านฆ่าเวลา
สิบโมงกว่าเด็กหนุ่มร่างเล็กผิวคล้ำคนหนึ่งก้าวออกมาจากห้อง
ฟอกเลือด เขายิ้มและกล่าวคำทักทายกับเรืองวิทย์ ชายผู้เกษียณอายุราชการ
แล้วเอ่ยปากทักทายตอบ เด็กหนุ่มคนนี้อายุไม่มาก ไม่เกินสี่สิบปี ป่วยด้วย
โรคไตวายเรื้อรังเหมือนกัน เขามาฟอกเลือดในรอบเช้าและในช่วงเย็นถึง
ตอนดึกเขาต้องทำงานในบาร์แห่งหนึ่ง
“ได้มาท่าไหร่ก็หมด” เขาเคยพูดกับเรืองวิทย์อย่างนั้น เขาไม่มี
สวัสดิการใด ๆ มารองรับการรักษาตัวของเขาในครั้งนี้ เด็กหนุ่มต้อง
จ่ายเงินให้กับโรงพยาบาลแห่งนี้เพื่อฟอกเลือดครั้งละหนึ่งพันแปดร้อยบาท
ปรารถนาที่จะรัก 16 ฉมังฉาย
หากเขาไม่ทำงาน เขาก็ไม่มีเงินมาจ่าย เด็กหนุ่มเคยเล่าให้เรืองวิทย์ฟัง
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความหวัง เขาว่าเขาจะไม่ต้องฟอกเลือดเป็น
เวลานานมากนัก เขาต้องอดทนให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ หลังจากนั้นเขา
จะเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนไต
เรืองวิทย์ดีใจกับเขาที่เขามีโอกาสอย่างนั้น แต่ก็สงสารเขาอยู่
เหมือนกันที่ต้องจ่ายเงินในราคาแพงกับการฟอกเลือดในแต่ละครั้ง เรือง
วิทย์เองสามารถเบิกได้บางส่วน คือหนึ่งพันบาท เขาเป็นข้าราชการบำนาญ
สวัสดิการที่รัฐให้แก่เขาสามารถรองรับการรักษาตัวยามเจ็บไข้ไม่สบายได้
เด็กหนุ่มคนนั้นคล้อยหลังไปไม่ถึงห้านาที เจ้าหน้าที่สาวผิวขาว
ร่างเล็ก ใบหน้าสะสวย งดงามราวกับแขกเดินออกมาที่หน้าห้อง เธอส่งยิ้ม
ให้กับชายสูงวัย และเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว “คุณลุงเชิญค่ะ”
เรืองวิทย์ส่งหนังสือนวนิยายให้กับน้องสาว จุ๋มเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ได้
ฟอกเร็วนะ นราวดี”
เจ้าหน้าที่สาวประจำห้องห้องฟอกเลือดยิ้มและกล่าวขึ้นว่า “ค่ะ
เตียงว่างพอดี”
เรืองวิทย์ก้าวตามนราวดีไปยังซอกเล็ก ๆ หน้าห้องฟอกเลือด ตรง
นี้เป็นส่วนที่ผู้ป่วยต้องชั่งน้ำหนักก่อนที่จะทำการฟอกเลือด หลังจากนั้น
เธอก็นำเขาเข้าไปในห้องฯ มุ่งตรงไปยังเตียงที่ว่างอยู่ด้านในสุดของห้อง
“เป็นไงบ้างคะ คุณลุง สบายดีมั้ย” เธอถามขณะที่มือของเธอจัด
นั่นจัดนี่
ปรารถนาที่จะรัก 17 ฉมังฉาย
“คนแก่ก็ยังงั้นแหละ ยิ่งป่วยด้วย อะไรก็ไม่ดีเท่าคนหนุ่มคนสาว
อย่างหนูหรอก” เรืองวิทย์กล่าวด้วยน้ำเสียงประหนึ่งว่าทดท้อต่อชะตา
กรรม
นรวดีรู้อย่แล้วว่า ควรต้องปลอบขวัญผู้ป่วยอย่างไร ไม่ใช่เรือง
วิทย์คนเดียวที่หดหู่ต่อชีวิต คนที่เข้ามานอนฟอกเลือดในห้องนี้ ไม่ว่าหนุ่ม
หรือเฒ่า ส่วนใหญ่แล้วก็มีจิตใจหมองเศร้าแทบทั้งนั้น
“ไม่เป็นหรอกค่ะ มันไม่เลวร้ายไปทั้งหมดหรอกนะคะ ชีวิตมีอีก
หลายอย่างน่าอภิรมย์ เชื่อหนูเถอะคะ เดี๋ยวมันก็ดีเอง”
เรืองวิทย์ผลิยิ้มให้หญิงสาววัยลูกที่ใบหน้าเหมือนสาวแขก
จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาวิวว่า “ลุงก็อยากหวังอย่างนั้น

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (70 รายการ)

www.batorastore.com © 2024