ตำหนักรักจอมคน (นางแก้ว) (EBOOK)
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
บทนำ
ก่อนแผ่นดินจะรวมเป็นชาติเดียวในสมัย จิ๋นซีฮ่องเต้ นั้นแผ่นดินจีนอันกว้างใหญ่ได้ปกครองชาติแบบชาวเผ่า ชาวแคว้น แบ่งแยกเป็นแคว้น แล้วแต่พื้นที่ใหญ่บ้าง หรือน้อยบ้าง ยังมีการรุกรานซึ่งกันและกันอยู่ ดังนั้นการป้องกันแคว้นของตนเองให้อยู่รอดได้ มีหลายวิธี เช่นการอภิเษกสมรส การถวายเครื่องบรรณาการแก่เจ้าผู้ครองแคว้น และจากการได้เรียนรู้มาบ้าง ในสมัยที่ข้าพเจ้าได้หยิบยกมาเป็นนิยายเรื่องนี้ ชาวนา หรือเกษตรกรจะได้รับการดูแล อย่างดี เพราะถือว่าเป็นกำลังสำคัญในการสร้างชาติ การอพยพของชาวนาไปอยู่แคว้นอื่นถือว่าเสียหายต่อแคว้นเดิมมากทีเดียว และนิยายเรื่องนี้หยิบยกเป็นภาษาไทย แทนที่จะเรียกฮ่องเต้ หรือไต้อ๋อง ดิฉันกลับเรียกว่า เจ้าผู้ครองแคว้น ซึ่งยุคก่อนพุทธกาลหลายร้อยปี มีฮ่องเต้ปกครองแคว้นของตนเองหลายสิบพระองค์ ซึ่งหากนำมากล่าวว่า ฮ่องเต้ (แคว้นโจว) ฮ่องเต้ (แคว้นหยิน) ฮ่องเต้(แคว้นเจ้า)ก็จะกลายเป็นคำว่าฮ่องเต้ไม่ยิ่งใหญ่เสียแล้ว ฮองเฮา ก็เปลี่ยนมาเป็นแม่เมือง และไทเฮา เป็นพระแม่ย่า ทั้งนี้หากเทียบภาษาก็ไม่ไกลความหมายต่อกันมากนัก
ดิฉันดัดแปลงประวัติศาสตร์ก่อนตั้งราชวงศ์ ประมาณสอง-สามร้อยปี ก่อนพุทธกาล จึงหยิบยกมาเป็นนิยายตามความพอใจของผู้เขียน ดังนั้นทั้งสำนวน หรือการเจรจาจึงมุ่งเน้นไปที่ความเรียบง่ายต่อการอ่าน บางทีท่านผู้ชำนาญ นิยายจีนอาจจะเรียกว่านี่ไม่ใช้สำนวนจีน เพราะดิฉันไม่ใช้คำว่า “เพ่ย แม่นาง”ซึ่งเป็นสำนวนจีนแสดงความโทสะ มิใช่เขียนไม่เป็น หากว่าดิฉัน น้อมรับด้วยความพอใจ เพราะนี่คือแนวทางของดิฉัน ซึ่งหวังใจว่าท่านผู้อ่านคงเข้าใจเจตนาในการสื่อสารด้วยอักษรที่เรียงร้อยมาจากหัวใจของดิฉันด้วยนะคะ
นามชื่อแคว้นและตัวละคร ล้วนเป็นเรื่องที่ดิฉันแต่งขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่มีตัวตนในประวัตติศาสตร์ หรืออาจมีบางคนมีพฤติกรรมดังประวัติศาสตร์ได้เคยเกิดขึ้น ดิฉันไม่มีเจตนาล่วงเกินแต่อย่างใดทั้งสิ้น เขียนนิยายเพื่อความบันเทิงใจเท่านั้น
***การเรียกชื่อจีนทับศัพท์ไทย จึงเหมือนการเขียนผิดนะคะ เพราะจะมีเส้นแดงเต็มไปหมด แต่หากใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องเลยนั้นทำไม่ได้ค่ะ เพราะผิดสำเนียง
ตอนที่1 ชะตาฟ้าลิขิต
การอภิเษกสมรสของเจ้าผู้ครองแคว้นแห่งราชวงศ์โจว แคว้น เจ่าเฉิน(เช้าตรู่) เต็มไปด้วยความยินดี เพราะเจ้าผู้ครองแคว้นได้เลือกองค์หญิง หลิงหลิง ซึ่งมีความชอบพอกันอยู่ก่อนแล้ว ขึ้นมาเป็นคู่อภิเษก พร้อมกันนั้นก็ทรงแต่งตั้งให้เป็นแม่เมืองอย่างไม่มีใครคัดค้าน
หลังจากอภิเษกสมรสในเวลาไม่นานนัก แม่เมืองก็ทรงพระครรภ์และให้กำเนิดพระราชโอรส
ต่อมาข้ามได้ปีเดียวก็ทรงตั้งพระครรภ์อีกครั้ง ซึ่งเจ้าผู้ครองแคว้นได้รับพระสนมมาจากสกุลเฉียน พระนามว่า เฉียนเต้าซึ่งเป็นบุตรีของราชครูของเจ้าผู้ครองแคว้น และเมื่อพระสนมเฉียนได้ให้กำเนิดองค์ชายรอง...พระนางจึงเริ่มมีความคิดบางอย่างขึ้นมาในพระทัย สิ่งนั้นคือ อำนาจ!
ที่ตำหนักเจ้าจอมเฉียน ท่านราชครูได้เชิญซินแสเข้าเฝ้า เพื่อถวายคำทำนายให้กับพระโอรสของเจ้าจอม ซึ่งแรกที่เข้าเฝ้านั้นซินแสได้สบตาของ เจ้าจอมเฉียน เพียงวูบเดียวเท่านั้น เขารู้สึกสะท้านพระทัยด้วยความเกรงในอำนาจบารมีของพระนางยิ่งนัก
...เขานั้นได้ทำนายดวงพระชะตาของพระนางได้เลยว่า
...สตรีสูงศักดิ์นางนี้จะนำความพินาศมาสู่ราชวงศ์โจวเป็นแน่แท้ แต่หากว่าเขาทำนายออกไปดังนี้ มีหรือเขาจะรักษาหัวไว้บนบ่าอยู่ได้
ดังนั้นเขาจึงได้แต่โทษตัวเองว่า...เหตุไฉนไม่ดูดวงชะตาตัวเองมาก่อนที่จะรับลาภเพียงพันตำลึง แต่บัดนี้เขาจะหลีกเลี่ยงการทำนายก็คงไม่อาจทำได้ ดังนั้นความเป็นคนที่ต้องการเอาตัวรอดจึงได้แต่ทำนายไปอย่างเป็นกลางว่า
“ทูลเจ้าจอม ดวงชะตาพระโอรสนี้ดีนัก จะได้มีศักดิ์สูง แต่พระโอรสอีกพระองค์จะมีบุญยิ่งกว่า”เจ้าจอมเฉียน ถึงกับเบิกตาโพลงด้วยความดีพระทัย
“เจ้าว่าเราจะมีโอรสอีกกระนั้นหรือ”
“ประเสริฐแล้ว ประเสริฐยิ่ง”ราชครูพึมพำสอดแทรกขึ้นมา ในสีหน้าเปล่งประกายความสุขเหลือคณานับ ซ้ำยังกล่าววาจาชมเชยซินแสอีกครั้ง ส่วนพระสนมเกิดความคิดบางอย่างจึงได้ตรัสถาม
“ผู้คนร่ำลือว่าท่านทำนายได้แม่นยำนัก แล้วตัวข้าล่ะซินแสเทวดา ข้าจะได้เป็นใหญ่กว่านี้อีกหรือไม่”
ซินแสกลืนก้อนน้ำลายหนืดลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจำต้องทูลว่า
“ตำแหน่งเจ้าจอมสูงสุดยังน้อยเกินไปพะย่ะค่ะเจ้าจอม”
“อา.........”ราชครูนิ่งอึ้งไปทีเดียว แรกเริ่มเขาต้องการเพียงให้บุตรีโค่นแม่เมืองเท่านั้น เขามิได้หมายถึงตำแหน่งอื่นเลย
หากแล้วราชครูได้ผ่อนลมหายพระทัยลงมา ด้วยความคลายความวิตกว่าเจ้าจอมเฉียนอาจจะไม่คิดอาจเอื้อมเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นหญิง เขาจึงคิดแต่เพียงว่าคำว่าสูงในที่นี้อาจเป็นพระแม่เมืองก็เป็นได้
แต่ความเป็นจริงเจ้าจอมเฉียนไม่คิดเช่นท่านบิดา เพราะพระนางคิดไกลเกินนั้น พระนางคิดว่าหากบุตรชายครองราชย์ พระนางต้องเป็นพระแม่ย่า และพระนางจะกุมอำนาจทั้งหมดไว้ในกำมือ
ถ้าหากไม่คิดเริ่มตั้งแต่นาทีนี้ พระนางจะไปเริ่มเมื่อไหร่...
จนป่านนี้พระนางยังไม่อาจครอบครององค์เจ้าผู้ครองแคว้นไว้ได้ เพราะเจ้าผู้ครองแคว้นมีความรักอันเหนียวแน่นต่อพระแม่เมืองยังไม่จืดจาง
ถึงแม้ว่าองค์เจ้าผู้ครองแคว้นจะมีสนมนับร้อยนาง แต่ยังเป็นที่ทราบกันดีว่า ในหนึ่งอาทิตย์เจ้าผู้ครองแคว้นกลับทรงโปรดไปตำหนักแม่เมืองเสมอ...การเสมอต้นเสมอปลายของเจ้าผู้ครองแคว้นเป็นหนามยอกพระทัยเจ้าจอม เฉียน มาตลอด
หากว่า...พระนางมีความคิดหนึ่งฉุกขึ้นมาในห้วงสมองอันชาญฉลาด และเต็มไปด้วยความไร้คุณธรรม แต่พระนางเก็บความคิดนั้นไว้เงียบๆก่อน พระนางตรัสถามซินแสว่า
“กิติศัพท์การทำนายของท่านเป็นที่เลื่องลือ แต่คำทำนายของท่านอาจนำภัยมาสู่ข้าได้ ข้าจึงต้องระวัง ไว้ และท่านมีเรื่องใดที่จะชี้แนะข้าบ้างหรือไม่ท่านซินแส”
“เอ่อดวงพระชะตาของเจ้าจอมสูงมากก็จริง แต่” ซินแสยักไว้ เจ้าจอมคลายความยินดีเปลี่ยนเป็นไม่พอพระทัย หากยังคงซ่อนไว้ โดยแสดงออกด้วยท่าทางเรียบเฉย ซึ่งราชครูย่อมรู้จักนิสัยบุตรีได้ดี ดังนั้นจึงถามออกมาแทนว่า
“แต่อะไร ท่านต้องบอกเรา เพราะเราจงรักภักษ์ดีต่อองค์เจ้าผู้ครองแคว้น เมื่อจะเกิดเหตุร้ายต่อเจ้าจอมมารดา เรื่องนี้คนในวังย่อมได้ผลกระทบไปด้วย”
“เอ่อ นี่เป็นลิขิตสวรรค์ ข้าได้แต่บอกใบ้เท่านั้นท่านราชครู” ซินแสอ้อมแอ้มกล่าวออกมาไม่เต็มคำนัก
“ก็บอกมาสิซินแส ท่านจะอ้ำอึ้งอยู่ไย”
“เอ่อ !” ซินแส จำใจต้องเอ่ยวาจาที่ไม่อยากเอ่ยออกมาว่า “ยามท้องฟ้าเป็นสีเลือด เพลานั้นผู้เป็นใหญ่ในวังต้องห้ามจะให้กำเนิดหงส์ทะยานขี่หลังเสือ ซึ่งผู้ถือกำเนิดในฤกษ์ยามนั้น จะเป็นผู้มาทำลายสกุลเฉียน ถึงสี่ร้อยคน”
“ท่านกล่าวอะไรนะท่านซินแส” สองบิดาบุตรีอุทานด้วยความตกพระทัย เพราะคาดไม่ถึงว่าภายหน้าจะมีเหตุเภทภัยสู่วงศ์ตระกูลได้ ซินแสจึงได้รีบกราบทูลไปอีกว่า
“หากรีบป้องกันเห็นทีจะไม่ลำบากนัก”
“การกำเนิดยังไม่เคยปรากฏเช่นนี้มาก่อนหงส์นี้คือใครเล่า”ราชครูถามออกมาด้วยความสงสัย
“ไข่มุกแห่งราชวงศ์โจว พระนางนั้นคือหงส์”
เจ้าจอมมารดานึกไปถึงองค์หญิงจินจู ซึ่งมีคำว่าไข่มุกอยู่ในพระนาม แต่ว่าการถือกำเนิดขององค์หญิงก็มีพระประสูติกาลในเพลาพลบค่ำ เมื่อเป็นดังนี้แล้วจะมีเหตุใดเกิดขึ้นให้เห็นตามคำทำนายของซินแสนี้ ทั้งเจ้าจอมเฉียน และท่านราชครูจึงเกิดคลางแคลงพระทัยว่าการทำนายครานี้ เห็นทีจักคลาดเคลื่อนเสียแล้ว!
เพราะไม่มีเค้าเลยว่าองค์หญิงจินจูจะอาจเอื้อมไปขี่เสือตัวใดได้?
หากคำร่ำลือที่ว่าซินแสนี้ทำนายได้แม่นยำราวเทวดา จึงทำให้ต้องมีคำถามสืบต่อไป แม้ความเชื่อถือจะน้อยลงมาบ้างแล้วก็ตามที ราชครูจึงเป็นผู้เอ่ยถาม
“แล้วไข่มุกแห่งราชวงศ์โจวจะเกิดในปีใด”
“ปีหู่ (ปีขาล) ปีนี้ช่วงปลายฝน หงส์ผงาดฟ้าเป็นสีแดงฉาน”
อา...เจ้าจอมครางในพระทัย เพราะคำของซินแสย่อมไม่ได้หมายถึงองค์หญิงจินจู หากเป็นเช่นนั้น พระนางคงไม่รีบไม่ได้แล้ว
...เจ้าจอมคิดวาดแผนการเตรียมป้องกันไว้ในพระทัย แต่กลับเอ่ยออกมาอีกอย่างหนึ่งว่า
“เอาเถอะเมื่อมีองค์หญิงชาติกำเนิดสูงส่ง ก็นับว่าเป็นเรื่องดีของราชวงศ์โจวของเรา หากจะเกิดเรื่องร้ายจริงก็ปล่อยไปตามชะตาฟ้าลิขิตก็แล้วกัน เรารบกวนท่านแค่นี้ล่ะท่านซินแส”
“ถวายบังคมลา”
ซินแสค้อมกายคารวะแล้วถอยหลังออกมา เผลอนับนิ้วตรวจชะตาตัวเอง แล้วต้องรีบสาวเท้าออกไปโดยเร็ว หากว่าเมื่อพ้นราชวังมาไม่เท่าไหร่ เขาก็ถูกคนๆหนึ่งสังหารกลางป่านั้นเอง...
ลิขิตสวรรค์มิอาจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมนั้นจริงแท้แล้ว ซินแสนึกในวินาทีสุดท้ายแห่งชีวิต เพราะเขาเองก็มิอาจเลี่ยงได้ พระนางย่อมต้องป้องกันมิให้บุคคลใดล่วงรู้ความลับสำคัญ แม้แต่ผู้บอกอย่างซินแสก็มิอาจละเว้นได้เช่นกัน!
“นางมารร้าย ขอให้หงส์ล้างผลาญตระกูลเจ้าให้สิ้น”วิญญาณซินแสได้แต่กู่ร้องสาปแช่งได้เท่านี้จริงๆ
…………
ที่ตำหนักแม่เมือง ขณะนั้นทรงสอนบทกลอนให้กับองค์หญิงจินจู ซึ่งองค์หญิงเป็นคนเรียบร้อย และชอบงานของกุลสตรีทุกอย่าง พระมารดารักมากที่เดียว
เพลาเดียวกันนั้นอ๋องเอี้ยนหลงได้กลับจากห้องทรงพระอักษรด้วยความร้อนพระทัย เมื่อมาถึงก็เสด็จเข้าไปเฝ้าพระมารดาทันที
“เอี้ยนอ๋องขอเข้าเฝ้า”เสียงขันทีส่งนำเข้ามาก่อน แม่เมืองประทานอนุญาต นางกำนัลสองคนจึงได้ออกมาเชิญเสด็จเข้าสู่ตำหนัก
เอี้ยนอ๋องมีพระพักตร์ที่ดูดี ทั้งโครงร่างมีเค้าแห่งความสูงว่า หากเจริญวัยกว่านี้จะเป็นอ๋องที่มีความสง่างามไม่น้อย หากว่าเพลานี้พระพักตร์ของท่านดูหมกมุ่น คล้ายมีบางสิ่งแอบแฝงอย่างไม่สามารถลบเลือนออกไปได้ง่ายนัก ดังนั้นพระองค์จึงได้เสด็จมาหาพระมารดา
พระองค์เข้าไปน้อมกายถวายบังคมพระมารดา ซึ่งองค์แม่เมืองทรงมีพระสิริโฉมงดงาม และดูมีพระเมตตาเปี่ยมล้น
“ถวายบังคมพระมารดา”
“ลุกขึ้นชายใหญ่ ไม่ต้องงมากพิธีไปหรอกลูก”พลางสังเกตพบความในพระทัยที่แสดงออกทางพระพักตร์ของเอี้ยนอ๋องจนหมด ฝ่ายองค์หญิงผู้เป็นขนิษฐาวางตำราเรียนแล้วหันมาทักทายพระเชษฐาอย่างสนิทสนม
“เจ้าพี่ไม่มีกิจอันใดหรือเพคะ จึงเสด็จมาเฝ้าพระมารดาได้”
“พี่ล่วงหน้ามาก่อนพระบิดา น่ะสิ”เอี้ยนอ๋องพระชันษาสิบปีหันไปตรัสตอบพระขนิษฐา แม่เมืองทรงแย้มสรวลให้พระโอรสและพระราชธิดา ก่อนตรัสถามว่า
“พระบิดายินดีที่มีลูกชายเพิ่มอีกหนึ่ง พวกเจ้าก็ควรยินดีเช่นกันรู้ไหม”
“เพคะพระมารดา เพราะเราเป็นสกุลโจวเหมือนกัน”
แต่คำนั้นกลับสร้างความเคลือบแคลงพระทัยให้เกิดกับอ๋องมากขึ้นไปอีก เมื่อเอี้ยนอ๋อง มีท่าทางครุ่นคิดมากขึ้น แม่เมืองจึงตรัสถามพระโอรสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเป็นปกติว่า
“มีเรื่องใดไม่สบายใจอันใดหรือชายใหญ่”
เอี้ยนอ๋องเงยขึ้นมองพระมารดา เห็นรอยแย้มสรวลอ่อนพร้อมกับที่พระนางพยักพระพักตร์ราวกับเป็นดำรัสว่า พูดมาเถอะ แม่จะฟัง ดังนั้นอ๋องจึงได้ตรัสโพล่งๆออกมาว่า
“วันนี้ลูกได้เรียนประวัติราชวงศ์ และการก่อตั้งแคว้น เจ่าเฉิน ของเรา”
“แล้วมีเรื่องอันใดไม่สบายพระทัยรึ? เจ้าจึงดูเหมือนมีเรื่องครุ่นคิดไม่ตกอยู่ชายใหญ่”
“ท่านอาจารย์บอกเล่าแก่ลูกว่ามีสามตระกูลใหญ่เป็นผู้รวมแคว้นนี้ขึ้นมาได้ คือตระกูลโจว ซึ่งคือองค์ปฐมเจ้าผู้ครองแคว้นแห่งราชวงศ์โจว นั่นคือปู่ทวดของพระบิดาเป็นแม่ทัพใหญ่ ตระกูลชิง ซึ่งเป็นท่านตาทวด และตระกูลเฉียน ซึ่งเป็นตระกูลของราชครู”
“นั่นก็ถูกต้องแล้ว สามตระกูลใหญ่ร่วมกันรวม ก๊กน้อยใหญ่เข้าเป็นแผ่นดินเดียวกัน ได้จนสำเร็จสมพระทัยแต่ยามเช้าตรู่ จึงได้ตั้งเป็นแคว้นมงคลตามเวลาที่พิชิตได้ว่า แคว้นเจ่าเฉิน”
“แต่วันนี้ท่านชายเฉียนลู่ ซึ่งเป็นหลานของเจ้าจอมเฉียน ถามท่านอาจารย์ว่า ทำไม แม่เมืองทุกพระองค์จึงแต่งตั้งมาจากเจ้าหญิงสกุลชิงเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะพระมารดา และที่ลูกไม่เข้าใจ และไม่พอใจท่านชายนัก เพราะดูมันเอ่ยออกมาราวกับจะหยันในทีอยู่แล้ว”
คำถามนี้ออกรุนแรงเกินกว่าแม่เมืองจะตอบโดยไม่พิจารณาก่อนได้ ซึ่งพระนางคาดว่าท่านอาจารย์ก็ไม่สามารถตอบออกมาได้ เอี้ยน อ๋องจึงเก็บงำมาเพื่อถามพระมารดา ดังนั้นแม่เมืองจึงค่อยตอบเป็นกลางๆว่า
“ท่านปู่ทวดเป็นผู้นำทัพ และมีความทุ่มเทมากที่สุด ดังนั้นจึงได้ขึ้นเป็นองค์ปฐมเจ้าผู้ครองแคว้น ส่วนท่านตาทวดเป็นซินแสในการรบพุ่ง ดังนั้นจึงมีส่วนร่วมในชัยชนะ จึงได้ตกลงกันว่า เมื่อมีบุตรี จะได้รับการเลือกเป็นแม่เมืองก่อนเป็นอันดับแรก”
“นั่นสิพะย่ะค่ะ ท่านชายเฉียน จึงกล่าวว่าอย่างนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับตระกูลที่ร่วมกันก่อตั้งแคว้นขึ้นมา”
“ตายจริง กล้าพูดเพียงนี้เชียวหรือ”
“แต่ลูกเห็นว่า น่าที่จะต้องเป็นที่เคลือบแคลงของคนรุ่นหลังอยู่แล้ว”
“อืมม์”แม่เมืองทรงทำเสียงขึ้นพระนาสิก ท่าทางครุ่นคิด ก่อนตรัสเตือนพระโอรสว่า
“ชายใหญ่เจ้าต้องเก็บงำเรื่องที่แม่จะบอกต่อไปนี้ไว้โดยเงียบ เจ้าห้ามนำไปพูดต่อเป็นเด็ดขาด และถ้าหากเจ้ารับปากแม่เป็นมั่นคงแล้วล่ะก็ แม่จึงจะเปิดเผยเรื่องสำคัญให้เจ้าได้ล่วงรู้ แต่ถ้าหากเจ้าไม่แน่พระทัยว่าจะมีความรับผิดชอบในคำมั่นสัญญาที่จะให้ไว้กับแม่ในเวลานี้ แม่ก็จะปิดเรื่องนี้ไว้กับตัว ไม่เปิดเผยให้เจ้ารู้ เจ้าจะว่าเช่นไร”
“แม้ตายลูกจะไม่พูดพะเจ้าค่ะ”เอี้ยนอ๋องรับคำเป็นมั่นเหมาะ
“ดี”พระนางรับ พร้อมตรัสเล่าให้ฟังถึงการสร้างบ้านแปลงเมือง แต่แรกเริ่มมาว่า
หลังการศึกเสร็จสิ้น และได้รวบรวมอำนาจเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ก็มีการแบ่งความดีความชอบให้กับผู้ที่ร่วมก่อตั้งโดยถ้วนหน้า ซึ่งตระกูลผู้เป็นหัวหน้าได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋อง มียศประดับแก่วงศ์ตระกูล
หากว่าตระกูลเฉียน ซึ่งนับไปแล้วได้ช่วยเหลือการรบน้อยที่สุด แต่ได้ขอให้องค์ปฐมเจ้าผู้ครองแคว้นรับท่านหญิงแห่งสกุลเฉียน เป็นแม่เมือง ซึ่งเวลานั้นองค์ปฐมเจ้าผู้ครองแคว้นมีภรรยาอยู่ก่อนแล้ว แต่พระนางมีเชื้อสายเป็นคนต่างแคว้น
ดังนั้นองค์ปฐมเจ้าผู้ครองแคว้นจึงจำต้องรับปากเพื่อรักษาไมตรีไม่ให้เสื่อมสูญ ได้แต่งตั้งท่านหญิงเป็นเจ้าจอม แต่ยังมิได้ให้เป็นแม่เมือง ก็เกิดเรื่องเสื่อมเสียขึ้นมาก่อน”
“เสื่อมอย่างไรพ่ะย่ะค่ะพระมารดา”อ๋องและองค์หญิงถามพร้อมกัน ซึ่งแม่เมืองถอนพระทัยไปนิด
พยักพระพักตร์ให้นางกำนัลปิดตำหนัก และให้พวกพระนาง รวมทั้งขันทีออกไปจนหมด เมื่อปลอดคนดีแล้วพระนางจึงได้ลดเสียงลงมา อย่างให้เห็นว่าสิ่งที่พระนางจะตรัสต่อไปนี้สำคัญ และเป็นความลับยิ่งนัก
“เจ้าจอมมีชู้กับองครักษ์ขององค์ปฐมเจ้าผู้ครองแคว้น แต่เพื่อไม่ให้เรื่องนี้อื้อฉาวออกไป จึงสั่งให้คนทั้งสองกินยาพิษฆ่าตัวตาย จากนั้นตระกูลเฉียน จึงมิอาจได้เป็นแม่เมืองอีก และตระกูลโจวให้ตระกูลเฉียน รับเป็นคำสัตย์ มิให้บอกลูกหลานถึงความอัปยศนี้ ทั้งมิให้สงสัยว่าทำไมคนตระกูลเฉียน จึงได้ตำแหน่งแต่เพียงเจ้าจอมมารดาเท่านั้น”
“ช่างน่าละอายนัก”องค์หญิงตรัส แล้วรีบเอามือปิดพระโอษฐ์ ยิ้มอย่างขลาดๆให้พระมารดา เอี้ยนอ๋องพยักพระพักตร์รับทราบพลางกล่าว
“วันนี้ลูกได้ทราบความจริงที่ลูกหลานสกุลเฉียนไม่มีโอกาสได้รู้ แม้ว่าท่านชายจะเหน็บแนมอย่างไม่พอพระทัยสกุลชิงอีก ลูกก็จะอดกลั้นไม่ให้ขุ่นเคืองต่อท่านชายให้มากกว่านี้พ่ะย่ะค่ะพระมารดา”
“นั่นย่อมสมควรแล้วชายใหญ่ บุคลที่พูดมาก ย่อมแสดงความโง่เขลาออกมามาก และบุคลใดเป็นผู้ฟังมาก เขาจะเป็นผู้ที่รอบรู้มากจำไว้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เพคะพระมารดา”พระโอรสและพระธิดาต่างรับคำ ขณะนั้นเป็นเวลาเดียวกับ เสียงร้องขานดังมาจากขันทีว่า
“เจ้าผู้ครองแคว้นเสด็จ”เสียงร้องขานดังมา นางกำนัล และขันทีรีบเปิดประตูออกรับ อ๋อง และองค์หญิงต่างเตรียมพระองค์ให้เรียบร้อย เพราะว่าทรงกลัวพระบิดามาก
เวลาไม่นานนัก เจ้าผู้ครองแคว้นก็เสด็จมาถึงตำหนักใน แม่เมืองถวายบังคมด้วยท่าทีนุ่มนวล โอรสและพระธิดาถวายบังคมโดยพร้อมเพรียง
เจ้าผู้ครองแคว้นเสด็จมาคราวนี้มีพระอาการผิดแผกกว่าเดิมเล็กน้อย คือพระองค์มุ่งพระเนตรจับที่องค์แม่เมืองราวกับค้นหาแววพิรุธบางอย่าง แม่เมืองเป็นหญิงฉลาดจึงรับความรู้สึกนี้ได้อย่างรวดเร็ว พระนางจึงตรัสออกมาว่า
“หม่อมฉันช่วยเหลือราชกิจใดได้บ้างเพคะฝ่าบาท”
เอี้ยนอ๋องเป็นผู้มีไหวพริบดี ดังนั้นเมื่อลอบสบพระเนตรพระมารดาพียงนิดเดียวก็ทราบว่าพระมารดา มีเรื่องจะรับสั่งกับพระบิดาตามลำพัง ดังนั้นอ๋อง จึงชวนพระขนิษฐาควรออกไปจากพระตำหนักแม่เมือง เมื่อยู่ตามลำพัง แม่เมืองสั่งนางกำนัลว่า
“ไปนำขนมที่ทรงโปรดมาถวาย”
“ไม่ต้องหรอก หลิงหลิง(เสียงหยก)เรามีเรื่องสนทนากับเจ้าตามลำพัง”
ดังนั้นแม่เมืองจึงให้ข้ารับใช้ในพระตำหนักออกไปจนหมด พร้อมกับทรงเชิญเสด็จองค์เจ้าผู้ครองแคว้นประทับบนพระเก้าอี้ แล้วเข้าถวายการบีบนวดเอาพระทัย
“เหน็ดเหนื่อยเรื่องใดหรือเพคะฝ่าบาท”
“มีข่าวไม่ดีงามเข้าหูเรา”
“เรื่องใดเพคะเจ้าพี่”แม่เมืองทูลถาม แต่เมื่อเห็นพระอิริยาบถที่หนักพระทัยขององค์เจ้าผู้ครองแคว้น พระนางจึงลดเสียงนุ่มนวล
“โปรดอย่าปิดบัง เพราะเกรงว่าหม่อมฉันจะเสียพระทัยในดำรัสของพระองค์ เพราะ หากมีสิ่งคั่งค้างพระทัยของพระองค์นั่นคือสิ่งที่ทำให้หม่อมฉันเสียใจมากกว่าที่ไม่สามารถแบ่งเบาความทุกข์ร้อนของพระองค์ออกมาได้”
เจ้าผู้ครองแคว้นถอนพระทัยยาว ก่อนกุมพระหัตถ์แม่เมืองบีบเบาๆ ก่อนตรัสออกมาจากพระทัย
“เราไม่ได้มาที่นี่ถึงสองเดือน เจ้าตำหนิเราหรือไม่”
“ทูลฝ่าบาท เพียงมีเมตตาต่อหม่อมฉันไม่เสื่อมคลาย หม่อมฉันไม่มีเรื่องตำหนิสักนิดเดียว ดูเหล่าสนมบางคน เข้าถวายตัวสามปี ฝ่าพระบาทยังไม่เคยเสด็จไปเยือนสักครา กับหม่อมฉันซึ่งได้รับพระเมตตามาโดยตลอดยังจะมีสิ่งใดควรน้อยพระทัยหรือเพคะ”
“หลิงหลิง”เจ้าผู้ครองแคว้นตวัดวงแขนรัดพระวรกายของพระมเหสีเข้ามาโอบกอดโดยแน่น ก่อนประทานจุมพิตนุ่มนวล
“เช่นนั้นข่าวลือว่าเจ้าไม่พอใจเราจนเอาพระทัยออกห่างเรา ก็ไม่จริงน่ะสิ!”
“โอ้ฝ่าพระบาท”แม่เมืองค่อนข้างตกพระทัยกับคำครหาที่หนักหนานี้
พระพักตร์ของพระนางเผือดซีด พระวรกายสั่นเทาด้วยความโกรธ เจ้าผู้ครองแคว้นคลายอ้อมพระกรลง สังเกตกิริยาของแม่เมืองราวกับจับผิดอีกครั้ง แม่เมืองเงยขึ้นสานสบพระเนตร แล้วคุกพระวรกายลง แตะพระพักตร์กับพระบาทของพระสวามี ตรัสปนเสียงสะอื้นด้วยความเสียพระทัยว่า
“อย่างว่าแต่จะเกิดเรื่องอัปยศเช่นนั้นจริงเลย แม้หม่อมฉันเพียงคิดฝัน หม่อมฉันจะเชือดคอตายทันทีที่คิดเรื่องน่าบัดสีเช่นนั้น”
เจ้าผู้ครองแคว้นรีบประคองพระวรกายของแม่เมืองขึ้นมา กอดประทับ แล้วเช็ดน้ำพระเนตรของพระนางให้เหือดแห้ง หากมันกลับรินไหลออกมาใหม่ จนเจ้าผู้ครองแคว้นต้องรีบปลอบอย่างอ่อนโยนเป็นการเอาพระทัยแม่เมืองว่า
“ไม่เอา เรื่องอันใดเจ้าจึงเสียใจปานนี้ เจ้าบอกให้เราบอกเจ้าเองนะคนดี”
“แต่พระองค์ทรงเชื่อข่าวนั้นนี่เพคะ”
“ถ้าเชื่อมีหรือเราจะมาหาเจ้าจริงมั้ย”
“มาคาดคั้นหม่อมฉันให้เชือดคอต่างหาก”แม่เมืองแสร้งทำแง่งอน ฉวยมีดสั้นที่เหน็บอยู่บั้นพระองค์ของเจ้าผู้ครองแคว้น ซึ่งองค์เจ้าผู้ครองแคว้นพระทัยหายวาบ รีบปัดทิ้งจนมีดตกสู่พื้น พระองค์ไม่สนพระทัย พลางช้อนพระวรกายแม่เมืองขึ้นสู่ในอ้อมพระพาหา เสด็จลิ่วเข้าที่รโหฐาน พลางตรัส
“หากคิดตายเราจะเหมาเอาว่าเจ้าเป็นจริงดังคำครหานะแม่เมือง”
“ฝ่าบาทขี้โกงนี่เพคะ”พระนางตัดพ้อด้วยพระเนตรหวานระยับ ยั่วยวนในที ก่อนเลื่อนพระหัตถ์ปลดกระดุมผ้าชุดฉลองของพระสวามีออกอย่างช้าๆ
เจ้าผู้ครองแคว้นมีพระเนตรเปล่งประกายด้วยความสุข ทอดพระองค์รอรับการปรนนิบัติจากแม่เมือง ดังนั้นสิ่งที่เคลือบแคลงพระทัยจนมิอาจทำราชกิจได้จึงค่อยคลายไป พร้อมความสุขลึกล้ำค่อยคืบคลานเข้ามาสู่พระวรกาย แล่นซ่านทั่ว ไม่เว้นสักคืบนิ้วทั้งพระวรกาย
ในม่านแห่งพระหฤทัย พันธนาการแห่งความเคลือบแคลงจากเรื่องนินทาว่า มีบุรุษกล้าเข้าตำหนักใน และมีทางลับเข้าออกจากตำหนักแม่เมือง กอบกับองค์เจ้าผู้ครองแคว้นห่างจากแม่เมืองไป ดังนั้นด้วยความรักพระองค์จึงหวาดระแวง หากเวลานี้แม่เมืองได้ปลดเปลื้องพันธนาการให้องค์เจ้าผู้ครองแคว้นเป็นอิสระจนรู้สึกพระวรกายล่อยลอยขึ้นสู่ปุยเมฆสีขาวได้แล้วกระนั้น
บนแท่นบรรทมทรงหลับอย่างสนิท ลืมพระเนตรคราใดก็ได้เห็นรอยแย้มสรวลอ่อนโยนของแม่เมืองเมื่อนั้น เจ้าผู้ครองแคว้นลูบไล้พระหัตถ์ไปตามพระอังสะ แล้วละเรื่อยลงไป ไม่เลือกว่าจะสะดุดอยู่ ณ.จุดใดบ้าง ส่วนพระโอษฐ์ก็ตรัสไปพลาง
“เราต้องไปแคว้นต้าหู่ (เสือใหญ่) เจ้าต้องรักษาตัวให้ดีนะหลิง หลิง”
“ฝ่าบาทต่างหากเพคะที่ต้องรักษาตัว เพราะหม่อมฉันฟังมาว่าแคว้นต้าหู่ยามนี้อากาศหนาว มีหิมะตกมาก จนหาแผ่นดินไม่ได้แล้ว เอ่อหม่อมฉันจะตัดเสื้อขนสัตว์ถวาย”
“คงไม่ทันแล้ว เพราะอีกเพียงสามวันเท่านั้นเราก็จะเดินทาง”
“สามวัน หม่อมฉันมีเวลาพอเพคะ จะรีบเกณฑ์นางกำนัลทั้งตำหนัก…”แม่เมืองยังตรัสไม่จบ เจ้าผู้ครองแคว้นทรงกอดรัดพระนางไว้แนบแน่น
“สามวันนี้เราจะทดแทนสามเดือนที่จากเจ้าไปต่างหาก เรื่องเสื้อไม่สำคัญเท่ากับเจ้าหรอกแม่เมือง”
“ฝ่าบาท”พระนางครางลอดริมพระโอษฐ์สวย ก่อนที่จะถวายการปรนนิบัติพระสวามีด้วยความสุขอันลึกล้ำอีกครา
....................................................