รักแรกแต่ปางบรรพ์ (นางแก้ว)

รักแรกแต่ปางบรรพ์ (นางแก้ว)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: รักแรกแต่ปางบรรพ์
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ตอนที่ 1 ทีฆายุเจ้า

 ธารปุระอาณาจักร ธารปุระ กว้างใหญ่ไพศาล และทรงอำนาจเหนืออาณาจักรโดยรอบ นับแต่ก่อร่างสร้างเมืองแผ่อิทธิพลโดยการทำศึกสงคราม รุกรานอย่างเหี้ยมโหดต่อแว่นแคว้นที่อ่อนแอ ร่ำรวยจากส่วยประเทศราชที่ตกเป็นเมืองขึ้น

 บรรพกษัตริย์ทุกพระองค์ ชื่นชอบการทำสงคราม จวบจนรัชสมัยของ ทีฆายุ พ่อเจ้า  พระองค์สืบสายตรงมาจากพ่อเจ้ารัชกาลที่สี่ และแม่ยั่วหัว ซึ่งทั้งสองได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว

พ่อเจ้า ทีฆายุได้รับราชสมบัติตั้งแต่ยังทรงมีพระชนม์มายุเพียงสิบหกพรรษา หากมิได้มีการคัดค้าน หรือมีอุปราชใดๆมีอำนาจเหนือกว่า พระองค์ ทรงออกศึกเคียงบ่าเคียงไหล่กับพ่อเจ้าของพระองค์เมื่อพระชนม์เพียงสิบชันษา ทรงมีพระทัยตั้งมั่น สิ่งใดต้องประสงค์ สิ่งนั้นต้องได้  ทรงเป็นที่ยำเกรงยิ่ง ทั้งเชื้อพระวงศ์และข้าราชบริพารไม่มีเว้นสักคน

                บัดเดี๋ยวนี้ทีฆายุพ่อเจ้า มีพระพรรษาล่วงเข้าสู่วัยฉกรรจ์  พระวรกายสูงใหญ่เหนือบุรุษใดในนครแห่งนี้  อังสะกว้างแข็งแรงราวปราการแกร่ง พักตร์งามมีเค้าคมคาย เยี่ยงบุรุษชายชาติอาชาไนย  หากดุดัน ไร้รอยแย้มสรวล พระฉวีสีทองแดง ถึงไม่ทรงโหดเท่าพระอัยกา พระบิดาเจ้า หากกิตติศักดิ์พระนามลือไกล อย่าว่าแต่บุคลผู้รู้ความ เมื่อมีการอ้างถึงพระนาม ทารกอ่อนเยาว์ต่างมิกล้า ดื้อดึง หรือร่ำร้องงอแง

แต่มิใช่มีเพียงพระเดชเท่านั้น พระองค์ทรงมีพระเมตตาต่อข้าราชบริพารในแผ่นดิน เยี่ยงบิดามีต่อบุตร ทุกผู้นามในนครแห่งนี้จึงถวายความจงรักภักดี อย่างยอมถวายชีวิตเป็นราชพลี

ท้องพระโรงโอ่โถง หมู่เสนาอำมาตย์หมอบเฝ้า ทั้งฝ่ายนอก แลฝ่ายในครบถ้วน เสนาบดีฝ่ายนอก ชื่อท่านจันทร์ ฝ่ายในนั้นเล่าชื่อท่านนาคร และคุณท้าวดูแลหญิงฝ่ายในทั้งหมดในเวลานี้คือ คุณท้าวศรีคำ

 การแต่งกายของข้าราชบริพารขณะเข้าเฝ้าทุกคนล้วนเกล้าผม สวมปลอกทองคำ

 ฝ่ายบุรุษสวมเสื้อสะพายไหล่ ผ้านุ่งยาว สีสันต่างกัน แต่ไม่มีผู้ใดใส่สีม่วง และสีขาว ซึ่งถือกันว่าเป็นสีของเจ้านายชั้นสูง คาดเอวด้วยเครื่องประดับต่างๆกัน ที่เป็นสตรีใส่ผ้ารัดอก มีสไบผืนบางใสแยกเป็นสองผืนเหน็บจากขอบผ้านุ่ง ซึ่งคาดเข็มขัดและมีผ้าห้อยหน้า กลัดติดรวบผ้าสไบที่อกด้วยเครื่องประดับ คลุมทับพาดไหล่ทั้งสองข้าง ยาวไปทางด้านหลัง แต่งเครื่องประดับสวยงาม

  วรกายสูงสง่า พระเกศายาวดำสนิทเกล้าเป็นมวยครอบมงกุฎทองคำ ทรงเครื่องกษัตริย์ชั้นสูงครบถ้วน  ผ้าทรงสะพักบางใสเหมือนใยแก้วยาวพาดอังสะเบื้องซ้ายคลุมถึงพระกโบร(ข้อศอก)ติดชายข้างทั้งสองที่บั้นพระเอวเบื้องขวา ทรงทับทรวง  พาหุรัด และทองพระกรสร้อยสังวาลแก้วมณีสีรุ้งพราย  ภูษาทรงโกไสยพัสตร์ยาวกรอมพระบาทสีพื้นขาวทอลายทองขลิบรอบผืน  รัดพระองค์ ชายไหวทักทอด้วยผ้าไหมขลิบทอง เหน็บพระแสงมีดสั้นปลอกทองคำประดับมณีสีแดงฉานพระหัตถ์ทรงดาบพร้อมฝักคู่พระทัย ซึ่งไม่เคยไว้ห่างองค์

เสด็จผ่านเสนาอำมาตย์ทั้งฝ่ายการปกครอง และฝ่ายการรบ ซึ่งแบ่งแยกการหมอบเฝ้าเป็นสองทาง ทรงขึ้นประทับนั่งบนบัลลังก์ราชสีห์ทองคำปูราดด้วยพระอาสน์สีแดงฉานผู้ตามใกล้ชิด มิห่างองค์ คือแม่ทัพคู่พระทัย ซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยง และพระสหายกันมาแต่ทรงพระเยาว์ มีนาม ว่า แม่ทัพ สิงห์

แม่ทัพสิงห์ร่างกายสูง แข็งแกร่ง ใบหน้าคมคายเรียบเฉย สวมผ้าสะพายไหล่ และผ้านุ่งยาวกรอมเท้าสีแดงห้อยหน้าคาดเข็มคัดนาก มือถือดาบพร้อมฝัก เหลือบแลสายตาคอยระแวดระวังภัยให้พ่อเจ้าด้วยความจงรักษ์ภักดี อันหาที่สุดมิได้  

เพียงพ่อเจ้าทีฆายุสบประเนตรลงมาสานสบ ท่านสิงห์จะทราบพระประสงค์ที่ต้องการทันที และในธารปุระนคร ท่านสิงห์จึงมีอำนาจรองจากพ่อเจ้าทีฆายุ เขาเป็นที่ยำเกรงของทุกคน เมื่อพ่อเจ้าประทับนั่งแล้ว ท่านสิงห์จึงทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ศิลา ปูลาดพื้นด้วยผ้าสีเหลือง เหนือราชการคนอื่นๆทั้งปวง กองสอดแนมเป็นชายร่างเล็ก คลานออกจากที่นั่งหลังสุด เข้ามายอบกาย เงยหน้าขึ้นทูลความต่อเบื้องพระพักตร์

“ทูลพ่อเจ้า”ทุกคนนิ่งฟัง พ่อเจ้ามิได้ตรัสประการใด ทรงรอให้มันผู้นั้นได้ทูลต่อ

“บัดเดี๋ยวนี้เมืองคราม เมืองใหญ่ทางใต้ของแคว้นธารปุระได้เอาใจฝักใฝ่ในแคว้นหริวงศ์ อันเป็นเมืองกล้าแข็ง แทนที่จะยอมสวามิภักดิ์ทางแคว้นธารปุระเจ้า พ่อเจ้า”

องค์เหนือหัวเคร่งไปถนัด เมืองครามเป็นเมืองใหญ่ อยู่ทางตอนใต้ติดเมืองประเทศราชชื่อโขนลำพง เดิมทีเป็นพันธมิตรกับธารปุระ มิได้มีท่าทีฝักใฝ่หริวงศ์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ ไม่น้อยกว่าธารปุระแห่งนี้ ต่างฝ่ายต่างทรงอำนาจ และดูท่าทีกันอยู่โดยมิได้รุกรานกัน เมืองครามเป็นเมืองกั้นกลางสองนครท่ามกลางประเทศราช การที่ทรงเว้นเมืองครามไม่ล่าเป็นเมืองขึ้น เพราะต้นเค้า พระมาตามหัยกา(ย่าทวด)ทรงเป็นเจ้านางจากเมืองคราม

“ข้าน้อยได้แฝงตัวเข้าไปรับใช้ถึงในวังได้สองปี ทราบข่าวมาโดยแจ้ง หริวงศ์คิดผูกไมตรีโดยสู่ขอเจ้านางน้อย อมรา พระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวของเมืองครามไปเป็นพระเทวี ซึ่งเมืองครามได้ตอบราชสาสน์ตกลงไปแล้ว เจ้า พ่อเจ้า”

อำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่ทูลแทรกทันทีด้วยมิอาจกลั้นโทสะแทนพ่อเหนือหัวของตน

“เมืองครามทำดังนี้ดังมิเห็นแก่ความเป็นญาติกันมา”

“ข้าน้อยเห็นตามท่านอำมาตย์ เจ้า พ่อเจ้า”เสนาบดีฝ่ายกรมวัง ท่านนาครทูลหนุน

“เมืองครามรู้ดีว่าธารปุระมิได้คบหาหริวงศ์ เมืองครามมิควรส่งเจ้านางน้อยไปให้เป็นพระเทวีเมืองหริวงศ์”พระพักตร์ที่ทรงขรึมอยู่แล้วยิ่งเครียดราว เทวรูป นักรบมิปาน

 พวกข้าราชบริพารมิอาจรู้พระทัยว่าจะทรงทำประการใด ต่างพากันเงียบกริบก้มมองพื้นท้องพระโรง ไม่ให้มีแม้แต่เสียงลมหายใจไปต้องพระโสตเจ้าเหนือหัวให้ทรงไม่พอพระทัย ครู่หนึ่งทีฆายุ พ่อเจ้าทรงดำรัสด้วยพระสุรเสียง ทุ้ม หากห้าว กังวานท้องพระโรง หลังจากนิ่งไป

 “หยุดเรื่องเมืองครามไว้ก่อน”ทรงตรัส แล้วหันไปทางเสนาบดีวัยห้าสิบผู้ดูแลต่างพระเนตรพระกรรณฝ่ายนอก “เจ้าจันทร์ ชาวเมืองเราค้าขายกันคล่องดีอยู่รึ ข้าทาสจากต่างเมืองมีความกระด้างกระเดื่องฤาหาไม่”เสนาบดีจันทร์ทูลด้วยความจงรักษ์

“ทูลพ่อเจ้า ชาวเมืองธารปุระนับว่ามีวาสนาที่ได้อยู่ใต้ร่มบรมโพธิ์สมภารของพ่อเจ้า ชาวเมืองมั่งคั่งและมีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย ตลาดค้าทาสยิ่งมีคนใฝ่หาข้าทาสกันมิได้ขาด เจ้า พ่อเจ้า”

“ลูกๆข้าทุกผู้มีความสุข ข้าจึงจักสบายใจได้ว่าเป็นพ่อแห่งแผ่นดินนี้” สิ้นพระสุรเสียง

เสียงสรรเสริญพระบารมีดังขึ้นจากข้าราชบริพารทุกผู้

“มีเรื่องร้อนใดอีกหรือไม่”

 “บรรณาการจากประเทศราช เป็นเจ้านางเลอโฉม ข้าน้อยได้ส่งให้คุณท้าวฝ่ายใน”

เสนาบดีฝ่ายในทูล

                คุณท้าวศรีคำเป็นหญิงวัยกลางคน ท่วงทีน่าเกรงขาม นางกำนัลฝ่ายในล้วนให้เกียรติ และยำเกรง นางมีอิทธิพลไม่น้อย ทูลพ่อเจ้าด้วยน้ำเสียงฟังชัด

“ข้าน้อยได้ตรวจดูความเป็นเบญจกัลยาณีอย่างครบถ้วน รอการเข้าเป็นบาทบริจาริกาเพคะพ่อเจ้า”

“เรื่องนั้นมิต้องนำมาให้เรา เจ้าดูแลไว้ก่อน”ข้าราชบริพารพากันซ่อนยิ้มมิให้ทีฆายุพ่อเจ้าได้เห็น ทุกคนต่างทราบ ทรงโปรดการรบ มากกว่าอิสตรี

 เมื่อออกจากท้องพระโรงแล้ว ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ต่างจับกลุ่มพูดคุยด้วยความวิตกเป็นบางส่วนทั้ง เสนาบดีดูแลฝ่ายนอก ท่านจันทร์ อำมาตย์ เรือง และเสนาบดีกรมวังฝ่ายในท่านนาคร ทั้งคุณท้าวศรีคำ  ท่านนาครกล่าวกับผู้ที่น่าจะมีบทบาทมากที่สุดกับการถวายนางสนม

“หากไม่ทรงไยดีในพระสนมที่มีอยู่ หรือเจ้านางที่เป็นบรรณาการ แล้วเมื่อใดจักมีพระยุพราชเจ้าคุณท้าว”

“มีรึที่ข้าเจ้าจักมิรู้ร้อนในเรื่องนี้ หากเมื่อพ่อเจ้าไม่ต้องพระประสงค์สิ่งใด ใครเล่าจักทำให้ระคายเคืองเบื้องพระบาท”

“ราชวงศ์ ธารยุทธ์นี้มีพระหน่อยากนัก ที่มีล้วนเป็นเจ้านางซึ่งห้ามเข้ายุ่งเกี่ยวการเมือง ทุกครั้งต้องมีการบวงสรวงพระผู้สร้างจึงได้พระหน่อ หากก็ยากนัก ดูอย่างพ่อเจ้าแห่งเรา”ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทุกคนพยักหน้า ทีฆายุพ่อเจ้ามีประสูติการเมื่อพ่อเจ้าพระองค์ก่อนมีพระชนม์มากแล้ว แต่ทีฆายุพ่อเจ้ามีราชอำนาจเด็ดขาดมาแต่พระเยาว์ไม่มีใครกล้าแม้แต่คิดชิงบัลลังก์

“ทรงครองแผ่นดินกว่าสิบปีแล้วนะท่าน”

“ข้าน้อยหาวิธีแล้วเล่า ให้พ่อเจ้าเสด็จวังใน แต่ว่า”คุณท้าวส่ายหน้าไปมาแทนคำกล่าวต่อ เสด็จเพียงสระปทุมกั้นไม่เคยเสด็จผ่านไปวังในนับเวลานานปี

เสนาบดีฝ่ายนอก ท่านจันทร์รำลึกถึงคำทำนายพระสุบินของพ่อเจ้าพระองค์ก่อน จึงกล่าว

“พ่อเจ้าทีฆายุเปี่ยมล้นบารมี จะทรงมีราชโอรสมีชัยเหนือแผ่นดินทั้งปวง”

“เมื่อใดเล่าสุบินนั้นจักเป็นจริงขึ้นมา ในเมื่อไม่มีเจ้านางใดที่ทรงโปรด”

“ดูก่อน”อำมาตย์เรืองกล่าวอย่างสุขุม “พระชนม์มายุไม่มากเท่าใด เราไม่ควรร้อนใจกันเกินไปนัก”

“ยี่สิบแปดพรรษาแล้วนะท่านเรือง จักมิให้กังวลเชียวหรือ”ท่านนาครยังร้อนนัก หันไปทางคุณท้าวศรีอีกครา “เป็นหน้าที่ของคุณท้าวแล้ว หาไม่ไหนเลยจักได้ชมพระบารมีอันยิ่งใหญ่ของพระยุพราชเจ้า”

“ยังมิใช่เวลาอันควร”ปุโรหิตแก่ชราผู้หนึ่งกล่าวเสริม จำวันวานที่ได้เข้าเฝ้าและฟังคำทำนายพระสุบินของพ่อเจ้าพระองค์ก่อนได้ ดวงอาทิตย์ลอยลงมาอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ ดวงอาทิตย์นั้นแบ่งออกเป็นดวงแก้วลอยเหนือแว่นฟ้า ส่องแสงสว่างทั่วทั้งแผ่นดิน

“เวลาอันควรที่ท่านเอ่ยนั้น ต้องรอนานเพียงใด พวกเราจักได้ชื่นชมพระบารมี”ต่างถอนใจยาวด้วยความกระหายใคร่ให้คำทำนายนั้นเป็นจริงโดยเร็ว พระยุพราชเจ้าผู้มีบารมีสูงส่ง ท่านปุโรหิตชราหรี่ตาฝ้าฟางลง รู้แต่เพียงลำพังคนเดียว

ลิขิตที่มีมา ลางทียังไม่อาจเปิดเผยได้ พระยุพราชเจ้าผู้ที่จะมีพระประสูติกาลที่น่ากลัวนัก!

อุทยานฝ่ายใน สาวๆทั้งนางกำนัล และพระสนมที่มิได้มีการแต่งตั้งเป็นทางการหลายสิบคนต่างกระจายกันชมสวนเป็นกลุ่มๆ บางกลุ่มนั่งสนทนาปราศรัยกันอย่างเหงาๆ บ้างเรียงร้อยดอกไม้อย่างยอมรับชะตากรรม  ต่างถูกถวายเป็นบาทบริจาริกา หากไม่มีใครได้ถวายงานเกินหนึ่งครั้ง พ่อเจ้าไม่ทรงโปรดใครเป็นพิเศษ

หากว่าแต่ละนางเมื่อได้มีการถวายการรับใช้เบื้องยุคลบาทแล้ว ล้วนมีความจงรักภักดีเทิดเหนือเกล้า บางนางหวังโชคดี เพียงครั้งเดียว มีพระหน่อเจ้า หากเปล่าเลย อยู่ในวังนี้ไม่มีใครสักคน วาสนาสูงเพียงนั้น ชีวิตของแต่ละนางจึงเหมือนนกน้อยในกรงทอง ปล่อยวันๆให้หมดไปกับอุทยานดอกไม้แสนงดงาม ที่พ่อเจ้าแทบไม่เคยเยื้องพระบาทเข้ามา

สระบัวกว้างกลางราชอุทยาน  อีกฝั่งหนึ่งมีพลับพลาที่ประทับยามว่างราชกิจของพ่อเจ้า ถัดไปไกลพอควรเป็นวังหลังสำหรับขังเจ้านางผู้มีโทษผิด ที่แห่งนั้นเงียบเหงาและเป็นที่หวาดกลัวของเหล่านางสนมกำนัลในยิ่ง

“นั่นพ่อเจ้า”พระสนมนางหนึ่งชะเง้อเห็นพ่อเจ้า ประทับในศาลาพระเกี้ยวยื่นลงไปในสระ ท่านสิงห์ตามรับใช้ใกล้ชิด เพียงได้ยิน นางสนมกำนัลต่างพากันกรูเข้าไปชื่นชมพระบารมี รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากทุกผู้ หากว่า เป็นรอยแห่งความเศร้ายิ่งนัก ใคร่ได้เข้าเฝ้าอีกสักครั้ง

“ทรงมีราชกิจไม่เว้นว่าง”

“คงจะออกศึกอีกกระมัง”ต่างบอกเล่าเพียงผ่านๆ

“เมื่อใดกัน พวกเราจะได้เข้าเฝ้าอีกครา”น้ำเสียงเศร้า ปนความหวังเอ่ยออกมาลอยๆ

ทีฆายุพ่อเจ้า ประทับยืนกอดพระอุระ ทอดพระเนตรลงไปที่ดอกบัวบานสีขาวสะอาด ในสายพระเนตรไม่แลเลยไปถึงอีกฟากฝั่งของสระประทุม ซึ่งเหล่าสนมกำนัลพยายามยิ่งที่จะส่งเสียงเป็นสัญญาณให้ดังถึงพระโสตหากว่าพระองค์มิได้สนพระหทัยไปกว่าราชกิจที่กำลังตรัสกับแม่ทัพคู่พระหทัย

“จัดกองโจรสักสิบคน เอามือฉมังที่สุด”

“กองม้าจะทันการนะเจ้า พ่อเจ้า”ท่านสิงห์รู้พระหทัย พ่อเจ้าสรวลในพระศอ ก่อนตรัสด้วนความอหังการ

“ข้าอยากควักดวงใจนครใหญ่อย่างหริวงศ์มาดูเล่น”

“เมืองครามคงจะมีสำนึก ลนลานมากราบเบื้องพระบาท ว่ามิควรข้ามไปฝักใฝ่หริวงศ์”

“ถูกแล้วพี่ข้า ให้มันได้สำนึกว่ามิบังควรหมางเมินต่อทีฆายุเจ้า”ตรัสเด็ดขาดเช่นพระเนตรดุดัน ท่านสิงห์เผยยิ้มเพียงนิด พ่อเจ้าเลิกพระขนงด้วยไม่เข้าพระหทัยในพี่เลี้ยง และแม่ทัพคู่พระหทัย

“ยิ้มมีเล่ห์อันใดกัน”

“ฟังข่าวจากเจ้าคนสอดแนม มันว่าได้เคยยลโฉมเจ้านางน้อย งดงามนัก”

“งามหรือไม่ สำคัญอันใดกัน”ทรงชี้พระหัตถ์ไปที่เหล่าสนมกำนัลอีกฟากสระประทุม

“แก่งแย่งชิงดีล้วนน่าเบื่อหน่าย เป็นที่รำคาญใจข้านัก”

“สตรีเกิดมาเพื่อคู่บุรุษ”

“ชาติอาชาไนย ต้องมีสิ่งคู่ควรยิ่งกว่าอิสตรี”

“เพียงการรบเห็นจะไม่พอ เจ้า พ่อเจ้า”

“ก็แล้วพี่เราไยไม่มีหญิงสักคนเล่า”ทรงย้อนไปที่แม่ทัพหนุ่ม

ท่านสิงห์ถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความคุ้นเคยกันมาแต่เยาว์ถึงจะมีศักดินามาก หากท่านแม่ทัพสิงห์ พอใจที่จะตามเสด็จพ่อเจ้าไปทั่วทุกหัวระแหงมากกว่า เสียงดำรัสทุ้มห้าวกังวานดัง

“อิสตรีเป็นผลพวงของการเล่นสนุกของข้าในครั้งนี้คงได้”ตรัสด้วยความทระนง

 ไม่มีผู้ใดหาญกล้ามาต่อกร

 การชิงคู่หมั้นหมายของหริวงศ์ มิใช่เพียงการเล่น หากพระองค์ยั่วเพื่อหยั่งดูท่าที หริวงศ์

จักทำฉันท์ใด!!!


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (71 รายการ)

www.batorastore.com © 2024