ดวงใจในฝัน (บุญญรัตน์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 150.00 บาท 37.50 บาท
ประหยัด: 112.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

 

          เรือนร่างของเธอเปลือยเปล่า..ยิ่งไปกว่านั้น..เขาเองก็เปลือยร่างอยู่ด้วยเช่นกัน..!

          เขาและเธอนอนอยู่ด้วยกันบนเตียงแคบๆ ภายในห้องเล็กๆที่มีแสงไฟตามไว้เพียงสลัวๆ ทั้งยังมีผ้าห่มบางๆเพียงผืนเดียวที่คลุมร่างเขาและเธอไว้

            ผิวพรรณของเธอขาวผ่อง ไม่ถึงกับซีดจนไร้สีสันหรือซีดเซียวเหมือนสีขี้เถ้า แต่ออกไปทางนวลเนียนเหมือนน้ำนมแพะในคอกหลังบ้านมากกว่า

            แต่ว่า..บ้านหลังนั้นมันตั้งอยู่ที่ไหนกันเล่า..?

            เธอเปรียบเสมือนงาช้างแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง ผิวเนียนนุ่มราวแพรไหมไร้ตำหนิ ทั้งท่อนแขนและปลายนิ้วเรียวงาม แต่มันช่างเย็นเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อทาบอยู่กับเนื้อตัวร้อนรุ่มของเขา เธอไล้สัมผัสไปทั่วเรือนกายเขา ตั้งแต่แนวคิ้ว สันกราม ช่วงไหล่ลงไปจนกระทั่งถึงต้นขา เขาไม่อยากให้เธอหยุดมือลงเพียงแค่นั้นเลย อยากให้ช่วงเวลานี้ดำเนินไปอย่างไม่รู้สุดสิ้น

            เขายื่นมือออกไปโลมไล้ร่างกายเธอ เนื้อตัวเธออ่อนนุ่ม เนียนมืออย่างที่ควรจะเป็น..

            เขาประทับจูบลงบนเรียวปากเย็นๆนุ่มๆ ได้ยินเสียงถอนหายใจบางเบา ความรู้สึกในยามนี้เหมือนกำลังกินไอสครีมในวันแห่งฤดูร้อน จากนั้นความร้อนก็ค่อยๆกรุ่นขึ้น จนในที่สุดมันก็กลายเป็นเปลวเพลิงที่ลามไหม้เขาอยู่ เขากำลังถูกไฟพิศวาสวาทผลาญเผา มันร้อนลวกด้วยฤทธิ์แรงแห่งปรารถนาที่เขามีต่อเธอ

            เธอครางแผ่วอยู่ในลำคอและเขาก็ได้ยินเสียงตัวเองประสานรับ..

            เขาเลื่อนมือข้างหนึ่งลงบนต้นขาเรียวงามของเธอ ตั้งใจจะให้เธอเป็นของเขาให้ได้ ขณะเดียวกันก็โน้มตัวลงไปหา ประทับจูบลงบนเรียวปากอีกครั้ง ก่อนจะไล้เลื่อนลงมาถึงยอดทรวงและเนียนเนื้อตรงหน้าท้อง..

            จากปฏิกิริยาที่เธอแสดงออก เขารู้ได้ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นชาย ว่าทุกสัมผัสของเขานั้นเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเธอ เขาบอกตัวเองอยู่ว่า..ในเมื่อเขาเองก็ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นเขาจะต้องทำทุกสิ่งให้เป็นไปอย่างถูกต้อง และเขาจะต้องทำในสิ่งนั้นทันทีที่วางมือจากการโลมเล้า

            ณ ที่ใดที่หนึ่ง มีเสียงประตูถูกกระแทกปิดดังก้องขึ้น

            เสียงผู้หญิงกรีดร้อง..

            เสียงผู้ชายเอ็ดตะโรดังลั่น..

            เสียงเหล่านั้นดังมาจากข้างหลัง..

            ในยามนี้เขาไม่ได้อยากให้มีสิ่งใดมารบกวนเลย เมื่อเขาเหลียวหลังไปมองก็เห็นมือหยาบกร้านหลายคู่ที่กระชากไหล่เขาขึ้น..

            เขาและเธอถูกแยกร่างออกจากกัน..

            ไม่เพียงเท่านั้น เขายังถูกกระชากขึ้นจากเตียง ถูกบังคับให้ยืนเปลือยกายอยู่ต่อหน้าทุกคน ทั้งยังถูกจับมัดไพล่หลัง ส่วนเธอนั้นได้รับการปกป้องด้วยผ้าห่อกายผืนใหญ่ มีสตรีนางหนึ่งคอยดูแล

            ทุกเสียงล้วนตวาดใส่หน้า..

            ทุกเสียงล้วนกราดเกรี้ยว..

            ในวินาทีต่อมา ใครบางคนได้ยกไม้เท้า หรือแผ่นไม้อะไรสักอย่าง ฟาดใส่ไหล่เขาเต็มเหนี่ยว ทำให้เขาถึงกับทรุดฮวบลงกับพื้นห้อง

            ครั้งนี้เธอส่งเสียงกรีดร้องออกมาพร้อมกับผวาวิ่งเข้าไปหา..

            เธอเต็มไปด้วยความห่วงใยในตัวเขา

            เขาได้เห็นดวงตาแสนสวยของเธอปริ่มด้วยหยาดน้ำตา ขณะที่เขาถูกกระชากให้ลุกขึ้นยืนและสวมกางเกง..

            หลังจากนั้นเขาก็ถูกกระชากลากถูไปตามช่องทางเดินแคบๆ

            เขาได้ยินเสียงผู้ชายหลายคนกำลังพูดจากันดังอื้ออึงอยู่

            ร่างของเธอทรุดลงเคียงข้าง เขาสัมผัสได้ถึงเนื้อตัวที่สั่นระริก รู้ดีว่าเธอกำลังกลัว เขาอยากจะปลอบใจเธอ อยากบอกเธอว่า ในที่สุดแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องจบลงด้วยดี

            แต่พอดีกับที่มีอะไรบางอย่างกระแทกลงตรงกลางหลัง ได้ยินเสียงบังคับให้เขาตอบคำถาม

            และเขาก็ตอบออกไป..

            เธอได้มอบอะไรบางอย่างให้แก่เขาในตอนนั้นด้วย

            หลังจากนั้นเขากับเธอก็ถูกพรากจากกัน ผู้หญิงกลุ่มใหญ่เป็นคนพาเธอไป ทุกคนดูไม่มีท่าทางเป็นมิตรกับเขาเสียเลย เขาได้แต่ร้องตามหลังเธอไปว่า..ผมสาบาน..ผมสาบานว่าจะตามหาคุณให้พบ

            ประตูบานหนึ่งถูกถีบให้เปิดออก พร้อมกับร่างของเขาก็ถูกส่งด้วยแรงผลักให้เข้าไปภายใน

            มันมีแต่ความมืด..

            มันไม่มีอะไรเลยจริงๆ ..นอกเสียจากความมืด

 

--------------------------------

บทที่ 1

 

ลอนดอน, 1897

 

          ดูเหมือนเขาจะเสียสติไปแล้ว..

            เจมส์ เกรย์ เอิร์ลแห่งเกรย์สโตนที่ 13 ทะลึ่งพรวดขึ้นนั่งในเตียง เนื้อตัวที่เปลือยเปล่าเปียกชื้นด้วยเหงื่อ ผ้าห่มชื้นๆพันอยู่รอบขา

            เขาแทบหายใจไม่ออก ต้องอ้าปากหอบหายใจเอาอ๊อกซิเย่นเข้าปอด หัวใจเต้นรัวแรง ปวดร้าวไปทั้งศีรษะ ต้อยกมือขึ้นนวดหลังใบหูขวา กดมืออยู่กับก้อนเนื้อตรงนั้น

            เขาสูดลมหายใจลึกก่อนจะระบายออกช้าๆ ทำเช่นนั้นอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกรทั่งลมหายใจและการหายใจกลับเป็นปกติ

            เจมส์กระพริบตาถี่ๆ เพ่งมองไปยังเงามืดที่เลยจากแสงดวงไฟหรี่สลัวข้างเตียงนอน และทันใด ความกลัวที่ซ่อนลึกอยู่ภายในก็เริ่มลอยตัวขึ้น

            เขาอยู่ที่ไหนกันล่ะนี่..?

            เขาแน่ใจ ว่านี่มันไม่ใช่เตียงที่ตนเองเคยนอน ไม่ใช่ห้องนอนและการตกแต่งที่เคยคุ้น โดยความเป็นจริงมันไม่ใช่บ้านของเขาเสียด้วยซ้ำ ที่นี่ไม่ใช่เกรย์สโตน แอบเบย์อย่างแน่นอน ถ้าเช่นนั้นก็ย่อมหมายความว่า ขณะนี้เขาไม่ได้อยู่ในเดวอน

            “ก็แล้วเราอยู่ที่ไหนล่ะ? เขาถามตัวเองด้วยน้ำเสียงง่วงงุน

            แล้วเขาก็ได้รับคำตอบนั้นเกือบจะในทันที ว่าขณะนี้เขาอยู่ในลอนดอน เป็นแขกผู้มีเกียรติเพียงคนเดียวที่ได้รับเชิญให้มาพำนักที่คอร์ก เฮ้าส์ คฤหาสน์ซึ่งผู้เป็นเจ้าของก็คือไมลส์ เซ้นท์ อัลด์ฝอร์ด

มาควิสแห่งคอร์ก สามีของอลิสสาหรือเลดี้ คอร์ก  ผู้เป็นหลานสาวของเขาเอง

            บัดนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองได้มาพำนักอยู่ในคฤหาสน์โอ่อ่าแห่งกรุงลอนดอน ซึ่งตั้งอยู่บนถนนสายสำคัญของตัวเมือง คฤหาสน์ที่ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกผู้มีชื่อเสียงแห่งยุค ประดับประดาด้วยงานศิลป์คลาสสิกและตกแต่งด้วยเครื่องเรือนหรูหราราคาแพง และเขาก็กำลังนอนอยู่ในเตียงสไตล์ไบแซนไทน์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสมบัติของจักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่..ที่ไมลส์กับอลิสสาซื้อมา ตอนเดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่เวนิส เมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา

            เจมส์สบถออกมาเบาๆขณะอิงหลังอยู่กับพนักหัวเตียงที่ได้รับการสลักเสลาด้วยฝีมืออันวิจิตร

            เขาฝันอีกแล้ว..!

            ว่าแต่..มันเป็นฝันดีหรือฝันร้ายกันแน่..? ขณะเดียวกันมันก็มีคำตอบหลายภาษาที่ผ่านเข้ามาในสมอง ทั้งที่เจมส์เพียงแค่พอพูดฝรั่งเศสได้บ้าง ภาษาอิตาเลี่ยนออกจะตะกุกตะกักเต็มที ส่วนภาษา

ปอร์ตุกีสนั้นน้อยมาก

            ก็แล้วทำไมภาษาต่างๆที่เขาไม่เคยคุ้นเหล่านี้ จึงได้ผุดขึ้นในสมองตลอดเวลา..?

            นั่นเป็นอีกคำถามหนึ่งที่ไม่มีคำตอบ

            เขาสลัดผ้าห่มออกจากตัว ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างๆ ที่มองลงไปจะเห็นสวนไม้ดอกทางด้านหลังของคฤหาสน์คอร์ก

            ยังอีกหลายชั่วโมงกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น แสงแห่งยามราตรียังเป็นสีถ่านหิน อย่าว่าแต่จะมองไม่เห็นสวนเลย แม้แต่กำแพงศิลาที่รายล้อมสวนไม้ดอกแห่งนี้ไว้ ก็แทบมองไม่เห็น แต่จากที่ได้เห็นมาเมื่อวันวานนี้ เขาพอจะจดจำได้ ว่าต้นไม้ใบหญ้าในสวนแห่งนี้สวยงามยิ่งนัก ทั้งดอกกุหลาบที่ใกล้จะเบ่งบานเต็มที ถึงอย่างไรก็ไม่มีความงามใดที่จะเปรียบได้กับสวนกุหลาบแห่งประเทศอังกฤษในฤดูใบไม้ผลิได้อีกแล้ว

            เป็นเวลานานถึง 15 ปีแล้ว นับแต่เจมส์ เกรย์ได้สัมผัสฤดูใบไม้ผลิในบ้านเมืองของเขา แต่เขาได้ให้สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า เดือนเมษายนปีนี้เขาจะต้องอยู่ในอังกฤษอย่างแน่นอน

            แต่..เขาได้ให้สัญญาเรื่องนี้กับตัวเองตั้งแต่เมื่อไรกัน?

            เจมส์ระบายลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ยกมือขึ้นเสยผมหยักสลวยที่ยาวลงมาถึงต้นคอ

            เขาคิดถึงคำพูดประโยคหนึ่งที่บราวนิ่งเคยเขียนไว้..ท่านจะตื่นขึ้น แล้วท่านก็จะนึกได้และเข้าใจได้เอง..

            บัดนี้ เขาตื่นขึ้นแล้วแต่ก็ยังนึกอะไรไม่ออก อย่าว่าแต่จะเข้าใจเลย..!

            เขาไม่เข้าใจ ว่าทำไมเขาจะต้องฝันเห็นแต่ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น..? เธอมีตัวตนอยู่จริงหรือเป็นเพียงเศษเสี้ยวแห่งจินตนาการ..?

            แต่สาวสวยเนื้อตัวเปลือยเปล่าไม่ได้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ตามหลอกหลอนอยู่ คืนแล้วคืนเล่าที่เขาถูกกักขังอยู่ในความมืด ที่มืดสนิทจนเขาแทบมองไม่เห็นมือตัวเองแม้จะยกขึ้นตรงหน้า ขณะเดียวกัน เขาก็ยังพบกับการสะดุ้งตื่นและไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร กำลังอยู่ที่ไหนและไปอยู่ที่นั่นทำไม ซึ่งความงุนงงสงสัยนี้จะเกิดขึ้นอยู่อย่างน้อยก็ชั่วครู่สั้นๆ เขาพยายามบอกกับตัวเองอยู่ว่า

            “ให้ตายสิ เกรย์สโตน นายควรจะปล่อยให้เรื่องราวในอดีต เป็นอดีตอย่างที่มันควรจะเป็นเสียทีได้แล้ว ก่อนที่นายจะเป็นบ้าไปเสียก่อน”

            จริงอยู่..ที่เขาจะต้องรู้ว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่..

            ว่าแต่..มันเป็นเช่นนั้นจริงละหรือ..?

            เขาฟื้นความทรงจำขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ปลายฤดูร้อนปีกลาย แต่กระนั้นมันก็ยังมีช่องว่างของข่วงเวลาอีกเกือบหนึ่งปี ที่เขาไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ เขาปรึกษาเรื่องนี้กับแพทย์ประจำตัวหลายครั้ง

            “ลอร์ด เกรย์สโตนขอรับ เรื่องการฟื้นความจำนี่ กระผมคิดว่าท่านต้องให้เวลากับมันด้วยนะขอรับ” นายแพทย์อริสโตเติล ซิมส์กล่าว

            “แล้วมันจะต้องใช้เวลานานสักแค่ไหนล่ะหมอ?”

            “คนหนุ่มก็อย่างนี้ละขอรับ ออกจะใจร้อนอยู่สักหน่อย” นายแพทย์ตบแขนเขาเบาๆอย่างปลอบใจ

            เจมส์ยอมรับว่าตัวเองใจร้อน แต่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองยังหนุ่มอยู่เลย น่าจะแก่เกินวัยเสียด้วยซ้ำ

            “ว่ายังไงล่ะหมอ..ผมถามว่าจะต้องใช้เวลารอนานสักแค่ไหน?”

            “ใครจะบอกได้ล่ะขอรับ?” นายแพทย์ไม่ยอมตอบคำถามนั้น

            นั่นสินะ..ใครเล่าจะบอกได้..?

            สถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ มันสร้างความกระอักกระอ่วนให้กับเขาอย่างบอกไม่ถูก เจมส์ไม่ยอมออกสังคม เพราะไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะไปอธิบายให้ใครๆเข้าใจว่า..มันเกิดความผิดปกติขึ้นในสมองหลังจากเดินทางกลับจากอินเดียวเมื่อสองปีก่อน ไม่อยากให้ใครเห็นก้อนนูนบนศีรษะหรือรอยแผลเป็นบนไหล่

            เขาไม่อยากบอกให้ใครรู้ ว่าตอนนั้นเขากำลังจะเดินทางกลับอังกฤษ เพื่อไปรับบรรดาศักดิ์ที่สืบทอดจากพี่ชายที่เสียชีวิตอย่างไม่คาดคิดก่อนเวลาอันสมควร ขณะที่เรือเดินสมุทรของเขาเพิ่งเดินทางออกจากบอมเบย์ ก็ต้องเผชิญกับพายุแรงกล้า ซึ่งหลังจากนั้นแล้วเขาไม่รู้เลยว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่คิดเอาเองว่า น่าจะถูกคลื่นซัดร่างเข้าฝั่ง เพราะจดจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ ไม่รู้เลยว่า ช่วงเวลาที่ขาดหายไปหลายเดือนนั้นเขาไปอยู่ที่ไหน..

            แต่ดูเหมือนช่วงเวลานั้นจะไปปรากฏอยู่ในความฝัน..

            เขาอยู่ในสภาพทรุดโทรมเต็มทีตอนที่เดินทางไปถึงเวลท์ คันทรี่ รูปร่างผ่ายผอม มีเสื้อผ้าสวมใส่ไม่กี่ชิ้น ไม่มีแม้แต่เงินที่จะซื้ออาหารต้องขอทานเอาจากคนแปลกหน้า

            จะอย่างไรก็ตาม ด้วยสัญชาตญาณโดยแท้ที่ความทรงจำบางอย่างได้กลับฟื้นคืนมา ซึ่งทำให้เขาสามารถเดินทางกลับมาสู่เกรย์สโตน แอบเบย์..กลับมาสู่บ้านในวัยเยาว์ของตนเองได้อีกครั้ง

            บ้าน..คำๆนี้มีความหมายอย่างลึกซึ้งยิ่งนักสำหรับเจมส์ เกรย์ นับแต่วัยเด็กมาแล้วที่เขาพอใจจะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านในเมืองชนบทมากกว่า แต่หน้าที่เรียกร้องให้เขาจำต้องทิ้งบ้านไป

            หรือที่ถูก พระนางวิคตอเรียนั่นเองที่ทรงเรียกร้องให้เขาต้องทำเช่นนั้น เมื่อเขาได้รับพระราชสาส์นที่ทรงมีพระเมตตาเชื้อเชิญให้เขาไปร่วมงานเลี้ยงรับรองที่ประทานเป็นเกียรติแก่เจ้าหญิงซีซิล แห่งแซง-ซีเมียง ซึ่งเป็นพระญาติสนิท

            ซึ่งเขาสามารถอ่านความหมายที่แฝงอยู่เป็นนัยออก ว่าจะไม่เป็นที่พอพระทัยอย่างยิ่ง ถ้าเขาจะปฏิเสธคำเชิญดังกล่าว ทั้งยังเป็นความเขลาอย่างที่สุดที่จะทำเช่นนั้น

            เจมส์ เกรย์ บอกตัวเองอยู่ว่า เขาอาจจะเป็นอะไรที่เลวร้ายได้สารพัด แต่จะไม่ยอมตนเป็นคนโง่อย่างเด็ดขาด ในที่สุด เขาก็เดินทางมาถึงเดวอนเมื่อวันวานและเข้าพำนักอยู่ที่คฤหาสน์คอร์ก เฮ้าส์

            เขายังคงยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ทอดสายตาเหม่อมองแสงยามราตรีแห่งนครลอนดอน เขาเหลียวไปมองนาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียงและพบว่าขณะนั้นมันเพิ่งจะตีสามเท่านั้น

            โลกยังคงหลับใหลอยู่ในความมืดแห่งยามราตรี ในคฤหาสน์หลังนี้ กว่าแม่บ้านจะตื่นนอนก็คงอีกสัก 1-2 ชั่วโมง แต่สำหรับตัวเขาเองแล้ว เจมส์รู้ดีว่าจะไม่มีทางกลับไปนอนต่อได้อีก เขาผลักบานหน้าต่างให้เปิดกว้าง สูดอากาศเย็นชื่นที่ประสมประสานอยู่ด้วยละไอหมอกกับกลิ่นหอมของดอกไม้เข้าไว้ในปอด

            เมื่ออยู่ที่บ้านในเมืองชนบท เขาก็ยังมีหนทางที่จะกำจัดปิศาจที่ติดตามรังควานได้ เขาจะลุกขึ้นจากเตียง คว้าชุดขี่ม้ากับรองเท้าบู๊ทขึ้นมาสวมและเดินลงไปยังคอกม้า

            ตอนที่เจมส์ เกรย์รับบรรดาศักดิ์เป็นเอิร์ลแห่งเกรย์สโตนใหม่ๆ สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือเฟ้นหาตัวบุคคลที่จะมาทำหน้าที่พ่อบ้านแห่งคฤหาสน์เกรย์สโตน แอบเบย์และสำคัญที่ตามมาก็คือ หาซื้อม้าไว้ใช้ประจำตัว ซึ่งในที่สุดก็ได้พบม้าตัวที่ต้องใจ และเพื่อเป็นเกียรติสำหรับการที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอินเดียมานานถึง 15 ปี เขาจึงตั้งชื่อม้าเพศผู้ที่มีขนสีดำปลอดทั้งตัวว่า อัมริตสา

            ในคืนที่นอนไม่หลับ เจมส์ เกรย์จะควบม้าคู่ใจตัวนี้ท่องไปทั่วที่ดินอันกว้างใหญ่ ซึ่งเป็นสมบัติของตระกูลตั้งแต่ก่อนสงครามครูเสด ที่ดินอันเป็นมรดกล้ำค่า บัดนี้ได้เป็นสมบัติของเขาแต่ผู้เดียว ในขณะที่ม้าวิ่งควบอยู่นั้น เขากับเจ้าอัมริตสาจะมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน อากาศในเมืองชนบทจะช่วยปัดเป่าหยากไย่ในสมองและขจัดความมืดดำในจิตวิญญาณออกได้จนหมดสิ้น

            แต่..มันไม่ใช่ในค่ำคืนนี้ คืนที่เขามีความรู้สึกเหมือนถูกคุมขังอยู่แต่ในคฤหาสน์คอร์ก เฮ้าส์..!

          ถ้าเพียงแต่พระราชินีจะไม่มีพระราชเสาวนีย์ให้เขาเดินทางมาเข้าเฝ้าที่ลอนดอน ถ้าเพียงแต่เขาจะสามารถทำตามใจปรารถนา ถ้าเพียงแต่เขาจะไม่รู้สึกอึดอัดเกินไปที่ต้องมาอยู่แต่ในห้องแคบๆเช่นนี้ เขาก็คงจะไม่ฝันร้าย โดยเฉพาะถ้าเพียงแต่เขาจะสามารถเรียกความทรงจำของช่วงเวลาหนึ่งที่หายไปจากชีวิตให้กลับคืนมาได้ จิตใจของเขาก็คงจะสงบขึ้น

            “นรกจริงๆ..” เจมส์ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะระบายความหงุดหงิด แต่ทันใดก็มีเสียงเคาะอย่างกริ่งเกรงใจดังขึ้นหน้าประตู

            “เข้ามา..!” เขาตวาดใส่เสียงเคาะนั้น

            และกู๊ดอินัฟ ผู้รับใช้คนสนิทก็โผล่หน้าเข้ามาทางประตู

            “ใต้เท้ากดกริ่งเรียกกระผมใช่ไหมขอรับ?”

            “เปล่า..” ชายหนุ่มตอบห้วนๆ

            “ถ้าเช่นนั้นใต้เท้าคงจะเคาะเรียกกระผมเอง”

            “เปล่า..ฉันไม่ได้เคาะ..”เขาตวาดกลับ แต่พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายหนึ่ง เขาก็กระแอมเบาๆ “ฉันคิดว่าวันสองวันนี้นะกู๊ดอินัฟ เรา..หมายถึงเจ้ากับตัวฉัน คงจะต้องทำความเข้าใจเรื่องเรียกไม่เรียกกันนี่สักหน่อยแล้ว”

            “ใต้เท้าสั่งกระผมตอนนี้เลยก็ได้นี่ขอรับ” กู๊ดอินัฟพูดด้วยความเต็มใจ

            “นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาพูดกันถึงเรื่องนี้..!”

            “สุดแท้แต่ใต้เท้าจะกรุณาเถอะขอรับ”

            สิ่งหนึ่งที่เจมส์สังเกตเห็นก็คือ คนรับใช้ผู้นี้อยู่ในชุดเครื่องแบบที่ประกอบด้วยสูทสีดำ ส่วนเชิ้ตตัวในเป็นสีขาวเอี่ยมอ่อง ดูเรียบร้อยแม้แต่เส้นผมก็ยังหวีเรียบ ไม่น่าเชื่อว่าขณะนี้แม้จะตีสามแล้ว เขาก็ยังพร้อมเสมอสำหรับการรับใช้

            “เจ้าทำได้ยังไงนะ กู๊ดอินัฟ..?” เจมส์รู้สึกกังขาอย่างช่วยไม่ได้

            “ทำอะไรหรือขอรับใต้เท้า..?”

            “ก็..”เขาชี้มือไปที่เสื้อผ้าเผ้าผม “ก็ทำให้ตัวเจ้าเรียบร้อยอย่างนี้ตลอดเวลาน่ะสิ”

            “เอ้อ..กระผมศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษขอรับ ใต้เท้า”

            “เรียนอะไร..มันเป็นวิชาอะไรกันแน่?” เจมส์ยกมือขึ้นลูบคางอย่างไม่เข้าใจ

            “เอ้อ..กระผมศึกษาวิธีที่จะใช้เวลาในการแต่งตัวให้เรียบร้อยที่สุดโดยใช้เวลาน้อยที่สุดมาขอรับ”

            เจมส์ต้องกลั้นยิ้มไว้เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายหนึ่ง

            “ยังงั้นเชียวเรอะ..ถ้ายังงั้นฉันว่าเจ้าจะต้องเป็นลูกศิษย์ชั้นเยี่ยมทีเดียว กู๊ดอินัฟ”

            “แต่กระผมยังเรียนวิชาต่างๆด้วยนะขอรับใต้เท้า”

            “เรอะ..เช่นอะไรบ้างล่ะ?” เจมส์ถามอย่างสนใจ

            “ก็ตั้งแต่เรื่องที่เกี่ยวกับธรรมชาติมนุษย์นั่นแหละขอรับ ใต้เท้า” คนรับใช้ตอบนอบน้อม

            “ยังงั้นเชียวเรอะ..?” เจมส์รู้สึกสนใจยิ่งนัก “แล้วอะไรอีก?”

            “นอกจากนั้นก็เรื่องการใช้อาวุธชนิดต่างๆขอรับ”

            “เช่นพวกปืน..อะไรทำนองนั้นใช่ไหม?”

            “ใช่ขอรับ”

            คำตอบนั้นทำให้เจมส์รู้สึกว่า คนสนิทของเขาคนนี้น่าจะให้เป็นผู้ติดตามได้

            “แล้วมีอะไรอีกหรือเปล่า?”

            “ก็เรื่องยาเส้นขอรับ”

            “แต่ฉันไม่เคยรู้ว่าเจ้าสูบบุหรี่ด้วยเลยนะ กู๊ดอินัฟ”

            “กระผมไม่ได้สูบบุหรี่หรอกขอรับ กระผมเรียนรู้การวิเคราะห์ยาเส้นต่างหากขอรับ”

            “ทำไมล่ะ..?” เจมส์รู้สึกฉงนใจอย่างแท้จริง

            “คือกระผมมีความรู้สึกอยู่ว่า ยาเส้นกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง มักจะไปปรากฏอยู่ในสถานที่เกิดอาชญากรรมเสมอขอรับ”

            “นี่หมายความว่า เจ้ามักไปในสถานที่เกิดคดีฆาตกรรมอยู่บ่อยๆยังงั้นเรอะ?”

            “มิได้ขอรับ”

            “ถ้ายังงั้นมันก็คงเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นของเจ้าใช่ไหม?”

            “ถูกต้องขอรับใต้เท้า”

            “แล้วเจ้ายังศึกษาเกี่ยวกับเรื่องอะไรอีก?”

            “เรื่องยาพิษชนิดต่างๆขอรับ”

            “ก็คงจะเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นแบบเดียวกับเรื่องยาเส้นนั่นสินะ” เจมส์ว่า

            “ก็ไม่เชิงหรอกขอรับ กระผมคิดว่าตัวเองเหมือนสุนัขตำรวจมากกว่าขอรับ”

            “เจ้าหมายความว่ายังไง สุนัขตำรวจ?”

            “ก็..เป็นนักสืบยังไงล่ะขอรับ กระผมชอบอ่านนิยายนักสืบที่เขียนโดยเอ็ดการ์ แอลเลน โป แล้วก็ของมิสเตอร์วิลกี้ คอลลินส์อยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่อง เดอะ วูแมน อิน ไว้ท์ เป็นเรื่องที่กระผมชอบมากที่สุดขอรับ”

            เจมส์รู้สึกหนาวยะเยือกแปลกๆ ขนลุกพราวทั้งตัว

            “ใต้เท้าหนาวมากหรือขอรับ?”

            และตอนนั้นเองที่เจมส์เพิ่งนึกขึ้นได้ ว่ายังคงยืนอยู่กลางห้อง โดยปราศจากเสื้อคลุมกาย จึงเอื้อมไปหยิบเสื้อคลุม โดยกู๊ดอินัฟเข้ามาช่วยสวมให้เกือบจะในทันที

            “มันไม่หนาวเท่าไหร่หรอก เพลียเสียละมากกว่า..ฉันตื่นขึ้นมาพักใหญ่แล้ว จะนอนต่อก็นอนไม่หลับ”

            “กระผมยังศึกษาเกี่ยวกับอาการของโรคนอนไม่หลับด้วยนะขอรับ ใต้เท้า”

            “ยังงั้นเชียวหรือนี่?”

            “คือกระผมสนใจข้อเขียนของวิลเฮล์ม วูนด์..นักจิตวิทยาชาวเยอรมันที่เขาศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังขอรับ”

            “เรอะ..แล้วเขาว่ายังไงบ้างล่ะ?”

            “เขาบอกว่า..สาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนเรานอนไม่หลับ ถ้าไม่เกิดจากปัญหาทางด้านร่างกายก็เนื่องมาจากจิตใจขอรับ และคณะทำงานของเขาก็ยังวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องของความฝันอีกด้วย โดยที่พวกเขามีความเชื่อว่า ความฝันที่แน่นอนบางอย่างสามารถกลายเป็นสิ่งรบกวนการนอนของคนเราได้นะขอรับ”

            เจมส์บังเกิดความรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาทันใด เขาจึงเปลี่ยนเรื่องพูดเสียด้วยการบอกว่า

            “ฉันจะลงไปเดินเล่นในสวนสักพักนะ กู๊ดอินัฟ”

            “ตอนนี้น่ะหรือขอรับ ใต้เท้า?”

            “ก็ตอนนี้น่ะสิ”

            “แล้วใต้เท้าอยากให้กระผมไปเป็นเพื่อนด้วยไหมขอรับ?”

            “ไม่ต้องหรอก”

            “ถ้าอย่างนั้นกระผมจะไปจัดเตรียมเสื้อผ้าให้นะขอรับ”

            “ไม่จำเป็น..”เจมส์ส่ายหน้าปฏิเสธ “ฉันหาเองได้ เจ้ากลับไปนอนเถอะยังไม่ต้องรับใช้ฉันหรอก เอาไว้ให้ถึงพรุ่งนี้เช้าก่อน”

            “สุดแท้แต่ใต้เท้าเถอะขอรับ กระผมจะไปเอากุญแจมาให้นะขอรับ”

            “กุญแจอะไร?” เจมส์ถามงงๆ

            “สวนดอกไม้ข้างล่างนั่นเป็นสถานที่ส่วนตัวขอรับใต้เท้า เพราะฉะนั้นจะใส่กุญแจประตูไว้ตลอดเวลา จะมีแต่ใต้เท้าผู้เป็นเจ้าของคอร์ก เฮ้าส์กับเกสท์ เฮ้าส์ ที่อยู่ทางด้านโน้น..”กู๊ดอินัฟชี้ไปทางแมนชั่นหรูหราอีกฟากหนึ่ง ที่สามารถมองเห็นหลังคาได้จากทางหน้าต่าง “เท่านั้นละขอรับ ที่จะมีกุญแจไขประตูสวน”

            “ถ้าอย่างนั้นช่วยเอากุญแจให้ฉันด้วยก็แล้วกัน”

            เจมส์เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว โดยใช้ชุดลำลองเพราะเชื่อแน่ว่า ในยามราตรีเช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดเห็นเขาอยู่แล้ว หลังจากนั้นก็เดินลงบันไดและเลยออกประตูด้านหลังของคฤหาสน์ตรงไปยังประตูสวน สอดลูกกุญแจไขประตูบานนั้นอย่างรวดเร็วและเขาก็ได้เข้าไปในสวนไม้ดอกที่สวยงามและเงียบสงบแห่งนั้น..

 

--------------------------------------- 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (86 รายการ)

www.batorastore.com © 2024