Customer Reviews

5
หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวคือหนังสือที่ดีที่สุดในสหัสวรรษนี้
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เรื่องนี้ แรกๆ จะมึนๆ สับสนในชื่อตัวละครเล็กน้อยถึงปานกลาง เพราะภาษาที่แปลกตาและยังเป็นชื่อซ้ำๆ กันอีก (ตัวละครแต่ละตัวที่เป็นปู่เป็นหลาน เป็นพ่อลูก หรือพี่น้องกันจะมีชื่อคล้ายกัน) เช่น โฆเซ่ อาร์คาดิโอ บูเอ็นดิยา, โฆเซ่ อาร์คาดิโอ (คนละคนกับโฆเซ่ อาร์คาดิโอ บูเอ็นดิยา), ออเรลิยาโน บูเอ็นดิยา, ออเรลิยาโน โฆเซ่ ฯลฯ แค่นี้ก็ปวดหัวแล้วใช่ไหมล่ะ แต่เชื่อเถิดว่า อ่านไปได้สักพัก เมื่อประสาทรับรู้ของเราคุ้นชินกับชื่อเหล่านี้ ชื่อเสียงเรียงนามยากๆ นี้จะกลายเป็นชื่อที่ไพเราะเพราะพริ้งขึ้นมาทันที

หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว มีฉากที่เสียดสีอำนาจล้นฟ้าของภาครัฐได้อย่างเจ็บแสบ และไล่เรียงวิวัฒนาการจากการไม่มีอะไรเลยของดินแดนแห่งหนึ่ง ก่อนจะยิ่งใหญ่ขึ้นมา และล่มสลายเพราะถูกแทรกแซงโดยคนที่กล่าวอ้างว่าเป็นผู้ (มีสิทธิ) ปกครองดินแดนแห่งนั้น อืม แท้จริงแล้ว นี่คือสัจธรรมที่เราต่างก็ (คล้ายว่าจะ) หนีไม่พ้น

ฉากหนึ่งที่เราจำได้ติดหัวและมักจะนึกถึงบ่อยๆ คือ ฉากที่ศพของผู้คนถูกลำเลียงไปบนขบวนรถไฟ ผู้คนมากมายต่างรู้ต่างเห็น แต่เมื่อทางการยืนยันว่าไม่มีขบวนรถไฟดังกล่าว ไม่มีศพคนตาย ก็กลายว่า ไม่มีรถไฟขบวนนั้น และผู้คนเข้าใจผิดไปเอง จำผิดพลาดไปเอง ความจริงคือสิ่งที่ทางการบอกเรา ฉากนี้เราว่ามันแสบทรวงจนอดหัวเราะหึๆ ไม่ได้เลยจริงๆ

เขาว่ากันว่า หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวคือหนังสือที่ดีที่สุดในสหัสวรรษนี้ เราเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยนะ
สีของหมา (195.-)
4
หนังสือดีย่อมอยู่เหนือกาลเวลา เรื่องราวอาจไม่ใหม่ แต่ก็ยังสั่นสะเทือนใจได้เหมือนเดิม
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เล่มนี้ เขียนไว้นานแล้ว ตีพิมพ์นานแล้ว เวลาผ่านไป เรื่องราวที่เคยใหม่ เคยน่าสนใจในยุคนั้น ก็กลับกลายเป็นความธรรมดา เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็รู้ ใครๆก็เห็นจนชินตา หรือเรียกได้ว่าเป็นของเก่าไปแล้ว เรามาอ่านสีของหมาเอาในตอนนี้ แน่นอนว่าก้อนความคิดที่เนื้อเรื่องสื่อออกมาต้องเป็นสิ่งที่เรามองว่าเก่า แต่ถ้าลองนึกย้อนกลับไปในช่วงยุคนั้นสมัยนั้น โอ้โห ถ้าเราไปเกิดตั้งแต่ปี พ.ศ.นั้น หนังสือเล่มนี้ต้องเป็นสุดยอดไอเท็มที่เราต้องตามเก็บแน่นอน และชื่อของ จำลอง ฝั่งชลจิตร ก็จะต้องถูกนำขึ้นหิ้งเป็นนักเขียนในดวงใจของเราอีกคน

กระนั้น ที่เราบอกว่าเก่า ไม่ใหม่ ไม่ใช่ความน่าตื่นเต้นในสมัยนี้แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเสน่ห์ของหนังสือเล่มนี้จะหดหายไปจนไม่เหลือเลย ของดีก็ยังเป็นของดี หนังสือดีก็ย่อมมีคุณค่าในตัวเองอยู่วันยังค่ำ ในบรรดาเรื่องสั้นที่เรียงรายกันมานี้ เราต้องอ่านแล้วพักยกสักครู่เมื่ออ่านจบแต่ละเรื่องแต่ละบท เพื่อซึมซับอารมณ์ความรู้สึกที่สั่นสะเทือนจิตใจของเราอยู่พอสมควร คืออ่านต่อๆ กันรวดเดียวไม่ได้ว่างั้นเถอะ บางเรื่องทำให้เราต้องหลับตา และปล่อยให้อารมณ์หดหู่จางหายไปสักนิดก่อน ต้องให้ที่ว่าง ให้เวลาหัวใจได้บีบแล้วคลาย คลายแล้วบีบใหม่เสียบ้าง

เป็นอีกเล่มที่เราชอบ และยืนยันข้อพิสูจน์ว่า หนังสือดีไม่ถูกทำลายโดยกาลเวลา อ้อ กระซิบบอกว่า หนังสือเล่มนี้พิมพ์ผิด พิมพ์ตกหล่นเยอะมาก ถ้าเอาเราไม่อยู่ คงได้วางทิ้งไว้ตั้งแต่หน้าแรกๆ แล้ว แต่เผชิญว่า เอาอยู่ค่ะ
สายรุ้งกลางซากผุกร่อน
5
สำนวนสละสลวยตรึงใจ มีลูกเล่นมาใส่ประกอบเนื้อหา ความเป็นไปของตัวละครทำให้เราสะเทือนใจ
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

“สายรุ้งกลางซากผุกร่อน” เป็นอีกเล่มที่อยู่ในโครงการส่งนักเขียนไปลงพื้นที่แล้วถ่ายทอดเรื่องราวของพื้นที่นั้นออกมาเป็นหนังสือ โครงการเดียวกับ "สวนโลก” ของเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ และอีกหลายเล่ม

เล่มนี้ เราชอบมาก บางคนอาจจะบอกว่าอ่านไม่รู้เรื่อง สำนวนเวิ่นเว้อ (อีกแล้ว) แถมยังมีภาษาท้องถิ่น (ที่แปลไม่ออก ไม่มีคำแปลให้เสียด้วย) มาให้ปวดหัวอีก (หนึ่งในเสียงนั้นคือเจ้าของหนังสือเล่มที่เราอ่านนี่เอง เขาบอกว่าจนปัญญาที่จะทำความเข้าใจและอ่านให้สนุกได้ เลยโอนกรรมสิทธิ์มาให้เราแบบฟรีๆ หวานหมูเราเลย) แต่สำหรับเรา ภาษาท้องถิ่นที่เขาใช้เพื่อนำเข้าสู่เรื่อง (หรือเปล่า) ไม่ได้เป็นกำแพงขวางกั้นการเข้าถึงเนื้อหาเท่าไหร่นะ เพราะบางอันเราก็พอจะเข้าใจได้ เนื่องจากเป็นภาษาแถบภาคเหนือ ศัพท์บางคำเคยคุ้นหูอยู่บ้าง จับมาผนวกกับเนื้อเรื่องแล้วก็เข้ากันพอดี (หรือมโนไปเองหว่า) แต่ก็ต้องยอมรับว่าบางบทนั้น เราก็แปลไม่ออกเหมือนกัน แอดวานซ์เกินไป

เอาเถอะ นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆ เท่านั้น เรื่องเนื้อหาของแต่ละตอนนั้น ถือว่าตีแผ่ออกมาได้สุดระทึกทีเดียว เป็นการเล่าเรื่องของเหล่าสหายที่มีอุดมการณ์บางอย่างร่วมกัน (ก็เรื่องการเมืองนั่นแหละ ยุคที่คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ถูกตามล่าและต้องหนีหัวซุกหัวซุน) มานัดพบเจอกัน เพื่ออัพเดทข่าวสารและแลกเปลี่ยนความฝันซึ่งกันและกัน เติมเชื้อไฟของอุดมการณ์ให้แก่กัน เราอ่านไปก็ลุ้นไป ใครจะอยู่ หรือใครที่เราจะไม่ได้พบเจออีกต่อไปแล้ว ผู้เขียนดึงเราให้เข้าไปร่วมในเหตุการณ์ได้อย่างน่าทึ่ง

เราก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นะ หนังสือที่เขียนแบบใช้สำนวนเวิ่นเว้อ บรรยายทุกสรรพสิ่งที่จะสามารถบรรยายได้ แต่ยกเว้นเล่มนี้ไว้เล่มหนึ่ง โดยเฉพาะฉากการบรรยายฝนตก ฝนตกไม่ใช่เพียงแค่ฝนตก แต่เป็นอกของฟ้าที่ฉีกออก เรานั่งอ่านทวนอยู่หลายรอบ รู้สึกหลงรักความสละสลวยของการบรรยายฉากนี้มาก ของแบบนี้ ลางเนื้อชอบลางยาน่ะเนอะ
ไม่นานเกินรอ
5
เพลินเพลินในสำนวน แต่ก็เจ็บจี๊ดในเนื้อหาและถ้อยคำ ก้อนความคิดถูกโยนออกมาอย่างต่อเนื่อง เปิดมุมมองใหม่ๆ ในแบบ 'รงค์ วงษ์สวรรค์
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เราอ่านเล่มนี้หลังจากอ่าน "ใต้ถุนป่าคอนกรีท” และ "เสียงพูดสุดท้าย” จบลง เราเป็นเด็กในยุคที่เกิดมาก็ได้ยินแต่ชื่อเสียงของคุณ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ แต่ก็น้อยนักที่จะมีโอกาสได้อ่านงานของเขา (เป็นแรร์ไอเท็มน่ะนะ) เพิ่งมาได้อ่านก็ช่วงที่คุณเขาเสียไปแล้ว จึงได้มีสำนักพิมพ์ต่างๆ จัดพิมพ์ผลงานคุณภาพกันอย่างโจ่งครึ่มอีกครั้ง

ตอนอ่านสองเล่มแรกนั้น เราติดงอมแงม วางไม่ลงกันเลยทีเดียว ใต้ถุนป่าคอนกรีทเป็นเล่มที่เขาเขียนเอง ถ่ายทอดประสบการณ์แร้นแค้นแต่สุดหรรษาในชีวิตต่างบ้านต่างเมือง ขณะที่ เสียงพูดสุดท้าย เป็นบทสัมภาษณ์โดยสุดยอดนักซักไซ้จับประเด็น วรพจน์ พันธุ์พงศ์ เล่มนั้นเหมือนไม่ใช่หนังสือ แต่เหมือนว่าเรากำลังเข้าไปนั่งฟังเขาสองคนคุยกันอย่างเมามันอย่างไรอย่างนั้น

“ไม่นานเกินรอ” เป็นคล้ายๆ รวมเรื่องเล่า เรื่องสั้นโดยที่แต่ละเรื่องไม่ได้มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกัน พญาอินทรีย์เขียนด้วยสำนวนแพรวพราวเช่นเดิม คงเอกลักษณ์ทั้งน้ำเสียงในการเล่าเรื่อง และมุมมองที่มีต่อโลกตามแบบฉบับของเขาได้อย่างมั่นคง ทั้งหรรษา ทั้งอิ่มเอม ทั้งเศร้าบาดลึกอยู่ข้างในต่อความโหดร้ายในชะตากรรมของบางชีวิต เราคิดไม่ออกเลยว่า จะมีใครสักคนไหมที่จะมาสร้างสีสันให้วงการวรรณกรรมไทยแบบที่เขาเคยทำได้

“ผมเพียงแต่อยากหัวเราะเบาๆ ให้กับความสับปลับของโลกเบี้ยวใบนี้บ้างเท่านั้น มือถือสากปากคาบคัมภีร์ เป็นโบราณพังเพยที่ยังพิสูจน์ความจริงได้เสมอแม้ในยุคแห่งการปฏิวัติทางความคิดเพื่อความเป็นไปได้ของสังคม ผมยอมรับว่าไม่เชื่อถือการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ผมกลัวเป็นเหยื่องูพิษในความอาวุโสที่เย้ยหยันกันว่าคร่ำครึและล้าหลัง... ไม่นานเกินรอ! ไม่นานเกินรอ ผมอยากเปิดเผยความในใจกับเขาว่าผมไม่ใช่ใครอื่นเลย นอกจากไอ้โง่คนหนึ่งเท่านั้น! โง่บรรลัย! ให้ห่ากิน! แต่ผมกลัวเขาไม่เชื่อ” (โปรยปกหลัง)

ใครจะว่า 'รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นคนเจ้าชู้ เสเพล เป็นคนน่าหมั่นไส้ น่ารังเกียจ ว่างานเขียนของเขาดิบเถื่อน มีแต่คำหยาบคาย เราว่าอันนั้นเป็นความเห็นส่วนบุคคล มีคนรักก็ต้องมีคนชัง และใครจะชังมากชังน้อยอย่างไรเราก็ไม่สนใจ สำหรับเรา งานของพญาอินทรีย์ ให้อะไรเรามากกว่าความสนุกสนานเพลิดเพลินในการอ่าน เขาอาจมีคำหยาบ แต่เราว่าคำเหล่านั้นก็ไม่ได้น่ารังเกียจมากไปกว่าคำต่างๆ ที่เราเจอะเจอกันอยู่ทุกวี่วันหรอก อย่างน้อยเราก็รู้ว่ามุมมองของเขาที่มีต่อโลก มีต่อความอดอยากแร้นแค้นของผู้คนมันเป็นยังไง เบื้องลึกของจิตใจเขาอ่อนโยนมาก เรื่องราวที่เขาเล่า บ่งบอกอย่างชัดเจน เราเชื่อตัวหนังสือของเขา มากกว่าคำพูดที่ใครๆ พ่นออกมาเพราะความชิงชัง ส่วนรูปของเขาที่เรามักเห็นมือคืบบุหรี่ ปากพ่นควัน และมีทัศนคติที่นิยมชมชอบการดื่มสุรายาเมา อันนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณของคนก็แล้วกัน ดูไว้เป็นไอดอลในเรื่องหนึ่ง แต่ไม่จำเป็นต้องเดินตามหรือทำตามทุกเรื่องก็ได้นี่นา
เม้าท์ญี่ปุ่นให้คุณยิ้ม (เกตุวดี)
5
เป็นหนังสือที่เล่าเรื่องราวได้น่ารักมาก หลายเรื่องทำให้เราอู้อ้าด้วยความตื่นเต้นเพราะวัฒนธรรมที่เราไม่คุ้นเคย อ่านเถิดถ้าอยากยิ้ม
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เล่มนี้เดิมทีเราไม่เคยคิดจะอยากอ่านเลย แวบแรกนึกว่าเป็นหนังสือนำเที่ยว เป็นไกด์บุ๊คไปเสียอีก แต่เมื่อคนใกล้ตัวซื้อมาอ่าน บอกต่อมาว่าสนุกมาก เราก็เลยต้องจัดเสียหน่อย

คนเขียนคือคนไทยที่ใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นเป็นเวลานานมาก นานจนเข้าใจในความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วเลือกหยิบเรื่องที่เราน่าจะต้องอุ๊ย อึ๊ย อ๊ามาให้เราได้ตื่นเต้นผสมแปลกใจกันอยู่ทุกเรื่อง

เราชอบลีลาการเขียนของ "เกตุวดี” มาก อ่านสนุก เบาๆ สบายๆ อ่านได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ สำหรับเล่มนี้ต้องบอกว่า สำนวนเฟี้ยวฟ้าว เนื้อเรื่องก็น่าตื่นตาตื่นใจ อาทิ คนญี่ปุ่นเขาพิถีพิถันขนาดที่ว่า เวลาผู้หญิงเข้าห้องน้ำ จะถ่ายหนักถ่ายเบาก็เกรงใจห้องข้างๆ กลัวเสียงไปรบกวนความผาสุกของคนอื่น เขาก็แก้ปัญหานี้ด้วยการเปิดเพลงกลบเสียงซะเลย ไหนจะการที่คนญี่ปุ่นรักษามารยาทกันสุดฤทธิ์ เกรงใจกันสุดขีด บางเรื่องก็ทำให้เราอึ้งกิมกี่ไปเลยทีเดียว เช่น ผู้หญิงญี่ปุ่นนั้น เวลาไปบ้านเพื่อน หรือไปเป็นแขกบ้านใครก็ตาม หากเป็นวันนั้นของเดือน และต้องเข้าห้องน้ำเปลี่ยนผ้าอนามัย เขาจะไม่ทิ้งแผ่นที่ใช้แล้วไว้ในถังขยะของบ้านที่ไปเยือนเลยนะ จะห่อแล้วเก็บใส่กระเป๋ากลับมาทิ้งที่บ้านตัวเอง อั้ยย่ะ เรานี่อึ้งตาโตไปเลย นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่คนญี่ปุ่นขี้เกรงใจกันมากๆ ดังนั้น หากอยากได้อะไร ก็จะไม่พูดออกมาตรงๆ หรือแม้กระทั่งจะใช้สายตาสื่อตรงๆ เขาก็ยังไม่ทำกันเลยนะ จะต้องใช้วิธีอ้อมๆ ยิ่งกว่าชักแม่น้ำทั้งห้าอีกแน่ะ สุดยอดเลยจริงๆ (ไปอ่านสถานการณ์ที่คุณเกตุวดียกมาเป็นตัวอย่างแล้วจะยิ่งอึ้ง)

แต่ทั้งหมดทั้งมวลในหนังสือเล่มนี้ก็ถือว่าทำให้เราได้รู้และเข้าใจความเป็นญี่ปุ่นเยอะขึ้นมาก และที่สำคัญ อ่านแล้วไม่ยิ้ม ให้ กระโดดขาคู่ใส่คนข้างๆ ได้เลย
4
แปลก พิสดาร ต้องอาศัยการตีความ เต็มไปด้วยความอัดอั้นในชีวิตตนเอง ปมปัญหาในใจซ่อนอยู่ทุกบรรทัด
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เป็นหนังสือที่แปลก และบ่งบอกถึงตัวตนของคนเขียนได้เป็นอย่างดี เหตุนี้กระมัง ถึงได้มีคนบอกว่า อ่านงานของคาฟคา ก็คือการอ่านคาฟคา ถ้าอยากรู้จักคาฟคา ก็จงมาอ่านงานของคาฟคา

คาฟคาถ่ายทอดเรื่องราวพิสดารออกมาเพราะปมในวัยเด็ก (รวมถึงวัยรุ่น หรืออาจกระทั่งตลอดชีวิตของเขาเอง เป็นคนมีปมเยอะแยะน่าดู ถูกกดดันจากผู้เป็นพ่อ ต้องทำตัวให้สมกับความคาดหวังในฐานะความหวังของครอบครัว ก็ลูกชายคนเดียวน่ะ แถมชีวิตคู่ยังล้มเหลวอีกต่างหาก เขาคงลึกซึ้งและมีปมเกินกว่าใครจะเข้าถึงและช่วยคลี่คลายได้) ตัวประหลาดที่เป็นตัวเอกในหนังสือไม่ได้บอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่าสรุปแล้วรูปร่างหน้าตาของมันเป็นอย่างไร ไม่มีรูปให้ดู และไม่มีชื่อเรียกที่ทำให้เราพอจะนึกออกว่าหน้าตามันประหลาดแค่ไหน รู้แค่ว่า มันเป็นตัวอะไรสักอย่างที่จู่ๆ เขาที่คนอยู่ดีๆ ก็ต้องกลายมาเป็นแบบนี้

เราว่ามันน่าสะเทือนใจอยู่เหมือนกัน คล้ายกับว่าในหัวใจของคาฟคา เขาคิดว่าตัวเองเป็นตัวประหลาด (อย่างในหนังสือนี่แหละ) ในสายตาของผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนในครอบครัว แรกๆ เขาก็มีตัวตน (ในฐานะตัวอะไรสักอย่าง) พอนานๆ ไป ตัวตนของเขาก็สร้างความยุ่งยากให้คนเหล่านั้น จนความสนใจในตัวเขาค่อยๆ ลดน้อยลง และกลายเป็นไม่มีตัวตนอีกต่อไป

เล่มนี้อ่านแล้วตีความอะไรๆ มากมายได้หลายอย่าง ยิ่งถ้าหากได้ศึกษาประวัติชีวิตของคาฟคาด้วยแล้ว เราก็จะสามารถเชื่อมโยงเหตุและผลของแต่ละเรื่องราวที่ประหลาดๆ นี้ได้มากโขทีเดียว คาฟคาเป็นอีกคนหนึ่งที่เรารู้สึกสงสาร ไม่น้อยไปกว่าวินเซนต์ แวนโก๊ะ
2
เหมือนนั่งดูคนนินทากัน ใครชอวงสนทนาแบบนี้ก็อาจจะชอบสีสันของการเม้าท์มอย แต่ใครไม่ชอบ ก็คงไม่ถูกจริตนัก
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เล่มนี้ เราซื้อมาอ่านเพราะรุ่นพี่เราเป็นคนออกแบบปก ซื้อเพราะเหตุผลแค่นี้จริงๆ และถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราว่าเราสนับสนุนรุ่นพี่ด้วยวิธีอื่นจะดีกว่า เหอๆ (โทรไปถามตอนหลัง พี่เขาเม๊าท์ให้ฟังว่า คือ พี่ก็ยังอ่านไม่จบเลย ทางสำนักพิมพ์เขาบรีฟเรื่องกับอารมณ์ของหนังสือมาให้ แล้วพี่ก็เปิดผ่านๆ เองอีกเล็กน้อย เพราะมันไม่สนุกจริงๆ แหม...เราพลาดเองสินะเนี่ย)

เหมือนไม่ใช่หนังสือ เหมือนเป็นแค่การรับฟังคนปากจัดนินทากันก็เท่านั้น วงศาคณาญาติอันสลับซับซ้อน คนนั้นเป็นแฝดกับคนนี้ คนโน้นเป็นแฝดกับอีกคน นี่เมียเก่า นั่นเมียใหม่ นั่นแม่จริงๆ นี่แม่เลี้ยง ตัวละครวุ่นวายสารพัดสารเพไปหมด เราอ่านไปห้าสิบกว่าหน้า ยอมรับว่ามึนงงมาก และเรื่องราวก็ไม่ใช่สิ่งที่เราสนใจด้วย เราไม่ใช่คนชอบสอดรู้เรื่องชาวบ้าน แล้วจะนิยมหนังสือประเภทตั้งวงเม้าท์มอยนินทากันได้อย่างไร

ในเล่มถึงขนาดต้องมีแผนผังแสดงเครือญาติและความสัมพันธ์ของตัวละคร แถมยังต้องมีดัชนีรายชื่อ อธิบายตัวละครไว้ที่ท้ายเล่มอีกต่างหากว่าตกลงแล้ว ตัวละครชื่อนี้ เราควรจดจำเขาง่ายๆ ว่าอะไรดี เช่น นาย ก ไก่ เขาก็อธิบายว่า เป็นฝาแฝดของนาย ข ไข่ เป็นลูกบุญธรรมของนาย ง งู เป็นหลานสาวของคุณหญิง ฉ ฉิ่ง เป็นต้น...นี่คือบันทึกช่วยจำอีกทีนะ ยังซับซ้อนใช่ย่อยเลย เหอๆ

มีแค่บางฉากเท่านั้นที่สะเทือนอารมณ์ สำหรับเรา คือฉากที่ฝาแฝดคนหนึ่งวิ่งหาแฝดของตัวเองท่ามกลางเปลวไฟที่ลุดโชน แต่กลับกลายเป็นว่า ยัยแฝดอีกคน ไม่ได้ห่วงแฝดของตัวเองเลย กลับมามัวพลอดรักกับชายหนุ่ม (ไฟจะคลอกตายอยู่แล้วนะโว้ย)

และที่เคืองที่สุดคือ การเอาเรื่องนี้ไปเปรียบว่าเทียบได้ราวน้องๆ ของ "หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” โถ ช่างกล้า
ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ Howl's Moving Castle
4
หนังสือที่จะพาเราย้อนวัยกลับไปสู่ความมุ้งมิ้งและตื่นเต้น คืนความสดใสให้ชีวิต
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ พาเราย้อนวัยกลับไปสู่ช่วงที่ชีวิตฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้งอีกครั้ง เรื่องราวสุดพิลึกพิลั่นอันสนุกสนานเริ่มต้นขึ้นเมื่อเด็กสาวโซฟี ผู้เชื่อว่าตัวเองต้องทนรับชะตากรรมบางอย่างอันแสนน่าเบื่อเพราะเป็นพี่สาวคนโต ผิดกับน้องสาวสองคนที่มีโอกาสได้ไปเผชิญโลกกว้างอันน่าตื่นเต้น เด็กสาวตั้งหน้าตั้งตาเย็บหมวกเพื่อขายในร้านขายหมวกซึ่งเป็นกิจการเดิมของครอบครัว ชีวิตของเธอคงจืดชืดและวนเวียนอยู่ในวัฏจักรความน่าเบื่อไปตราบจนกว่าจะสิ้นอายุขัย แต่ชะตากลับพลิกผันเมื่อกลายเป็นว่า เด็กสาวต้องคำสาปร้ายแรงจากแม่มดที่ใครๆ ก็หวาดกลัว และนับจากนั้นมา ชีวิตของเธอต้องผจญไปในโลกอันเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นทุกวินาที!

เรื่องนี้ถูกนำไปสร้างเป็นแอนิเมชั่นโดยสตูดิโอจิบลิ ผู้สร้างการ์ตูนชื่อดังของญี่ปุ่น (ที่ขณะนี้กำลังปิดตัว – ชั่วคราว – ด้วยเหตุผลบางประการ และหวังว่าจะกลับมาในเร็ววัน) แต่ก็อย่างที่ทราบกันดี เรื่องราวในหนังสือ กับเรื่องราวที่ถูกนำไปสร้างเป็นการ์ตูนหรือภาพยนตร์นั้น อาจไม่เหมือนกันนัก

สำหรับเรา โซฟีในหนังสือเป็นคนจู้จี้จุกจิกและเป็นยายตัวแสบอย่างร้ายกาจจนทำให้หมั่นไส้ได้ไม่เว้นแต่ละบรรทัด ขณะที่โซฟีผู้มีชีวิตชีวาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์นั้นดูอ่อนโยนกว่า มีพิษสงน้อยกว่า และดูน่ารักกว่า (แน่นอนว่าเราชอบแบบในแอนิเมชั่นมากกว่าเป็นกอง) เช่นเดียวกับพระเอกของเรื่อง คือ พ่อมดฮาวล์ ในหนังสือนั้นอาจมีเสน่ห์อยู่บ้าง แต่บนจอนั้นสิ ต้องเรียกว่าทรงเสน่ห์ ทำเรากรี๊ด จิกหมอนได้หลายตลบเลยทีเดียว เพราะเขาคือพ่อมดรูปงามซึ่งมีกิตติศัพท์เป็นที่ร่ำลือรู้กันไปทั่วว่า ชอบกินหัวใจของเด็กสาว

ในหนังสือนั้น เราอาจจินตนาการหน้าตาของฮาวล์ไว้อย่างหนึ่ง (ในระดับที่สามารถพาตัวเองฟินได้พอประมาณแหละ) และคิดว่าเขาก็น่าตกหลุมรักอยู่บ้างพอสมควร แต่ในหนังนั้น ผู้สร้างทำให้เรา ตกหลุมรักฮาวล์ตั้งแต่แรกเห็น และนึกอิจฉาโซฟีตั้งแต่ฉากแรกที่สองหนุ่มสาวได้พบกัน และดำเนินเรื่องที่เน้นการถ่ายทอดให้เห็นความอ่อนโยนของพ่อมดหนุ่ม ชายผู้มองทะลุเปลือกนอกของโซฟีที่ถูกสาปให้เป็นยายแก่อัปลักษณ์ และเห็นเด็กสาวที่อ่อนโยนและจิตใจดีงาม

เรื่องราวยังเพิ่มสีสันและความน่ารักโดยตัวละครอื่นๆ ที่น่ารักน่าชังและมีเสน่ห์ในตัวเองอีกมากมาย (แน่นอนว่าในหนังสือกับในหนังนั้น ตัวละครแต่ละตัวอาจคงเดิมซึ่งบุคลิกไว้ จากร้ายก็ยังคงร้าย แต่บางตัวก็พลิกบทบาทตามใจของผู้สร้างซะงั้น เอ๊ะ ในหนังสือมันร้ายนี่หว่า ทำไมในหนังเป็นฝ่ายดีเสียอย่างนั้น)

ส่วนตัวอีกเช่นเดิม ขอแนะนำให้อ่านหนังสือก่อนดูหนังนะเออ
โน้ตตัวสุดท้าย
4
อบอุ่น น่ารัก ดำเนินเรื่องอย่างมีชีวิตชีวา ทั้งที่ตัวเอกคือสิ่งไม่มีชีวิต
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เล่มนี้ สำนวนพลิ้วไหวอ่านง่ายคล่องสายตา พาให้เราร่วมสุข สนุก เศร้า หม่นไปกับตัวละครและเรื่องราวได้อย่างน่ารักน่าชังและอบอุ่นมากๆ แต่ในความน่ารักน่าชังนั้นก็กระตุ้นให้เราหันกลับมาใคร่ครวญบางสิ่งในชีวิต เราลืมอะไรไปหรือเปล่า ลืมทะนุถนอมบางสิ่งบ้างไหม ลืมความสำคัญของอะไรๆ ที่เคยสำคัญเมื่อวันวานไปหรือไม่ สารภาพว่า หนังสือเล่มนี้ทำให้เราไม่กล้าทิ้งข้าวของเครื่องใช้หลายชิ้นลงถังขยะ นึกสงสาร เกิดว่าเขามีหัวใจขึ้นมา คงแค้นเราน่าดู (เอ๊ะ อันนี้เริ่มออกแนวเพ้อฝัน)

ความจริงเราว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่งเลยนะ เหมาะที่จะนำไปเป็นหนังสืออ่านนอกเวลา สร้างจินตนาการให้เด็กๆ เรื่องราวไม่ซับซ้อน ไม่ได้มีปมพลิกเหลี่ยมไปมา แต่ก็เต็มไปด้วยการเล่าเรื่องที่มีชีวิตชีวา มีความงดงามในตัวเองแบบที่ไม่ต้องพึ่งพล็อตพิลึกพิลั่น เป็นการหยิบเอาของใกล้ตัว สถานการณ์ที่เราอาจพบเจอในชีวิตมาเติมแต่งจินตนาการ ปรุงรสนิดหน่อยพอหอมปากหอมคอ ใส่ความบีบเค้นเข้าไปให้เราวางไม่ลงบ้างเล็กน้อย ถ้าเด็กๆ ได้อ่านก็คงจะดี แต่ก็คงเป็นไปได้ยากแหละ เพราะมีคำที่ถือว่าไม่สุภาพปรากฏอยู่พอสมควร (ถึงแม้ว่าเราจะคุ้นชินต่อคำเหล่านั้นจนถือว่ามันเป็นคำค่อนข้างสามัญไปแล้วก็ตาม) เอาเถอะ เอาเป็นว่า สำหรับเรานั้น เราปิดหนังสือเล่มนี้เมื่ออ่านจบหน้าสุดท้ายด้วยรอยยิ้ม (แม้ว่าจะหม่นๆ ไปบ้างน่ะนะ) เรื่องบางเรื่อง จบด้วยความเศร้า แต่ก็งดงามและตราตรึงใจ

ป.ล. อ่านเล่มนี้แล้วนึกถึงการ์ตูนเรื่อง Toy Story เลย
4
เรื่องเก่า ถูกนำมาเล่าใหม่ ด้วยสำนวนที่สละสลวยและเข้าถึงอารมณ์ เข้าถึงจิตใจอย่างลึกซึ้ง
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เล่มนี้ เป็นการเอาเค้าโครงเรื่องราวในสมัยพุทธกาลมาเขียนถ่ายทอดเพื่อกระตุ้นอารมณ์ กระแทกความรู้สึก ตีแผ่ความปวดร้าวของผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยมีทุกอย่างเพียบพร้อม กลับต้องมาสูญเสียทุกสิ่งในชีวิตไปในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งสามีสุดที่รัก ลูกสองคนที่เป็นดังแก้วตาดวงใจที่ตายไปต่อหน้าต่อตา (แวบหนึ่งเราก็แอบหมั่นไส้ แอบก่นด่าว่า ก็ไปทำอะไรอย่างนั้นทำไมเล่า ไปประมาทอย่างนั้นทำไม ทำไมไม่ทำอย่างนั้น ถ้าทำอย่างนั้นก็คงไม่เป็นอย่างนี้ แต่จะว่าก็ไม่ได้เต็มปากอีก เพราะเราไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์อันโหดร้ายและบีบหัวใจด้วยตัวเราเอง เราพูดได้ บอกได้เสมอ แต่พอเจอกับตัวเอง สติสตังที่เคยมี ถ้าจะหลุบหายไป ก็ไม่แปลกหรอกเนอะ) พ่อแม่ก็ไม่อยู่แล้ว ความสูญเสียที่ประดังเข้ามาเช่นนั้น หากไม่มีจิตใจมั่นคงเข้มแข็ง ก็ต้องเสียสติ เสียความเป็นปกติไปนั่นแล แต่ก็ยังโชคดี โชคดีที่ได้พบพระพุทธองค์ จึงได้พ้นจากความทุกข์โศกนั้นมาได้

สำนวนของแดนอรัญ แสงทอง เราคงไม่ขอเอ่ยถึง ท่านนี้เขามีงานเขียนตีพิมพ์ไปไกลหลายภาษาแล้ว และเพิ่งได้อีกรางวัลมากรันตีคุณภาพเมื่อเร็วๆ นี้เอง นักเขียนรางวัลซีไรต์คนล่าสุด สำนวนไม่สละสลวยได้อย่างไร สำหรับเราแล้ว ต้องบอกว่า นี่คือขั้นเทพตัวจริง หลายประเทศเขาตระหนักมาตั้งนานแล้ว

ป.ล. เล่มนี้เราอ่านนานมากแล้ว ก่อนที่แดนอรัญ แสงทองจะได้รางวัลซีไรต์นานอยู่เหมือนกัน (ก็ความจริงคือ เขาน่าจะได้ตั้งนานแล้วนะ)
5
เรื่องราวแต่ละตอนส่งต่อกันอย่างลงตัว ปั่นความคิดคนอ่านจนถึงจุดท้ายสุดของเรื่อง วางไม่ลงเลยทีเดียว
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เล่มนี้ เราซื้อเพราะโปรยปกที่ว่า สุดยอดนวนิยายสืบสวนสอบสวนของญี่ปุ่น เราเตรียมใจไว้แล้วว่าเจอตัวละครแบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่น คือตัวละครของญี่ปุ่นจะมีเอกลักษณ์มาก เป็นมนุษย์ที่เก็บกด คิดไตร่ตรองโดยผ่านกระบวนการมากมายของสมอง ฉลาด แต่ในขณะเดียวกัน วิธีการเขียนเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของนักเขียนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ กลับเป็นไปในแนวทางเปิดเปลือยอย่างโจ่งครึ่ม ไม่ ไม่ได้หมายถึงลักษณะโป๊อนาจารอะไรอย่างนั้น เรากำลังจะบอกว่า ถ้าจะมีนักเขียนที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร ถ้าจะมีนักเขียนที่กล้าเอาด้านมืดของมนุษย์มาใส่ลงในงานเขียนอย่างไม่แคร์สายตาประชาชี ก็นักเขียนสัญชาติญี่ปุ่นนี่แหละ

เราอ่านรวดเดียวจบ เพราะเรื่องราวที่ส่งต่อกับเป็นทอดๆ เล่นเอาซะคนอ่านไม่ต้องลุกไปไหนจนกว่าจะจบบรรทัดสุดท้ายของหน้าท้ายสุด ตัวละครทุกตัวมีชีวิตชีวาอย่างน่าอัศจรรย์ มีเหตุผลของตัวเองมารองรับการกระทำในแบบที่เราก็ต้องยอมรับ ยอมปล่อยให้เขาทำ รู้ว่าอาจจะไม่ถูก แต่ถ้าเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น อย่างที่เขา (ตัวละคร) กำลังเผชิญ แล้วเขาเลือกที่กระทำความผิด เราก็ก่นด่าเขาได้ไม่เต็มปากอยู่ดี บทหนึ่งเขาทำให้เราชิงชังตัวละครหนึ่ง แต่พอบทถัดไป กลายเป็นโอกาสที่ให้ตัวละครตัวนั้นแก้ตัว ซึ่งแน่นอนว่าทำให้เราชังไม่ลง แถมยังต้องพยักหน้าหงึกๆ ถ่ายโอนความชิงชังไปให้ตัวละครตัวใหม่ และก็กลายเป็นว่า พอเปิดไปอีกบท ก็ไปเกลียดตัวละครอีกตัวนั้นไม่ลงอีก เป็นอย่างนี้ไปจนเราแวบขึ้นมาได้ว่า เออ อย่าไปชิงชัง ไปเกลียดใครเลยเนาะ ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองที่จะกระทำอะไรสักอย่าง แม้กระทั่งว่าการกระทำนั้นมันเป็นเรื่องเลวร้ายไม่น้อยเลยก็ตาม

เรื่องราวผูกปมกันอย่างลงตัว ค่อยๆ คลายปมนี้ไปสร้างปมใหม่ คำตอบของจุดนี้กลายไปเป็นคำถามของจุดใหม่ ตกลงแล้วเป็นอย่างไร ใครผิดใครถูก จนกว่าจะอ่านจบนั่นแหละถึงจะได้รู้ความจริง ความสนุกสนาน ความน่าตื่นเต้นเหล่านี้ เล่าไปก็สัมผัสไม่ได้ ต้องอ่านเองค่ะ
ความรู้สึกคือเหตุผลอย่างหนึ่ง
5
เล่มนี้ หนุ่มเมืองจันท์ หล่อกว่าที่เคยหล่อ อบอุ่นกว่าที่เคยอบอุ่น
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ผลงานในชุดฟาตส์ฟู้ดธุรกิจลำดับที่ 19 ของพี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์ หนังสือในชุดนี้เราแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่าจะจ่ายเงินซื้อหรือไม่ (เชื่อว่าแฟนคลับของพี่ตุ้มส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน) แต่ก็พลิกปกหลังดูสักหน่อยพอเป็นพิธี

ถ้า "สมอง” มี "รอยหยัก” ที่แสดงถึงความฉลาดและ "เหตุผล”
หัวใจก็มีรอยยิ้มที่แสดงถึงความสุข
การตัดสินใจด้วยสมองที่ไม่ลืมความรู้สึกของหัวใจ
เราจะได้ความสำเร็จที่เปี่ยมด้วยความสุข

ป้าด หล่อไม่เปลี่ยน หล่อไม่บันยะบันยัง หล่อเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ

เล่มนี้รวมพลคนจากหลากหลายสาขาอาชีพ ทั้งใกล้ตัวที่คุ้นหน้าคุ้นตา และที่อยู่คนละซีกฟากของโลก คนที่แม้กระทั่งชื่อเรายังไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่กลับกลายเป็นว่า พวกเขาเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่สำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว เราชอบหลายเรื่องอีกเช่นเคย แต่ที่ชอบเป็นพิเศษคือเรื่องของนักกีฬาทีมชาติคนหนึ่ง ที่บาดเจ็บจากการแข่งขันจนแพทย์บอกว่าเขาไม่สามารถจะเล่นทีมชาติได้อีก คือเขาก็เสียใจ เสียใจมากๆ ด้วย คนเป็นนักกีฬา เคยแข็งแรงมากมาย แต่มาวันหนึ่งต้องกลายเป็นคนที่ร่างกายใช้งานไม่ได้ดั่งที่ใจต้องการ แต่ด้วยกำลังใจจากพ่อของเขา ผนวกกับเลือดนักสู้ของเขาเอง วันหนึ่ง เขาก็ได้กลับมาใส่เสื้อทีมชาติลงสนามอีกครั้ง และที่สำคัญคือ เป็นคนละสนามกับที่เขาเคยลงเสียด้วย ก็ไม่ได้มีใครตั้งกฎเกณฑ์ไว้นี่นาว่า ชั่วชีวิตของคนๆ หนึ่ง สามารถเป็นนักกีฬาทีมชาติได้เพียงกีฬาเดียวเท่านั้น ส่วนหนึ่งเขาบอกไว้ว่า เขาดีใจมากที่ได้ไปเย้ยหมอคนนั้น คนที่บอกว่าเขาจะไม่สามารถเป็นนักกีฬาทีมชาติได้อีกต่อไป (เอิ่ม เราก็แอบงงอยู่นิดนึงนะว่าจะไปเย้ยเขาทำไม หมอเขาวินิจฉัยไปตามอาการหรือเปล่าคะ แต่ก็เอาเถอะ ชื่นชมในความเป็นนักสู้ของเขา) อยากรู้รายละเอียด อยากอ่านเรื่องราวของหนึ่งในยอดนักสู้คนนี้ ก็เปิดหนังสือเลยจ้า
1
ยืนอ่านที่ร้านเถอะค่ะ ไม่มีสาระคู่ควรแก่การเสียสตางค์ซื้อ
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เล่มนี้เราซื้อเพราะการ์ตูนน่ารักๆ กะว่าจะบริจาคไปที่ไหนสักที่เมื่ออ่านจบ แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิด ยอมเก็บไว้ที่บ้านให้ปลวกกิน ให้ราขึ้น ดีกว่าส่งไปทำร้ายคนอื่น เราอาจพูดแรงไป แต่ก็คิดว่าเหมาะสมแล้วกับความมักง่ายที่คนทำหนังสือได้ทำเล่มนี้ออกมา

เราเข้าใจตามชื่อหนังสืออยู่เหมือนกันว่าต้องการเขียนหนังสือธรรมะให้เข้าใจง่ายๆ แต่สิ่งที่หนังสือเล่มนี้มี มันไม่ใช่การทำเรื่องซับซ้อนละเอียดอ่อนของธรรมะให้เป็นสิ่งง่ายๆ ที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้เลยสักนิด มันมีแต่ความมักง่ายที่ทำประหนึ่งว่าหนังสือเล่มนี้มีต้นแบบมาจากแบบเรียนพระพุทธศาสนา คัดเอาบทที่เด็กนักเรียนไร้เดียงสาต้องท่องสอบมาแปะเอาไว้ เช่น อริยสัจ 4 มีอะไรบ้าง นรกคืออะไร สวรรค์คืออะไร ยกเอาความหมายตามพจนานุกรมสักฉบับมาแปะไว้ ใส่กรอบ ใส่ตัวการ์ตูน เราว่าถ้าจะทำหนังสือแบบนี้ มาขายเอาเงินประชาชนแบบนี้ หากินเป็นเหลือบไรศาสนาแบบนี้ มันไม่ควรค่ะ ไม่มีใครสามารถเข้าใจธรรมะได้จากหนังสือมักง่ายๆ เล่มนี้หรอก เราพูดเลย เราเปิดพจนานุกรมพระพุทธศาสนา หรือกลับไปอ่านแบบเรียนสมัยประถมถึงมัธยมเอาก็ได้ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดคุณค่าอันใดเลย เมื่อไหร่พวกจ้องจะหากินกับศาสนาจะหมดไปเสียที

การศึกษาไทยทุกวันนี้มันก็ย่ำแย่พอตัวอยู่แล้วเพราะการท่องจำ การเรียนรู้แบบไม่รู้ว่าต้องรู้ไปทำไม หนังสือเล่มนี้ ราคาไม่ถูกเลยนะ ทำรูปเล่มดี หน้าตาน่ารัก แต่ไม่มีคุณค่าใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กแค่ไหนอ่าน หรือผู้ใหญ่ คนแก่ ใครๆ ก็ตาม ไม่มีใครสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้จากการโควทคำและตัดแปะ ก็อปปี้และวางลงแบบทื่อๆ แบบนี้ เอาจริงๆ คำคมที่หลายๆ วัดเขียนใส่กระดานไม้หรือกระดาษที่ติดตามต้นไม้ ยังมีคุณค่ามากกว่าเยอะเลย อย่าไปเสียเงินซื้อหามาเป็นของตัวเองเลยค่ะ ไปยืนเปิดดูที่ร้านหนังสือสักสิบหน้า แล้วจะรู้ว่าที่เราว่ามาข้างต้นนั้น ไม่เกินความจริงเลย

ยังนึกอยู่เลยว่าเราพลาดซื้อมาได้ยังไงกันนี่ เฮ้อ
The Casual Vacancy เก้าอี้ว่าง (J.K.Rowling)
3
เป็นหนังสือที่เหมือนเตาถ่าน กว่าจะติดก็ต้องใช้เวลา ผ่านความเฉื่อยชาน่าเบื่อเล็กน้อย แต่พอจุดไฟติดแล้ว ความสนุกก็ลุกโชนจนวางแทบไม่ลง
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เพราะยี่ห้อ เจ เค นี่เอง เราจึงได้ซื้อเล่มนี้มา ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องดีล้ำ เปิดจินตนาการเหมือนแฮร์รี่หรอกนะ แต่ก็อยากจะรู้ว่า นอกจากแนวแฟนตาซีแล้ว เจ๊เขาเขียนแนวอื่นๆ ได้น่าอ่านเหมือนกันหรือเปล่า เราเปิดดูรีวิวจากหลายๆ ที่ก่อนซื้อ เสียงส่วนใหญ่บอกว่าน่าเบื่อ อ่านไม่รู้เรื่อง อ่านไม่จบ (เพราะความหนาด้วยละมั้ง) แรกๆ เราก็รู้สึกอย่างนั้นนะ เมื่อเรื่องราวมันยังไม่เข้าที่เข้าทาง พอเนื้อหามันไม่ฉวัดเฉวียน ไม่สนุกสนาน ก็เลยกลายเป็นทั้งงุนงง ทั้งน่าเบื่อ แต่เราก็อ่านต่อไปเรื่อยๆ ช่วงตั้งแต่กลางเรื่องเป็นต้นไป เรื่องจะเริ่มขมวดปม เริ่มพันกันแน่นขึ้น แล้วก็เข้าสู่จุดคลี่คลาย ซึ่งเรารู้สึกว่า ถ้าพูดถึงความสนุกสนาน อาจมีไม่มาก (และคนคาดหวังสูงไปกันเองด้วยหรือเปล่า) แต่ถ้าพูดถึงแนวคิดที่เจ๊เขาต้องการจะสื่อ การโยนก้อนคำถามมาสู่เราโดยตั้งใจ เราว่าเขาทำออกมาได้ดีเลยล่ะ

ช่วงแรกอาจงงหน่อย เพราะเจ๊เขาเขียนแบบตัดฉากไปมา และคนอ่านจะยังจำไม่ได้ว่าตัวละครไหนเกี่ยวข้องกับตัวละครไหน ใครเป็นใคร (ซึ่งสุดท้ายก็จะกลายเป็นว่า ทุกตัวละครมีความเกี่ยวข้องกันไปหมด) แต่เมื่อเริ่มคุ้นชิน เริ่มเข้าสู่ปมของเรื่อง เริ่มมีความสับสนอลหม่านเข้ามามากขึ้นแล้ว เราก็จะสนุกเอง (อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่งน่ะนะ) อดทนอ่านให้จบเถอะ เราว่าเจ๊เขาไม่ทำให้แฟนคลับผิดหวังหรอก เราว่าเจ๊เขานำเสนอประเด็นและสอดแทรกอะไรหลายอย่างไว้เยอะอยู่นะ อะไรที่เราคิดว่าคนรุ่นใหม่น่าจะได้เจอ และเหมาะสมที่จะเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจดูไม่ยิ่งใหญ่ แต่บางทีก็ก่อให้เกิดผลกระทบมากมายอย่างที่คาดฝันกันไม่ถูกเลยทีเดียว มุมมองที่เจ๊เขามีต่อโลก เราว่าลึกซึ้งและไม่ธรรมดาเลย
กรอบที่ไม่มีเส้น
4
มีเรื่องฮาๆ ทึ่งๆ และจี๊ดๆ เช่นเดิม ตามสไตล์ "หนุ่มเมืองจันท์"
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เล่มนี้ ก็เหมือนฟาสต์ฟู้ดธุรกิจของหนุ่มเมืองจันท์ในลำดับก่อนๆ นั่นแหละ ยังเจ๋งเหมือนเดิม อ่านง่าย ได้ประโยชน์ ส่วนตัวเราคิด (มาตลอด) ว่าชีวิตของพี่ตุ้มเป็นชีวิตที่น่าอิจฉามากๆ ได้มีโอกาสพบเจอผู้คนมากมาย และผู้คนที่เขาได้พบเจอ ได้พูดคุย ได้ฟังการถ่ายทอดประสบการณ์นั้น แต่ละคน ธรรมดาซะที่ไหน ระดับเจ้าสัว ระดับนักธุรกิจพันล้านทั้งนั้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะนิยมชมชอบคนร่ำรวยอะไรมากมายขนาดนั้นหรอกนะ เราชอบอ่านมุมมองใหม่ๆ แนวความคิดพิสดารๆ ที่ยืนยันว่า คนจะประสบความสำเร็จได้ ต้องมีลูกบ้า ลูกอึด ลูกฮึด และลูกเล่นที่จะสามารถยิ้มรับความโชคร้ายในชะตาที่มาเป็นระลอกๆ ได้เสมอ

เบื้องหน้าที่เราเห็น คนเหล่านั้นอาจยิ้มร่า อาจมีแต่ความสำราญท่ามกลางกองเงินกองทอง มีอำนาจ มีบารมี แต่กว่าจะถึงจุดนั้น เรื่องราวการฟันฝ่าอุปสรรคอันแสนสาหัสที่พวกเขาสามารถข้ามพ้นมาได้นั่นต่างหากที่น่าสนใจ และสำหรับเรา ให้ใครเล่าให้ฟัง เขียนให้อ่าน ก็ไม่สนุกเท่าหนุ่มเมืองจันท์เลยจริงๆ

สำหรับเล่มนี้ เราชอบเรื่อง "ระวัง ถนนลื่น” มากที่สุด พี่ตุ้มพูดถึงนักธุรกิจคนหนึ่งที่พูดถึงธนาคารไว้ว่า

“แบงค์” เป็นคนไม่เข้าใจเรื่องการใช้ร่ม เวลาฝนไม่ตก แบงค์จะให้ร่ม แต่พอพายุเข้า แบงค์จะขอร่มคืนทันที

เรานี่จี๊ดเลย ตบเข่าดังฉาด (แสบชะมัด) ทีเวลาเราจะใช้เงิน ทำเรื่องกู้ พี่แกอิดออดเล่นตัว แต่พอเราอยู่สุขสบายดีมั่งมีเป็นศรีแก่โลก พี่แกดันโทรมาเช้า กลางวัน เย็น เผลอๆ ก็ก่อนนอนอีกต่างหาก บัตรเครดิตไหมคะ สินเชื่อส่วนบุคคลไหมคะ โถ คุณแบงค์คะ ตอนฝนตก คุณไปอยู่ที่ไหนม๊า (เสียงสูงด้วยความขุ่นเคือง) เรานี่อยากสะบัดบ๊อบใส่จริงๆ หึหึ
www.batorastore.com © 2024