Customer Reviews

สมการแห่งความสำเร็จ
3
เหมาะกับเด็กวัยรุ่น เป็นไอเดียที่ดีสำหรับกระตุ้นให้วัยที่เพิ่งเริ่มต้นใช้ชีวิตของตัวเองไม่หลงทิศหลงทางเกินไป
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 06 มกราคม พ.ศ. 2558

เล่มนี้ เหมาะกับการอ่านชิลๆ แบบสบายๆ ถ้าจะเอาเนื้อหาหรือสาระคมๆ คงได้อะไรไม่มากนัก เป็นแนวคิดที่ค่อนข้างบางเบาและดาษดื่น เพราะใครๆ ก็เคยพูดกันมาเยอะแล้ว สไตล์การเขียนเป็นสำนวนอ่านง่าย สื่อความหมายง่าย เข้าใจง่าย แต่ก็ยังดีที่ไม่ถึงกับมักง่าย อ่านแล้วพอจะเข้าใจได้ว่าผู้เขียนมีเจตนาและความตั้งใจจริงที่จะสื่อแนวความคิดทั้งหลายที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ เพียงแต่แนวความคิดนั้น มันติดอยู่ตรงที่ว่า มีคนคิดได้มานานแล้ว มีคนเอามาพูดถึงหรือเขียนถึงกันนานแล้ว

นี่ยังไม่นับเรื่องการยกเอาฟอร์เวิร์ดเมลหรือเอาเรื่องราวตัวอย่าง ข้อเขียนที่อยู่ในหนังสือดังๆ มาใส่ในงานเขียนแต่ละหัวข้อของตัวเอง เราว่าคนที่อ่านหนังสือมาพอสมควร คงคุ้นเคยกับเรื่องราวพวกนั้น หรืออ่านแล้วก็อาจจะต้องตั้งคำถามว่า คนๆ หนึ่งที่อยากจะเขียนหนังสือสักเล่มเพื่อเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนความคิด หรือเป็นไกด์ให้คนอื่นในการแก้ปัญหาหรือใช้ชีวิต ควรจะต้องทำการบ้าน มีความพยายามมากกว่านี้ในการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ หรือตกผลึกทางความคิดมากกว่านี้สักหน่อยไหม

หนังสือเล่มนี้จึงเหมาะกับเด็กๆ หมายถึงเด็กวัยรุ่น คนที่ความคิดกำลังเริ่มจะงอกงาม เริ่มจะมีมุมมองโลกเป็นของตัวเอง กำลังสั่งสมข้อมูลเพื่อค้นหาตัวตนของตัวเอง อันนั้นจะเป็นประโยชน์พอสมควร เพราะการสื่อความหมายง่ายๆ ของผู้เขียนเช่นนี้ เหมาะที่จะให้คนที่ผ่านโลกมาไม่มากได้ตื่นเต้นกับแนวคิดและเรื่องราวที่เล่ามา และยังเป็นการดักทางเด็กวัยรุ่นให้เกิดไอเดียไว้เป็นภูมิคุ้มกันความคิดร้ายๆ ในอนาคตอีกด้วย เช่น การเปรียบเทียบเด็กวัยรุ่นสองคนที่อกหัก คนหนึ่งอกหักแล้วประชดชีวิตด้วยการกินเหล้าเมายา เสียอนาคต ส่วนอีกคนอกหักแต่ก็ยังสามารถประคับประคองชีวิตให้ผ่านไปได้โดยไม่กระทบกระเทือนต่ออนาคตที่ดีของตัวเอง หรือจะเป็นแนวคิดเรื่องการปล่อยวาง การมองที่ตนเอง เริ่มต้นแก้ไขอะไรที่ตนเอง การสร้างทักษะต่างๆ เพื่อพัฒนาชีวิต อันนี้เราว่าเหมาะสมมาก

สรุปคือ เล่มนี้ไม่เหมาะกับผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมาพอสมควร เพราะมันจะเป็นความน่าเบื่อ เป็นอะไรที่คนซึ่งผ่านมาโลกมาสักพักพอจะรู้กันอยู่แล้ว คนเคยอ่านหนังสือฮาวทูเคยอ่านมาแล้ว คนเคยใช้อินเตอร์เน็ตเคยอ่านฟอร์เวิร์ดเมลหรือเรื่องราวเหล่านั้นมาแล้ว แต่เหมาะกับเด็กวัยรุ่น เหมาะที่จะใช้ขัดเกลาความคิด และเป็นไอเดียที่ดีสำหรับกระตุ้นให้วัยที่เพิ่งเริ่มต้นใช้ชีวิตของตัวเองไม่หลงทิศหลงทาง หรือมึนงงกับชีวิตมากเกินไปนัก

อืม แต่เอาเข้าจริงๆ หน้าปก รวมถึงรูปภาพประกอบ ก็น่าจะบอกเป็นนัยๆ อยู่แล้วนะว่าเป็นหนังสือที่ทำออกมาเพื่อกลุ่มเป้าหมายใด
ลิงคอล์น มหาบุรุษ (Lincoln the Unknown) โดย เดล คาริเนกี
4
เป็นหนังสืออีกเล่มที่ควรอ่าน อ่านเอาเรื่อง เอาแนวคิดบางประการมาย้อนดูตัวเราเอง
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 03 มกราคม พ.ศ. 2558

ลิงคอล์น มหาบุรุษ โดยเดล คาร์เนกี เข้มข้น ถึงพริกถึงขิง ละเอียดในด้านข้อมูล และครบครันเรื่องอารมณ์ของบุคคลต่างๆ ที่ปรากฏชื่ออยู่ในเรื่องราวตลอดทั้งหนังสือเล่มหนาๆ เล่มนี้

มีจุดที่การพิสูจน์อักษรขาดตกบกพร่องไปพอสมควร แต่ความผิดพลาดเหล่านั้น เทียบกับคุณค่าของหนังสือเล่มนี้ เลยทำให้พออภัย พอหยวนๆ ไปได้บ้าง

เราติดตามเรื่องราวของอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาท่านนี้มาพอสมควร อ่านจากหนังสือต่างๆ เท่าที่จะสามารถหาอ่านได้ และในบรรดาเล่มที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทย เล่มนี้ถือว่าละเอียดมากที่สุด โดยเฉพาะในช่วงชีวิตของลิงคอล์น ขณะที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ค่อนข้างเชื่อถือได้ เพราะมาจากการรวบรวมหลายแหล่งที่อ้างอิงที่มาได้ มีการตรวจพิสูจน์ได้ แต่ในบางจุด จุดที่เป็นเรื่องอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร เราว่าบางทีก็เหมือนพยายามใส่สีสันเติมแต่งมากเกินไป มันทำให้เราเกิดคำถามขึ้นว่า...ผู้เขียนรู้ได้อย่างไร เช่น ตอนท้ายของเล่ม ที่เป็นเรื่องราวชีวิตของนางลิงคอล์น หรือแมรี ทอดด์ ลิงคอล์น หลังจากสามีถูกฆาตกรรมและตัวเองต้องระหกระเหเร่ร่อน ประสบชะตากรรมอันยากลำบากที่เกิดจากการกระทำอันน่ารังเกียจของตัวเอง บั้นปลายสุดท้ายก่อนจะสิ้นลมหายใจ หนังสือบบรรยายไว้ว่า

“หล่อนปล่อยความคิดของหล่อนให้แล่นกลับไปสู่ความทรงจำอันโหดร้ายทารุณในระหว่างเวลาหลายปีที่ผ่านมาแล้ว และครั้งสุดท้ายปล่อยให้ความคิดนั้นล่องลอยไปสู่ความทรงจำอันแสนหวานเมื่อครั้งหล่อนยังอยู่ในวัยสาว มองเห็นภาพของหล่อนกำลังลีลาศเพลงวอลตซ์กับสตีเฟ่น เอ. ดักลัส อีกครั้งหนึ่ง รู้สึกจับใจในกิริยาอันละมุนละไมของเขา...”

ซึ่งฉากการบรรยายที่ว่านี้ คือช่วงที่นางลิงคอล์นขังตัวเองอยู่ในห้องอันมืดทึบเพียงลำพัง และไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้มีการบันทึกหรือเขียนไว้โดยตัวนางเอง (ตอนนั้นแพทย์และศาลได้ลงความเห็นว่านางเป็นผู้วิกลจริตไปแล้ว) เพราะฉะนั้น คำถามคือ ผู้เขียนไปรู้ความคิด ไปเห็นการเพ้อของนางลิงคอล์นได้อย่างไร เราว่านี่คือสิ่งที่นักเขียนเรื่องสารคดี ไม่ว่าจะเป็นสารคดีประเภทไหน โดยเฉพาะอัตชีวประวัติของบุคคล จำเป็นต้องระวัง ไม่ใส่อะไรที่พิสูจน์ไม่ได้ลงไปมากนัก เพราะมันคือเรื่องจริงที่มีบุคคลที่เกี่ยวข้องจริงๆ มีผลกระทบต่อใครหลายคนบนโลกนี้จริงๆ ชีวิตจริงไม่ใช่นิยายที่เราจะมีสิทธิไปปั้นแต่งให้ใครได้

นอกจากนี้ การเรียบเรียงของเดล คาร์เนกี พยายามดึงดูดผู้อ่านด้วยคำว่า "ที่สุด” มากเกินไป ใช้คำนี้พร่ำเพรื่อจนเรารู้สึกว่า อะไรๆ ก็ที่สุดไปหมดจนไม่รู้ว่าอะไรคือที่สุดกันแน่ เห็นได้ชัดจากการบรรยายสงครามระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ที่ยืดเยื้อ มีการยกทัพปะทะกันหลายครั้ง และในเกือบทุกๆ ครั้ง ผู้เขียนมักจะบรรยายด้วยคำว่า นองเลือดที่สุด ร้ายแรงที่สุด เสียหายที่สุด จนกลายเป็นว่า มันก็ที่สุดในทุกๆ ครั้งที่รบกันนั่นแหละ และผลของการรบแต่ละครั้งมันก็เสียหายยิ่งหย่อนกว่ากันไม่เท่าไหร่ ตายครั้งละหลายพัน หลายหมื่นคน แต่ก็บรรยายว่าที่สุดทุกครั้ง เราว่ามันเป็นการใช้ภาษาที่พิสดารพอสมควร

เราพับไว้หลายหน้า เกี่ยวกับวาทะและการกระทำของลิงคอล์น เขาคือบุรุษที่อ่อนโยนที่สุด ไม่มาดร้ายต่อใคร และไม่ตอบโต้คนที่มาดร้ายต่อเขา ข้อนี้คือข้อที่ยกย่องที่สุด มันเป็นจุดแข็งและเป็นจุดใหญ่ที่ทำให้ใครๆ รักเขา แต่ก็นั่นเอง ด้วยความที่ให้โอกาสคน ไม่ตัดสินคน มันก็เลยทำให้เขาตกเป็นจำเลยสังคม เพราะเป็นผู้นำที่ไม่กล้าตัดสินใจ ทำให้สงครามยืดเยื้อ ทำให้เกิดความสูญเสียมากมายตามมา อันนี้คงต้องแล้วแต่ว่าใครจะชังหรือจะชอบเขา แต่โดยส่วนตัว เราชอบ

เป็นหนังสืออีกเล่มที่ควรอ่าน อ่านเอาเรื่อง เอาแนวคิดบางประการมาย้อนดูตัวเราเอง อ่านเพื่อให้รู้ว่า มหาบุรุษคนหนึ่งที่มีคนรักมากที่สุดคนหนึ่งของโลก เขามีความคิดอ่านต่อผู้อื่นอย่างไร กระทำต่อผู้อื่นด้วยความเมตตา สงสาร และเห็นใจอย่างไร
นำเข้า ส่งออก (ออนไลน์) ไม่ยาก
4
ขอยกความดีความชอบให้เล่มนี้ตรงที่พยายามหาตัวช่วย หาเครื่องมือผ่อนแรงมาให้เรา
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 01 มกราคม พ.ศ. 2558

อ่านง่าย การ์ตูนน่ารักเหมือนเล่มอื่นๆ ในชุดเดียวกัน (ชุดไม่ยาก) นี้แหละ มีตัวละครมาทำหน้าที่สงสัย มาสร้างความฝันและแรงบันดาลใจให้เรา และก็มีตัวละครที่มาทำหน้าที่ให้ข้อมูลเรา ตามสไตล์ ถือว่าทำได้ตามมาตรฐานของเขา

แต่ด้วยความที่เนื้อหาของเล่มนี้มันหนัก เพราะเรื่องของการนำเข้า-ส่งออก มันมีรายละเอียดเยอะโดยตัวมันเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ถึงจะพยายามเอามาย่อยให้ดูเหมือนจะง่าย มันก็ไม่ง่ายหรอก โดยเฉพาะข้อมูลเรื่องระเบียบพิธีการศุลกากรและเอกสารนำเข้าส่งออกต่างๆ ที่ยกมาอธิบายยาวเป็นพรวน สุดท้ายตัวละครที่เป็นโค้ชก็ต้องมาพูดบ่อยๆ ว่าอย่าเพิ่งท้อนะ ค่อยๆ เรียนรู้ไปแล้วจะเริ่มเข้าใจมัน เริ่มคุ้นเคยมันไปเอง

อาจจะยาก แต่ก็อย่างที่คนเขียนพยายามสอดแทรกอยู่ตลอดเวลาว่า อย่าเพิ่งรีบท้อ ให้ลงมือทำก่อน ทำด้วยความตั้งใจจริงๆ ซึ่งอันนี้เราเห็นด้วยมากๆ มันอาจดูยาก แต่เมื่อมีคนทำได้ ทำไมเราถึงจะทำไม่ได้ และที่สำคัญ ขอยกความดีความชอบให้เล่มนี้ตรงที่พยายามหาตัวช่วย หาเครื่องมือผ่อนแรงมาให้เรา ผ่อนทั้งเรื่องความยุ่งยากและการที่เราจะถูกหลอกถูกโกง และช่วยชี้จุดเสี่ยงด้วยว่าเราควรต้องระมัดระวังตรงไหนมากเป็นพิเศษเพื่อไม่ได้การเริ่มต้นธุรกิจนี้เจ๊งไม่เป็นท่า

และตามปกติ พูดถึงเรื่องธุรกิจนำเข้าส่งออกปุ๊บ คนมากมายจะเกิดคำถามคล้ายๆ กันว่า มันเริ่มจากตรงไหน ดูเหมือนไกลตัว เหมือนว่าเราซึ่งเป็นคนธรรมดาๆ ไม่มีคอนเน็คชั่น ไม่เคยเรียนเมืองนอก ไม่มีเพื่อนที่บ้านรวยๆ ทำธุรกิจกันมายาวนาน จะเอาอะไรไปเริ่มต้นดี แต่หนังสือเล่มนี้ โยนตัวอย่างที่ง่ายและสามารถทำได้จริงมาให้เราได้ลองเริ่มต้น และปัญหาที่ตามมาอีกอย่างคือ ไม่เก่งภาษา จะทำยังไง อังกฤษงูๆ ปลาๆ จีนก็ไม่ได้ จะไปนำเข้าส่งออกได้เหรอ เขาก็มีทางแก้ไขจุดอ่อนตรงนี้มาเสนอแนะ แต่ก็นะ เราก็ยังต้องไปแสวงหากันเพิ่มเติมอยู่ดีแหละ จะไปหวังพึ่งคนอื่นเขาตลอดทั้งหมดก็ไม่ได้ จะอ่านแค่เล่มนี้แล้วตะลุยไปด้วยความไม่พร้อมก็ไม่ได้ เขาบอกแค่ว่า...ไม่ยาก แต่ไม่ได้บอกนะว่า มันง่าย
4
อ่านเข้าใจง่าย เห็นภาพรวมว่าสรุปแล้วเกษตรอินทรีย์คืออะไร
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 01 มกราคม พ.ศ. 2558

เล่มนี้ถือว่าเป็นหนังสือที่อธิบายเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์สำหรับผู้เริ่มต้นให้เข้าใจได้ดีมากๆ ทีเดียว อ่านเข้าใจง่าย เห็นภาพรวมว่าสรุปแล้วเกษตรอินทรีย์คืออะไร เหมือนกันกับปลอดสาร ไร้สารไหม และอธิบายขั้นตอนการได้มาของการรับรองเกษตรอินทรีย์เพื่อให้ได้มาตรฐานระดับสากลได้อย่างดีเลย

แต่ถ้าต้องการความละเอียดแบบเจาะลึก คงต้องไปหาศึกษาเพิ่มเติมกันอีกที และที่สำคัญ เล่มนี้ พูดถึงแค่เรื่องเกษตรอินทรีย์ในแบบมะพร้าวๆ (ก็แน่สิ ชื่อหนังสือก็บอกอยู่โต้งๆ ว่ากะทิ)

เรื่อง กะทิ กะทิ ที่ไม่ธรรมดาเล่มนี้ เป็นเรื่องราวเส้นทางธุรกิจกะทิกระป๋องอินทรีย์เจ้าแรกและเจ้าใหญ่ที่สุดของเมืองไทย เป็นธุรกิจครอบครัวของตระกูลจรัญวงศ์ เริ่มต้นธุรกิจด้วยการระดมทุนภายในครอบครัวแล้วซื้อที่ดินที่จังหวัดจันทบุรีเพื่อปลูกมะพร้าวเป็นหลักพันไร่ (ต้นทุนเขามาดี ร่ำรวยมากๆ อยู่แล้วว่างั้นเถอะ) แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ จะมีต้นทุนมากหรือน้อย หากทำไม่ดี ทำไม่ได้ ทำไม่โดน สุดท้ายก็มีโอกาสเจ๊งอยู่ดี เราเห็นตัวอย่างนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จซึ่งเริ่มต้นจากศูนย์หรือติดลบกันมาเยอะ แค่คราวนี้เปลี่ยนมาเป็นการเริ่มต้นของผู้มีทุนหนาดูบ้าง ก็ไม่เห็นเป็นไร

และอย่างที่บอกนั่นแหละต่อให้มีทุนหนา มีเงินมาก แต่ถ้าทำไม่ดี ก็มีสิทธิเจ๊ง เพราะปัจจัยของการประสบความสำเร็จมันมีหลายอย่าง และโดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่ทำมีความเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ธรรมชาติที่เราควบคุมไม่ได้ และไม่สามารถเอาชนะได้ด้วย ครอบครัวนี้ก็เช่นกัน สวนมะพร้าวกว่าพันไร่เกือบถูกเผาทิ้งด้วยความคับแค้นใจ เพราะกำลังประสบความย่ำแย่จากสภาพอากาศที่แปรปรวนจากปรากฏการณ์เอลนินโญ่ ทำให้ต้นมะพร้าวมากมายทำท่าเหมือนจะขาดใจตาย แต่สุดท้าย ด้วยเดชะบุญที่ไม่เผาทิ้งไปเสียก่อน ต้นมะพร้าวเหล่านั้น กลับสามารถเยียวยาตัวเองและค่อยๆ ฟื้นคืนชีวิตกลับมาอีกครั้งเหมือนสวรรค์ประทาน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการปล่อยให้ธรรมชาติจัดการตัวเอง

นอกจากนี้ จะว่าเป็นความบังเอิญ เป็นความโชคดี หรือจะเป็นธรรมะจัดสรรอย่างที่เขาเล่าในหนังสือก็ได้ เจ้าของไอเดียผู้ปลุกปั้นสวนมะพร้าวแห่งนี้ ดันไปขึ้นเครื่องบินแล้วได้ไปเจอกับฝรั่งผู้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ก็เลยหูตาสว่าง ได้ไอเดียมาทำสวนมะพร้าวของตัวเอง กลายเป็นสวนมะพร้าวอินทรีย์ แปรรูปเป็นกะทิอินทรีย์ ส่งออกกันเป็นล่ำเป็นสัน เรียกได้ว่า ฟ้าหลังฝนของครอบครัวนี้ สดใสซาบซ่ากันสุดๆ

เราชอบนะ โดยรวมแล้วอ่านเพลิน ได้เกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ได้เห็นสาเหตุของปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นในแวดวงเกษตรบ้านเรา ปัญหาที่เป็นต้นเหตุว่า ทำไมเกษตรกรรมบ้านเราถึงได้ตกต่ำลงทุกวันๆ
ทำธุรกิจเกษตรรวยได้ไม่ยาก (Easy Guide: Wealth with Agricultures)
4
รูปแบบการนำเสนออาจดูเด็กๆ แต่เนื้อหาไม่เด็กเลย ถือว่าตอบคำถามตามชื่อหนังสือได้เป็นอย่างดี
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เราเป็นอีกคนที่กำลังจะเริ่มทำอีกหนึ่งความฝัน คือการเป็นเกษตรกร ทำเกษตรอินทรีย์ มีพื้นที่มีผืนนาน้อยๆ ของตัวเอง มีบ้านหลังเล็กๆ ท่ามกลางท้องนาและแปลงผักเขียวๆ มีท้องฟ้ามีดวงดาวเป็นเพื่อนในยามค่ำคืน เล่มนี้ช่วยให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้นว่าเราต้องเริ่มต้นจากตรงไหน ต้องวางแผนยังไงเพื่อให้เป้าหมายนี้ประสบความสำเร็จ

แรกๆ อาจดูเหมือนว่า วิธีนำเสนอของหนังสือออกจะเด็กๆ หรือกิ๊กก๊อกไปหน่อย พล็อตเรื่องตัวละครทำให้เราอมยิ้ม (และแอบส่ายหน้าเบาๆ) แต่ข้ามตรงนั้นไป เนื้อหาสาระที่เขานำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจได้ง่ายๆ ก็ทำให้คุณค่าของหนังสือเล่มนี้เพิ่มมากขึ้น จนในช่วงกลางเล่มถึงท้ายเล่ม เราต้องพับไว้หลายหน้า เพราะถือว่าเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มาก เป็นสิ่งที่เราต้องรู้ ต้องทำ และต้องวางลำดับแผนการ เขียนเป้าหมายและวิธีการให้ชัดเจน เพราะการทำเกษตร มันก็เหมือนการประกอบอาชีพอื่นๆ นั่นแหละ ทำดีสามารถรวยได้ แต่ถ้าทำไม่ดี หนี้สินก็ตามมาเป็นพรวนเหมือนเกษตรกรหลายครัวเรือนที่กำลังประสบปัญหาอยู่ในทุกวันนี้ อย่างที่เราทราบกันดี

และเล่มนี้ เราชอบที่เน้นการนำเสนอเรื่องเกษตรอินทรีย์ เปรียบเทียบการทำเกษตรอินทรีย์และเกษตรเคมี ให้เห็นข้อดีข้อเสียอย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย รวมถึงมีตัวอย่างการคำนวณต้นทุน ค่าใช้จ่าย กำไร ให้เห็นเป็นรูปธรรม ให้เรามีกำลังใจว่าการทำเกษตรก็สามารถทำให้เราเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ การอยู่นอกเมือง ชีวิตก็มีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ไม่จำเป็นต้องไปเป็นพนักงานออฟฟิศ ไปเป็นลูกจ้างเขาเสมอไปจึงจะพบกับความมั่นคง

เราชอบตรงที่เขาสามารถตอบคำถามที่เราสงสัยในระหว่างทางได้อย่างครบถ้วน เช่น เมื่ออ่านไปถึงจุดๆ หนึ่ง เรานึกสงสัยว่า แล้วต้องทำยังไง จึงจะไม่เจอปัญหานั้น ต้องเริ่มจากตรงไหน เขาก็อธิบายในหน้าต่อมาได้อย่างชัดเจน ตอบคำถามให้เรามองเห็น ไม่มืดหม่น คลำๆ ไปแบบไร้ทิศทาง นี่คือประโยชน์ที่เราสามารถนำไปใช้ได้จริง และยิ่งชอบตรงที่มีแหล่งข้อมูลให้เราสามารถไปหาความรู้ต่อยอดด้วยตัวเองได้ เราอยากรู้เรื่องอะไร ควรวิ่งไปหาหน่วยงานไหน ควรเข้าไปที่เว็ปไซต์ไหน มีหมด อันนี้แหละ ที่ต้องพับไว้หลายๆ หน้าเลย

รวมๆ แล้ว รูปแบบการนำเสนออาจดูเด็กๆ แต่เนื้อหาไม่เด็กเลย ถือว่าตอบคำถามตามชื่อหนังสือได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นสนใจการทำเกษตร และผู้ที่ยังไม่เก๋ากึ๊กในวงการนี้มากนัก ทำให้เห็นภาพรวมได้เป็นอย่างดี
กลยุทธ์ล้างพิษทางการเงิน Detox your finances
3
หัวใจหลักแต่ละข้อที่เขานำเสนอมาก็ค่อนข้างนำมาใช้ได้จริง
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เล่มนี้ เราได้มานานพอสมควรแล้วเหมือนกัน แต่ก็เพิ่งจะได้เปิดอ่าน ด้วยความที่เป็นหนังสือแปล ดังนี้บางเรื่องบางบท เนื้อหาก็ต้องมาพิจารณากันอีกทีว่าจะสามารถใช้ในบ้านเราได้ไหม หลักเกณฑ์บางอย่างก็ต้องมาดูของประเทศเราเพิ่มเติม อ้างอิงจากหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ทั้งหมด เช่น เรื่องหลักเกณฑ์การทำประกัน การวางแผนภาษี เป็นต้น

แต่โดยรวม เราว่าหัวใจหลักแต่ละข้อที่เขานำเสนอมาก็ค่อนข้างนำมาใช้ได้จริง แนวทางการแก้ไขปัญหาทางการเงินส่วนใหญ่ก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและนำมาปรับใช้ได้แหละ อาทิ เรื่องการกำจัดปีศาจร้ายบัตรเครดิต เพราะบัตรเครดิตบ้านเขาหรือบ้านเราก็มีลักษณะเหมือนกัน และเมื่อเกิดสภาวะบัตรเครดิตเป็นพิษขึ้น วิธีการที่เขาแนะนำเพื่อล้างพิษนั้นก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำจริงๆ

รูปแบบการนำเสนอ แยกเป็นข้อๆ เป็นบทชัดเจน มีหัวข้อเรื่องที่จะพูดถึง ทำให้เราเลือกอ่านได้ตามความสนใจ ไม่จำเป็นต้องอ่านเรียงกันไปจนจบเล่มก็ได้ แต่อ่านทั้งหมดก็ดี ถึงตอนนี้ยังไม่สนใจ ยังคิดว่าไม่จำเป็นต้องรู้ แต่การรู้ก็อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของชีวิตเราก็ได้ เวลาเกิดสถานการณ์คับขันในอนาคต อย่างน้อยเราก็มีข้อมูลและวิธีการรับมืออยู่ในหัว

หากเราเลือกอ่านบทที่สนใจ และเนื้อหาบทนั้นมีความเกี่ยวข้องกันบทอื่นๆ เขาก็โน้ตไว้ข้างๆ ให้ว่าจะต้องไปอ่านเพิ่มเติมที่บทไหน นี่เป็นอีกหนึ่งข้อดีที่ทำให้เราได้ข้อมูลที่ควรรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นอย่างครบถ้วน โดยที่ไม่จำเป็นต้องตะบี้ตะบันอ่านเรียงไปทีละหน้า ทีละบท

เราชอบอ่านโควทคำพูดที่เขายกมา เล่มนี้มีคำพูดโดนๆ ของคนดังๆ แทรกอยู่ตลอดทั้งเล่ม มีทุกบท เป็นส่วนของนิยามไอเดียที่เกี่ยวข้องกับบทนั้น เหมือนเป็นสรุปใจความสำคัญเกี่ยวกับบทนั้นในระดับหนึ่ง (หรือบางทีก็อาจไม่เกี่ยวหรอก แต่ก็โดนใจ) อาทิ

“หากไม่มีผู้ใดที่ถูกยั่วให้โกรธโดยคุณ นั่นแสดงว่าคุณกำลังก้าวเข้าสู่ความตายแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ถูกคิดคำนวณออกมาเป็นต้นทุนที่แท้จริงเท่านั้น” ทอม ปีเตอร์

อ่านแล้วจี๊ดแปลกๆ นึกไม่ออกว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยดี หึหึ
4
เหมือนไม่ได้กำลังอ่านหนังสือ แต่กำลังฟังเขาเล่าเรื่องราวสนุกๆ ฟังเขาชี้หน้า จ้องตาเรา ถามว่า เฮ้ย เอ็งน่ะ รู้จักตัวเองรึยัง
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

“ครั้งหนึ่ง มีนักศึกษาถาม บิล เกตส์ ว่าถ้าผมอยากสำเร็จและร่ำรวยแบบคุณบ้าง คุณจะแนะนำอย่างไร

บิล เกตส์ ตอบว่า ขอร้องเถอะ กรุณาอย่าทำอย่างที่ผมเคยทำ เพราะเงินจากการทำแบบนั้น มันเข้ามาอยู่ในกระเป๋าผมหมดแล้ว”

นี่คือหนึ่งในหน้าที่เราพับไว้ บิล เกตส์ ตอบคำถามได้น่ารักมาก แต่ความน่ารักไม่ใช่จุดขายของหนังสือเล่มนี้ เดวิด บุญทวี มีทั้งส่วนที่คมคายในการมองโลก ส่วนที่นิ่งสงบเปี่ยมด้วยปัญญาคอยรับมือกับปัญหาต่างๆ ทั้งใหญ่และเล็ก ทั้งของตัวเองและผู้อื่น และส่วนที่แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขาเชื่อมั่นในหลักแห่งการทำความดี เชื่อในบุญกรรม แต่ไม่ใช่บุญกรรมในแบบที่จะทำให้เขายอมแพ้ต่อโชคชะตา หากแต่เป็นบุญกรรมที่เกิดจากการกระทำของตัวเองล้วนๆ ทำเยอะได้เยอะ ทำอย่างฉลาดได้เยอะกว่าคนทำเยอะ

เราชอบสำนวนการเขียนของเขานะ เหมือนเราไม่ได้กำลังอ่านหนังสือ แต่กำลังฟังเขาเล่าเรื่องราวสนุกๆ ฟังเขาชี้หน้า จ้องตาเรา ถามว่า เฮ้ย เอ็งน่ะ รู้จักตัวเองรึยัง เห็นความฝันของตัวเองไหม มีเป้าหมายในชีวิตชัดเจนแค่ไหน เอ้า ยังไม่มีหรอ ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย หรือถ้าคำตอบเป็นอีกอย่าง ก็คงเป็นประมาณว่า เอ้อ มีแล้วเรอะ เอ๊า งั้นมัวรอพระแสงวิมานอะไรอยู่เล่า วิ่งเข้าสิ วิ่ง

เขาเป็นคนมีความคิดที่แยบคายและฉลาดในการรับมือกับปัญหามากๆ เลยนะ น้อยคนแหละที่จะทำได้แบบนี้ และแน่นอนว่า มนุษย์จำพวกที่ทำได้แบบนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่ถือว่าประสบความสำเร็จ เป็นดิ ไอดอล เป็นมนุษย์ที่ไม่ใช่แค่ส่วนประกอบเล็กๆ ที่ทำให้สังคมกลายเป็นสังคม แต่เป็นคนที่มีความสำคัญ ทำให้สังคมเกิดการพัฒนา

เล่มนี้เราได้มาตั้งแต่ปี 2555 แต่เพิ่งจะได้มานั่งอ่านจริงจังอย่างสนุกสนานและเก็บเอาแนวคิดดีๆ มาใช้ก็วันนี้เอง ถามว่าสรุปแล้วเนื้อหามีความแปลกใหม่พิสดารอะไรไหม ก็ไม่เท่าไหร่นะ แต่ถามว่ามีประโยชน์ไหม ในยามที่เราเหมือนจะหลงลืมอะไรบางอย่าง นั่นแหละ ประโยชน์ที่แท้จริงของหนังสือเล่มนี้แหละ เพราะเขากำลังกระตุ้นเตือนเรา ให้เรามองตัวเอง ทบทวนตัวเองอย่างละเอียดรอบคอบ ว่าไอ้ที่ติดแหง็ก ชีวิตไม่พุ่งปรี๊ดอยู่ทุกวันนี้ มันเพราะเราลืมอะไรไป ลืมฝัน หรือลืมเดินตามฝัน

ว่าแล้วก็อยากไปเรียนดูไพ่ยิปซีกับเขาเหมือนกันแฮะ อิอิ
4
อ่านในยามว่างๆ สุดสัปดาห์ ให้ชีวิตได้ช้าลง และได้ค้นพบสิ่งใหม่ที่ดีๆ
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เล่มนี้ เราไม่ได้ตั้งใจจะอ่านเลย แต่เพราะดันจับพลัดจับผลูจะต้องไปนั่งอยู่ในวงวิจารณ์วรรณกรรมที่หยิบยกหนังสือเล่มนี้มาเป็นพระเอกพอดิบพอดี เลยต้องหามาอ่านเพื่อเตรียมตัวสักเล็กน้อย เดี๋ยวจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง จากที่ไม่เคยสนใจ เพราะไม่คิดว่าจะเป็นแนวหนังสือที่ชอบของตัวเอง กลายเป็นว่า ครึ่งหนึ่งเราคิดถูก และอีกครึ่งหนึ่งเราต้องคิดใหม่

พูดถึงเรื่องสำนวนภาษา เราเข้าใจว่าคนเขียนต้องการให้ออกมาดูอบอุ่น อ่อนโยน เป็นจดหมายที่มีถ้อยคำชวนให้คนอ่านมีหัวใจที่นุ่มนวลขึ้น แต่ก็นั่นแหละ ผลข้างเคียงของสำนวนการเขียนประเภทนี้คือ การทำให้คนอ่าน (ที่ไม่ใช่เป้าหมายหลักอย่างเรา) รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน และแอบเบื่อในบางที แต่เราก็อ่านจนจบ ไม่ได้วางทิ้งไว้และเก็บขึ้นชั้นหนังสือกลางคัน นั่นก็เพราะ อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือในความเป็นหนังสือเล่มนี้นั่นแหละ

เราจำได้ฉากหนึ่งที่ต้องพับเอาไว้เตือนใจตัวเอง มันเป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่ลืมนึกไปเลย คุณตาของเขา พูดถึงยามคับขัน เมื่อรถของเราเริ่มมีปัญหาอยู่ท่ามกลางท้องถนนอันแสนวุ่นวาย มีทางให้เราเลือกคือ ดันทุรังวิ่งต่อไป ซึ่งนั่นจะทำให้รถวิ่งได้ช้า และแน่นอนว่ารถคันหลังจะต้องบีบแตรไล่ ขับมาจี้ตูด หรือเปิดไฟสูงให้เราไปพ้นๆ แน่ๆ เราจะกลายเป็นตัวปัญหาที่คนอื่นๆ ในสังคมเหม็นขี้หน้าทันทีที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองกำลังมีปัญหา แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราเปิดไฟฉุกเฉิน เพื่อจะบอกคนอื่นๆ ว่า ฉันกำลังมีปัญหา ฉันกำลังอ่อนแอ ปฏิกิริยาของผู้คนจะแตกต่างไปในทันที พวกเขาจะไม่บีบแตรไล่ แต่จะหลีกเลี่ยงเราไปโดยการแซงซ้ายหรืออะไรก็ตามที มิหนำซ้ำ บางคนในพวกเขาเหล่านั้น ยังจะชะโงกหน้ามาถามเราด้วยความเป็นห่วงอีกด้วยว่า มีอะไรให้เขาช่วยไหม

นั่นคือสิ่งหนึ่งที่เรายังจำมาได้จนทุกวันนี้ แม้ว่าจะอ่านหนังสือเล่มนี้นานแล้วก็ตาม ยามเมื่อเราอ่อนแอ ในบางสถานการณ์ แทนที่จะแสร้งชูคอทำเป็นเข้มแข็ง ทำเหมือนว่าเราสามารถผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นไปได้ด้วยตัวเอง เพราะเราเก่ง เราทำได้ แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งนั้นไปสร้างปัญหา ไปทำความเดือดร้อนให้คนอื่นทีหลัง เราควรจะชั่งน้ำหนัก และยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ กำลังต้องการความช่วยเหลือ เพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นมองเห็นปัญหาของเรา และช่วยเราแก้ไข ซึ่งแน่นอนว่า บางทีปัญหาที่เรากำลังเจอ มันไม่ใช่ปัญหาของเราเพียงคนเดียว และมันต้องอาศัยความร่วมมือ ต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ วิน-วินกันไปทั้งหมด

อ่านในยามว่างๆ สุดสัปดาห์ ให้ชีวิตได้ช้าลง และได้ค้นพบสิ่งใหม่ คุณตาเขามีอะไรจะบอกหลายอย่างอยู่เหมือนกันนะ
Fifty Shades of Grey 1 (อี.แอล.เจมส์)
2
เพ้อฝัน น้ำเน่า เน้นขายฉากจิกหมอน ไม่มีแก่นสารสาระที่ดีสื่อมาถึงคนอ่านเลยสักนิด
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เอาจริงนะ เรารู้สึกว่านิยายไทยในแนวนี้ ยังไปไกลกว่าหนังสือเล่มนี้ด้วยซ้ำ คือมันเหมือนกับว่า บ้านเขาเมืองเขานานๆ ทีจะมีนิยายเพ้อฝันน้ำเน่าออกมา พอมีมาทีสาวๆ ก็พากันแตกตื่น ไปเห่อกระหน่ำซื้อเหมือนเด็กวัยรุ่นบ้านเราเข้าคิวบูธแจ่มใสในงานหนังสืออ่ะค่ะ พระเอกของเรื่องหล่อ รวยโคตร ในขณะที่นางเอกออกจะโก๊ะๆ แต่มีความสวย มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง แบบที่ไม่ได้สวยเตะตาใคร แต่เตะใจพระเอกเต็มๆ แล้วจากนั้น เทพบุตรสุดหล่อก็มาเทียวไล้เทียวขื่อนางเอกแสนซื่อ (ที่มีใจและแทบจะขย้ำพระเอกไปแล้วถ้าทำได้)

หลายฉากที่ใส่ความเพ้อฝันตามแบบสมัยนิยม ผู้หญิงสมัยนี้ฝันอยากได้ผู้ชายแบบไหน นาย Grey พระเอกของเรื่องมีหมด รวยมากใช่ไหม หนุ่มใช่ไหม หล่อใช่ไหม โรแมนติก ทำอะไรเซอร์ไพรส์นางเอก ให้นางเอกมีโมเมนต์ดั่งเจ้าหญิงใช่ไหม มาช่วยนางเอกในยามหล่อนกำลังตกที่นั่งลำบากใช่ไหม ไม่มีอะไรที่พระเอกน้ำเน่าคนนี้ไม่ทำ

และนอกจากจุดขายที่พบได้ตามนิยายน้ำเน่าบ้านเราแล้ว ภาคแรกของนิยายอีโรติคเรื่องนี้ก็แน่นอนว่าจะขาดเสียไม่ได้...ฉากจิกหมอนนั่นเอง แต่เรื่องนี้จะ21 เพราะบางฉากมันไม่ใช่แค่เล็บจิกหมอนไง มันมีฉากที่ทำให้เราแทบหยุดหายใจ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ นิ้วเท้าแข็งเกร็ง ราวกับตัวเองไปเป็นนางเอกที่กำลังจะถูกพระเอกเปิดบริสุทธิ์เสียเอง อ่านจบเล่ม ยังไม่รู้เลยว่า อะไรคือเหตุผลที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ขึ้นแท่นหนังสือขายดี ไม่ได้มีสาระอะไรที่ดีแก่ชีวิตเลยจริงๆ นอกจากระตุ้นความเพ้อให้มีมากขึ้น บ่มเพาะความฝันลมๆ แล้งๆ และปลูกฝังค่านิยมว่าผู้ชายแบบไหนจึงจะเป็นที่ต้องการของผู้หญิง เมื่อไหร่นิยาย (ทั่วโลกนั่นแหละ ไม่ใช่แค่นิยายไทยละ) จะเลิกมองคนที่ภายนอก ตัดสินคนแค่เปลือกเสียที ซื้อเรื่องนี้มาครบเซ็ตสามเล่ม อ่านไปหนึ่งเล่มครึ่ง ยังไม่เจอสาระดีๆ เลย (อืม...อย่าเข้าใจผิด เราไม่ได้จะค้นหาสาระอะไรในหนังสือนวนิยายหรือหนังสือทุกเล่มที่อ่านหรอกนะ แค่รู้สึกว่า นิยายที่ดี ควรจะมีพล็อตที่แน่น มีอะไรบางอย่างที่เป็นตัวชูโรง มีสารที่คนเขียนต้องการจะสื่อ มากกว่าแค่ขายพระเอกนางเอก และเล่นไปตามความเพ้อฝันของผู้คนน่ะ)

หรือประเด็นของเรื่องอาจจะมีมากขึ้นในเล่มสองตอนท้ายก็ได้ นางเอกจะทำอย่างไรเมื่อรู้ว่าชายผู้เพียบพร้อมทุกอย่าง ผู้ชายที่ผู้หญิงเกือบทุกคนบนโลกใฝ่ฝัน ดันมีอะไรบางอย่างที่อาจถือได้ว่าเป็นความผิดปกติ...ไว้อ่านจบแล้วจะมาแชร์อีกทีละกันนะจ๊ะ
วิธีพาตัวเองออกจากกล่องใบเล็ก
5
ใช้เวลาอ่านกับหนังสือเล่มนี้ ให้เวลาตัวเองเพื่อจะได้ทบทวนตัวเอง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิธีพาตัวเองออกจาก "กล่อง” ใบเล็ก

“สิ่งที่ทำให้พ่อกับลูก สามีกับภรรยา และเพื่อนบ้านแตกแยกกัน ก็เป็นสิ่งเดียวกับที่ทำให้เพื่อนร่วมงานแตกแยกกันนั่นแหละ บริษัทล้มละลายด้วยเหตุผลเดัยวกับที่ครอบครัวล้มเหลว...”

ตั้งแต่อ่านฮาวทูมาหลายต่อหลายเล่ม เรารู้สึกว่า นี่เป็นอีกเล่มที่ควรค่าแก่การเสียงสตางค์ซื้อและเสียเวลาอ่าน เนื้อหาเน้นๆ ในเล่มนี้ทำให้เราต้องจดจ่อไปกับกระบวนการที่ถ่ายทอดออกมาให้เราเข้าใจอย่างเป็นขั้นเป็นตอน คือเป็นขั้นตอนของการค้นหาบางสิ่งที่เป็นปัญหาโดยที่เราไม่เคยรู้ตัวเลย หรืออาจจะรู้แต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดเราถึงเป็นอย่างนั้น ทำไมเราต้องทำนิสัยแย่ๆ แบบนั้น มาอ่านเล่มนี้ เขาอธิบายด้วยบทสนทนาและรูปภาพน่ารักๆ ให้เราเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน

เราว่าจะเอากระบวนการนี้ไปแชร์ให้เพื่อนๆ ในที่ทำงานได้เรียนรู้ เข้าใจ และพัฒนาไปด้วยกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่า มันไม่ง่ายเลยที่จะเอาตัวหนังสือยาวเหยียดเป็นพรืดจำนวนกว่าสองร้อยหน้าไปพูดให้คนอื่นเข้าใจได้ง่ายๆ มันเหมือนกับว่า เราไม่อาจถ่ายทอดส่งต่อไปได้เลย นอกจากด้วยวิธีการตามแบบในหนังสือเล่มนี้ หรือไม่เช่นนั้น ก็โยนหนังสือเล่มนี้ไปให้พวกเขาอ่านซะ

ใช้เวลาอ่านกับหนังสือเล่มนี้ ให้เวลาตัวเองเพื่อจะได้ทบทวนตัวเอง ไล่เรียงประสบการณ์ทั้งหมดในชีวิตของตัวเองว่ามีอะไรที่เข้าข่ายว่าเราจะมีปัญหาแบบนี้ไหม เรากล้ารับรองเลยว่า มีกันเกือบทุกคน เป็นกันโดยถ้วนหน้า คนส่วนใหญ่น่ะนะ (เว้นเสียแต่ว่าคุณจะยังคงมองว่าตัวเองเป็นคนส่วนน้อย ซึ่งนั่นก็คือการยืนยันเลยล่ะว่าตัวคุณเองก็คือคนส่วนใหญ่)

เราไม่รู้ว่าการอ่านหนังสือเล่มนี้เพียงคนเดียว จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยแค่ไหน มันควรจะเป็นไปในรูปแบบประมาณว่า ช่วยกันอ่าน ช่วยกันเข้าใจ ช่วยกันเปลี่ยน ถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาขึ้นได้จริงๆ แต่ก็นะ ดีใจที่ได้อ่านแหละ อ่านแล้วก็จะพยายามสื่อสารต่อไป จะพาตัวเองออกจากกล่อง เหมือนที่หลักศาสนาพุทธก็สอนอยู่เสมอว่า เปลี่ยนคนอื่นมันยาก เปลี่ยนตัวเราเองนี่แหละ อย่ามัวไปมองคนอื่น ให้มองดูตัวเราเอง หนังสือเล่มนี้ก็มีบางส่วนที่คล้ายๆ จะพูดอย่างนั้น
ต้นส้มแสนรัก
5
ใครอ่านแล้วไม่เสียน้ำตา ยกนิ้วให้เลย
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ใครอ่านแล้วไม่เสียน้ำตา เรายกนิ้วให้เลย เป็นหนังสือที่เรียกน้ำตาได้อย่างบ้าคลั่งจริงๆ เพราะเป็นการขยี้ลงตรงปมจิตใจที่ทุกคนต้องเคยผ่าน เคยประสบพบเจอด้วยตัวเองไม่มากก็น้อยล่ะ เพราะเราทุกคนต่างก็เคยเป็นเด็ก และต้องมีบางครั้ง หรือหลายครั้ง ที่ผู้ใหญ่ลืมไปว่า เราคือเด็กนะโว้ย ไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่ตัวเล็ก เด็กก็คือเด็ก โดนผู้ใหญ่ตีโดยที่ไม่เข้าใจเลยว่าตัวเองทำอะไรผิดก็หลายครั้ง ในขณะที่ผู้ใหญ่ก็คือผู้ใหญ่ มีเหตุผลในการตีและลงโทษเด็กทุกครั้งนั่นแหละ

เซเซ่ คือตัวแทนของเด็กทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นตัวแทนของเราๆ ทุกคนนั่นแหละ ใสซื่อ ดูเหมือนเจ้าเล่ห์ ฉลาดแกมโกงในสายตาของใครๆ นั่นก็เพราะสภาพสังคมหล่อหลอมให้เขาเป็นแบบนั้น เซเซ่เป็นผ้าขาวที่ถูกแต้มสีสันอย่างฉูดฉาด ทำให้เห็นการสั่นสะเทือนของอารมณ์ได้ชัดเจนในสถานการณ์ต่างๆ เด็กที่ใครๆ ก็ไม่เอา เด็กที่นานๆ ทีจะมีคนเข้าใจ มีคนที่อยากกอดเขาจริงๆ คนที่พร้อมจะนั่งเป็นเพื่อน ฟังเขาเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้โดยไม่คิดว่าสิ่งที่เขาพูดคือเรื่องไร้สาระของเด็ก

แล้วยังไง แล้วตอนจบของเรื่องก็ทำเอาคนบ่อน้ำตาตื้นหลั่งน้ำตากันเป็นกะละมัง อืม เราบอกว่าฉากตอนจบ เรียกน้ำตา แต่จะบอกอีกครั้ง นั่นไม่ใช่ฉากที่ทำให้ใครๆ ร้องไห้ได้จริงๆ หรอก คนที่ร้องก็อาจเพราะสงสาร เพราะเห็นใจเซเซ่ที่ต้องสูญเสียต้นส้มแสนรักของเขาไป แต่ฉากที่ทำให้ทุกคนสะเทือนใจถึงขนาดร้องไห้สะอึกสะอื้นได้ คือฉากที่เราทุกคนต้องอ่านไป แล้วเห็นภาพเซเซ่เป็นภาพตัวเราเองต่างหาก ฉากที่เซเซ่โดนตี กระหน่ำตีอย่างรุนแรงจากพ่อของตัวเอง พ่อก็คือพ่อ พ่อคือผู้ใหญ่ มีเหตุที่จะตีลูก แต่ลูกก็คือลูก คือเด็ก มันเจ็บตัวก็ว่ารุนแรงแล้ว แต่แผลในใจจะคงอยู่ตลอดไป ถ้าพวกเขาไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า เขาโดนตีเพราะอะไรกัน เขาทำผิดอะไร

และมันโดนตรงที่ ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ ตีเพื่อให้เด็กรู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันผิด แต่น้อยคนจะอธิบายให้เด็กเข้าใจได้ว่า มันผิดยังไง

สงสารเซเซ่ สงสารตัวเอง แง้
เดอะลาสต์เลกเชอร์ The Last Lecture ปกอ่อน
4
รู้สึกอบอุ่น และมีพลังเสมอที่ได้หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

แค่ชื่อหนังสือก็ดึงดูดความสนใจได้มากมายแล้ว อะไรที่เป็นครั้งสุดท้าย มักจะสร้างความรู้สึกอะไรบางอย่างในหัวใจของเราเสมอ และโดยเฉพาะ เมื่อหนังสือเล่มนี้ การบรรยายครั้งนี้ เป็นครั้งสุดท้ายของผู้พูด คือ แรนดี้ เพาซ์ หลังจากเขาพบว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งร้าย และกำลังจะต้องจากโลกใบนี้ไปในอีกไม่นาน

หนังสือเล่มนี้สร้างปรากฏการณ์หลายอย่าง เกิดกระแสตื่นตัวเกี่ยวกับการอ่านหนังสือแนวจิตวิทยาพัฒนาตนเอง และทำให้เรา ซึ่งเป็นผู้อ่าน ได้แง่คิด ได้ทำอะไรๆ ให้ดีก่อนที่จะไม่มีโอกาสอีกต่อไป

ในการพูดครั้งสุดท้ายของแรนดี้ เพาซ์ มีคนฟังทะลุทะลักมาก แน่นอนล่ะ ในฐานะผู้มีความรู้ ชายมากความสามารถที่กำลังจะจากโลกไปในอีกไม่นาน ใครๆ ก็อยากเก็บเกี่ยวคำเตือนในการใช้ชีวิตจากเขาให้ได้มากที่สุด

เรารู้สึกอบอุ่น และมีพลังเสมอที่ได้หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน มันมีความเป็นธรรมชาติ หลายสิ่งหลายอย่างที่เราควรจะคิดได้ด้วยตัวเอง แต่กลับกลายเป็นว่าเราหลงลืม หรือแสร้งลืมมันไป หรือแม้กระทั่งหลอกตัวเองว่ามันไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก มีอย่างอื่นที่สำคัญมากกว่า และเราควรที่จะทำมัน แต่เพาซ์ก็ได้ยืนยันและกระตุ้นเตือนเราแล้วว่า เฮ้ อย่าหลอกตัวเองเลยน่า หันกลับมามองใหม่เถอะ ยอมรับมันซะเถอะ ทำสิ่งที่ควรทำ ก่อนจะสายไปเสียเถอะ

หนังสือเล่มนี้น่าจะคงอยู่และมีประโยชน์ไปอีกเนิ่นนานเลยล่ะ เป็นหนึ่งในหนังสือที่ควรมีไว้เป็นหนังสือสามัญประจำบ้าน (นอกเหนือจากฟาสต์ฟู้ดธุรกิจของหนุ่มเมืองจันท์น่ะนะ อิอิ) คำพูดของแรนดี้ เพาซ์จะช่วยดึงและยกระดับทั้งจิตใจและความคิดของเรา และที่สำคัญ เป็นคำเตือนอย่างดีที่สุดเลยทีเดียว อยากทำอะไรก็รีบๆ ทำ ทำให้ดีที่สุดซะ เหมือนที่ตัวเขารู้ว่ากำลังจะต้องไปแล้ว ก็เลยทิ้งสิ่งที่มีค่าไว้ให้คนรุ่นหลัง ให้คนอื่นๆ เป็นที่ระลึก ถือเป็นการทำความดีครั้งสุดท้ายในชีวิต ความดีที่ดีมากๆ เลยล่ะ
5
พล็อตเรื่องแปลกใหม่ ทิ้งปมบางอย่างไว้ตลอดทางตั้งแต่เปิดมาหน้าแรก และกลับมาเก็บได้อย่างสวยงาม
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

อีกเล่มของพี่วินทร์ เลียววาริน เล่มนี้ถูกเอาไปสร้างเป็นหนังแนวๆ โดยเป็นเอก รัตนเรืองด้วย สำหรับเรา หนังสือและหนัง ทำออกมาได้ลงตัวมากๆ ตอนเป็นหนังก็บรรยากาศดาร์กๆ อ่านไปก็ได้อารมณ์คล้ายๆ ดูหนังไปอยู่แล้วล่ะ จนเรารู้สึกว่า ถ้าจะสร้างเป็นหนังก็คงไม่ต่างจากภาพในหัวที่เรามีมาตลอดการอ่านสักเท่าไหร่ หนังสือขายความเป็นหนังในตัวเองอยู่แล้ว ถ้าจะเป็นหนัง ถ้าเราอยากจะดู ก็คงอยากดูหน้าพระเอก กับฉากที่นางเอกเปลือยนั่นแหละ (แต่ก็มะได้เห็นอยู่ดี ในหนังไม่มีซะงั้น อดดูคริส หอวัง เปลือยเบย ฮ่าๆๆ)

เราชอบเค้าโครงเรื่อง และการดำเนินเรื่องของเล่มนี้มาก พล็อตเรื่องแปลกใหม่ แปลกตั้งแต่อาการต้นเรื่องของพระเอกเลยล่ะ คนอะไร้ โดนยิงหัวทะลุขนาดนั้น ไม่ตาย แถมฟื้นขึ้นมายังมีอาการประหลาดๆ อีกต่างหาก มองโลกกลับหัว อืม แค่นี้ก็น่าติดตามแล้วนะ แค่จะเดิน จะใช้ชีวิตให้ปกติ ก็ดูลำบากมากๆ แล้วอ่ะ

พี่วินทร์ทิ้งปมบางอย่างไว้ตลอดทางตั้งแต่เปิดมาหน้าแรกเลย มีทั้งจุดที่เป็นปมโดยตัวมันเอง โดยที่เราสังเกตและรู้ได้ว่าเดี๋ยวไอ้จุดนี้ต้องมาโผล่ มาเป็นจุดคลี่คลายตอนหลังแน่ๆ แต่บางจุดที่เหมือนจะเป็นแค่องค์ประกอบเล็กๆ ที่เราไม่ได้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ กลับกลายเป็นสิ่งที่พี่วินทร์ทิ้งเอาไว้อย่างแยบยล และมาโผล่อีกทีทำให้เราต้องอุทาน เฮ้ยยยย...ยาวๆ เลย

ในหนังสือกับหนัง จากที่เราคิดไว้ว่าคงไม่ต่างเท่าไหร่ เหมือนที่เขียนไว้ตั้งแต่แรก แต่กลับกลายเป็นว่า พอมันถูกตีความและทำออกมาตามแบบฉบับของเป็นเอก รัตนเรือง เจ้าพ่อหนังอาร์ทแล้ว มันอิ่มกันไปคนละแบบ เนื้อหามีการดัดแปลงหลายจุด ตอนจบก็ไม่เหมือนกัน แต่ทำให้เราชื่นชอบได้ไม่ต่างกัน เรื่องที่มีเสน่ห์ ถูกถ่ายทอดโดยคนที่คู่ควร เสน่ห์ก็เลยไม่ลดลง

อ่านรวดเดียวจบอีกตามเคย เป็นเรื่องแนวทดลองของพี่วินทร์เขาละมั้ง แต่ถือว่าเป็นการทดลองที่ประสบความสำเร็จมากๆ เลยนะ เราช้อบชอบ
เดินสู่อิสรภาพ
5
"ประมวล เพ็งจันทร์” ชื่อนี้คือนักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เล่มนี้ เราได้มาตอนไปเดินงานหนังสือฯ เป็นช่วงที่เพิ่งตีพิมพ์ออกมาใหม่พอดี และวันนั้น อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ไปอยู่ที่บูธเพื่อพบปะพูดคุยกับแฟนหนังสือด้วย เราที่ไม่เคยรู้จักอาจารย์มาก่อน ก็เดินตามเสียงเรียกของพนักงานขาย เหมือนถูกมนต์สะกดอ่ะ เขากวักมือให้เข้าไปดูก่อน เราก็เดินเข้าไปเฉยเลย ยังงงๆ ด้วยซ้ำว่าหนังสืออะไร

เมื่อได้เดินเข้าไปแล้ว ก็ยากจะออกมาแบบตัวเปล่าเล่าเปลือยแหละ โดนไปเลยจ้า สองเล่มรวด (เขาจัดโปรโมชั่นเป็นแพ็คคู่) “เดินสู่อิสรภาพ” และ "ประมวลความรัก”

เราเอากลับไปอ่านที่บ้านช่วงปิดเทอมพอดี เออ มันเป็นความแปลกใหม่ในชีวิตเลยนะที่จะมีใครสักคนออกเดินทางแบบที่อาจารย์ทำ เดินจากแทบจะเหนือสุดของประเทศ ไปยังแทบจะใต้สุด จากเชียงใหม่ไปสุราษฎร์ธานี เดินโดยไม่พกเงิน เดินเพื่อค้นหาชีวิต ไม่ใช่แค่ท่องเที่ยว ไม่สะดวกสบาย เดินเท้า ไปเรื่อยๆ และเรื่อยๆ ไม่มีกำหนดเวลาว่าจะถึงเมื่อไหร่

สมัยนั้นการแบ็คแพ็ค ท่องเที่ยวคนเดียวยังไม่บูมเท่าตอนนี้ การที่ใครสักคนมาเดินๆ เข้าหมู่บ้าน เจอผู้คนระหว่างทาง พ่อค้าแม่ขาย ชาวบ้านชาวช่องเขาคงยังไม่ชิน คงยังไม่มีใครคิดว่าเป็นนักเดินทางหรือนักท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็คอ่ะ เขาเลยเกิดปฏิกิริยาแปลกๆ มีทั้งคนที่ยังพอเป็นมิตร และคนที่หวาดระแวงจนคิดว่าอาจารย์ไม่ปกติ หรือไม่ได้มาดี ต้องมีจุดประสงค์ร้ายแน่ๆ และนั่นยิ่งทำให้เราประทับใจอาจารย์มากๆ เพราะแทนที่ถูกคนอื่นเข้าใจผิดโดยไม่ถามไถ่ อาจารย์จะมีอารมณ์ที่ไม่ดี เป็นปฏิปักษ์กับคนนั้น กลับกลายเป็นว่า มีแต่ความเมตตา และรู้สึกผิด...รู้สึกผิดที่ทำให้พวกเขาต้องไม่สบายใจ ทำให้พวกเขาหวาดกลัวหวาดระแวง โอ๊ย ในโลกนี้จะหาคนที่ทำหัวใจให้อ่อนโยนแบบนี้ได้สักกี่คนเชียว ฉากนี้เราจำติดใจเลย

ถึงแม้ตอนนี้จะมีการท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็ค มีคนถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางของตัวเองออกมามากมาย แต่สำหรับเรา เราก็ยังรู้สึกว่านี่คือต้นตำรับนะ คือผู้บุกเบิกการเดินทางค้นหาตัวตน ในแบบที่ยังไม่เคยมีใครทำตามมาก่อน (ก็แหงสิ ไปแบบนั้น ไม่พกเงิน ไม่ไปในที่ที่จะมีคนรู้จัก ไม่ขอใครกิน เว้นแต่เขาจะหามาให้เอง อารมณ์แบบนี้มันไม่ใช่นักท่องเที่ยวอ่ะ เหมือนพระธุดงค์มากกว่าแล้วล่ะ) สำหรับเรา "ประมวล เพ็งจันทร์” ชื่อนี้คือนักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ และยิ่งได้อ่าน "ประมวลความรัก” ก็ยิ่งยกขึ้นหิ้งเลย เป็นผู้ชายอบอุ่นและอ่อนโยนสุดๆ ไปเลย
ยอดตุลาการราชวงศ์ซ่ง เล่ม 3
4
อ่านเล่มแรกแล้วติด อ่านเล่มสองเริ่มเครียด อ่านเล่มสามนี้เครียดสุดๆ ไปเลยจ้า แต่ก็เป็นความสนุกสนานในชีวิตแหละ
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

โอ่ย เล่มนี้ทำเอาเราเครียดเลย คือสนุกมันก็สนุกแหละ แต่เหมือนว่าพอมันเป็นเรื่องที่มีความกดดัน มีปัจจัยหลายๆ อย่างมาบังคับให้ตัวเองของเรื่องโชว์ความสามารถจริงๆ ออกมาไม่ได้ เหมือนยิ่งดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งมืดมน ทำไมจุดพีคมันยาวนานขนาดนี้ ทำไมช่วงเวลาคับขันแทนที่จะคลี่คลาย กลับกลายเป็นยิ่งคับขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศมันคุกรุ่นมาตั้งแต่เล่ม 2 แล้วไง จากเล่มแรกที่เราติดเพราะมันคือความสนุก จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง เอาง่ายๆ เลย ยอดตุลาการราชวงศ์ซ่งเนี่ย อารมณ์เหมือนแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่ภาคแรกมีแต่ความสนุก น่ารัก มีปมมัดแน่นแล้วก็คลี่คลายไปในทางที่ดี เราก็ชอบ ก็ติด แต่พอช่วงกลางๆ สถานการณ์เริ่มไม่สวยงามละ เริ่มไม่เด็กๆ ไม่เล็กๆ ละ มีความน่าสะพรึงเข้ามาเกี่ยวละ และช่วงท้ายๆ ที่ยิ่งบีบหัวใจ ตัวละครตายกันเป็นเบือ มันทำให้เรารู้สึกเครียดตามไปด้วย การเรียงลำดับอารมณ์ของสองเรื่องนี้ เหมือนกันเป๊ะ

ภาคสองนี่จบแบบขัดใจคนอ่านมาก เมื่อคนผิดไม่ต้องรับผิด พระเอกที่ตรงเป็นไม้บรรทัด สู้อุตส่าห์หาความจริงมาได้ แต่แล้วรู้ทั้งรู้ว่าใครทำชั่วทำเลวไว้บ้าง ผู้มีอำนาจสูงสุดดันไม่ทำอะไร เพราะไม่กล้าพอที่จะเผชิญกับความยุ่งยากมหาศาลที่จะตามมา เราก็ฮึดฮัดๆ ไปพักใหญ่ มาเจอเล่มนี้อีก กลายเป็นความบีบคั้นทางอารมณ์ อยากให้เรื่องนี้มันคลี่คลาย อยากให้ถึงตอนจบแบบแฮปปี้ คนดีได้ดี คนชั่วตกนรกไปซะที แต่ก็นานอยู่แหละ กว่าจะได้อารมณ์แบบนั้นมา

อ่านเล่มแรกแล้วติด อ่านเล่มสองเริ่มเครียด อ่านเล่มสามนี้เครียดสุดๆ ไปเลยจ้า แต่ก็เป็นความสนุกสนานในชีวิตแหละ ได้คติหลายอย่างที่หยิบยกมาใช้ในชีวิตได้ แม้จะเป็นนวนิยายก็เถอะ ก็แหม นวนิยายมันก็อิง ก็สร้างกันมาจากเค้าโครงเรื่องจริงทั้งนั้นแหละ

เล่มหนาพอสมควร ขนาดใหญ่ด้วย แต่ก็อ่านได้เพลินๆ วางไม่ลงกันเลยทีเดียว "ซ่งฉือ” นี่ถูกเก็บไว้เป็นหนึ่งในไอดอลเราเลย อ้อ แต่ถ้าจะอ่านเพื่อหวังว่าจะได้เคล็ดการเป็นนักสืบเหมือนเชอร์ล็อก โฮล์ม หรือเจอสถานการณ์แบบโคนัน มันก็ไม่เชิงแบบนั้นซะทีเดียวนะ คล้ายๆ แต่ก็มีความแตกต่าง คือมันเป็นวิถีของชาวจีนน่ะ การสืบสวนสอบสวน บางอย่างก็อาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เราพอจะอ๋ออยู่บ้าง แต่บางอย่างก็ไม่ใช่ กระนั้น ไม่ยากที่จะเข้าใจหรอก นวนิยายสืบสวนสอบสวน ยังไงก็ต้องเฉลยให้คนอ่านเก็ทกับกรรมวิธีสืบเสาะหาความจริง อธิบายออกมาเป็นเหตุเป็นผลกันอยู่แล้วแหละ
www.batorastore.com © 2024