Customer Reviews

5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 06 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เมื่อพูดถึงหลักการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขในทางพุทธศาสนา เรามักนึกถึงหลักกาใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิตการดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญาเป็นเครื่องมือ ย่อมทำให้ชีวิตของเรามีความสุขหรืออย่างน้อยก็ทำให้เรามีภูมิคุ้มกันต่อเรื่องร้ายๆที่เข้ามาในชีวิต ทำให้รารู้ว่าจะจัดการกับเรื่องไม่ดีเหล่านั้นอย่างไร ปัญญาจึงถือเป็นหัวใจสำคัญของการมีชีวิตอย่างเป็นสุข แต่ปัญหาสำคัญก็คือ เราเข้าใจความหมายของมันมากน้อยแค่ไหน สมัยเรียนหนังสือเราถูกสอนว่าปัญญาถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับ แต่ละระดับมีวิธีการฝึกฝนที่แตกต่างกัน เรารับรู้ เราจำได้ แต่เราเคยเรียนรู้และนำไปใช้เพื่อให้เกิดความเข้าใจจริงๆหรือไม่ผมว่าพวกเรายังมีความเข้าใจแบบผิวเผินมากๆกับเรื่องนี้ บางคนรับรู้แต่เพียงว่าคนเรียนเก่งๆ คนไอคิวสูงๆ หรือคนที่เป็นอัจฉริยะเท่านั้นที่เรียกว่าเป็นคนมีปัญญา ซึง่ผมคิดว่าเป็นมุมมองที่คับแคบมากๆ หรือเราอาจเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ยิ่งอ่านมาก ยิ่งรู้มาก ความรู้มากที่ได้จากการอ่านนี้ เรียกว่าเป็นปัญญาได้มั้ย ถ้าใช่แปลว่าคนที่เรียนสูงๆ จบด็อกเตอร์ต้องมีปัญญาสูงกว่าคนที่จบ ป.4 รึเปล่า สำหรับผมก่อนที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้ ก็พอเข้าใจว่า ปัญญากับความฉลาดหรือไอคิว น่าจะมีความหมายต่างกัน แต่ก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่ามีความแตกต่างกันยังไง พูดง่ายๆก็คือ ยังให้คำจำกัดความของปัญญาไม่ได้นั่นเอง แต่หลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมว่าผมได้จัดระเบียบความคิดของตัวเองใหม่ หมายความว่าผมมีมุมมองต่อคำว่าปัญญาในอีกมิติหนึ่ง จากเดิมที่เข้าใจว่าปัญญาเป็ฯเรื่องในทางปรัชญา เป็นเรื่องของการฝึกฝนในแบบพุทธ หรือเป็นคำอธิบายในเชิงศาสนา แต่หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมมองเห็นปัญญาในมิติที่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น คือปัญญาของคนเรามันเกิดขึ้นจากกกระบวนการการเรียนรู้และการทำงานของสมองนี่แหละ แล้วก็ผสานกับการทำงานของจิตไร้สำนึกที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ เหมือนกับการที่เราหายใจ หรือการที่เราเหงื่อไหลเวลาเจอแดดร้อนๆ อะไรทำนองนั้น เพราฉะนั้นหนังสือเล่มนี้ ในเบื้องต้นคุณจะไดเรียนรู้เรื่องราวของสมองของมนุษย์กับการทำงานของสันชาตญาน วิธีการทำงานของมัน เทคนิคในการพัฒนาปัญญาของคุณ ซึง่น่าสนใจและไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันมีวิธีรู)แบบการฝึกที่เป็นระบบแบบนี้ด้วย ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องที่น่าทดลองทำดี และมันน่าสนใจมากกว่าการไปนั่งสมาธิฝึกจิต เดินจงกรม อะไรทำนองนั้น แต่ปัญหาใหญ่ของหนังสือเล่มนี้น่าจะมีอยู่สองประการคือ หนึ่ง อ่านเข้าใจยากพอสมควร คือในเชิงเนื้อหาก็เข้าใจยากอยู่แล้วเวลาที่เราพยายามอธิบายเรื่องปัญญา เรื่องสมอง ข้อสองคือต้นฉบับถูกเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นโดยผู้ที่มีความรู้ด้านนี้โดยเฉพาะ พอมาแปลเป็นภาษาไทยโดยผู้แปลอีกคนหนึ่ง การสื่อความหมายเรื่องยากๆก็อาจคลาดเคลื่อนไปได้ แอบหวังว่าหนังสือแบบนี้น่าจะเขียนโดยคนไทยบ้าง แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมาก ถ้าคุณอ่านทบทวนซ้ำบ่อยๆก็พอเข้าใจได้
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 06 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ผมมีข้อสงสัยอย่างหนึ่งเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้คือ เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของหนังสือที่ยังไม่ค่อยชัดเจนว่ามีวัตถุประสงค์อย่างไร จะว่าเป็นหนังสือวิชาการที่อธิบายความหมายและภาพรวมของกระบวนการเรียนรู้ก็ใช่ แต่ความไม่ชัดเจนก็คือ เมื่อเรารู้แล้วว่าอะไรคือกระบวนการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้มีที่มาอย่างไร วิธีการสร้างกระบวนการเรียนรู้ทำอย่างไร ความไม่ชัดเจนคือ แล้วยังไงต่อ เราเอาความรู้ทีได้ไปใช้ทำอะไร หนังสือเล่มนี้เหมือนกับเป็นการรวบรวมข้อมูล ปรากฏการณ์ในแง่มุมต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมไทย แล้วนำเสนอว่าสังคมไทยมีลักษณะเป็นอย่างไร คนไทยมีกระบวนการเรียนรู้เป็นอย่างไร อนาคตของสังคมไทยภายใต้กระบวนการเรียนรู้แบบนั้นจะเป็นอย่างไร เป็นเหมือนรายงานแจ้งให้ทราบมากกว่า ความรู้ที่ได้มาใครควรเอาไปต่อยอดปรับใช้ รัฐบาล? หน่วยงานภาครัฐที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการพัฒนาสังคม? หรือผู้อ่านที่เป็นประชาชนทั่วไป? ที่เขียนมาแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าหนังสือเล่มนี้ไม่มีประโยชน์ ถ้ามองลึกลงไป หนังสือเล่มนี้มีประโยชน์ ราทุกคนใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคม ชีวิตประจำวันของพวกเราต้องพบเจอ มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนหลากหลาย เราใช้ชีวิตนอกบ้านมากกว่าในบ้าน เราดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ เล่นอินเตอร์เน็ต กินข้าว ดูหนัง ฯลฯ กิจกรรมต่างๆเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการการเรียนรู้ พูดง่ายๆก็คือ เราเรียนรู้จากประสบการณ์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ ความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ ผลที่ตามมาก็คือ เราจะคิดเป็นทำเป็น เราจะรู้ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อเจอสถานการณ์หนึ่งๆ เราควรวางตัวอย่างไรเมื่อเจอสถานการณ์ที่มีผู้คนหลากหลาย พูดง่ายๆก็คือเราเรียนรู้ เราเข้าใจ เรามีภูมิคุ้มกัน เราปฏิบัติต่อตัวเองเป็น(เข้าใจตัวเอง) เราปฏิบัติต่อผู้อื่นในการอยู่ร่วมกันเป็น(เข้าใจสังคม) สุดท้ายเราสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ด้วยความรัก ความเข้าใจ ความมีมิตรไมตรีต่อกัน
สำหรับผมตอนที่น่าสนใจของหนังสือเล่มนี้คือตอนที่ว่าด้วยการสะท้อนบทเรียนการเรียนรู้ของสังคมไทย ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์หรือกรณีศึกษาต่างขึ้นมาเพื่อตรวจสอบว่า คนไทยเรียนรู้อะไรบ้างจากกรณีเหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่นผู้ป่วยชาวไทยคนหนึ่งไปรักษาอาการป่วยกับหมอฝรั่ง หมอคนนี้ได้สะท้อนพฤติกรรมของผ็ป่วยชาวไทยออกมาว่า ผู้ป่วยชาวไทยไม่สนใจที่จะรับรู้ว่ายาที่กินเข้าไปจะมีผลอย่างไรกับร่างกาย ถ้ากินเกินขนาดจะมีอันตรายอย่างไร เค้าต้องการได้ยาตามที่ตัวเองเชื่อว่ารักษาโรคได้เท่านั้น จากเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยแบบไทยๆขาดเหตุผลทางด้านวิทยาศาสตร์ ไม่สนใจในความรู้ ปิดกั้นความรู้ใหม่ที่ขัดแย้งกับความต้องการที่มีอยู่ในขณะนั้น อีกนัยหนึ่งก็คือยึดถือความต้องการมากกว่าความรู้ อีกตอนหนึ่งที่น่าสนใจคือการบอกข้อเท็จจริงที่ชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างความเป็นพื้นบ้านกับความเป็นตะวันตก ผมว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับการศึกษาเพื่อเรียนรู้ตนเอง เพื่อเข้าใจความเป็นไทยในแบบที่เราเป็นกันอยู่ เป็นหนังสือที่น่าสนใจเล่มหนึ่ง
แรงบันดาลใจที่มหาวิทยาลัยไม่มีสอน  2
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 05 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชีวิตของคนเรานั้นถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน เช่น ความรัก ความรู้ ความยากจนที่ทำให้ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น เป็นต้น แต่ไม่ว่าชีวิตของแต่ละคนจะเดินไปข้างหน้าด้วยปัจจัยอะไรที่เป็นแรงขับเคลื่อนก็ตาม คงมีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องมีเหมือนกันคือความฝัน เราทุกคนต่างมีความฝันด้วยกันทั้งนั้น อาจจะฝันเล็กบ้าง ฝันใหญ่บ้าง ฝันเพื่อความสำเร็จของตัวเอง หรือฝันเพื่อทำให้ครอบครัวอยู่ดีกินดี มีความสุข แต่ไม่ว่าฝันของเราจะเป็นอย่างไร สิ่งนี้คือสิ่งที่ดีและเป็นพลังสำคัญของการมีชีวิต ตลอดเส้นทางการเดินทางเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายที่ฝันไว้ เราต่างต้องเจออุปสรรคมากมาย บางอุปสรรคเราสามารถผ่านพ้นไปได้โดยง่าย บางอุปสรรคกว่าเราจะผ่านมันไปได้ก็เล่นเอาเลือดตาแทบกระเด็น และที่สุดเมื่อเราทำสำเร็จ ผลตอบแทนที่ได้มามันก็คุ้มค่าเสมอ เพราะนอกจากความสำเร็จที่ได้รับแล้ว ประสบการณ์ในเวลาที่เราต้องทุกข์ยากก็ถือเป็นของขวัญล้ำค่าที่เราได้รับมาจากการต่อสู้ของเราด้วยเช่นกัน ในทางตรงกันข้ามเมื่อมองในมุมของคนที่พ่ายแพ้ต่อปัญหา จนไปไม่ถึงความฝัน เราอาจเหยียดหยามเขาเหล่านั้นว่าเป็นคนไม่ได้เรื่อง แต่หากมองดีๆ มันมีปัจจัยมากมายที่ทำให้เขาล้มเหลว ซึ่งอาจเป็นเรื่องของคนที่ไม่ประสบปัญหาด้วยตนเองไม่มีวันรู้ ในมุมของคนที่ยังหาฝันของตัวเองไม่เจอ ก็คงต้องรีบตามหาให้ได้ จะใช้ชีวิตแบบเรื่อยๆ อยู่ไปวันๆไม่ได้อีกแล้ว เพราะในฐานะที่เกิดมาชีวิตหนึ่ง เราต้องใช้ชีวิตที่ได้มานี้ให้คุ้มค่ามากที่สุด อย่าปล่อยโอกาสดีๆทิ้งไป
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่เป็นเสมือนเชื้อไฟที่จะเติมเต็มหัวใจที่กำลังจะมอดดับ ให้กลับมาลุกโชนขึ้นอีกครั้ง เป็นหนังสิที่ผมอ่านแล้ว และได้บอกกับตัวเองว่า จงแน่วแน่กับสิ่งที่เราทำอยู่ เมื่อเรามีความฝันที่ชัดเจนแล้วก็จงมุ่งมันจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น อย่าให้ใครหรืออะไรมาดึงเราออกไปจากเส้นทางที่เรากำลังเดินอยู่ มีวลีหนึ่งในหนังสือเล่มนี้บอกว่าเราต้องก้าวให้ไวและไปให้ถึง ก้าวให้ไวในความหมายหนึ่งก็คือการก้าวให้พ้นจากคำสบประมาท คำดูถูกดูแคลน ความไม่เชื่อมั่นทั้งหลาย รวมถึงสิ่งอื่นใดก็ตามที่จะฉุดรั้งตัวเรา ทำให้เราไม่เข้มแข็งพอในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ อย่างที่สองคือความมุมานะพยายาม และวินัย สำหรับผมเองเคยมีสิ่งนี้เมื่อในอดีต แต่กลับทิ้งมันไปเสียจนปัจจุบันก็ได้แต่โทษตัวเองและเสียดายสิ่งเหล่านี้ที่เราเคยมี แต่พอได้อ่านหนังสือเล่มนี้ผมรู้สึกว่าเราต้องเริ่มต้นใหม่ สิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้วในตัวเรา เพียงแต่เราไม่เห็นคุณค่า หรือหลงลืมคุณค่าของมันไป หนังสือเล่มนี้เหมือนกับเป็นสิ่งที่ทำให้ผมได้ปลุกความรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาได้อีกครั้ง เป็นแรงบันดาลใจให้ผมฮึกเหิมและเปลี่ยนตัวเองไปเป็นคนเดิมที่อยากให้เป็นอีกครั้ง
มองโรคในแง่ดี
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 05 สิงหาคม พ.ศ. 2557

มองโรคในแง่ดี ซึ่งเป็นชื่อของหนังสือเล่มนี้ก็มีความหมายเหมือนกับความหมายของคำว่า มองโลกในแง่ดี เพียงแต่เรื่องราวที่ถูกเขียนขึ้นนั้นเป็นการเขียนถ่ายทอดประสบการณ์ของแพทย์คนหนึ่งที่ได้ทำงานในโรงพยาบาล ได้ประสบพบเจอกับเหตุการณ์ คนไข้ การรักษาโรคที่อาจมีทั้งที่สำเร็จและที่ล้มเหลว เรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับเขาในโรงพยาบาลแห่งนั้นทำให้เขาได้เรียนรู้วิชาใหม่ที่อาจจะยากไม่แพ้วิชาที่เคยเรียนมาเมื่อครั้งที่เป็นนักศึกษาแพทย์ เป็นวิชาที่ว่าด้วยการมองโลกผ่านโรค ที่เขาได้ถ่ายทอดเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้นั่นเอง
ความหมายของคำว่ามองโลกในแง่ดี ก็คือการที่เราพยายามปรับทัศนคติหรือความคิดของเราที่มีต่อเรื่องที่ไม่ดีทั้งหลายเสียใหม่ โดยการใช้สติปัญญาเลือกเฟ้นหาแง่มุมที่จะทำให้เราได้ข้อคิด ได้เรียนรู้ หรือได้ประสบการณ์จากสิ่งแย่ๆเหล่านั้น แล้วนำมาปรับใช้กับชีวิต ทั้งนี้ก็เพื่อให้เรายังสามารถมีกำลังใจที่จะมีชีวิต หรือมีกำลังใจที่จะสู้ชีวิตต่อไป ไม่ปล่อยให้ปัญหาอุปสรรคมาบั่นทอนตัวตน จิตใจ ความคิด และความฝันของเรา จนไม่มีกำลังที่จะสู้ต่อ ดังนั้นจะเห็นว่าการมองโลกในแง่ดีไม่ได้หมายความว่าเป็นการเลือกที่จะมองแต่เรื่องดีๆ และหันหลังให้กับเรื่องแย่ๆ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะเรียกว่าเป็นการหนีปัญหามากกว่าที่จะเป็นการมองโลกในแง่ดี แต่ความหมายก็คือการหาแง่มุมดีจากเรื่องแย่ๆต่างหาก หรือพูดให้ง่ายขึ้นไปอีกก็คือการคิดบวกหรือมองโลกในแง่บวกนั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าการมองโรคในแง่ดี ในความหมายที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ หมายความว่าอย่างไร ก็คงตอบกันได้ไม่ยาก ความหมายก็คือเป็นมุมมองของแพทย์คนหนึ่งที่เรียนรู้ที่จะมองความเจ็บป่วยในแง่มุมที่ดีๆ เป็นประโยชน์ สามารถสร้างกำลังใจและให้แง่คิดกับชีวิตได้ โดยเป็นการเรียนรู้จากทั้งผู้ป่วยที่เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแล้วมีทัศนคติต่อความเจ็บป่วยของตัวเองเป็นลบและผู้ป่วยที่มีทัศนคติที่เป็นบวก สิ่งหนึ่งที่เขาได้เรียนรู้ก็คือการที่ผู้ป่วยมองโรคหรือความเจ็บป่วยในแง่ดี ส่งผลให้การรักษาได้ผลดีกว่าผู้ป่วยที่มีทัศนคติเป็นลบ ผู้ป่วยที่มองโรคในแง่ดีย่อมแสดงให้เห็นว่าเขายังมีความหวังเสมอ และพร้อมที่จะสู้ไปกับแพทย์ที่รักษาเขา
หลังจากที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะทำให้คุณมีทัศนคติใหม่ๆ และเชื่อว่าถ้าตัวคุณเองเป็นผู้ป่วย หรือมีคนในครอบครัวที่ป่วยด้วยโรคที่ไม่มีทางรักษาให้ฟื้นกลับมาได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แบบครอบครัวผม การมองโรคในแง่ดีนี่แหละคือยาที่วิเศษที่สุด ที่จะช่วยเยียวยาผู้ป่วยและคนดูแลที่ใกล้ชิดผู้ป่วยให้มีกำลังใจได้มากขึ้นเลยทีเดียว
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 05 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ขออนุญาตยืมวลีเด็ดพระพะยอมมาที่ว่า โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า เพราะรู้สึกว่าเป็นคำอธิบายเรื่องความโกรธที่ชัดเจนตรงความหมายได้ดีที่สุด เพราะความโกรธไม่มีอะไรดีเลย มันทำลายทั้งจิตใจเรา ร่างกายของเรา และรวมไปถึงคนที่อยู่รอบข้างเราด้วย ถ้าเราลองนึกถึงหลักในทางพุทธศาสนาเรื่องตัณหา 4 ประการคือรัก โลภ โกรธ หลง เราจะเห็นว่าโกรธก็เป็นหนึ่งในกิเลสเหล่านั้นที่พระพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญ
หากลองพิจารณาความโกรธโดยเริ่มจากตัวเราเองก่อนเป็นอันดับแรก จะเห็นว่าเราทุกคนสามารถโกรธได้สารพัดเรื่องตั้งแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องจนนำมาซึ่งเรื่องที่เป็นเรื่องในที่สุด เราโกรธเพื่อนร่วมงานที่นินทาเรา เราโกรธหัวหน้าที่คอยแต่จ้องจะใช้งาน เราโกรธพ่อแม่ที่ไม่ตามใจ เราโกรธรถติด เราโกรธอากาศร้อน เราโกรธคนที่รวยกว่าเรา เราโกรธตัวเองที่ขี้เกียจ ฯลฯ ความโกรธจึงแทบจะเป็นเหมือนลมหายใจของเราเข้าไปทุกที หมายความว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่แทบจะตลอดเวลา เพียงแต่ความโกรธกับลมหายใจมีข้อต่างกันอยู่คือลมหายใจนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่เราขาดไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว เป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตเรา แต่ความโกรธนั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง มันเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยที่สมควรทิ้งไปหรืออย่านำเข้ามาใส่ตัว มันเป็นสิ่งที่มีแต่จะบั่นทอนพลังชีวิตของเราไม่จบไม่สิ้น ยกตัวอย่างง่ายๆว่าเวลาที่เราโกรธใครหรือเรื่องอะไรอยู่ซักเรื่องหนึ่ง เราจะเริ่มไม่มีสมาธิกับหน้าที่ที่เรารับผิดชอบอยู่ ความโกรธจะเข้ามาดึงความสามารถในการควบคุมสติของเราออกไป ทำให้เราตัดสินใจทำอะไรแบบหุนหันพลันแล่น ไม่คิดหน้าคิดหลัง และผลลัพธ์ที่ตามมาจากการกระทำที่ถูกครอบงำด้วยความโกรธก็มักจะเป็นไปในทางเสียหายมากกว่าจะเป็นไปในทางที่ดี ทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตนเองและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้อื่น นอกจากนี้ในแง่สุขภาพความโกรธย่อมทำลายทั้งสุขภาพจิตละสุขภาพกาย การมีอารมณ์ที่ขุ่นมัวที่เกิดจากความโกรธ ย่อมทำให้สุขภาพจิตเสื่อม กลายเป็นคนอารมณ์ร้อน ส่งผลไปถึงการทำงานของร่างกายที่สภาพจิตใจย่อมส่งผลถึงกัน
หนังสือเรื่องธรรมะหลับสบายจึงเป็นหนังสือธรรมะที่จะแนะนำให้ผู้อ่านทำความเข้าใจถึงรูปร่างหน้าตาของความโกรธว่าเป็นอย่างไร ทำความเข้าใจนิสัยใจคอของความโกรธ ทั้งนี้เพื่อรูเท่าทันมัน แล้วสามารถปรับตัวปรับใจตั้งรับสถานการณ์ได้เมื่อความโกรธมาเยือน ตลอดจนสามารถบริหารจัดการอารมณ์ตัวเองใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้โกรธได้อีกด้วย วิธีการที่แนะนำไว้ในหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่วิธีการยากๆเคร่งๆแบบที่ต้องมานั่งสมาธิกันเป็นวันๆเพื่อฝึกสติแน่นอน หากแต่เป็นวิธีการที่เป็นการกระตุ้นเตือนให้เราฉุกคิดเกี่ยวกับโทษภัยของความโกรธ และวิธีการง่ายๆในการจัดการกับมัน เช่น การเรียนรู้ที่จะมองโลกในแง่ดี การเปลี่ยนทัศนคติว่าทุกคนล้วนเป็นพี่น้องกัน เป็นต้น ส่วนข้อเสียในเชิงเนื้อหาผมว่าเป็นเรื่องง่ายๆที่เรารู้กันอยู่แล้ว แล้วก็มีหลายเรื่องที่ออกจะเป็นเรื่องอุดมคติมากพอสมควรและยังต้องอาศัยการร่วมมือกันของคนหลายฝ่ายซึ่งอาจทำไม่ได้ในชีวิตจริงเช่นเรื่องการสร้างมิตรภาพไร้พรมแดน เป็นต้น
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 05 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ในทางวิทยาศาสตร์เรามีหลักการในการค้นคว้าหาความจริงที่ทราบกันดีว่าต้องเริ่มจากการตั้งคำถามหรือตั้งข้อสงสัย จากกนั้นจึงตั้งสมมติฐาน แล้วก็เริ่มทำการค้นคว้าทดลอง จนออกมาเป็นกฎ ทฤษฎีหรือองค์ความรู้ต่างๆ กระบวนการแบบนี้ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าใช้ได้ผลจริง นำมาซึ่งความรู้ความเข้าใจของมนุษย์ที่มีต่อตนเองและสิ่งต่างๆรอบตัว ทำให้มนุษย์สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้โลกก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว ไม่หยุดนิ่ง การฝึกตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัวกับเรื่องง่ายๆที่หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องรกสมองแบบนี้แหละนำมาซึ่งความก้าวหน้ามากมายและทำให้มนุษย์ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ
ในสังคมตะวันตกเราจะเห็นเรื่องของการตั้งคำถามเป็นเรื่องปกติ เด็กๆในประเทศที่เจริญแล้วเหล่านั้นมีความกล้าที่จะอยากรู้ในสิ่งที่พวกเค้าสงสัย และขวนขวายที่จะค้นหาคำตอบด้วยตนเอง ผู้ใหญ่ในประเทศเหล่านั้นส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนของเขามีความรู้รอบตัวมากๆ ไม่ได้จำกัดการเรียนรู้ของเด็กเอาไว้ที่ความรู้ตามตำราที่ได้จากครูที่สอนในห้องเรียนเท่านั้น เพราะเค้าเห็นว่าความรู้รอบตัวแบบนี้จะมีส่วนสำคัญในการที่จะช่วยกระตุ้นกระบวนการเรียนรู้และการทำงานของสมอง แม้จะเป็นความรู้ที่ไม่สามารถเอาไปตอบข้อสอบให้ได้คะแนนดีๆ แต่ก็เป็นความรู้ที่เป็นแรงจูงใจที่สามารถนำไปต่อยอดเพื่อแสวงหาองค์ความรู้ใหม่ๆได้ ด้วยเหตุนี้เองสังคมตะวันตกจึงกลายเป็นสังคมที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงและส่งออกความรู้ต่างๆเหล่านั้นมาสู่สังคมบ้านเรา เมื่อหันกลับมามองที่สังคมไทย จะเห็นว่าสังคมไทยมีลักษณะที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสังคมตะวันตก เรายังนิยมการเรียนการสอนแต่ความรู้ทางวิชาการในห้องเรียนแล้วมุ่งไปสู่การประเมินผลด้วยการสอบ การเรียนรู้โลกกว้างหรือการเรียนรู้นอกห้องเรียนเป็นแต่เพียงภาพที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เห็นว่าผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องเห็นความสำคัญของการเรียนรู้แบบนี้เท่านั้น แต่การส่งเสริมอย่างจริงจังกลับไม่มี
หนังสือเรื่องฉลาดได้อีก เล่มนี้เป็นหนึ่งในความพยายามที่จะช่วยให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ดังกล่าว ด้วยการค้นหาคำตอบต่อคำถามเรื่องใกล้ตัวบ้างไกลตัวบ้างมาอธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ อ่านสนุก น่าติดตาม โดยได้แบ่งเนื้อหาของหนังสือออกเป็น 6 ส่วน คือ สัตว์โลกน่ารัก พืชพันธุ์ธรรมชาติ ความลี้ลับของร่างกายมนุษย์ ชนชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น และสิ่งแวดล้อมกับธรรมชาติ เป็นหนังสือที่ดูเหมือนจะเหมาะกับเด็กๆวัยเรียนรู้ แต่จริงๆแล้วผู้ใหญ่ก็อ่านเพลินดีเหมือนกัน บางเรื่องผู้ใหญ่เองก็อดสงสัยไม่ได้อย่างเช่น ทำไมแค่เห็นบ๊วยก็รู้สึกเปรี้ยวปาก ทำไมเวลาอายจึงหน้าแดง นอนหลับทีไร ทำไมน้ำลายไหลทุกที ทำไมดวงตาถึงไม่หนาว ทำไมท้องร้องเวลาหิว หรือหูอื้อเกิดจากอะไร เป็นต้น อย่างที่บอกว่าเด็กๆอ่านแล้วได้ความรู้ปนความสนุก ช่วยกระตุ้นจินตนาการ และความอยากรู้อยากเห็นได้ดี ส่วนผู้ใหญ่อ่านแล้วเพลินแถมช่วยคลายข้อสงสัยกับเรื่องใกล้ตัวได้อีกหลายเรื่อง
55 สิ่งที่คนประสบความสำเร็จไม่มีวันทำ
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 05 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ในบรรดาหนังสือที่สอนคนให้รวย สอนคนให้ประสบความสำเร็จ ผมเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยคงเป็นหนังสือที่จะแนะนำเทคนิควิธีการต่างๆที่คุณสามารถนำไปใช้แล้วการันตีว่าจะประสบความสำเร็จ วิธีการต่างๆเหล่านั้นอาจรวบรวมมาจากประสบการณ์ของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จบ้าง มาจากนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องจิตวิทยาหรือเรื่องการสร้างพลังแรงบันดาลใจบ้าง หรือมาจากการรวบรวมข้อมูลโดยผู้เขียนเอง เป็นต้น แต่คงมีหนังสือไม่กี่เล่มที่จะเขียนเนื้อหาที่ตรงกันข้ามกับที่กล่าวมา หมายความว่าหนังสือเล่มนี้กำลังจะบอกคุณว่าคุณไม่ควรทำอะไรเพื่อจะได้ประสบความสำเร็จนั่นเอง นั่นแปลว่าหนังสือเล่มนี้มีความสำคัญในสองความหมายคือ สำคัญสำหรับคนที่กำลังอยากจะประสบความสำเร็จ ในแง่ที่ว่าจะได้เรียนรู้ก่อนว่าเราไม่ควรจะทำอะไรซึ่งเป็นสิ่งที่จะเหนี่ยวรั้งเราในการก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ตั้งใจไว้ และประการที่สองคือ สำคัญสำหรับคนที่มีพฤติกรรมที่ไม่ควรทำแบบที่ในหนังสือห้ามไว้อยู่แล้ว จะได้ฉุกคิดหรือรู้ตัวว่าเรากำลังเป็นหรือทำอะไรอยู่และสิ่งนั้นมันขัดขวางความก้าวหน้าในชีวิตของเราอย่างไร ในที่สุดจะได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองเสียใหม่ ผมคิดว่าการเขียนหนังสือประเภทนี้ในลักษณะแบบที่กล่าวไปก็เป็นวิธีการที่น่าสนใจดีเหมือนกัน เพราะการบอกเรื่องที่คนประสบความสำเร็จเค้าไม่ทำกันนั้น เป็นเหมือนการยื่นกระจกเงาให้กับคนที่ยังมีนิสัยหรือพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์อยู่ ให้เขาเหล่านั้นได้มีโอกาสส่องกระจกดูภาพตัวเอง ได้มีโอกาสสำรวจตัวเองว่ามีข้อเสียหรือข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไขอะไรบ้าง นอกจากนี้ยังมีผลดีในเชิงจิตวิทยาในแง่ที่ว่าการย้ำเตือนสิ่งไม่ดีในตัวของใครคนใดคนหนึ่งให้เขาเห็น น่าจะเป็นแรงผลักดันที่ดีในการที่เขาจะลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองเสียใหม่ หากต้องการที่จะประสบความสำเร็จอย่างคนอื่น โดยสรุปเนื้อหาที่กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้ที่บอกว่ามี 55 เรื่องที่คนที่ประสบความสำเร็จไม่มีวันทำ ผมลองสรุปออกมาได้เป็นแบบนี้คือ
ประการแรกไม่มีความฝันหรือเป้าหมาย อันนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะหากคุณไม่มีจุดเริ่มต้นของความสำเร็จคือความฝัน คุณจะสำเร็จได้อย่างไร
ประการที่สองฝันแต่ไม่กล้าลงมือทำ หมายความว่ากลัวไปหมดทุกอย่างแม้กระทั่งกลัวใจตัวเอง หรือก็คือไม่มีความเชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถทำได้หรือก็คือดูถูกตัวเองนั่นแหละ ความกลัวนี้นำมาซึ่งปัญหาอื่นๆอีกเช่นกลัวเลยทำให้ตัดสินใจช้า กลัวเลยทำให้ไม่กล้าเดินเข้าหาโอกาสใหม่ๆรอคอยให้โอกาสเดินเข้ามา
ประการที่สามไม่มีการวางแผน อันนี้ชัดเจนว่าแม้คุณจะมีฝัน มีความกล้า แต่ถ้าหวังไปตายเอาดาบหน้าอย่างเดียวก็คงไม่ไหว
ประการที่สี่ไม่พัฒนาตนเอง หมายความว่าหยุดนิ่งอยู่กับที่ มีแต่ความอยากแต่ไม่มีความเคลื่อนไหวในทางที่สร้างสรรค์
ประการสุดท้ายซึ่งผมว่าน่าสนใจคือล้มเลิกเพราะกลัวล้มเหลว ผมว่าอันนี้เป็นเรื่องจริงสำหรับหลายคน อย่ากลัวที่จะล้มเหลวเพราะคนที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องผ่านความล้มเหลวมาแล้วทั้งนั้น
ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น
4
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 03 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เราคงเคยได้ยินมาบ้างว่าวิทยาศาสตร์กับพุทธศาสนานั้นมีความคล้ายคลึงกันอยู่หลายประการ บางคนอธิบายว่าสิ่งที่เหมือนกันที่สุดระหว่างวิทยาศาสตร์กับพุทธศาสนาก็คือการค้นคว้าทดลองโดยใช้เหตุและผล เราจะเห็นว่าศาสตร์ทั้งสองนั้นเน้นให้ผู้ปฏิบัติลงมือทดลองทำด้วยตนเอง อย่างเป็นขั้นเป็นตอน วิทยาศาสตร์มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงของเรื่องต่างๆโดยอาศัยเหตุผลที่มีที่มาที่ไปชัดเจน มีการตั้งสมมติฐาน มีการทดสอบสมมติฐาน จนได้เป็นกฎหรือทฤษฎีในทางวิทยาศาสตร์ พุทธศาสนาก็มีวิธีการที่คล้ายคลึงกันเพื่อให้ได้มาซึ่งองค์ความรู้ต่างๆ แต่สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความรู้ทางพุทธศาสนานั้นก็คือความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ทางโลก หากนำความรู้นั้นมาใช้ในทางที่ถูกที่ต้องก็สามารถสร้างคุโณปการให้แก่โลกมากมาย แต่ในทางตรงกันข้ามหากนำมาใช้ในทางที่ไม่ดีงามก็สามารถสร้างความหายนะอย่างใหญ่หลวงได้เช่นเดียวกัน ในขณะที่ความรู้ทางพุทธศาสนานั้นเป็นความรู้ทางธรรม มีความเป็นนามธรรมสูง เป็นความรู้ที่จะช่วยยกระดับจิตใจและสติปัญญาให้สูงขึ้น นี่จึงเป็นจุดที่แบ่งแยกศาสตร์ทางโลกและศาสตร์ทางธรรมออกจากกันอย่างชัดเจน
หนังสือเรื่องไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็นเล่มนี้ มีวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะบอกว่ากฎหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกค้นพบในปัจจุบันหรือย้อนไปในอดีต มีหลายกฎหรือทฤษฎีที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบและอธิบายไว้มาก่อนนานแล้ว เช่นเรื่องจักรวาล พระพุทธเจ้าทรงอธิบายไว้ในคัมภีร์อรรถสาลิณี พระองค์ได้อธิบายเรื่องจักรวาลไว้ในหลายมิติ เช่น จักรวาลนั้นไม่ได้มีแค่หนึ่งเดียว เรื่องการยืดหดของเวลา เรื่องอะตอมฟิสิกส์ เป็นต้น ในแง่นี้ผมเลยรู้สึกว่าผู้เขียนต้องการยกพระพุทธเจ้าให้เหนือเหล่านักวิทยาศาสตร์ชื่อดังทั้งหลาย ในความหมายที่ว่านักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นรู้ช้ากว่าพระพุทธเจ้าถึง 2500 ปีอะไรทำนอนนั้น และเมื่อถามต่อว่าพระพุทธเจ้าจะรู้ได้อย่างไรในเมื่อเทคโนโลยี ตลอดจนอุปกรณ์ต่างๆที่จะนำมาใช้ในการทดลองค้นคว้าก็ไม่ได้ก้าวหน้าแบบที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ ผู้เขียนก็อ้างหลักการที่ว่าเรื่องของโลกและจักรวาลนั้นเป็นอจิณไตย คือเรื่องที่ไม่อาจรู้ได้ด้วยการคิด ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยการอธิบาย ต้องรู้ได้ด้วยตนเอง เข้าใจได้ด้วยตนเอง ประจักษ์ด้วยประสบการณ์ของตนเองโดยพัฒนาปัญญาญาณให้เกิดขึ้น เรื่องแบบนี้ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยความคิดแต่ต้องอาศัยปัญญาญาณ ระบบประสาทสัมผัสของมนุษย์หยาบเกินไปที่จะหยั่งรู้ พอเจอคำอธิบายแบบนี้เข้าไปก็เลยรู้สึกว่ายิ่งทำให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความอภินิหารเข้าไปใหญ่ พระพุทธเจ้ากลายเป็นเทพที่สามารถหยั่งรู้ได้ทุกเรื่องแต่ไม่นำเรื่องที่หยั่งรู้ทำนองนี้มาอธิบายมากนักเพราะเหตุผลเพียงว่าการแสวงหาทางพ้นทุกข์นั้นสำคัญกว่า การแสวงหาความจริงในธรรมชาติ ความจริงของธรรมชาติที่ค้นพบ ไม่ได้ช่วยเรื่องการพ้นทุกข์แต่อย่างใด เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ในส่วนที่ต้องการเอาวิทยาศาสตร์มาเชื่อมโยงกับศาสนาจึงเป็นแต่เพียงการเล่าว่าวิทยาศาสตร์ค้นพบอะไร พระพุทธเจ้าค้นพบมาก่อนแล้วด้วยปัญญาญาณที่เกิดจากการบำเพ็ญภาวนาของพระองค์ แต่ไม่ได้บอกว่าพระองค์ทำอย่างไรเพราะสิ่งนี้อธิบายไม่ได้เพราะเป็นอจิณไตย ส่วนเนื้อหาที่เรื่องทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับกฎหรือทฤษฎีต่างๆ อันนี้มีเยอะมาก แต่อ่านแล้วจะเข้าใจหรือไม่คงขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของแต่ละคนมากกว่า และในส่วนเนื้อหาทางศาสนานั้นส่วนใหญ่จะเป็นการกล่าวอ้างทฤษฎีทางพุทธเสียมากกว่า ไม่ค่อยมีเรื่องทางปฏิบัติที่จะเอาไปทดลองใช้ ถ้าผู้อ่านคาดหวังว่าไอน์สไตน์ค้นพบทฤษฎีต่างๆได้อย่างไรและพระพุทธเจ้าค้นพบทฤษฎีนั้นได้อย่างไร อันนี้ไม่มีคำอธิบายแบบเปรียบเทียบให้เห็นกันไปเลย มีแต่เพียงการเล่าชุดคำอธิบายของแต่ละฝ่ายเท่านั้น
ฝึกให้ไม่คิด
4
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 03 สิงหาคม พ.ศ. 2557

มนุษย์เราใช้ความคิดขับเคลื่อนชีวิตและขับเคลื่อนโลก ความคิดจึงมีอิทธิพลกับมนุษย์อย่างมากมายมหาศาล เราใช้ความคิดแทบทุกขณะ แม้กระทั่งเวลานอนหลายคนยังคงสับสนว่าความฝันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของความคิดหรือไม่ อย่างไรก็ตามที่ว่าความคิดมีอิทธิพลต่อมนุษย์นั้น หมายความว่ามีอิทธิพลทั้งในด้านบวกและในด้านลบ ในด้านบวกคงไม่มีปัญหาอะไรที่จะต้องพูดถึง แต่ในทางตรงกันข้ามความคิดด้านลบคือตัวปัญหาสำคัญที่สามารถสร้างความยุ่งยากตามมาอีกมากมาย ความคิดด้านลบที่พูดถึงนี้ก็อาจจะหมายถึง คิดมาก (เครียด วิตกกังวล) เช่นคิดมากเรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เศรษฐกิจ การเงินหนี้สิน ฯลฯ ซึ่งอาจเกิดจากปัญหาที่เข้ามารุมเร้าในเวลานั้นทำให้คิด หรืออาจจะเกิดจากความวิตกกังวลเกินเหตุกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึงเลยคิดวิตกกังวล ทางแก้ง่ายๆก็คือไม่ต้องคิดมาก ซึ่งหมายความว่าคิดให้น้อยลง คิดให้พอดี ไม่ใช่ไม่คิดเลย แต่ปัญหาก็คืออะไรที่เรียกว่าพอดี เพราะเวลาเราจะอธิบายเรื่องความคิดนั้นเป็นเรื่องยากมากๆที่จะอธิบายได้เข้าใจ บางคนอธิบายความคิดไปทางเรื่องของสมองสั่งการ การทำงานของสมอง อะไรทำนองนั้น แต่บางคนก็มีชุดอธิบายอีกแบบ ซึ่งเป็นคำอธิบายที่เชื่อมโยงกับหลักการทางศาสนา ซึ่งไม่ว่าจะมีชุดคำอธิบายออกมากี่แบบก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เราทุกคนรับรู้ได้ก็คือ ความคิดมันเกิดออกมาอยู่ตลอดเวลา แล้วยิ่งเราไปมีใจจดจ่อเพ่งเล็งกับมันมากเท่าไหร่หรือพยายามห้ามตัวเองไม่ให้คิดมากเท่าไหร่ ความคิดมันยิ่งทะลักออกมามากเป็นทวีคูณ ลักษณะของความคิดที่เป็นแบบนี้เองจึงนำมาซึ่งคำถามสำคัญคือเราจะมีวิธีการบริหารจัดการความคิดหรือควบคุมมันให้เป็นไปในทิศทางที่ควรจะเป็นได้อย่างไร แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะมาหาทางที่จะทำให้ไม่คิดกัน
ผมเข้าใจว่าหลักการที่หนังสือเล่มนี้ต้องการนำเสนอคือ ไม่ให้คิดมาก ไม่ใช่ไม่ให้คิด ซึ่งอันนี้เป็นความเข้าใจพื้นฐานที่ต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อน เพราะเราไม่สามารถปฏิเสธตัวเองไม่ให้มีความคิดในเรื่องต่างๆได้ ต่อมาก็ต้องมาทำความเข้าใจที่คำว่าคิดมาก ซึ่งมากในที่นี้ก็หมายถึงมากไปกว่าความจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าในปัจจุบัน ความคิดที่มากไปกว่าความจริงขณะปัจจุบันนั้นเกิดจากการปรุงแต่งด้วยตัวเราเอง ซึ่งการปรุงแต่งที่ว่านี้ก็เกิดจากหลายสาเหตุเช่นความวิตกกังวล ความคาดหมายถึงผลในอนาคต ความอยาก ความต้องการให้เป็น ความกลัว ฯลฯ หนังสือเลยต้องการให้เรากำจัดตัวปรุงแต่งเหล่านี้ออกไปด้วยการนำเสนอวิธีการที่จะทำให้เราสามารถมีสติจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วคิดอย่างที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบัน ในขณะนั้น เป็นการฝึกให้เรายึดถือความคิดแรกต่อสิ่งนั้นๆ อันที่จริงผมเข้าใจว่าน่าจะหมายถึงการปล่อยวางก็ได้ แต่เป็นการปล่อยวางในมิติที่แคบลงมาหน่อยคือการปล่อยวางทางความคิดนั่นเอง วิธีการฝึกควบคุมความคิดในหนังสือเล่มนี้จะเป็นการฝึกในขณะที่ราทำกิจกรรมประจำวันต่างๆผ่านทางการพูด ฟัง ดู เขียน อ่าน กิน ละทิ้ง สัมผัส และการดูแล ซึ่งผมว่าเป็นการฝึกที่ใกล้ตัวดีแล้วเห็นผลจริง เป็นประโยชน์ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้เลย
นิทานคนรวย
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 03 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เวลาที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆต้องการปลูกฝังค่านิยม ความคิด หรือความเชื่ออะไรบางอย่างให้กับเด็กๆ ลูกหลานของเรา เรามักจะไม่สอนเค้าตรงๆหรอก เพราะเราต่างรู้ดีว่าเด็กๆไม่ชอบฟังเรื่องยากๆ การจะไปสอนให้เค้าทำอะไรซักอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเหตุนี้เองนิทานจึงถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการปลูกฝังความรู้ ความคิดต่างๆ ทั้งนี้ก็เพราะนิทานมีเสน่ห์ตรงที่สามารถทำเรื่องยากๆให้เป็นเรื่องที่สนุก เข้าใจง่าย เข้าถึงคนอ่าน ทำให้คนอ่านสามารถใช้จินตนาการโลดแล่นไปตามตัวละคร พูดง่ายๆก็คืออ่านแล้วมองเห็นภาพตาม เราจึงมักเห็นนิทานหลากหลายประเภท เช่น นิทานสอนใจ นิทานคุณธรรม นิทานสอนภาษา เป็นต้น ดังนั้นจะเห็นว่า หากนิทานเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างคนได้มากขนาดนี้ ทำไมนิทานจะถูกเอามาใช้ในการสร้างความรู้ทางธุรกิจไม่ได้
หนังสือนิทานคนรวยเล่มนี้ จึงถูกเขียนขึ้นมาภายใต้หลักคิดดังกล่าว ผู้เขียนมองว่า เราไม่ได้อ่านนิทานเพื่อความเพลิดเพลินเพียงอย่างเดียว แต่ในความสนุกสนานเพลิดเพลินนั้นมันมีเรื่องราวสอนใจดีๆแฝงอยู่มากมาย ซึ่งจริงๆแล้วไม่ว่าคุณจะเป็นเด็กหรือโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เมื่อมาอ่านนิทานเหล่านั้น นิทานหลายเรื่องยังคงให้ข้อคิดดีๆกับคุณได้เสมอ และหากนำมาปรับใช้กับการอธิบายเรื่องราวของการทำการค้า การทำธุรกิจแล้ว นิทานย่อมสามารถถ่ายทอดได้ทั้งเทคนิควิธีการทางธุรกิจและยังสามารถถ่ายหลักคุณธรรม จริยธรรมในการทำการค้าที่ดีของคนที่คิดจะทำมาค้าขายด้วย นิทานในหนังสือเล่มนี้จะมีทั้งหมด 20 เรื่อง ยอมรับเลยว่าอ่านสนุกทั้ง 20 เรื่องเลย เนื้อหาที่ถูกเขียนไว้ในนิทานแต่ละเรื่องนั้นแตกต่างกันออกไป ไม่น่าเบื่อ เนื้อหาก็จะสลับกันไประหว่างหลักการดำเนินธุรกิจที่ดี เทคนิควิธีต่างๆในการดำเนินธุรกิจ และเนื้อหาที่เกี่ยวกับคุณธรรมที่ดีของการเป็นนักธุรกิจ เนื้อหาแต่ละส่วนที่กล่าวมานั้นไม่ได้ต่อเนื่องกัน แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ความรู้สึกเวลาอ่านก็เหมือนกับเราอ่านนิทานเป็นเรื่องๆ แต่ละเรื่องก็จะให้ข้อคิดต่างกัน ในเรื่องหลักการทำธุรกิจที่ดีก็มีนิทานที่น่าสนใจอย่างเช่นเรื่องการเอาใจใส่ลูกค้าพิถีพิถันทุกขั้นตอน การไม่ใช้เงินผิดประเภท การมุมานะพยายามเพื่อทำเป้าหมายให้สำเร็จ ในเรื่องที่เกี่ยวกับเทคนิคการทำธุรกิจก็เช่นการรู้จักฉวยโอกาสในเวลาที่เหมาะสม อย่ามองลูกค้าแต่ภายนอกเพราะจะเสียโอกาสได้ และในส่วนที่ว่าด้วยเรื่องคุณธรรมก็เช่นการใช้ความซื่อสัตย์ในการค้าขาย การซื้อใจคนด้วยเมตตาธรรม การไม่ดู๔กดูแคลนลูกค้า เป็นต้น จริงๆแล้วถ้าเรามองไปที่เนื้อหาสาระของนิทานในแง่ของการทำธุรกิจ จะเห็นว่าไม่มีอะไรใหม่เลย เป็นเรื่องเดิมๆ ธรรมดาๆ ที่คนที่อยากทำธุรกิจคงรู้มาแล้วไม่มากก็น้อย ในแง่นี้ผมเลยยังไม่ประทับใจเท่าไหร่ แต่ในแง่ความสนุกของนิทานอันนี้ให้ผ่าน เพราะฉะนั้นโดยส่วนตัวถ้าผู้ใหญ่อ่านหนังสือเล่มนี้โดยหวังเอากลวิธีใหม่ในการทำธุรกิจ อันนี้คงจะผิดหวังนิดหน่อย แต่สำหรับเด็กที่อยากเป็นเถ้าแก่น้อยหรือพ่อแม่ที่อยากปลูกฝังค่านิยมดีๆในการทำงานให้กับลูกๆ ผมแนะนำหนังสือเล่มนี้เลย
รู้แล้วลุย 2  สิ้นชาติ...ขาดภพ
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 03 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สุดยอดแห่งการบรรลุธรรมในทางพุทธศาสนา ก็คือนิพพานหรือการตัดกิเลศทั้งหมดไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวังวนแห่งความทุกข์อีก ซึ่งสำหรับคนที่เป็นนักปฏิบัติธรรมมืออาชีพแล้ว นิพพานคือสุดยอดปรารถนาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในความเข้าใจของคนทั่วไปนิพพานก็ยังเป็นของยากอยู่ดี หมายความว่ายากทั้งในแง่ของการอธิบายความหมายที่แท้จริงและยากในแง่ของวิธีการเดินไปสู่เป้าหมายที่เรียกว่านิพพานนั้น นอกจากพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ตามตำนานที่ได้บรรลุนิพพานแล้ว จะมีใครที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ชัดเจนที่สุด แม้จะมีคนที่อ้างตัวว่าอธิบายได้ว่ามันเป็นอย่างไร แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คำอธิบายเหล่านั้นเป็นคำอธิบายที่เต็มไปด้วยคำถามและข้อสงสัยมากมายทั้งในแง่คนที่อ้างตัวว่าเข้าใจและในแง่ความถูกต้องแท้จริงของสิ่งที่พูดถึง นิพพานในความเข้าใจของคนทั่วไปจึงยังเป็นสิ่งที่งงๆ คลุมเครือ ไม่ชัดเจน และที่สำคัญคือยากที่จะเข้าถึง คงต้องใช้เวลาทั้งชีวิตด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจในการเรียนรู้ ทำความเข้าใจ ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง ถึงจะเข้าใจได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ เพราะผมเข้าใจว่าวิธีการแบบพุทธก็ต้องเป็นแบบนี้แหละคือเน้นการทดลองลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง จนเกิดความรู้ความเข้าใจด้วยตนเอง ไม่ใช่เชื่อตามที่ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นผู้รู้สั่งสอนมาว่าเป็นเช่นนั้น
ผมหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านชื่อเรื่องด้วยความสงสัยในตอนแรก สิ้นชาติ…ขาดภพ อ่านดูแล้วเหมือนจะเป็นหนังสือนิยายอะไรทำนองนั้นมากกว่าจะเป็นหนังสือธรรมะ และพอได้อ่านคำอธิบายบนหน้าปกก็ยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่ “บันไดลัดสู่การหลุดพ้น ซึ่งสื่อจิตชี้ทางโดย สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ด้วยเตโชวิปัสสนากรรมฐาน ทางลัดตัดตรงสุดอัศจรรย์มุ่งสู่นิพพาน” อ่านแล้วดูอภินิหารสุดๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นหนังสืออภินิหารไซอิ๋วผสมกับหนังสือคู่มือเตรียมสอบฉบับเรียนลัดเน้นง่ายเข้าว่า แต่เอาหละผมอาจจะอคติเกินไป ลองเปิดอ่านเนื้อหาข้างในก่อนดีกว่าเผื่อจะมีอะไรดีๆซ่อนอยู่ก็ได้ ทันทีที่เปิดอ่านบทนำ “10 ปีในการภาวนาในฐานะนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่เป็นฆราวาส 4000 ชั่วโมงในจิตพากเพียรเพื่อการพ้นไป สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ได้เลือกข้าพเจ้าให้เป็นหนึ่งเดียวที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาวิปัสสนาทางลัด มุ่งเผากิเลศให้สิ้นเพื่อมรรคผลนิพพาน…” อ่านดูแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะรู้สึกผิดหวังกับข้อความนี้มาก โดยเฉพาะกับคำว่าทางลัด ซึ่งคำนี้ได้ทำลายความน่าเชื่อถือของหนังสือเล่มนี้ไปอีกมากเลยทีเดียว อย่างที่บอกไว้ว่า ผมไม่เชื่อเรื่องทางลัดในการฝึกฝนธรรมะ เรื่องแบบนี้ควรเป็นเรื่องที่คนที่ตั้งใจจะเดินทางนี้ต้องใช้เวลากับมัน ต้องทดลอง เรียนรู้ จนเกิดความเข้าใจด้วยตนเอง ต้องหมั่นตรวจสอบความรู้ของตัวเองให้รอบด้าน เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจที่ผิด แต่หนังสือเล่มนี้กลับสอนในสิ่งที่ตรงกันข้าม ซึ่งผมคิดว่าขัดกับหลักการทางพุทธศาสนา แม้จะมีการอ้างอิงพระชื่อดัง และเนื้อหาภายในจะเป็นการสอนเรื่องการทำวิปัสสนาเป็นหลัก (ซึ่งอ่านแล้วก็งงๆไม่ค่อยเข้าใจ) แต่ด้วยวิธีคิดของผู้เขียนแบบนี้ ผมว่าทำให้หนังสือเล่มนี้ด้อยคุณค่าลงไปเยอะเลยทีเดียว กลายเป็นหนังสือที่ทำออกมาเพื่อเน้นขาย มากกว่าจะเป็นเครื่องมือประเทืองปัญญา ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลของคนที่แทบไม่มีประสบการณ์ด้านการเจริญภาวนาและผมเองก็ไม่ได้เอาวิธีการทำวิปัสสนาตามหนังสือไปทดลองทำแต่อย่างใด หากผู้อ่านเป็นนักวิปัสสนามืออาชีพมากกว่าผม มีชั่วโมงบินหลายพันชั่วโมงพอๆกับผู้เขียน คิดว่าน่าจะอ่านเข้าใจได้มากกว่าก็ได้
พ่อไม่รวยก็รวยได้
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 02 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อยากรวยต้องทำยังไงบ้าง ขยัน อดทน เอาการเอางาน ส่วนใหญ่ก็มักจะไดคำตอบแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา จนบางคนเริ่มเอียนกับคำพูดเหล่านี้ แล้วพาลหมดแรงบันดาลใจในการสร้างเนื้อสร้างตัวให้กลายเป็นมหาเศรษฐีอย่างที่ตั้งใจไว้ ก็เพราะเขาเหล่านั้นพยายามแล้วพยายามอีก ขยันแล้วขยันอีก แต่ยังไงก็ไม่รวยซักที อ่านหนังสือสร้างแรงบันดาลใจและเคล็ดลับความรวยของบรรดาเหล่าคนดังและมหาเศรษฐีทั้งของไทยและของต่างประเทศมาแล้วไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องก็ยังทำไม่ได้แบบเขาเหล่านั้น สุดท้ายหลายคนก็ลงเอยด้วยการปลอบใจตัวเองว่าเราทำดีที่สุดแล้ว จงพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีดีกว่า อย่าดิ้นรนให้เหนื่อยเลย คนเราเกิดมามีบุญวาสนาและโชคชะตาไม่เหมือนกัน ชาติก่อนเราคงทำบุญมาน้อย ชาตินี้เราเลยไม่รวยอย่างคนอื่นเค้า
หากคุณยังไม่เบื่อที่จะอ่านหนังสือประเภทนี้ หนังสือพ่อไม่รวยก็รวยได้เล่มนี้จะช่วยปลุกไฟในตัวคุณขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นหนังสือที่จะช่วยสร้างคนธรรมดาๆให้กลายเป็นคนที่ไม่ธรรมดา เป็นหนังสือที่จะทำลายข้อจำกัดต่างๆของตัวคุณและเปลี่ยนทัศนคติของคุณใหม่ว่าคุณสามารถทำทุกอย่างที่คุณต้องการให้สำเร็จได้ด้วยสองมือคุณเอง
ตัดเรื่องความเชื่อเรื่องบุญเรื่องกรรมที่ทำมาออกไป ตัดเรื่องความน้อยเนื้อต่ำใจที่เราเกิดมาในครอบครัวที่ไม่เพียบพร้อมออกไป แล้วตั้งต้นใหม่จากศูนย์ด้วยมือของตัวเอง น่าจะเป็นคอนเซปของหนังสือเล่มนี้ หนังสือนำเสนอเรื่องราวของบรรดามหาเศรษฐีทั้งหลายที่สร้างฐานะด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองขึ้นมาจากการไม่มีอะไรเลย โดยเริ่มจากความสงสัยของผู้เขียนที่มักจะตั้งคำถามกับบรรดามหาเศรษฐีเหล่านั้นว่าพวกเขาทำได้อย่างไร มีเคล็ดลับและวิธีการอย่างไร ผู้เขียนศึกษาและสัมภาษณ์บรรดามหาเศรษฐีเหล่านั้นแล้วสรุปออกมาเป็นปรัชญา 21 ข้อที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จ ในแง่นี้จึงเป็นหนังสือที่รวบรวมข้อมูลมาจากชีวิตจริงของคนรวย ไม่ใช่อิงจากตำราหรือทฤษฎีวิชาการอะไร เป็นการเรียนรู้จากความล้มเหลวของคนอื่น เรียนรู้จากประสบการณ์ วิธีคิด วิธีการจัดการกับปัญหาของคนเหล่านั้นแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นหลักการ ผมอ่านแล้วก็สรุปได้ว่าหากเราต้องการจะรวยประการแรกคืออย่ามองภาพปัจจุบันของคนรวยตาให้มองไปที่อดีตอันล้มลุกคลุกคลานของเค้าแล้วเรียนรู้จากมัน กำหนดเป้าหมายของคุณให้ยิ่งใหญ่และเด็ดขาด แล้วพัฒนาตัวคุณเองเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้นโดยใช้วินัยและความเพียรเป็นเครื่องมือสำคัญในการฝ่าฟันทุกอุปสรรคภายใต้หลักคิดที่ว่าหากคุณต้องการที่จะอยู่เหนือคนอื่นคุณก็ต้องทำมากกว่าหรือทำหนักกว่าคนอื่น พูดง่ายๆก็คือต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น แต่อย่าลืมว่าถ้านั่นเป็นสิ่งที่คุณรักเป็นสิ่งที่คุณอยากทำต่อให้เหนื่อยแค่ไหนคุณก็พร้อมจะสู้อยู่แล้ว

คติธรรมนำชีวิต สู่ความสุขและความร่ำรวย
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 02 สิงหาคม พ.ศ. 2557

คำพูดสั้นๆเพียงไม่กี่คำอาจเปลี่ยนชีวิตคนได้จากหน้ามือเป็นหลังมือ น่าจะเป็นคำจำกัดความของหนังสือเล่มนี้ พลังของถ้อยคำมันมีมากมายมหาศาลกว่าที่ใครหลายคนคิด โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชีวิตของเขากำลังตกอยู่ในภาวะที่จมอยู่กับความทุกข์ ความเศร้า ความผิดหวัง ความท้อแท้ หมดกำลังใจ พลังแห่งถ้อยคำอาจเป็นเหมือนเชื้อไฟที่จะช่วยเติมให้เค้าเหล่านั้นกลับมามีพลังฮึกเหิม เพื่อต่อสู้กับ ความทุกข์ยากหรืออุปสรรคต่างๆอีกครั้ง ไม่ว่าคุณจะนับถือพุทธศาสนาหรือศาสนาใดๆก็ตาม ผมเชื่อว่าถ้าคุณได้มีโอกาสได้อ่านหรือได้ศึกษาหลักธรรมคำสอนในทางพุทธแล้ว คุณจะรู้สึกว่าชีวิตคุณมีพลังมากขึ้น เป็นพลังที่ไม่ได้เกิดจากการดลบันดาลจากเทพองค์ใดๆ หากแต่เป็นพลังที่เกิดจากปัญญาที่คุณได้จากการเรียนรู้หลักธรรมเหล่านั้น เป็นปัญญาที่เกิดจากความคิดอ่านที่เป็นเหตุเป็นผล เป็นธรรมชาติ เป็นสัจธรรม เมื่อคุณนำไปปรับใช้รับประกันได้เลยว่าจะเกิดผลดีต่อชีวิตของคุณอย่างแน่นอน
ในประเทศไทยมีพระสงฆ์อยู่เป็นจำนวนหลายหมื่นหลายแสนรูป บางรูปเป็นเพียงแค่คนที่มาอาศัยหากินกับผ้าเหลือง ทำหน้าที่ท่องบทสวดมนต์พร่ำเพ้อให้ญาติโยมฟังโดยไม่รู้ความหมายหรือนัยที่แอบแฝง บทบาทของสงฆ์ในลักษณะแบบนี้มีให้เห็นกันอยู่ทั่วไปจนชินตา ทันทีที่คุณก้าวเท้าเข้าวัด คุณจะไม่ได้ธรรมะอะไร นอกจากการไปกราบไหว้บูชารูปสมมติ ปล่อยนกปล่อยปลาที่มีคนจับมาขังไว้ บริจาคเงินให้วัด คุณอาจจะรู้สึกสบายใจที่ได้ทำสิ่งเหล่านั้น แต่ลองมาทบทวนสิ่งที่ทำไปดีๆเราจะเห็นว่ามันได้เกิดประโยชน์จริงจังสมความตั้งใจที่เราต้องการรึเปล่า เราทำสิ่งเหล่านั้นไปเพื่อความสบายใจชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อเวลาผ่านไป ความทุกข์กลับมาเยือนใหม่ คุณก็จะกลับไปแก้ทุกข์ด้วยวิธีการเดิมๆแบบนั้นอีก ผมว่าความคิดแบบนี้ไม่ฉลาดเลย สำหรับผมการได้อ่านหนังสือดีๆซักเล่มหนึ่ง ย่อมดีกว่าการเข้าวัดเป็นไหนๆ เพราะคุณกำลังทำในสิ่งที่จะทำให้ความทุกข์ของคุณที่เกิดขึ้นเรื่อยๆหมดไปแบบระยะยาว ด้วยการลงมือปฏิบัติด้วยตัวขอคุณเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพามือคนอื่น การได้อ่านหลักธรรมคำสอนดีๆ การได้ฝึกฝนตนเองตามวิธีการแบบพุทธที่กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้ มีประโยชน์รอบด้านมากกว่ามาก และยิ่งเป็นคำสอนของเกจิอาจารย์หลายๆท่านที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ฝักใฝ่ในแนวทางพุทธศาสนาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยแล้ว ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่คุณจะได้ลองอ่านดู ลองศึกษาดู
เปิด Pet Shop ง่ายกว่าโชวห่วย
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 02 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สำหรับคนที่รักสุนัขเป็นชีวิตจิตใจ การได้ดูแลเพื่อนสี่ขาของคุณอย่างใกล้ชิดย่อมเป็นความสุขอย่างหนึ่ง บางคนดูแลสุนัขของตัวเองดียิ่งกว่าลูกของตัวเองซะอีก นี่ไม่ใช่การพูดเกินจริงแต่อย่างใด ภาพคุ้นตาที่เรามักเห็นกันคือการจับเจ้าตูบมาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสำหรับสุนัขรูปแบบต่างๆ การพาสุนัขไปตัดแต่งขน ราวกับการเข้าร้านทำผมเสริมสวยของคุณผู้หญิง บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ทำไมต้องดูแลกันขนาดนั้น เอาเงินไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์มากกว่านี้ไม่ดีหรอ แต่สำหรับบางคนกลับมองว่านี่คือช่องทางในการทำธุรกิจที่น่าสนใจและมีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆเพราะวิถีชีวิตคนเมืองที่เร่งรีบ มีเวลาจำกัด และเน้นความสะดวกสบาย ธุรกิจร้านเพ็ทช้อปจึงถือกำเนิดขึ้นและกำลังเติบโตไปในทิศทางที่ดี แต่การที่จะทำธุรกิจอะไรซักอย่างย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย การวางแผนเตรียมการและการศึกษาหาข้อมูลให้รอบด้านย่อมเป็นการเริ่มต้นที่ปลอดภัยและดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณได้มีโอกาสเรียนรู้จากคนที่มีประสบการณ์ตรงในเรื่องนี้ จะช่วยให้คุณไม่ต้องไปเสียเวลาและเสียเงินเสียทองในการลองผิดลองถูกด้วยตัวคุณเอง คุณสามารถเริ่มต้นธุรกิจของคุณแบบที่ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้คุณสามารถต่อสู้กับคู่แข่งทางธุรกิขอขงคุณ ซึ่งนับวันก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ การลงทุนทำร้านเพ็ทช้อป สิ่งที่เป็นพื้นฐานสำคัญคือคุณต้องมีใจรักและเป็นคนรักสัตว์ เพราะธุรกิจในลักษณะนี้เป็นธุรกิจที่ต้องทำงานกับสิ่งมีชีวิตที่เป็นที่รักของลูกค้า คุณจำเป็นต้องมีลักษณะนิสัยที่ชอบการดูแล ชอบการเอาใจใส่ และเป็นที่ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ แต่ไม่จำเป็นต้องเคยเลี้ยงสัตว์หรือมีสัตว์เลี้ยงมาก่อนก็ได้ หนังสือเล่มนี้จะเน้นไปที่การอธิบาขั้นตอนการเปิดร้านแบบเจาะลึกลงไปในรายละเอียด ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆทั้งเงินทุนและสถานที่ ปัจจัยต่างๆที่จะส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจประเภทนี้ การเลือกทำเล การตกแต่งร้าน การทำการตลาด และการบริหารจัดการร้าน พวกระบบบัญชีต่างๆ ซึ่งผมว่าเนื้อหาครอบคลุมเพียงพอสำหรับการเริ่มต้นเลยที่เดียว นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจคือการแนะนำเทคนิคต่างๆในการเสริมความสำเร็จของธุรกิจ ตลอดจนข้อควรระวังในการเปิดร้านที่คุณต้องเตรียมใจเอาไว้ก่อน เรียกว่าเป็นเกร็ดความรู้สำหรับเจ้าของร้านเพ็ทช้อปมือใหม่ก็ได้ ข้อดีที่สุดของหนังสือเล่มนี้คือการให้ความรู้สึกเป็นกันเองกับคนอ่าน ภาษาที่ใช้ไม่เป็นวิชาการ แต่ได้ความรู้ดี เป็นการเรียนจากประสบการณ์จริงของคนหลายๆคน แบบนี้ผมว่าเป็นประโยชน์มากกว่าการอ่านจากตำราวิชาการที่วางแต่หลักการที่เป็นทฤษฎีเท่านั้น
5
โดย: ปุณิกา วันที่เขียนรีวิว: 02 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เด็กๆจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้นั้น จำเป็นจะต้องได้รับการอบรมสั่งสอน การฝึกฝนในด้านต่างๆอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียน การใช้ชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่น หรือด้านคุณธรรมจริยธรรมต่างๆ การที่เด็กคนหนึ่งจะเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ ก็จำเป็นจะต้องอาศัยการฝึกฝนพัฒนาสมอง เรียกได้ว่าทั้งการเรียนรู้ของเด็กและการเติบโตของสมอง ต่างเป็นส่วนที่เติมเต็มให้กัน การเรียนรู้เรื่องราวที่หลากหลายมีส่วนช่วยพัฒนาสมอง และในขณะเดียวกันการเอาเทคนิควิธีตางๆมาพัฒนาสมองก็จะช่วยส่งเสริมให้เด็กมีทักษะในการเรียนรู้ที่เพิ่มขึ้น นี่คือหัวใจหลักของหนังสือเล่มนี้ ในแง่ที่มาของหนังสือผมเข้าใจว่า น่าจะมาจากความจริงทางการศึกษาของสังคมไทยที่ว่าเด็กมีพัฒนาการทางการเรียนรู้ช้าและแตกต่างกันมาก ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการของสังคมไทยในภาพรวม หลายฝ่ายทราบถึงปัญหานี้ดี แต่ก็ยังไม่มีใครแก้ปัญหานี้ได้สำเร็จ สุดท้ายก็โทษเด็กว่าคือตัวปัญหา ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเด็กไทยมีศักยภาพในตัวเองไม่แพ้ชาติอื่น เพียงแต่ด้วยระบบการศึกษา ระบบวัฒนธรรมของไทย เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ต่อการดึงเอาศักยภาพเหล่านั้นให้ปรากฏออกมาอย่างเต็มที่ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก
หนังสือเล่มนี้จะแบ่งออกเป็นสามส่วนหลักคือ
ส่วนแรกว่าด้วยปาฐกถาของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เรื่อง 4 ปี สร้างสมองเด็กไทยกับความหวังของชาติ เนื้อหาในส่วนนี้ก็จะเป็นการหยิบเอาปาฐกถาดังกล่าวมาถ่ายทอด เพื่อให้ผู้อ่านได้เรียนรู้ชีวิตส่วนตัวของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ ปะสบการณ์การเรียนรู้ของเขาเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ให้แง่คิดและแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านและยังมีแง่มุมที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาหรือสภาวะการเรียนรู้ของเด็กไทยในยุคสมัยนั้นเมื่อเทียบกับปัจจุบันและปิดท้ายด้วยวิสัยทัศน์การสร้างชาติด้วยการสร้างเด็กฉลาด ผมว่าเนื้อหาในส่วนนี้จะเน้นไปที่การสร้างแรงบันดาลใจมากกว่าความรู้ทางวิชาการ เรื่องเล่าของนายกให้แง่คิดที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
เนื้อหาส่วนที่สองว่าด้วยเนื้อหาทางวิชาการซึ่งเขียนโดย พญ. จันทร์เพ็ญ ในส่วนที่เกี่ยวกับหน้าที่และพัฒนาการส่วนต่างๆ ของสมอง งานวิจัยพัฒนาการของเด็กไทยในรอบ 10 ปี เป็นการสะท้อนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในแวดวงการศึกษาของชาติทั้งด้านดีและด้านไม่ดี อ่านแล้วก็เข้าใจมากขึ้นว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เด็กไทยมีสภาพอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
เนื้อหาส่วนสุดท้าย เป็นงานเขียนของอาจารย์พรพิไล ซึ่งเป็นเรื่องของการทำความรู้จักกับสมองของคนเรา ทำให้เราเข้าใจว่าสมองมีศักยภาพที่น่าอัศจรรย์มากเพียงใด และเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากที่เราไม่สามารถดึงเอาพลังของสมองของเด็กๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ อ่านแล้วคุณจะเห็นตัวปัญหาที่เป็นอุปสรรคคอยฉุดรั้งการเรียนรู้ของเด็กให้ย่ำอยู่กับที่
www.batorastore.com © 2024