หลุมพรางร้อยรัก

หลุมพรางร้อยรัก

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160021833
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 330.00 บาท 82.50 บาท
ประหยัด: 247.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง

ท่ามกลางผู้คนมากมายที่อยู่ในท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง หญิงสาว

ร่างสูงโปร่งคนหนึ่งพร้อมกระเป๋าเดินทาง ก้าวออกมาจากประตูผู้โดยสาร

ขาเข้าระหว่างประเทศ สายตาที่อยู่ภายใต้แว่นสีชากวาดมองไปยังป้ายภาษาจีน

เพื่อมองหาชื่อของตัวเอง

‘จิรวรรณ ไป๋’ หญิงสาวลูกครึ่งไทย-จีนวัยยี่สิบสี่ปี ที่เพิ่งจะเรียน

จบจากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้หมาดๆ หลังจากที่กลับไปยังบ้านเกิดได้ไม่ถึง

เดือน จิรวรรณก็จำต้องกลับมาที่จีนอีกครั้งเมื่อได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของ

‘ไป๋ฮุ่ยหวง’ ผู้เป็นบิดาบังเกิดเกล้า บิดามารดาของหญิงสาวแยกทางกันด้วยดี

ตั้งแต่ที่เธอยังเด็ก

‘อัญชลี’ มารดาของจิรวรรณแต่งงานและมีครอบครัวใหม่ที่อบอุ่น

ส่วนบิดาของหญิงสาวย้ายกลับมาอยู่ที่จีน แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ติดต่อกับบิดา

บ่อยนักทั้งที่มาเรียนอยู่ที่จีนแท้ๆ เพราะเหตุผลที่ทางครอบครัวของบิดานั้น

ไม่ค่อยพอใจในการแต่งงานของบิดามารดาของตนตั้งแต่แรก ทำให้จิรวรรณ

ไม่ค่อยคุ้นเคยกับญาติๆ ฝ่ายบิดาเท่าที่ควร จนกระทั่งบิดามาจากไป หญิงสาว

จึงได้รับข่าวจากญาติของบิดาซึ่งติดต่อไปให้มาร่วมงานศพ

จิรวรรณเดินเข้าไปสะกิดชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ถือป้ายชื่อของตน

เขาเป็นคนขับรถของบ้าน แน่นอนว่าจิรวรรณไม่ได้หวังว่าจะมีหนึ่งในญาติ

ของบิดาใจดีออกมารับตนเอง

 

รถคันหรูวิ่งออกจากท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่งไปได้เกือบชั่วโมง

ครึ่งก็หยุดลง ภาพคฤหาสน์หลังงามที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้าทำให้จิรวรรณ

นิ่วหน้า หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติ ภาพบรรยากาศการพบกัน

ของญาติๆ ในละครน้ำเน่าปรากฏขึ้นในหัว และแล้วมันก็เป็นความจริง

ความเย็นชาของทุกคนในบ้านทำให้จิรวรรณแทบจะถอนหายใจออกมาดังๆ

แน่ละสิ ก็คฤหาสน์หลังนี้มันจะกลายเป็นของหญิงสาวทันทีที่เสร็จจากงานศพ

และทุกคนในที่นี้ก็ไม่มีทางที่จะเห็นด้วย

มารดาของจิรวรรณไม่ได้ต้องการให้เธอรับสิ่งใดๆ แต่อย่างน้อย

หญิงสาวก็ต้องมาร่วมงานศพ ทว่าทนายของบิดานั้นไม่ยินยอม เขาบอกว่า

คฤหาสน์หลังนี้ต้องเป็นของจิรวรรณเท่านั้น ความรู้สึกโดดเดี่ยวตั้งแต่ก้าวแรก

ที่เหยียบเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้ทำให้หญิงสาวคิดถึงเมืองไทย ยังดีที่มี

‘หยูจิ้ง’ แม่บ้านเก่าแก่ของตระกูลที่คุยกับเธออย่างเป็นมิตร ทั้งยังดูแลเรื่อง

ต่างๆ รวมไปถึงการพาหญิงสาวไปยังห้องพัก

คฤหาสน์หลังนี้มีพื้นที่กว้างขวาง ห้องหับก็ราวๆ สิบห้องเห็นจะได้

และห้องที่หยูจิ้งจัดเอาไว้ให้จิรวรรณเป็นห้องที่อยู่ชั้นบนสุด คาดว่าน่าจะเป็น

ห้องที่ดีที่สุดในบ้าน เพราะได้ยินเสียงกระแนะกระแหนดังมาเข้าหูอยู่ไม่ขาดสาย

และเจ้าของเสียงก็คือ ‘ไป๋ฮุ่ยเหอ’ ที่มีศักดิ์เป็นน้าสาวของจิรวรรณ

“ห้องนี้คุณท่านเตรียมเอาไว้ให้คุณหนูนานแล้วค่ะ คุณท่านหวังเอาไว้

เสมอว่าคุณหนูจะย้ายมาอยู่ที่นี่” หยูจิ้งเอ่ยยิ้มๆ

“นี่เป็นบันทึกของคุณท่าน และนี่เป็นกุญแจห้อง กุญแจเซฟ รหัส

เปิดเซฟ อยู่ในนี้ค่ะ” หยูจิ้งยัดทุกอย่างใส่มือของจิรวรรณ

                “ทำไมจะต้องมีกุญแจห้องล่ะคะ”

“ห้องนี้มีข้าวของมากมายค่ะ คุณหนูเข้าไปเปิดดูก็จะรู้เอง” หยูจิ้ง

อยากจะพูดเต็มแก่ว่ามีข้าวของที่มีคนคอยจ้องตาเป็นมัน แต่นางก็ไม่ได้พูด

“ตามสบายนะคะ เวลาอาหารเย็นคือหกโมง พรุ่งนี้เช้าตอนเก้าโมง

คือเวลาฝังศพ ป้าจะเข้ามาเรียกตอนแปดโมง”

“ขอบคุณค่ะ” จิรวรรณเอ่ยขอบคุณยิ้มๆ เมื่อหยูจิ้งปิดประตู หญิงสาว

ก็มองไปรอบๆ ห้องที่โอ่อ่าอย่างเหนื่อยใจ ครอบครัวของบิดาร่ำรวยมาก

ทั้งยังเป็นตระกูลเก่าแก่ของที่นี่ ดังนั้นญาติๆ จึงไม่ยอมรับมารดาของ

หญิงสาวที่เป็นคนต่างชาติ

จิรวรรณเปิดบันทึกของบิดาออกอ่านผ่านๆ ตา หญิงสาวพบจดหมาย

ที่เขียนด้วยลายมือถูกพับสอดเอาไว้ภายใน ทั้งยังจ่าหน้าซองถึง ‘อวี้หลัน’

ซึ่งเป็นชื่อจีนของตน และเพียงแค่อ่านเห็นชื่อ ก็ทำให้หญิงสาวยิ้มออกมา

 

‘อวี้หลัน พ่อคิดถึงลูกเหลือเกิน พ่อยกทุกอย่างที่พ่อเพียรสร้างมาให้

ลูกสาวคนเดียวของพ่อ อย่าได้คิดยกมันให้คนอื่นหรือว่าปฏิเสธ มันควร

จะเป็นของลูก พ่อรักลูก และหวังว่าลูกจะมีชีวิตที่ดี

ไป๋ฮุ่ยหวง’

 

สั้นๆ ได้ใจความ คล้ายจะรู้ว่าจิรวรรณต้องจากไปโดยไม่ต้องการอะไร

มิน่า ตั้งแต่มาถึงไม่มีใครเป็นมิตรสักคน คงเพราะรู้ดีว่า ไม่ว่าจะอย่างไร

พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์นั่นเอง จิรวรรณนั่งอ่านสมุดบันทึกของบิดาอยู่ครู่ใหญ่

ทั้งยังพบว่าบันทึกนี้คล้ายกับว่าบิดาจดเอาไว้เพื่อให้ตนอ่านโดยเฉพาะ มัน

มีทั้งการใช้ชีวิตประจำวัน ส่วนต่างๆ ของบ้าน มุมโปรดของบิดา หนังสือ

เล่มโปรด หรือแม้กระทั่งจำนวนตัวเลขในบัญชีธนาคารที่บิดาของหญิงสาว

ฝากเอาไว้ให้ ซึ่งตัวเลขมันก็น่าตกใจเอามากๆ สำหรับหญิงสาว

หลังจากอาบน้ำเสร็จจิรวรรณก็เหลือบไปเห็นกุญแจเซฟ แต่ยังไม่ทัน

ได้เปิด หยูจิ้งก็มาเรียกลงไปข้างล่างเสียก่อน เพราะมีคนมารอพบอยู่ ซึ่ง

หยูจิ้งเตือนหญิงสาวว่าคนคนนี้คือ ‘ไป๋ฮุ่ยหมิง’ พี่ชายของบิดาของตน

จิรวรรณนั่งอึ้งไปนานเมื่อได้ยินว่าไป๋ฮุ่ยหมิงมาเพื่อขอย้ายเข้ามาอยู่

ในคฤหาสน์หลังนี้ ไม่ใช่เฉพาะตัวเขา แต่เป็นทั้งครอบครัว ช่าง...เอ่อ...จะว่า

อย่างไรดี ช่าง...หน้าด้านเสียนี่กระไร แต่เป็นหยูจิ้งที่เอ่ยออกมาด้วย

เสียงเย็นชาหนาวเหน็บเข้ากระดูกว่า ‘ไม่ได้!’ ทั้งสองโต้เถียงกันอย่างรุนแรง

กระทั่งจิรวรรณที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ เกิดรำคาญขึ้นมา

“ถ้าจะย้ายเข้ามาอยู่ถาวรเกรงว่าคงจะไม่ได้หรอกค่ะ แต่หากคุณลุงยัง

หาบ้านใหม่ไม่ได้ หนูก็จะให้ย้ายเข้ามาอยู่ชั่วคราว แต่ได้แค่สองเดือนนะคะ”

จิรวรรณยื่นคำขาด ในขณะที่หยูจิ้งไม่เห็นด้วย ตอนแรกจิรวรรณ

ไม่รู้ว่าทำไม แต่พอกลับเข้าห้องแล้วเปิดตู้เซฟ หญิงสาวก็ถึงบางอ้อทันที

ตู้เซฟขนาดใหญ่ถูกเติมเต็มเอาไว้ด้วยชุดเครื่องเพชรต่างๆ ทั้งเล็กและใหญ่

ไม่เท่านั้น ยังมีของมีค่าที่จัดแบ่งเอาไว้เป็นสัดส่วน เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ

เรียบร้อย จิรวรรณขมวดคิ้ว เพราะข้าวของมากมายขนาดนี้จะให้ตนเอาไป

ทำอะไร ใส่หรือ ใส่ไปไหนล่ะ ยังไม่ทันทำอะไรต่อ หยูจิ้งก็เข้ามาอีก

“คราวนี้ใครคะป้า” จิรวรรณเดินตามหยูจิ้งออกมา

“ล็อกห้องด้วยค่ะคุณหนู อย่าลืมนะคะ ไปไหนมาไหนทุกครั้งต้อง

ล็อกห้องเสมอ จนกว่าคนพวกนี้จะย้ายออกไปหมด”

“แหมป้าคะ” จิรวรรณเบ้หน้า

“เชื่อป้าเถอะค่ะ” หยูจิ้งเอ่ย

“ก็ได้ค่ะ” จิรวรรณหันกลับไปล็อกห้องโดยดี

ผู้ที่มาหาครั้งนี้คือทนายประจำตระกูลไป๋ เขาเข้ามาแจกแจงหุ้นของ

โรงแรมแห่งหนึ่งที่ไป๋ฮุ่ยหวงถือครองอยู่ แต่ครั้งนี้จิรวรรณสามารถโอนให้

ใครก็ได้ ทำให้ญาติๆ หลายคนที่ได้ฟังตาโตและพยายามที่จะพูดเอาใจ เพื่อ

ให้หญิงสาวยกให้

หลังจากเสร็จงานศพ จิรวรรณโทร. ไปปรึกษามารดาเรื่องมรดก

ที่ได้รับ มารดาหญิงสาวแนะนำให้แบ่งหุ้นต่างๆ ให้ญาติทุกคนเท่าๆ กัน แต่

มีข้อแม้ว่าพวกเขาจะต้องย้ายออกไปจากคฤหาสน์หลังนี้ เพราะอยู่ด้วยกันไป

ก็รังแต่จะทำให้อึดอัดเปล่าๆ ซึ่งฟังดูแล้วจิรวรรณก็อดที่จะเห็นด้วยไม่ได้

เมื่อยื่นข้อเสนอไปทุกคนก็ตอบตกลงแทบจะทันที ซึ่งนั่นทำให้จิรวรรณแทบ

จะถอนหายใจออกมาดังๆ

หากจะคิดอีกแง่ พวกเขาก็ยังช่วยดูแลงานศพของบิดาเป็นอย่างดี

เพราะหญิงสาวนั้นไม่รู้ว่าจะต้องจัดการอย่างไร อย่างน้อยพวกเขาก็ทำตัว

สมเป็นญาติกว่าตอนอื่นๆ ถึงจะทำตัวเหมือนฝูงแร้งมากกว่าก็เถอะ

 

ห้าวันหลังจากงานศพ จิรวรรณได้รับโทรศัพท์จากทนายของบิดา

ให้ไปเข้าร่วมงานประมูลที่ไป๋ฮุ่ยหวงเคยบริจาคเงินเอาไว้ สถานที่ก็คือ

พิพิธภัณฑ์โบราณที่ไป๋ฮุ่ยหวงสร้างขึ้นเพื่อการกุศล

หญิงสาวที่อยู่ในชุดสูทสีเขียวเข้มแบบโมเดิร์น กางเกงขาสั้น ก้าวเข้าไป

ในงานอย่างเก้ๆ กังๆ เพราะไม่รู้จักใครในงานเลยสักคน หญิงสาวไม่คุ้นเคย

กับอะไรอย่างนี้เลยจริงๆ งานประมูลเริ่มขึ้นช้าๆ ส่วนใหญ่สินค้าที่นำมาประมูล

ก็จะเป็นจำพวกเครื่องเพชร ซึ่งจิรวรรณไม่ได้สนใจเท่าไรนัก จึงได้ตัดสินใจ

เข้าไปเดินดูรอบๆ พิพิธภัณฑ์แทน

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ดังนั้นข้าวของที่นำมา

จัดโชว์ส่วนใหญ่จะเป็นของที่มีกลิ่นอายความเป็นจีนแท้ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด

เสื้อผ้า โต๊ะ เก้าอี้ หรือแม้แต่เครื่องประดับ

เดินมาได้สักพักหญิงสาวก็ต้องขมวดคิ้ว เมื่อสายตาปะทะเข้ากับกล่อง

สีแดงใบหนึ่ง มันวางอยู่บนพื้นโดยมีสีเดียวกันกับผนัง ดังนั้นหากมองดูเผินๆ

ก็จะมองไม่เห็น จิรวรรณมองไปรอบๆ เพื่อหาเจ้าหน้าที่สักคน แต่รอบกาย

ก็เงียบสนิทเพราะคนส่วนใหญ่ต่างก็อยู่ในงานกันทั้งนั้น

หญิงสาวเดินเข้าไปหยิบขึ้นมาดู รูปร่างของกล่องมองดูแล้วเหมือนจะ

เป็นกล่องสำหรับใส่เครื่องประดับ คิดได้ดังนั้นจิรวรรณจึงลองเปิดดู แม้จะ

ไม่ได้ชำนาญเรื่องนี้ แต่เมื่อมองเห็นกำไลหยกสีเขียวสองวงที่วางอยู่ในกล่อง

หญิงสาวก็รู้ทันทีว่ามันคือกำไลหยกเนื้อดี วงหนึ่งยังมีสภาพสมบูรณ์ ส่วน

อีกวงหักไปแล้ว เมื่อก้มลงดู จิรวรรณจึงเห็นว่ากำไลหยกทั้งสองถูกสลัก

เอาไว้ด้วยกลอนบทหนึ่ง เมื่อยกวงที่สมบูรณ์ขึ้นมาอ่าน มันสลักเอาไว้ว่า

“บาง...บางสิ่ง ที่เกิดมา...มา คะ...คู่กัน แม้นจะอยู่...ห่างไกล” เพราะ

ภาษาที่ดูแตกต่างและดูโบราณกว่าจากที่ตนได้เรียน จิรวรรณจึงอ่านออกมา

อย่างตะกุกตะกัก พอได้อ่านกลอนบนกำไลวงแรก ความที่อยากรู้ว่าอีกวง

สลักเอาไว้ว่าอย่างไรก็บังเกิด ไวเท่าความคิด หญิงสาวหยิบหยกที่หักมาต่อกัน

แล้วอ่านบทกลอนอีกส่วน

“โชค...โชคชะตา ทั้งสองจะนำทาง...ให้พานพบ”

เมื่ออ่านจบแสงสีเขียวก็สว่างจ้าขึ้นจากกำไลทั้งสองวง ก่อนที่จะเข้า

ครอบคลุมร่างทั้งร่างของหญิงสาว เมื่อแสงนั้นจางลง ร่างบางก็หายวับไป

อย่างไร้ร่องรอย

 

กระบี่อ่อนวาดเป็นวงฉวัดเฉวียนไปมาอย่างคล่องแคล่ว มองดูแล้ว

คล้ายกำลังร่ายรำ ทว่ามันจะน่าสุนทรีย์กว่านี้หากมิใช่ว่ากระบี่เล่มนั้นกำลัง

ดื่มเลือด มองไปด้านซ้ายขวา ชิ้นส่วนของผู้คนที่ล้มลงคนแล้วคนเล่า เลือดที่

อาบนองไปทั่วส่งกลิ่นคาวตลบอบอวล ทว่ากระนั้นก็ยังไม่สาแก่ใจ เพราะมัน

มิอาจจะคลายความแค้นที่พวกมันบังอาจวางยาสังหารบิดาบุญธรรมของเขา

“ท่านพ่อ!” เสวียนหมิงสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก นานแล้วที่เขาไม่เคย

ฝันถึงเหตุการณ์ในวันที่เขากลับเข้ามาในวังเมฆาอัคคี

เขาคือจ้าววังเมฆาอัคคี ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้นำสูงสุดของพรรคมารที่

ชาวยุทธ์ทั้งหลายต่างก็ครั่นคร้าม ข่าวความโหดเหี้ยมเลือดเย็นของเขาแพร่

สะพัดในคืนที่เขายึดครองวังเมฆาอัคคีด้วยอายุเพียงยี่สิบสาม ในตอนนั้นเขา

กลับเข่นฆ่าคนในพรรคอย่างไม่ปรานี แล้วเข้าครอบครองตำแหน่งท่านจ้าววัง

อย่างไม่สนใจคำครหาใดๆ จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาถึงห้าปีครึ่งแล้ว แต่เขาไม่

อาจลืมเหตุการณ์เหล่านั้นลงไปได้เลย

ว่ากันว่าที่เขาทำเช่นนี้เป็นเพราะต้องการแก้แค้นให้อดีตจ้าววังอย่าง

หลี่เฟิงเสวียน ผู้ซึ่งเป็นบิดาบุญธรรม เนื่องมาจากในตอนที่เขารับตำแหน่ง

ผู้คุมกฎและออกไปปฏิบัติภารกิจของพรรคอยู่นั้น หลี่เฟิงเสวียนถูกวางยา

และถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมโดยคนในพรรคที่เขาไว้ใจ ภายในคืนเดียวหลังจาก

ที่เสวียนหมิงกลับเข้าพรรค เขาฆ่าคนในพรรคให้ตายตกตามกันไปถึงร้อย

กว่าคน และจับผู้บงการที่สั่งฆ่าบิดาบุญธรรมของตนมา ซึ่งก็คือผู้คุมกฎอีกคน

ของพรรคนั่นเอง

เสวียนหมิงจับเขากรอกยาพิษชนิดเดียวกับที่เขาใช้กับหลี่เฟิงเสวียน

ด้วยตัวเอง แล้วนั่งมองคนผู้นั้นตายลงช้าๆ ด้วยดวงตาว่างเปล่า

หลี่เฟิงเสวียนเป็นบิดาบุญธรรมที่เสวียนหมิงให้ความรักและความ

เคารพเป็นอย่างมาก เพราะในตอนที่เขายังเด็ก เขาและลั่วอิงยี่ มารดาของเขา

ที่ตั้งครรภ์น้องของเขาอยู่ ได้รับการช่วยเหลือจากหลี่เฟิงเสวียน บิดาที่แท้จริง

ของเขาคือจางหย่วนจิน ซึ่งเป็นหมอสมุนไพรที่เก่งที่สุดในเมืองหลวง แต่

เพราะเรื่องราวการแก่งแย่งชิงดีในอดีตของราชสำนัก ทำให้จางหย่วนจินถูกฆ่า

ซึ่งเสวียนหมิงและลั่วอิงยี่ก็ได้หลี่เฟิงเสวียนกับเหยียนหว่านเอ๋อเป็นคน

ช่วยเหลือออกมาจากการคุมขัง

เหยียนหว่านเอ๋อมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา ไม่มีถ้อยคำใดสามารถอธิบาย

ตัวตนของนางได้ เพราะนางปรากฏตัวขึ้นในตอนที่จางหย่วนจินยังไม่แต่งงาน

กับลั่วอิงยี่ อีกทั้งนางยังเป็นอาจารย์ของจางหย่วนจิน ทว่านางหายตัวไปอย่าง

ไร้ร่องรอยหลังจากอยู่กับทั้งสองได้ไม่กี่ปี จากนั้นหลายปีนางก็ปรากฏกาย

ขึ้นอีก โดยที่รูปลักษณ์ของนางไม่ได้เปลี่ยนไปสักนิด แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนาน

หลายปี นางจำกัดการไปมาของตัวเองว่า ‘นักเดินทางข้ามเวลา’ ในตอนที่

เหยียนหว่านเอ๋อพาหลี่เฟิงเสวียนเข้าไปช่วยทั้งสองออกมา แม้เสวียนหมิง

จะสูญเสียน้องที่ยังไม่ได้ลืมตามาดูโลก ทว่าสองแม่ลูกก็รอดมาได้

เพื่อหลบหนีจากศัตรู หลี่เฟิงเสวียนให้เสวียนหมิงใช้แซ่อิ่น ทั้งยังมอบ

 

(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024