รวมเรื่องสั้น นิทานกลางแสงจันทร์ (ประชาคม) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 135.00 บาท

เนื้อหาบางส่วน

นิทานกลางแสงจันทร์

 

ทันทีที่ความมืดมาเยือน   จันทร์ข้างแรมสองค่ำลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า   กะพริบแสงทักทายหมู่ดาวและกลุ่มเมฆ ดวงจันทร์พราวใสกระจ่าง  ทว่าไม่ได้ผ่องนวลไปทั้งหมด  บางส่วนแต้มด้วยม่านหม่นเลือนจาง  คล้ายเงาของสิ่งมีชีวิต

            นิทานเกี่ยวกับดวงจันทร์ถูกคนแก่คนเฒ่าเล่าขานให้ลูกหลานรับฟังรุ่นแล้วรุ่นเล่า  จินตนาการของเด็กๆสานต่อเรื่องราว  พวกเขาวาดสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวอยู่บนนั้น  รวมทั้งทุ่งราบ  แม่น้ำ  ป่าเขา  ลำธารและมหาสมุทร

            ดวงจันทร์และดวงดาวมีความเป็นมาอย่างไร  ตำนานเล่าขานในแต่ละมุมโลกแตกต่างกันออกไป  มนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์ล้วนมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเอง  พวกเขามีอิสระจะจินตนาการเสริมต่อจากสิ่งที่มองเห็นด้วยตาเปล่า

            จันทราหนึ่งดวง  เมฆหลายกลุ่มก้อน  ดาวอีกนับล้าน  ทั้งที่มองเห็นและซ่อนตัวอยู่ในความมืด  บางส่วนของจักรวาลดูเหมือนยังคงลี้ลับสำหรับมนุษย์

            สิ่งใหญ่โตนับจำนวนได้ง่าย  ต่างกับสิ่งเล็กๆ ที่ยากจะนับ  ทว่ามนุษย์ปราดเปรื่องเกินกว่าจะยอมจำนน  พวกเขามีกลวิธีมากมายที่จะเอาชนะ  พวกเขานับฝนเป็นห่า  สรรหาจำนวนมานับสิ่งที่ไม่อาจนับได้  ไม่ว่าละอองฝุ่น  ระยะทางใกล้ไกล  หรือแม้แต่หยดน้ำในมหาสมุทร

            แล้วตัวเลขมากมาจากไหน  คำถามเล็กๆ ของเด็กขี้สงสัยทำเอาญาติผู้ใหญ่ถึงกับนิ่งอึ้ง  ตัวเลขมีมานานแล้ว  นานเสียจนทุกคนคุ้นเคยและไม่สนใจถามถึงที่มา  เพราะตัวเลขไม่ได้ถูกนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ไม่ได้สร้างตัวมันเองขึ้นมา  ไม่ได้ก่อกำเนิดจากเลือดเนื้อ  และไม่มีจิตวิญญาณ

            มันน่าจะมีตำนาน  เด็กช่างสงสัยไม่ยอมโดยง่าย  ย่าและยายที่นั่งอยู่เคียงข้างเผลอยกมือกุมขมับ  นิทานมหัศจรรย์นับร้อยเรื่องที่จำได้ฝังใจ  ไม่เคยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตัวเลข  ส่ายหน้าและให้เหตุผลครั้งแล้วครั้งเล่า  เด็กตัวน้อยๆ ยังแข็งขืนซักถามไม่หยุดปาก

            ในความมืดยามค่ำคืน  ย่าและยายเริ่มถกกับตัวเอง  แล้วเกิดสงสัยขึ้นมาทำนองว่าตำนานเกี่ยวกับตัวเลขอาจมีอยู่จริง  เพียงแต่พวกแกไม่เคยได้รับการเล่าขานสืบทอดจากคนรุ่นก่อน

            ความดีงามและวีรกรรมต่างๆ ถูกเล่าขานเป็นตำนาน  ความรัก   ความสุข  และโศกนาฏกรรมที่เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตมนุษย์ล้วนมีเรื่องเล่า  ในเมื่อโลกเต็มไปด้วยนิทาน  ตำนาน  และประวัติศาสตร์  แล้วทำไมตัวเลขซึ่งใกล้ชิดกับวิถีชีวิตมนุษย์มากที่สุดจึงถูกลืมเลือนไป

            บนโลกอันกว้างใหญ่  ย่อมมีที่ไหนสักแห่งที่ซึ่งย่าและหลานสักคู่หนึ่งถวิลถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่เคยเกิดขึ้นนานมาแล้ว

กลางแสงจันทร์สาดส่อง  ย่าชราหันหน้ามาสบสายตาของหลานชายตัวน้อย  โอบกอดร่างเล็กๆ ไว้ในวงแขนข้างซ้าย  แล้วชี้ชวนให้แหงนมองท้องฟ้า ว าดนิ้วชี้ไปยังดาวลูกไก่

มีกี่ดวงลูกเอ๋ย ย่ากระซิบถาม  หลานชายตัวน้อยนับดาวลูกไก่ในใจ  แล้วหันไปทางญาติผู้ใหญ่

ถูกต้องแล้วลูก  ย่ายิ้มน้อยๆ แล้วบอกว่า  มันมีที่มา  มีเรื่องเล่าหรือตำนานของมันเช่นเดียวกับแม่น้ำ  ลำธาร ภูเขา รูปปั้น ปราสาท วิหาร ศาลศักดิ์สิทธิ์  และความเป็นมาอันยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์

 

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...” หญิงชราเกริ่นนำเหมือนทุกครั้งที่เริ่มต้นเล่านิทาน “มีนครกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ผู้คนจากหลายถิ่นต่างเดินทางมาที่นี่  บางกลุ่มมากับกองเกวียนยาวเหยียด  บางกลุ่มเดินเท้ามาจากถิ่นไกล  บางกลุ่มมากับเรือสำเภาหนักเพียบน้ำ”

            เด็กน้อยนั่งฟัง เอียงคอถาม  “เรือสำเภาบรรทุกอะไรมาหรือย่า”

            “บรรทุกตัวเลข” หญิงชรากระซิบตอบ

            “ต้องไม่ใช่เลขหนึ่งแน่เลย” เด็กน้อยคาดเดาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

            หญิงชรายิ้ม “ถูกต้องแล้ว  เลขหนึ่งไม่ได้กำเนิดขึ้นจากน้ำ  มันจึงไม่ได้มากับเรือสำเภา”

            “ย่าเอาเลขหนึ่งก่อน” เด็กน้อยไม่อยากให้ย่าข้ามไปเล่าถึงเลขตัวอื่น

            หญิงชราเล่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน  กังวานเสียงของนางคล้ายสายลมที่แทรกลึกไปในความมืดและแสงจันทร์

            “เลขหนึ่งและสองเกิดจากท้องทุ่งแห้งแล้ง  มันถูกเกวียนบรรทุกเข้าเมืองเพียงปีละไม่กี่ครั้งโดยกลุ่มคนหน้าซื่อ  ผิวกร้านแดด  สำเนียงพูดชวนขบขัน  มีเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมาว่า บรรพบุรุษของพวกเขาพากองเกวียนรอนแรมไปในท้องทุ่งแล้งแห้งวันแล้ววันเล่า  เท้าเปลือยเปล่าย่ำไปบนผืนดินที่เต็มไปด้วยรอยแตกระแหง ค่ำวันหนึ่งกองเกวียนหยุดลง  พวกเขาช่วยกันสร้างที่พักขึ้นง่ายๆ  เมื่อล่วงถึงค่ำคืน  ชายคาแห่งชีวิตของพวกเขาสงบงันอยู่ใต้แสงดาว  คนหนุ่มสาวเอนร่างลงนอน  คนเฒ่าคนแก่ยังไม่อาจข่มตาหลับ  กลิ่นหอมของดินที่ถูกแผดเผาโชยมากับสายลมแล้ง  คล้ายเถ้าถ่านแห่งความตายกำลังห่มคลุมไปทั่วเวิ้งทุ่ง  แววตาชราเหล่านั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวลกับหนทางข้างหน้า

            “กลางดึกลมสงบ กลิ่นความแห้งแล้งหายไป  เดือนเสี้ยวลอยไปติดซีกฟ้าทางด้านทิศตะวันตก  ดาวเคยสุกใสเริ่มหม่นเศร้า  ราวกับหมู่ดาวเหล่านั้นมองลงมาเห็นกองเกวียนแห่งชีวิต  แล้วรู้สึกรันทดใจจนไม่อาจกลั้นน้ำตา

            “ในขณะนั้นเอง  พลันกลิ่นหอมของแผ่นดินไหม้เกรียมก็โชยตลบคลุ้งมาพร้อมละอองฝน  เสียงฟ้าร้องปลุกนักเผชิญโชคตื่นขึ้นมาพวกเขาเบิกตามองออกไปยังม่านเม็ดขาวโพลนในความมืด  คนแก่คนเฒ่าคุกเข่าแหงนหน้ามองฟ้า  ปล่อยให้สายน้ำหลั่งชโลมร่าง  เด็กๆ วิ่งออกไปกลางสายฝน  ต่างกระโดดโลดเต้นและโห่ร้อง  หนุ่มสาวยิ้มร่าเริง

            “ไม่นานหลังจากนั้นผืนดินกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาก็สดเขียวไปด้วยพืชพันธุ์  งอกงามขึ้นเป็นตัวเลขให้เก็บเกี่ยว”

            เด็กน้อยเคลิ้มไปกับนิทาน  เงยหน้าขึ้นเมื่อย่าหยุดเล่า  “เลขหนึ่งและเลขสองมันต่างกันยังไงหรือย่า”

            “เลขหนึ่งและเลขสองเป็นเม็ดเล็กๆ สีขาวนวลเหมือนน้ำนม” หญิงชราตอบ “ต่างกันเพียงเลขสองมีกลิ่นหอม  ค่าของมันอาจดูไม่สูง  แต่มีความหมายยิ่งใหญ่ต่อชีวิตผู้คน  มันงอกงามขึ้นบนท้องทุ่งด้วยสายฝน  และหยาดเหงื่อแรงงานของผู้คนที่นั่น”

 

หญิงชราเล่าถึงเลขสามและสี่  “มันมากับกองเกวียนจากอีกภูมิภาคหนึ่ง กลุ่มคนผู้เป็นเจ้าของผิวเหลืองงดงามดั่งฉาบทาด้วยขมิ้น  ใบหน้ายิ้มแย้มประหนึ่งไม่เคยมีความทุกข์แผ้วพานชีวิต  เลขสามและเลขสี่ของพวกเขามาจากไหน  มีเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมาว่า   กาลครั้งนั้นบนพื้นราบระหว่างหุบเขามีหมู่บ้านเล็กๆ สงบงามเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่า  ยามค่ำคืนผู้คนได้ยินเสียงลำธารไหลเซาะแก่งหิน  เสียงเสนาะที่ได้ยินฟังคล้ายบทเพลงขับกล่อมให้คนในหมู่บ้านหลับอย่างเป็นสุข

            “ต้นฤดูร้อนปีนั้น  หญิงชราคนหนึ่งหายไปจากหมู่บ้าน  ลูกหลานบุกป่าฝ่าดงตามหาวันแล้ววันเล่าไม่พบแม้แต่รอยเท้า  ทุกคนต่างคิดว่านางเสียชีวิตไปแล้ว ป่าลึกเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิด ไม่มีทางที่หญิงชราคนเดียวจะเอาชีวิตรอดกลับมาได้เวลาผ่านเลยไป  คนในหมู่บ้านแทบลืมนางไปสิ้น  ลูกๆ ของนางได้แต่ฟังเสียงคร่ำครวญของผืนป่า  บางคนถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้นเมื่อคิดว่า เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นแม่ของตนนั่งร่ำไห้ด้วยความทุกข์ทรมาน

            “แล้ววันหนึ่งนางก็กลับมา  ไม่มีรอยแผลหรืออาการทุกข์เศร้าใดๆ หญิงชราเดินเหินกระฉับกระเฉงขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ  สีหน้าผ่องใส  ท่าทีอ่อนโยน  แววตาอบอุ่น  น้ำเสียงเป็นกังวานไพเราะ  นางเปลี่ยนไปจากเดิม ราวกับว่านางได้รับพรพิเศษจากป่า  ผู้คนในหมู่บ้านแตกตื่นเข้ามุงล้อมหญิงชราผู้หวนกลับ  นางยิ้มให้กับลูกๆ หลานๆ ที่มาถามข่าวคราว  นานแรมปีที่นางใช้ชีวิตในป่าตามลำพัง  นั่นคล้ายกับว่าสวรรค์จงใจให้นางได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่าง

            “นางได้พบสิ่งมหัศจรรย์จากกลางหุบเขาที่ยังไม่มีชื่อเรียกขาน  สายใยแห่งธรรมชาติผ่านการถักทอด้วยความเพียรพยายามกลายเป็นตัวเลขผืนบาง  นี่คือสิ่งล้ำค่าที่นางมอบเป็นมรดกสู่ลูกหลาน”

            เมื่อเสียงย่าเงียบหาย  เด็กน้อยเงยหน้าถาม “ตัวเลขผืนบางคือเลขสามหรือครับ”

            “ถูกต้อง  แต่เลขสี่ก็เป็นผืนบางพอกัน  มันจะเป็นเลขสี่ต่อเมื่อพวกเขานำไปย้อมสี  ค่าของมันเพิ่มขึ้นตามความงดงาม”

            หญิงชรายิ้ม  เสียงของนางกังวานแทรกแสงจันทร์  “ตัวเลขแต่ละถิ่นเหมือนสวรรค์บรรจงเสกสร้างให้มาอยู่คู่กับวิถีชีวิตพวกเขา  เช่นเดียวกับเครื่องดนตรีของชาวถิ่นนี้  มันเป็นเครื่องสายกังวานเสียงอ่อนช้อย  ผู้ที่ได้ฟังล้วนนึกถึงภาพม่านแพรพลิ้วไหว   แผ่วคลอไปกับน้ำเสียงประจำถิ่นที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์”

           

“เลขห้ามาจากไหน ตัวเลขแสนสมถะนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร” ผู้เป็นย่าเกริ่นนำ

            หลานน้อยถาม  “ทำไมมันจึงเป็นตัวเลขสมถะ”

            หญิงชรายิ้มซ่อนนัย  “มันมาจากที่ราบลุ่ม ผู้คนท้องถิ่นนี้ผิวคล้ำ รูปร่างสูงใหญ่ ชอบร้องรำทำเพลงเป็นชีวิตจิตใจ  พวกเขามีฤดูกาลทำงาน  เทศกาลสนุกสนาน  มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่ผูกพันอยู่กับสายน้ำ กว่าครึ่งค่อนปีพวกเข้าทำงานหนัก  หลังหน้าเก็บเกี่ยวผ่านไป  พวกเขาหลั่งไหลกันมาทำพิธีบวงสรวงแม่น้ำ  ร่วมร้องรำทำเพลงไปกับขบวนแห่อันน่าตื่นตา  ตัวเลขของพวกเขาสดเขียวด้วยชีวิตและแฝงเลือดเนื้อเอาไว้ข้างใน ตลอดฤดูแห่งการทำงาน  พวกเขาฟูมฟักมันด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี  สีเขียวของตัวเลขประกอบด้วยสายน้ำจากภูเขาอันแสนไกล  ความอุดมแห่งผืนดิน และเรี่ยวแรงแห่งความอุตสาหะ  แม้เป็นตัวเลขค่าปานกลางแต่เป็นความพึงพอใจของผู้คนแถบถิ่นนี้  เมื่อนำไปแลกเปลี่ยนกับชาวถิ่นทุรกันดารและกลุ่มคนจากภูเขา  พวกเขาได้เปรียบเล็กน้อย  และหากแลกเปลี่ยนกับคนอีกหลายกลุ่ม  พวกเขาก็เสียเปรียบไปบ้าง

            “พวกเขาอยู่ระหว่างกึ่งกลาง  รับรู้น้ำหนักของการได้เปรียบเสียเปรียบ  มองเห็นความสมดุลของโลกที่สายตาของคนบางภูมิภาคไม่อาจเข้าถึง  โลกทั้งสองด้านในสำนึกจึงเต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ  นิ่งและสงบ  ไม่แปลกที่พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่สนุกสนาน มีบทเพลงประจำถิ่น  ยึดติดกับภูมิลำเนา  พวกเขารู้จักรัก  และรู้จักที่จะมอบมันออกไป”

            เด็กน้อยยิ้มเบิกบาน “หนูชอบเลขห้า และรักคนถิ่นนี้”

            หญิงชรายิ้ม “พวกเขาบรรทุกตัวเลขเข้าเมืองปีละหลายเที่ยว  บางครั้งได้ตัวเลขอื่นกลับถิ่นเกิดเพียงเล็กน้อย  แต่หลายครั้งสัมภาระของพวกเขาหนักอึ้ง  ยามอยู่ร่วมกับคนถิ่นอื่น   พวกเขาผลัดกันขึ้นร้องเพลง  และเมื่อยามนั่งฟังเรื่องเล่าจากคนต่างถิ่น  พวกเขาก็ตั้งใจรับฟังด้วยความเคารพ”

 

“เลขหกมาจากดินแดนแสนไกล  เป็นตัวเลขเดียวหาไม่ได้บนพื้นดิน”  ผู้เป็นย่าจงใจเร้าความรู้สึกของหลานซึ่งก็ส่งผลให้เด็กน้อยตื่นตัวรับฟัง

            “มันมากับเรือสำเภา” เด็กน้อยเดาและก็ถูกต้องอีก

            ผู้เป็นย่าเล่าเสียงเนิบช้า “กลุ่มคนที่มากับเรือสำเภาผิวคล้ำ  หน้าคม ตาดุ พูดเสียงดัง พวกเขามาจากท้องถิ่นที่ชุ่มฉ่ำด้วยหยาดฝน  รายรอบฝั่งระงมด้วยเสียงคลื่น  และบางครั้งพายุร้ายก็พัดผ่านมา  พวกเขาก็เหมือนคนถิ่นอื่นๆ มีเรื่องราวความเป็นมาที่แฝงไว้ทั้งสุขและเศร้า...

            “ในรุ่งเช้าที่ลมสงบ ชายชราพาลูกบ้านแปดเก้าคนล่องเรือไปในท้องทะเล ผ่านวันคืนที่ดูเหมือนจะอับโชค พวกเขาไม่พบอะไรเลยนอกจากห้วงน้ำอันไร้ที่สิ้นสุด ลมแรงและคลื่นสูงพาเรือแล่นลึกไปทุกขณะ ห่างไกลฝั่งที่จากมามากจนพวกเขากลัวหลงทาง เรือแล่นไต่ยอดคลื่นคืบหน้ามาหลายคืน จิตใจที่เคยแข็งแกร่งของพวกเขาเริ่มหวั่นไหว ร่างกายอ่อนล้า เสบียงที่สะสมมาจากฝั่งลดน้อย

            “จนกระทั่งทะเลเงียบสงบ ท้องฟ้าเปิดโล่ง มันเป็นคืนเดือนมืดใบเรือสีขาวยังกางอยู่ ครั้นแล้วมีบางสิ่งบางอย่างกระจายอยู่เลียบผิวน้ำ ประกายเกล็ดสีเงินสะท้อนรับแสงดาว ชายฉกรรจ์ในเรือรีบหมุนใบรับลม เรือแล่นเอื่อยช้าเข้าสู่ใจกลางฝูงเกล็ดสีเงินนั้น

            “พวกเขาใช้สวิงช้อนตักเกล็ดสีเงินขึ้นเรือ พวกเขายิ้ม หัวใจพองโต ความเชื่อมั่นต่างๆหวนกลับมา โชคยังอยู่เคียงข้างพวกเขา

            เที่ยวเรือนั้นเป็นการคืนฝั่งครั้งยิ่งใหญ่ของพวกเขา ตัวเลขมีอยู่ทุกหนทุกแห่งในท้องทะเลซึ่งล้อมรอบถิ่นกำเนิดของพวกเขา เพียงนำเรือออกไป ใช้เครื่องมือที่คิดค้นขึ้นใหม่ช้อนขึ้นเรือ เมื่อรู้ว่ามันมีจำนวนมากในทะเลลึกที่ไกลออกไป พวกเขาต่อเรือขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นอีกหลายลำ รอนแรมในท้องทะเลยาวนานขึ้น ส่งผลให้พวกเขาบรรทุกตัวเลขเข้าเมืองปีละหลายครั้ง

            “เลขหกทำให้พวกเขาหยิ่งทะนง  เชื่อมั่นในตัวเองสูง พูดเสียงดัง กล้าหาญชาญชัย  พร้อมจะขัดแย้งแตกหักกับคนทุกกลุ่ม  พวกเขาผ่านย่านน้ำที่เต็มไปด้วยเภทภัย  ในชีวิตพวกเขาไม่มีอะไรต้องหวั่นเกรง

            หญิงชราทิ้งท้ายตำนานเลขหก  “พวกเขามักเข้าเมืองด้วยเรือที่เพียบแปล้ แ ละแล่นกลับด้วยเรือที่หนักอึ้งไม่แพ้กัน”

 

เด็กน้อยเอียงคอถาม “เลขหกไม่ใช่ตัวเลขที่สูงสุดนี่ย่า”

            “ถูกต้อง” หญิงชราผงกหัว “นานมาแล้วที่โลกเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ  มูลค่าของตัวเลขนี่เองทำให้มนุษย์มีช่องว่างต่อกันและกัน  และค่าของตัวเลขจากถิ่นต่างๆ ไม่ได้คงที่อยู่แค่นั้น  ยิ่งหาได้มาก  ยิ่งบรรทุกเข้าเมืองมากเที่ยว  ความต้องการก็ยิ่งลดน้อยลง”

            เด็กน้อยพูด “เลขหนึ่งยังคงต่ำต้อยอีกต่อไป  แต่เลขหกไม่ได้สูงค่าที่สุด”

            หญิงชราผงกหัวยิ้มๆ ก่อนเล่าถึงตัวเลขต่อมา

            “ในชุมชนที่เคยเงียบสงบเกิดวุ่นวายขึ้นมาในยามใกล้ค่ำ  หญิงสาวผู้หนึ่งถูกไล่ออกจากหมู่บ้าน  มีคนกล่าวหาว่าในตัวหล่อนถูกผีร้ายเข้าสิง   และมักเข้าสิงลูกหลานครอบครัวอื่นในคืนพระจันทร์เต็มดวง  หล่อนถูกเพื่อนบ้านรุมทำร้าย  พาบาดแผลทั่วร่างกระเซอะกระเซิงย่ำเท้าไปอย่างไร้จุดหมาย  หล่อนบอกตัวเองว่าจะต้องหนีไปให้ไกลที่สุดและจะไม่ยอมหวนคืนถิ่นเกิดอีกเลยตลอดชาตินี้  หล่อนเดินทางมาไกล  ลืมแม้กระทั่งนับวันคืน ในที่สุดหล่อนก็ล้มลง  เผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน  ตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลางความมืด  หล่อนลุกขึ้นมานั่งชันเข่า  ลมหนาวโหมพัดมาพร้อมหยาดน้ำค้างดึก  หล่อนเจ็บระบมไปทั้งร่าง ป่ายมือลูบดูรอยแผลตามฝ่าเท้า เลือดแห้งกรังไปแล้ว  เมื่อลุกขึ้นยืนหล่อนก็รู้ว่าไม่อาจเดินต่อไปได้อีก

            “โลกดูมืดมนไปหมด  หลังจากนอนเกลือกกลิ้งไปสามสี่ตลบ  หล่อนคว้าได้ไม้ปลายแหลมท่อนหนึ่ง ลุกขึ้นรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ตั้งหน้าตั้งตาขุดดินอย่างเอาเป็นเอาตาย  ตั้งใจจะให้เป็นหลุมฝังศพตัวเอง  ขุดลึกลงไปเกือบช่วงแขนหล่อนหมดแรงทรุดฮวบ  เศษของแข็งติดอยู่ตามซอกนิ้วเท้า  หล่อนหยิบติดมือขึ้นมา  นิ่งมองด้วยความประหลาดใจ  หายตกตะลึงแล้วหล่อนชายตามองไปรอบๆ หลุม  ลุกขึ้นหยิบไม้ปลายแหลม  เมื่อทิ่มลงไปก็พบว่าพื้นดินเบื้องล่างแข็งเหมือนแผ่นหิน  ครั้นก้มลงใช้มือกอบดินที่กลบอยู่ออก  ประกายทั้งหมดทั้งมวลของตัวเลขมหัศจรรย์ก็ส่องประกายล้อแสงจันทร์เสี้ยว

            “หล่อนนั่งเฝ้าหลุมอยู่จนถึงรุ่งเช้า  ถามตัวเองว่าจะไปไหนดี  ตัวเลขที่หล่อนพบแวววาวปานนั้น  มันควรเป็นสิ่งล้ำค่าที่ช่วยให้หล่อนเริ่มต้นชีวิตใหม่  แต่จะมีที่ไหนเหมาะใจเท่าบ้านเกิด  ถูกหยามเกียรติและทำลายศักดิ์ศรีที่ไหน  หล่อนก็ควรหวนกลับไปเรียกคืนจากที่นั่น

            “แล้วหญิงสาวผู้นั้นก็กลับคืนถิ่นเกิด  ผีร้ายออกจากตัวหล่อนไปอย่างหมดจดแล้ว  ตัวเลขแวววาวที่หล่อนนำกลับมาล้ำค่าเกินกว่าใครจะติดใจสงสัยอะไรอีก  ผู้คนต้อนรับหล่อนราวกับว่า ม่เคยมีการรุมทำร้ายและขับไล่ไสส่ง”

            “มันคือเลขเจ็ด” เด็กน้อยพูดพลางนึกถึงความแวววาวของมัน

            หญิงชราพยักหน้า “เลขเจ็ดสร้างความร่ำรวยให้ผู้คนแถบถิ่นนี้  และดึงผู้คนจากหลายถิ่นหลั่งไหลกันมาเผชิญโชค”

            “ตัวเลขสีขาว” เด็กน้อยพูดเบาๆ

            “ลูกรู้เอาไว้” หญิงชราโน้มหน้าลงมาใกล้ๆ หลาน “สีขาวแห่งตัวเลขไม่ได้สร้างสีขาวให้กับสิ่งอื่นเสมอไป  ตัวเลขสีขาวพราวประกาย เป็นที่ปรารถนาของผู้คนทุกถิ่น  มันขาวเรืองแสงเฉพาะภายนอก  ลึกลงไปมันแฝงไว้ด้วยอำนาจและมนตร์ประหลาด  สร้างแรงบันดาลใจได้ทั้งด้านดีและร้าย  ผู้คนจำนวนไม่น้อยลุ่มหลงจนเป็นทาส  ทำทุกวิถีทางเพื่อเสาะแสวงหามาครอบครองด้วยความโลภ  บางครั้งต้องฆ่าฟันผู้อื่นเพื่อแย่งชิงมัน  สีขาวจึงเปรียบได้ทั้งเลือดและน้ำตา”

            “นี่เป็นเพียงแค่เลขเจ็ด” เด็กน้อยว่า

            “ใช่แล้วลูก  ตัวเลขยิ่งสูงค่า  อำนาจและผลสะท้อนของมันยิ่งโหดร้าย”

            “แล้วเลขแปดล่ะย่า”

            “มันไม่ได้มาจากผิวดินและผืนน้ำ”

            “มันมาจากไหน”

            “มากจากใต้ผืนดิน”

 

“กาลครั้งนั้น ผู้คนบางท้องถิ่นพบว่า ใต้พื้นดินอันลี้ลับมีตัวเลขมากมาย  ขอเพียงมีความสามารถขุดเจาะเสาะหา ยิ่งขุดลึกลงไปมากเท่าใด โอกาสที่จะพบเลขล้ำค่ายิ่งมากเท่านั้น คนกลุ่มแรกที่พบตัวเลขนี้เป็นนักแสวงโชคจากถิ่นอันไกลโพ้น  พวกเขาเจาะลึกลงไปใต้ผืนดินระหว่างหุบเขา  ผ่านวันคืนอันแสนเหน็ดเหนื่อยน่าท้อแท้  แล้วในวันหนึ่งพวกเขาก็พบตัวเลขเกล็ดแข็งสีเหลืองอร่าม  ประกายของมันงามลึกล้ำราวแสงตะวันยามพลบ”

            “เลขแปด”

            “ใช่ มีคนขนานนามมันว่า ตัวเลขแห่งศรัทธา  มันเหลืองอร่ามเจิดจ้า  ประกายของมันเปรียบดั่งลำแสงศรัทธาในหัวใจของมวลมนุษย์   ทว่า...ความเจิดจ้ามักแหลมคม  มันทิ่มแทงนัยน์ตาและจ้วงลึกลงไปในหัวใจของทุกคนที่พบเห็นและอยากครอบครอง  คนกลุ่มแรกขุดพบ  กลุ่มที่สองตามมา  ท้ายที่สุดคนทั้งสองกลุ่มไม่มีใครได้ครอบครอง  กลุ่มที่ตามมาทีหลังแย่งชิงได้  และครอบครองพื้นที่กลางหุบเขาอันเป็นแหล่งตัวเลขนั้นไว้ได้ทั้งหมด  ในกาลต่อมามันจึงถูกเรียกว่าเป็นตัวเลขมรณะ”

            “ตัวเลขแห่งความตาย”

            “มันเป็นเพียงเรื่องเล่าขานลูกเอ๋ย” น้ำเสียงของหญิงชราแผ่วเบาลง  นิทานของนางดูโหดร้ายเกินกว่าจะเล่าให้เด็กฟัง  แต่นางฉุกคิดขึ้นได้ว่า  สำหรับเด็กน้อยคนนี้  เขาได้ผ่านความเลวร้ายทั้งหมดทั้งมวลมาแล้ว  นางจึงบอกเล่าเต็มเสียงอีกครั้ง

            “แม้เป็นเพียงเรื่องเล่าขาน  แต่มันแฝงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์เอาไว้  สีเหลืองของตัวเลขไม่ได้สร้างศรัทธาต่อความดีงามให้กับผู้คนไปเสียทั้งหมด  ไม่นานหลังจากนั้น  คนจากถิ่นอื่นๆ ก็หลั่งไหลกันมาจากทุกทิศทาง  พวกเขาขุดลึกลงไปเรื่อยๆ  หล่มหลุมที่พวกเขาขุดกินอาณาบริเวณกว้างออกไป  ไม่เพียงขุดตัวเลขขึ้นมาจากใต้ดิน  พวกเขาแย่งชิง ทำร้าย เข่นฆ่ากันและกัน”

            นางแหงนมองเดือนข้างแรมที่ยังสุกใส “คนเรามักชอบมองสูงขึ้นไป และตะกายสูงขึ้นไป แล้วในที่สุดก็ลืมว่าตัวเองมาจากไหน”

            “หนูก็ชอบมองที่สูง”

            “ไม่ผิดหรอกลูกเอ๋ย   ถ้ามองแล้วเข้าอกเข้าใจสิ่งที่เห็น  แต่กาลครั้งนั้นความละโมบปิดตาผู้คน  บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาฉลาดเกินไป รู้มากเกินไป  หรือไม่ก็โง่เขลาเกินไป

            “ยิ่งมองสูงยิ่งเห็นสิ่งที่สูงกว่า  แล้วก็รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองครอบครองอยู่ต่ำต้อย  ลูกคิดดูสิ  ชาวถิ่นทุรกันดารต้องทำงานสักกี่ปี  สะสมตัวเลขในถิ่นฐานนานเท่าไหร่  พวกเขาจึงเป็นเจ้าของเลขแปดสักตัวหนึ่ง  เดินทางเข้าเมืองทุกครั้งล้อเกวียนของพวกเขาฝังลึกลงในทางทรายยาวเหยียด  นั่นหมายความว่าเกวียนทุกเล่มหนักมาก  แต่เที่ยวกลับพวกเขาเดินทางได้เร็วกว่าเดิมหลายเท่า  เกวียนที่เบาหวิวบรรทุกตัวเลขที่แลกเปลี่ยนได้กลับคืนถิ่นเพียงเล็กน้อย  ชาวเรือสำเภาต้องแล่นเรือไปในทะเลกี่ร้อยราตรีจึงหาเลขหกได้มากพอแลกเลขแปดได้สักตัวหนึ่ง พวกเขาต้องออกทะเลไปไกลกว่าเดิม  เปลี่ยนจากสวิงเป็นอวนที่ต้องหย่อนลึกลงไปถึงผิวดินใต้น้ำ  ลูกหลานของพวกเขาหลายสิบชีวิตสูญหายไปกับความบ้าคลั่งของทะเล  ความตายสร้างตำนานหน้าใหม่ขึ้นในวิถีชีวิตของพวกเขา  ชาวภูเขาเจ้าของตัวเลขผืนบางนั่นอีกล่ะ  พวกเขาเสียชีวิตไปกับไข้ป่า  ตกเป็นเหยื่อของสัตว์ร้าย  การแลกเปลี่ยนนั่นเองที่พวกเขาสัมผัสได้ถึงความเหลื่อมล้ำ  โลกทุกด้านไม่มีเพียงระยะทาง  ทุกท้องถิ่นไม่เพียงแต่ห่างไกลกัน  ระหว่างผู้คนด้วยกันก็เต็มไปด้วยช่องว่าง

            “เท่านั้นยังไม่พอ  เมื่อมีตัวเลขใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก  แตกต่างไปจากตัวเลขที่คนในท้องถิ่นต่างๆ เคยเพาะปลูก ถักทอ  ขุดเจาะ และแล่นเรือเสาะหา  มันเป็นตัวเลขที่ถูกเนรมิตขึ้นมาจากสมองอันมหัศจรรย์ของคนในมหานครแห่งนั้น”

            “เลขเก้า”

            “ถูกต้อง”

 

“มหานครกว้างใหญ่แห่งนั้นตั้งอยู่ริมแม่น้ำ อลังการด้วยบ้านเรือนงามตา  ปราสาทสูงตระหง่าน  ถนนและลำคลองนับร้อยๆ สาย   สมบูรณ์พร้อมด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่บ่งบอกถึงความมั่งคั่ง  แล้วแต่ละสิ่งอย่างที่หนุนเนื่องนครแห่งนี้มาจากไหน  หากไม่มาจากตัวเลขที่กำเนิดจากท้องถิ่นอื่น  เมื่อเป็นนครแห่งการแลกเปลี่ยน  คนที่นี่จึงครอบครองเลขทุกตัวไว้เป็นจำนวนมาก  พวกเขาเป็นผู้กำหนดกติกาการแลกเปลี่ยน  และเป็นผู้ประเมินค่าเลขทุกตัว

            “กาลครั้งนั้นนานมาแล้ว  และสายน้ำแห่งวันเวลาไม่เคยไหลย้อนกลับ ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากเลขมหัศจรรย์ตัวแรกที่คนกลุ่มหนึ่งในนครแห่งนี้คิดค้นขึ้นได้

            “พวกเขาไม่ได้รอนแรมไปในท้องทุ่ง ไม่ได้บุกป่าฝ่าดง ไม่เคยสัมผัสกับไข้ป่าและความโหดร้ายของท้องทะเล  พวกเขาเป็นเพียงเจ้าของตลาดการแลกเปลี่ยน  วันดีคืนดีก็หยิบฉวยตัวเลขต่างราคามานั่งพิเคราะห์ แล้วความปราดเปรื่องอันหาใดเปรียบก็ได้ความคิดล้ำค่าขึ้นมา  พวกเขานำตัวเลขจากแต่ละถิ่นมาย้อมสี  เปลี่ยนรูปลักษณ์ บดละเอียดให้เป็นของเหลว  จากตัวเลขมูลค่าต่ำสุด ปานกลาง และค่อนข้างสูง กลายเป็นตัวเลขใหม่ นั่นคือเลขเก้า...”

            “ตัวเลขค่าสูงสุด” เด็กน้อยพูด

            หญิงชรายิ้ม “มันเป็นเหมือนยอดสูงสุดของตัวเลขทั้งมวล คนเมืองกลุ่มนี้ได้ทำลายกำแพงดั้งเดิมระหว่างตัวเลขทั้งหมดลง  และได้สร้างกำแพงหรือม่านบังตาอันคาดไม่ถึงขึ้นมาใหม่ เ ลขหนึ่งและสองของชาวทุ่งกันดาร  เพียงมาอยู่ในมือพวกเขา  มันสามารถเปลี่ยนเป็นเลขเก้าได้เพียงเสี้ยวนาที  ทว่ามันคงความมหัศจรรย์อยู่แค่ช่วงเวลาหนึ่ง”

            “ยังมีตัวเลขที่สูงค่ากว่านั้น” แววตาเด็กน้อยเต็มไปด้วยความฉงน

            หญิงชรายิ้มเศร้า “นี่เป็นความลึกล้ำอันไร้จุดสิ้นสุด  ผู้คนสมองไวอีกกลุ่มในนครคิดค้นตัวเลขมายาขึ้นมาพร้อมกับเครื่องหมาย บวก ลบ คูณ หาร และสูตรคำนวณ  ตัวเลขมายาที่พวกเขาคิดค้นขึ้นนั้นไม่มีค่าอะไรเลยในตอนแรก  มันว่างเปล่าราวกับอากาศธาตุ  ครั้นนำไปผสมกับเลขตัวอื่นก็กลายเป็นเลขจำนวนใหม่  พวกเขาก้าวหน้าในเวลาอันรวดเร็ว  นำตัวเลขแต่ละถิ่นมาผสมกับเครื่องหมายและเติมด้วยสูตรคำนวณ  ได้กลุ่มก้อนตัวเลขจำนวนใหม่ซึ่งทวีค่าขึ้นจากหนึ่งสองสามเป็นสิบเป็นร้อยเป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน...”

            “เลขมายาคือศูนย์ใช่ไหมย่า”

            “ถูกต้อง”

            “มันเป็นตัวเลขที่ไม่มีค่า  แต่ค่าของมันไม่มีที่สิ้นสุด”

            “ถูกแล้ว  และเครื่องหมายต่างๆ ไม่เพียงทำให้ตัวเลขเดิมทวีค่าขึ้น แต่สามารถลดทอนคุณค่าได้รวดเร็วอย่างน่าตื่นตะลึง

            “ลูกรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น  หลังจากชาวเมืองผู้ปราดเปรื่องคิดค้นเลขเก้ากับเลขศูนย์รวมทั้งเครื่องหมายต่างๆ และสูตรคำนวณขึ้นได้  ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นมายาไปหมดสิ้น  ตัวเลขที่แท้จริงจากถิ่นต่างๆ ลดความสำคัญลง  กองเกวียนและเรือสำเภาที่เคยเห็นหายไป  ว่ากันว่าภูเขาถูกทลายราบลง ทุ่งราบไร้หยาดฝน แม่น้ำในที่ราบลุ่มขอดแห้ง  ท้องทะเลแทบไม่เหลือตัวเลขสีเงิน  นับจากนั้นผู้คนเลิกล่องเรือหาตัวเลข  เลิกถักทอเพาะปลูก เลิกขุดเจาะแผ่นดิน  พวกเขาเข้าสู่เมืองอันเป็นศูนย์กลางของตัวเลขและการคำนวณ  แล้วหลังจากนั้นไม่นาน...”

            “หลังจากนั้นล่ะย่า”

            “โลกไม่ใช่จักรวาลที่หาจุดสิ้นสุดไม่ได้ โลกมีความกว้างที่มนุษย์สามารถคำนวณได้  และมีจุดสูงสุดเท่าที่มันมีอยู่จริง  มนุษย์จะไต่เต้าสูงขึ้นไปได้มากน้อยแค่ไหน  เมื่อสรรพสิ่งที่รายล้อมตัวพวกเขาอยู่มีขอบเขตจำกัด เ มื่อทุกคนมองแต่จุดสูงสุด  แข่งกันตะกายขึ้นไป  สุดท้ายผู้คนก็พากันลุ่มหลงกับมูลค่าอันเป็นมายา

            “แต่ทว่า...ตัวเลขเหล่านั้นไม่ได้หล่อเลี้ยงชีวิตและลมหายใจพวกเขาอย่างแท้จริง และไม่ได้ทำให้พวกเขาสูงส่งเยี่ยงมนุษย์อย่างที่เคยเป็นมา  พวกเขาเข่นฆ่า แย่งชิง ก่อสงครามขึ้นทุกหย่อมหญ้า ผลสุดท้ายตัวเลขแห่งมายาทั้งหมดกลายเป็นสีเลือด  และเป็นตัวเลขแห่งความตายอย่างแท้จริง  ทุกสิ่งทุกอย่างจึงหวนกลับคืนสู่จุดเริ่มต้น...”

           

ย่าชรานั่งมองแสงจันทร์ หลานตัวน้อยปรือตา มองสูงขึ้นไปยังท้องฟ้า

            “ดาวหมูมีกี่ดวงลูกเอ๋ย” ย่าถาม หลานตัวน้อยนิ่งนับในใจและตอบได้ถูกต้อง

            “เห็นไหมเล่า” ย่ายิ้ม “ทุกอย่างนับเป็นตัวเลขได้หมด  คำนวณได้หมด นับได้แม้แต่ระยะห่างระหว่างพื้นดินกับตรงที่ดาวดวงนั้นส่องแสง   เริ่มต้นจากคืบ เป็นศอก เป็นวา  จากนั้นก็เป็นกิโลเมตร เป็นไมล์ และเป็นล้านๆ ปีแสง”

            จันทร์ยังส่องแสงกระจ่าง  ขณะดาวหลายดวงเลือนลับไปจากขอบฟ้า  ย่ากระซิบบอกหลานว่า

            “ดาวหลายดวงหายไปแล้ว  แต่ไม่ว่าจะหายลับไปในความมืดที่ลึกสุดหยั่งแค่ไหน  มนุษย์ก็ยังนับมันเข้ากับจำนวนของดาวทั้งหมดที่มีอยู่ในจักรวาล  มนุษย์ที่ผูกพันกับตัวเลข  ใช้ตัวเลขนี้นับมูลค่าของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน  ความมั่งคั่ง ระยะทาง ปริมาณของเหลว ค วามเข้มของแสงและสี  ความหนาแน่นของมวลสาร  ความชื้นและความกดอากาศ  จำนวนซากศพในสงคราม  และหลุมฝังศพในสุสาน  มนุษย์นับวัตถุสิ่งของได้หมดทั้งโลก ยกเว้นก็เพียงหยาดเหงื่อหยดน้ำตาของคนอื่น  และบางสิ่งบางอย่างที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของพวกเขาเอง”

            “อะไรหรือย่า” เด็กน้อยถาม

            “ลูกมองดูซากของนครนั่นสิ...”

 

จันทราเคลื่อนเข้าไปหลบอยู่หลังม่านเมฆ  กลางความมืดเหนือผืนดิน  ระยิบแสงแห่งดวงวิญญาณพเนจรกระจายพรายราวหิ่งห้อยนับล้าน  ล่องลอย และเคลื่อนไหวไปต่างทิศต่างทาง

            ตรงที่หญิงชรากับหลานน้อยนั่งอยู่ว่างเปล่า  ระยิบแสงเล็กๆ สองดวงลอยขึ้นไป ดวงที่เล็กกว่าและมีลำแสงอ่อนเยาว์ลอยช้าๆ   บางครั้งพุ่งต่ำลงราวกับเด็กน้อยซุกซน  คล้ายยังฝังใจกับตำแหน่งตัวเลข  ปรายตามองซากแห่งนคร  พลางหวนนึกถึงกาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว...

รายละเอียด

คำนำผู้เขียน

 

ผมไม่ได้กลับมาสัมผัสฤดูหนาวที่บ้านเกิดมานานเกือบสามสิบปี   ทว่าความทรงจำในวัยเด็กฝังรอยลึกยากจะลบเลือน  เสียงลมพัดผ่านทุ่งข้าวยามดึกน่ากลัวยิ่งกว่าภูตผีในเรื่องเล่าเก่าๆ ไอเย็นที่แทรกผ่านแฝกฝากระท่อมเข้ามาไม่ต่างจากลำธารจากหุบเขาน้ำแข็ง  ผมขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบาง  กอดอกแน่น  เข่าสองข้างงอสูงขึ้นเกือบจรดปลายคาง  หลายครั้งฟันบนและล่างกระทบกัน

            เบื้องหลังลมหนาวและอากาศเย็นยะเยือกนั้นมีรุ่งเช้าที่งดงาม   ก่อนแสงตะวันสาดส่อง  เราพร้อมหน้ากันที่กองไฟ พ่อ พี่สาว น้องสาว และน้องชายที่ผมมีอยู่เพียงคนเดียว  ขณะแม่อยู่กับกองไฟส่วนตัวบนชานเรือน ข้าวนึ่งส่งกลิ่นหอมขจรขจายพร้อมกับแดดอุ่นแห่งเช้าวันใหม่เริ่มสาดทอ

            ทันทีที่ข้าวนึ่งถูกเทกระจายไปบนกระด้ง  พ่อเดินขึ้นไปยังชานเรือนหยิบข้าวเหนียวมาปั้นเป็นก้อน โรยด้วยเกลือสินเธาว์  นำไม้ไผ่ที่เหลาไว้มาเสียบ  เดินกลับมายังกองไฟแจกจ่ายให้กับลูกๆ ทุกคนจนครบ

            ข้าวเหนียวปิ้งหรือข้าวจี่เป็นความทรงจำงดงามอีกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวที่ผมไม่มีวันลืม  ข้าวทาเกลือที่ย่างเกรียมเป็นสีเหลืองหอมมันและอร่อยยิ่งกว่าขนมอบเนยทั้งหมดที่ผมกับพี่ๆน้องๆ เคยกิน  นอกจากบรรเทาความหนาวเย็นได้ชั่วครู่ยามแล้ว ยังมีสายใยบางอย่างที่ร้อยรัดพวกเราระหว่างพี่น้องเอาไว้

            ผมมีเวลาอยู่กับครอบครัวน้อย  ฤดูหนาวแห่งบ้านเกิดแสนสั้นกว่าพี่น้องร่วมท้องทุกคน  เมื่อหวนกลับไปเยือนบ้านเกิดอีกครั้ง   รู้สึกเหมือนว่ามีเพียงผมคนเดียวที่ยังจดจำความเศร้าอันแสนชื่นบานนั้นได้

            เพราะเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวสำหรับผมแสนสั้นและน้อยนิด  สิ่งที่เก็บไว้ในความทรงจำจึงมีค่ายิ่งใหญ่  และแจ่มชัดยิ่งกว่าพี่น้องทุกคน

            วันนี้เหลือเพียงน้องสาวคนเล็กกับครอบครัว เรานั่งล้อมกองไฟ  ทุกคนสวมเสื้อกันหนาวสีสด  น้องสาวอุ้มลูกคนเล็ก  น้องเขยนั่งสูบบุหรี่พลางเล่าเรื่องขบขันให้ลูกอีกสองคนฟัง   ผมนั่งซึมซับความหลัง

            ไม่มีข้าวจี่   และพวกเด็กๆรุ่นใหม่ไม่ได้ถามถึงมัน   น้องสาวกับน้องเขยเกี่ยวข้าวในนาเสร็จแล้ว ส่วนหนึ่งสงบนิ่งอยู่ในยุ้งฉาง  อีกส่วนบรรจุกระสอบรอรถบรรทุกมารับไปขายโรงสีในตัวเมือง

            ข้าวเปลือกในกระสอบเป็นพันธุ์หอมมะลิ  ส่วนข้าวเปลือกในยุ้งฉางเป็นข้าวเหนียวที่ครอบครัวน้องสาวเก็บไว้กินเอง  และส่วนหนึ่งเป็นพันธุ์ข้าวที่คัดแยกไว้

            นี่คือความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่ง  ต่างไปจากคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่ปลูกข้าวเหนียวเพียงอย่างเดียว  ถึงยุคนี้สมัยนี้   ข้าวสำหรับขายและเก็บไว้กินได้แยกชนิดกันชัดเจน

ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น   เรานั่งพูดคุยกัน กรุ่นควันสีเท่าลอยออกจากปากพร้อมคำพูด  น้องสาวถามผมว่า ไม่คิดจะกลับมาอยู่บ้านหรือ  พี่จะปลูกบ้านอยู่เองก็ได้นะ  หนูไม่ทำไร่อีกแล้ว  ที่ตรงนั้นพี่เอาคืนไปได้เลย

            ผมได้แต่ยิ้มให้น้องสาว  ไม่มีคำตอบแน่นอนพอจะรับปากหรือปฏิเสธ  รอจนแดดอุ่นผมค่อยเดินไปยังชายป่า  ที่ดินสิบสองไร่ซึ่งน้องสาวกับครอบครัวเคยปลูกมันสำปะหลังรกร้าง  นี่มันเป็นมรดกที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ลูกๆ  และเป็นส่วนแบ่งที่ลูกอกตัญญูอย่างผมไม่กล้าอาจเอื้อม

            ผมเดินสำรวจบริเวณ พลางนึกถึงสถานที่อาชีพทีทำอยู่ในปัจจุบัน

จากต้นปี ๒๕๓๗ มาจนถึงปลายปี ๒๕๔๗ นอกจากเขียนหนังสือแล้ว ผมไม่ได้ทำงานอื่น  มีผลงานออกวางแผงปีละเล่มบ้างสองเล่มบ้าง  บางปีก็ไม่มีเลยสักเล่มเดียว  เมื่อใครสักคนเรียกขานว่าผมเป็นนักเขียนอาชีพเต็มตัว   ผมจะก้มหัวลงเล็กน้อยแล้วเบือนหน้าไปอีกทาง   รู้สึกเขินอายเกินกว่าจะยอมรับ  ตระหนักดีว่าความรู้ความสามารถยังด้อยนัก  และก้าวย่างในถนนหนังสือเป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่นแทบเรียกได้ว่าล้มลุกคลุกคลาน  ไม่สามารถยืนหยัดได้เต็มตัวเต็มกาย  ยอดพิมพ์หนังสือแต่ละปกไม่เคยเกิน ๒,๕๐๐-๓,๐๐๐ เล่ม

หากนับดูตัวเลข  จัดเรียงลำดับเป็นสถิติ  วิเคราะห์เจาะลึกอย่างถ่องแท้แล้ว  นักการตลาดที่ให้ค่ากับตัวเลขและผลกำไรคงใช้เวลาคิดไม่นาน   ก่อนบอกผลการประเมินถึงความล้มเหลว

ไม่เพียงนักการตลาด  คนในกองบรรณาธิการสำนักพิมพ์แห่งแรกที่พิมพ์งานเขียนของผมยังให้คำแนะนำด้วยความหวังดีว่า  น่าจะเปลี่ยนแนวเขียนได้แล้ว

เมื่อย้ายมาพิมพ์กับสำนักพิมพ์ใหม่  ไม่วายที่ผมจะได้รับความเมตตาจากใครบางคนในกองบรรณาธิการ ตั้งคำถามเชิงเสนอแนะว่า  ไม่คิดจะเขียนอย่างอื่นหรือแนวอื่นบ้างหรือ  เป็นสารคดีหรือบทความอะไรก็ได้

ไม่มีคำตอบชัดเจนจากปากผม  นอกจากคำถามที่ซุกซ่อนเงียบอยู่ในใจ   และรอคำตอบจากระยะเวลาของการเดินทาง    ทั้งไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับบทพิสูจน์

กลางปีนี้เองที่ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมเสวนาเกี่ยวกับวิกฤตวรรณกรรมไทย  หัวข้อที่ตั้งว่า “นักเขียนไทย วรรณกรรมไทย ฤๅจะถึงทางตัน”   ผู้เข้าร่วมเสวนามีทั้งนักวิจารณ์  นักเขียนรุ่นใหม่  นักข่าวสายวรรณกรรม บรรณาธิการสำนักพิมพ์  จำได้ว่าวันนั้นผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่รับฟังนักคิดท่านอื่นๆ ให้ความเห็น  ในส่วนตัวผมก็เห็นว่า  สถานะของวรรณกรรมไทยหรือนักเขียนไทยไม่ได้อยู่ในขั้นเลวร้ายขนาดนั้น  ทว่าหลังงานเสวนาบนเวทีจบลง  บรรณาธิการสำนักพิมพ์ใหญ่จึงได้ให้ความกระจ่างถึงเหตุผลและที่มาของการจัดงานในวันนี้   เขาบอกว่าเป็นห่วงวรรณกรรมไทยจะไม่มีที่ทางอีกต่อไป  ไม่เพียงไม่มีที่ทางบนแผงหนังสือเท่านั้น  แต่โอกาสที่สำนักพิมพ์จะรับพิมพ์ก็ย่อมลดน้อยลง   และอาจถึงขั้นไม่รับพิมพ์งานวรรณกรรมไทยอีกต่อไป

เขาให้ความกระจ่างว่า   เมื่อตลาดเป็นตัวชี้วัด   เมื่อยอดพิมพ์ยอดขายเป็นตัวกำหนด  และเมื่อตลาดหนังสือโตขึ้น   สิ่งเล็กๆ ที่ไม่มีมูลค่าทางการตลาดก็จะเลือนหายไป  นักเขียนที่เคยอยู่กับยอดพิมพ์ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ จะทำอย่างไรหากทุกสำนักพิมพ์ตั้งค่ามาตรฐานการพิมพ์ครั้งแรกไว้ที่ ๗,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ เล่ม  สำหรับหนังสือทุกประเภท

ผมได้แต่รับฟังเงียบ  ๆ  ไม่มีความเห็น ไม่มีอะไรโต้แย้ง   ถึงกระนั้นก็รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณของบรรณาธิการสำนักพิมพ์ใหญ่ที่ได้ให้ความรู้เป็นเชิงเอ่ยเตือน   เพื่อให้ผมเตรียมตัวรับสถานการณ์ในอนาคตอันใกล้

สำหรับวิกฤตแห่งอนาคตที่จะเกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ผมมองไม่เห็นเค้าราง  ทุกครั้งที่เดินเข้าร้านหนังสือ  ผมสัมผัสได้ถึงสัญญาณเตือนจากภาพที่มองเห็น  ทว่าผมไม่เคยเตรียมตัวแก้ไขหรือรับมืออย่างเป็นจริงเป็นจัง

 

ไร่ร้างผืนเล็กๆ  ที่พ่อแม่ทิ้งไว้สงบนิ่งอยู่ในสายตา ไม่ต่างกับผ้าขาวที่รอระบายสี   และเป็นเช่นเดียวกับกระดาษเปล่าที่รอคอยตัวอักษรบอกเล่าเรื่องราว   หากผมกลับมาอยู่ที่นี่  ปลูกบ้านหลังเล็กๆ เป็นเหมือนรวงรังของนกน้อยพออยู่พออาศัย  ที่ดินว่างเปล่าส่วนอื่นก็พอทำคอกหมูและเล้าไก่  ปลูกข้าวปลูกผัก ยามว่างปลูกไม้ดอกไม้ผลไว้รอบรั้ว  สี่ห้าปีผ่านไปผมก็น่าจะคุ้นเคยกับวิถีชีวิตแบบนี้

            ยามเกิดแรงบันดาลใจ  ลงมือเขียนหนังสือตามที่ใจอยากจะเขียน   เขียนเสร็จก็เย็บเล่มเก็บไว้ หากเพื่อนหรือคนรู้จักแวะเวียนมาเยี่ยม   เอ่ยปากทวงถามถึงเรื่องสั้นและนวนิยาย   ผมก็จะนำออกมาให้พวกเขาอ่าน

            นั่นคือสิ่งที่ผมเขียน   ไม่ใช่งานที่ผมทำ   ผมเขียนเสร็จแล้วเก็บไว้  ยามว่างนำออกมาอ่าน  ดื่มด่ำอยู่กับความรู้สึกภาคภูมิใจครั้งแล้วครั้งเล่า

            ผมนึกถึงกองไฟกลางลมหนาวในอีกยี่สิบปีข้างหน้า  แล้ววาดภาพตัวเองเป็นชายชราหลังคุ้มงอ  เหม่อมองควันไฟที่ลอยขึ้นสูงด้วยแววตาปีติ   สีหน้าสุขสงบอย่างคนที่เนิบช้าได้กับทุกสิ่ง   มือที่วางบนตักกุมต้นฉบับนวนิยายปึกใหญ่

            ผมนึกถึงสิ่งที่ได้เขียนไปแล้ว   ตัวอักษรแห่งความเบิกบานเรียงรายอยู่ในใจ  มันเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในความเป็นศิลปะ ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยอีก   ลมหนาวพัดอยู่ข้างหลัง  ความเบิกบานเปี่ยมพลังอยู่ข้างใน  ผมยิ้มกับตัวเองหลายครั้งระหว่างหยิบกระดาษต้นฉบับหย่อนลงกองไฟ  มองดูประกายสีแดงวูบไหว  และเถ้าสีเทาถูกลมหนาวหอบพัดไปเหนือยอดหญ้า

           

น้องสาวและน้องเขยยิ้มด้วยความหวังในเช้าวันที่กระสอบข้าวเปลือกถูกยกขึ้นรถบรรทุก  แล้วในตอนบ่ายของวันเดียวกันหลานน้อยทั้งสองของผมตื่นเต้นกับเสื้อผ้าและขนม  น้องสาวอุ้มลูกคนเล็กไว้ในวงแขน  หันไปยิ้มรับขวัญสามี

            ผมเข้าใจว่าราคาข้าวคงเป็นที่พอใจ  ครั้นเอ่ยถามน้องสาว  กลับกลายเป็นว่าถูกโรงสีกดต่ำลงกว่าปีที่แล้ว   หล่อนบอกว่ายังดีที่ได้ราคานี้  เห็นสีหน้าพึงใจของน้องสาวน้องเขยแล้วผมไม่อยากสอบถามอะไรต่อ จนกระทั่งรุ่งเช้าอีกวันหนึ่ง  ผมเผลอปากถามไปว่า  ขายข้าวมีกำไรหรือเปล่าปีนี้  น้องสาวนิ่งอึ้งไปนาน  ยิ้มและส่ายหน้าอย่างคนที่ยังหาคำตอบไม่ได้

            หล่อนทำนากับพ่อแม่มาตั้งแต่เริ่มโต นอกจากปลูกข้าวและทำไร่เล็กๆน้อยๆแล้ว  ไม่เคยรู้จักงานอื่นใด พ่อแม่สอนหล่อนมาเช่นนี้  และไม่เคยสอนให้รู้กับคำว่าขาดทุนหรือกำไร  หล่อนไม่เคยมีสมุดบัญชี  และไม่เคยคำนวณต้นทุนการทำนาในแต่ละปี

            พ่อแม่ผมไม่เคยถามตัวเองว่าทำไมต้องปลูกข้าว  ทำไมต้องทำนา  ชีวิตไม่ควรจะมีคำถาม  ในเมื่อทุกครอบครัวทั่วทั้งหมู่บ้านก็ล้วนแต่ทำนา  พ่อแม่ไม่เคยรู้จักคำว่ากำไร  เพราะพ่อแม่ปลูกข้าวเอาไว้กินเอง  หากปีไหนเหลือมากก็ให้เพื่อนบ้านผู้ขาดแคลนกู้ยืม  หลังหน้าเก็บเกี่ยวผ่านไป  เพื่อนบ้านก็นำข้าวเปลือกมาชดใช้คืนใช้   ยืมไปหาบใช้คืนหาบ  ยืมไปเกวียนใช้คืนเกวียน   ไม่เคยรู้จักดอกเบี้ย

            มาถึงรุ่นของน้องสาว  หล่อนกับครอบครัวปลูกข้าวหอมมะลิเพราะทางการบอกว่าราคาดี  และเพื่อนบ้านครอบครัวอื่นต่างหันมาปลูกกันพร้อมหน้า  หล่อนเพียงทำหน้าที่ของชาวนาคนหนึ่ง  ข้าวที่หล่อนเก็บเกี่ยวได้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสินค้าส่งออก

            หล่อนไม่เคยรู้ว่าพ่อค้าคนกลางมีกำไรต่อปีกี่มากน้อย  เจ้าของโรงสีรวยกันกี่พันล้าน  หล่อนเป็นเพียงคนปลูกข้าวคนหนึ่ง

 

อากาศเริ่มอุ่นขึ้น   ลมหนาวทำท่าจะทิ้งช่วง   รุ่งเช้าอีกวันหนึ่งผมผละจากกองไฟขณะแสงแดดเหนือท้องทุ่งยังหม่นมัว   ผมเดินรอบๆชายป่า หยุดยืนอยู่บนเนินมองดอกไม้ป่าสีม่วงแย้มกลีบบาน

            ทุกครั้งที่มองดอกไม้ผมรู้สึกสดชื่น  ใจพลอยเบิกบานไปกับกลีบดอกสีสันสดใส  คิดดูแล้วก็เหมือนธรรมชาติสร้างพรรณไม้เหล่านี้ขึ้นมาเพื่อปลอบประโลมจิตใจมนุษย์  ไม่ก็เจตนาถ่วงดุลความหยาบกระด้างแห่งโลกในอนาคตซึ่งนับวันจะโหดร้าย  ทว่าแท้ที่จริงแล้วอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น  ทำไมจึงมีดอกไม้  ทำไมดอกไม้ต้องเบ่งบานเมื่อช่วงเวลาเหมาะสมมาถึง  ดอกไม้ทุกช่อแย้มกลีบบาน   อาจแสดงถึงความสมบูรณ์แห่งลำต้น รวมถึงความเข้มแข็งของกิ่งก้านและใบ  หรืออาจไม่ได้แสดงถึงอะไรเลย  ดอกไม้ไม่เคยรู้ว่ามันให้ความสดชื่นแก่โลก    ฤดูกาล  หรือสายตาของมนุษย์    มันเบ่งบานตามหน้าที่

            จากดอกไม้ป่ามาถึงดวงดาวแห่งค่ำคืน  ผมแหงนมองท้องฟ้าโล่งโปร่ง  สบตากับดาวดวงสุกใสที่สุด แรงบันดาลใจอยากเขียนบทกวีบ่าท้น  ผมอยากเขียนถึงค่ำคืน   ลมหนาวพราวน้ำค้าง  และรจนาถึงความเปลือยเปล่าอันพิสุทธิ์ของดวงดาว  ทว่าเมื่อฉุกคิดถึงอีกแง่หนึ่งผมกลับไปตั้งคำถามใหม่

            ดาวดวงนั้นคงไม่รู้ว่ามีสายตาของใครเฝ้ามอง   หรือรู้สึกเบิกบานกับแสงสกาวของมัน  ไม่รับรู้ว่าตัวมันเป็นบ่อเกิดแรงบันดาลใจของศิลปิน   และถูกหยิบยกไปเปรียบเปรยเป็นสัญลักษณ์ในด้านต่างๆ  และมันไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า  แต่ละค่ำคืนมันสาดแสงไปที่ไหนบ้าง

            เช่นเดียวกับน้องสาวของผมและชาวนาทั่วประเทศ   พวกเขาไม่เคยรู้ว่าข้าวที่ปลูกด้วยมือหยาบกร้านเดินทางไปไกลแสนไกลแค่ไหน   มันไม่ได้หยุดอยู่แค่โรงสีหรือโกดังเก็บข้าวของพ่อค้าคนกลาง  บางส่วนอาจเดินทางไปเกาะชวา  ญี่ปุ่น   เกาหลีเหนือ  จีน  เอธิโอเปีย  แคเมอรูน  รัสเซีย   และอีกหลายประเทศในทุกซีกโลก

            พวกเขาไม่เคยรับรู้ในวีรกรรมของตน  ทั้งยังไม่เคยสนใจว่านี่คือการสืบทอดอาชีพดั้งเดิมจากบรรพบุรุษ และไม่เคยรู้ว่าข้าวที่พวกเขาปลูกถูกส่งไปหล่อเลี้ยงชีวิตชาวโลก

            ผมหันมองท้องทุ่งที่เหลือเพียงตอซังข้าวสีน้ำตาล  ค้อมหัวต่ำลงเพื่อคารวะบรรพบุรุษ  และชาวนาทุกคน

            ในเศษเสี้ยวแห่งสำนึก  ผมอยากอุทิศตนทำหน้าที่เพื่อหน้าที่เฉกเช่นดอกไม้  ดวงดาว  และคนปลูกข้าว

 

-กับหนังสือเล่มใหม่ในมือของท่านผู้อ่าน นี่คือหนังสือเล่มที่สิบเอ็ดในชีวิตการเขียน   ผมไม่บังอาจเรียนกับท่านผู้อ่านว่า  นี่คือภาระอันทรงค่า  หรือพันธกิจที่สมบูรณ์แล้ว

            เป็นเพียงบางส่วน  และเป็นส่วนหนึ่งของการทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ของคนเขียนหนังสือ

            ...คนเขียนหนังสือที่ไม่มีอาชีพ

 

น้อมคารวะด้วยใจ

ประชาคา  ลุนาชัย

ห้องพักริมคลองพระโขนง ปลายธันวาคม ๒๕๔๗

 

๑.นิทานกลางแสงจันทร์

๒.กิ้งก่า นกขุนทอง และมนุษย์

๓.บนทางหลวง

๔.แมวกลางเมือง

๕.นักล่าตัวเลข

๖.นอกและในโรงละคร

๗.บนเรือสำราญ

๘.เซ็นโตซ่า

๙.นักป้ายสี

๑๐.รองเท้าลอยฟ้า

๑๑.มอนเต้

๑๒.ตะขู้

๑๓.น้ำกลางไฟ

 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (81 รายการ)

www.batorastore.com © 2024