รวมเรื่องสั้น เมืองใต้อุโมงค์ (ประชาคม)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: -
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 135.00 บาท

เนื้อหาบางส่วน

สีขาว

 

โตมรวางถังสีและแปรงลง ยืนเท้าสะเอวอยู่ตรงปลายสุดของถนน ยิ้มแล้วหันไปพูดกับเพื่อนหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ

“มันสวยมากนะชัช สวยเหมือนถนนในฝัน”

          “ใช่...สวย” ชัชวางถังสี เช็ดมือกับขากางเกง เงยหน้าขึ้นยิ้มตอบ

          ชายหนุ่มวัยเดียวกันอีกสองคนพร้อมกันวางเครื่องไม้เครื่องมือ เดินเลียบริมถนนมาหยุดยืนอยู่ฟากตรงข้าม เอกบิดตัวไล่ความเมื่อยขบ มินทร์ส่งยิ้มข้ามฟาก

          “เสร็จกันเสียที” มินทร์ถอนหายใจ “เดี๋ยวสีก็แห้ง”

          ถนนสายเล็กทอดผ่านเนินไปยังบ้านสองชั้นหลังกะทัดรัด ข้างทางเป็นป่าหญ้าสูงซึ่งกำลังออกดอกสะพรั่ง บ้านทาสีขาวทั้งหลังสร้างจากน้ำพักน้ำแรงของชายหนุ่มห้าคน เป็นโลกแห่งความสุขซึ่งพวกเขาปรารถนา และมันก็เป็นจริง วันนี้โลกฝันของพวกเขายื่นแขนออกมาเป็นถนนสายเล็กๆ ขาวนวลประดุจปุยฝ้าย

          “ไอ้ม่อนไม่รู้หรอกว่าเราทาสีถนนเสร็จแล้ว” เอกพูด

          “มันจะเอาดีทางเปตองมั้ง” มินทร์ว่า

          “ไม่หรอก” ชัชชี้แจงแทนเพื่อนผู้ถูกกล่าวถึง “มันเตรียมไว้สำหรับงานละคร พรุ่งนี้จะแสดงแล้ว”

          “พรุ่งนี้เราน่าจะยกโขยงไปเป็นกำลังใจให้ไอ้ม่อนหน่อย” เอกพูด “ไปช่วยดูมันแสดง”

          “พรุ่งนี้ข้าไม่ว่าง” มินทร์ส่ายหน้า “เล่นดนตรีติดกันสองงาน”

          ชัชมองพื้นถนน “มันสวยอย่างที่เอ็งว่านั่นแหละโตมร แต่ดูบอบบางเกินไป”

          “บอบบางเพียงสีที่เราทาหรอก” โตมรแย้ง “ข้างในมันแข็งแกร่ง เราเสริมเหล็กแน่น ใช้ซีเมนต์อย่างดี”

          “ดูสิ...เมื่อต้องแสงแดดมันสว่างไหวไปหมด” เอกไล่สายตาไปตามพื้นถนน

          “มันเปื้อนง่ายแต่ล้างออกยาก” ชัชพูด

          “รอยเปื้อนคือเรื่องราว” โตมรยิ้ม “และก็คือการเดินทาง”

          “และมันก็ทดแทนความว่างเปล่า” เอกเสริมต่อ

          มินทร์ตั้งคำถาม “เราจะทำอย่าไรกับรอยเปื้อน เข้าเครื่องซักเหมือนผ้าไม่ได้”

          “ทาสีขาวทับลงไปอีกครั้งสิ” เอกตอบ

          “มันหลอกตาเราได้ชั่วคราวเท่านั้น” ชัชแย้ง “เป็นความใหม่ที่ไม่จริง รอยเปื้อนในตาเรายังติดอยู่ในความทรงจำ”

          “อีกไม่นานถนนก็จะเต็มไปด้วยรอยนเท้า” มินทร์พูด “ทั้งของพวกเราเองและรอยเท้าเพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมเยือน”

          “ค่าของมันอยู่ตรงนี้เอง” โตมรวาดมือ “ถนนเกิดมาเพื่อรอยเท้า”

          แดดส่องทาบสีขาวซึ่งกำลังหมาดแห้ง

          ละอองดอกหญ้าจากป่าข้างทางลอยฟ่องมากับสายลมหล่นทาบลงบนพื้นถนน ขาวของดอกหญ้ากับขาวของพื้นถนนไม่เทากัน เกิดเป็นมิติของสีขาว ดวงตาสี่คู่เขมันมอง

          “แม้แต่สีขาวยังขาวไม่เท่ากัน” ชัชพูด

          “มันไม่ใช่รอยเปื้อนใช่ไหม” เอกตั้งคำถาม

          โตมรผงกศีรษะ “ใช่ๆ อีกหน่อยลมก็จะหอบพัดมันไป”

          “ดอกหญ้าเป็นเหมือนผู้ผ่านทาง” ชัชพูด “และก็ไม่ใช่รอยเท้า”

          พวกเขาสืบเท้าเดินคืบหน้าไปเจ็ดแปดก้าว หยุดยืนอยู่ริมถนน ผินหน้ามองรอบๆ ข้าง เป็นช่วงป่าหญ้าสดเขียวไม่ออกดอกขาวพราวเป็นผืนเดียวกันทั้งหมด สายตาสี่คู่จากสองฟากถนนมองป่าหญ้าสลับกับพื้นสีขาว

          “ถนนดูขาวขึ้น” ชัชพูด

          “สีมองหญ้าเข้มมาก” โตมรพูด “ทำให้เรารู้สึกว่าถนนขาวขึ้น...มันเป็นเพียงความรู้สึก”

          “มันทำให้เราเห็นความเปรียบได้ชัดเจน” เอกว่า “ความต่างทำให้เกิดมิติ”

          ลมวูบใหญ่พัดผ่าน หอบใบหญ้าแห้งปลิดปลิวลอยคว้างมาตกลงกลางถนน

          “ใบหญ้าสีน้ำตาล” มินทร์รำพึง

          “มันทำให้ถนนดูขาวขึ้น” ชัชว่า

          “มันเป็นเพียงผู้ผ่านทางเช่นเดียวกัน” เอกพูด

          มีเสียงเคลื่อนไหวจากบนเนิน ลูกเปตองหุ้มฟองน้ำชุ่มหมึกสีดำลูกหนึ่งกลิ้งลงมากลางถนน ทิ้งรอยเปื้อนคืบหน้าเป็นทางยาว มันกลิ้งผ่านหน้าชายหนุ่มทั้งสี่ไปอย่างรวดเร็วและหยุดนิ่งลงบนร่องทาง

          ม่อนยืนทำหน้าเลิ่กลั่กอยู่บนเนิน ร่างมอมแมมของเขาเด่นชัดอยู่กลางแสงแดดจ้า

          มินทร์เดินไปหยิบลูกเปตอง หมึกสีดำหยดลงเปื้อนขาและเท้า เขารีบวางลงและพบว่ามือสองข้างของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำไปแล้ว

          “มันเปื้อนไปหมด” มินทร์บ่นพึมพำ “ถูกที่ไหนเลอะที่นั่น”

          สายตาอีกสามคู่จ้องมองรอยเปื้อนที่ลูกเปตองกลิ้งผ่านรอยทางสีดำหยักโค้ง

          เอกพูดขึ้น “คงต้องทาสีขาวทับสินะ”

          “ไอ้ม่อนแช่ลูกเปตองไว้ในถังหมึกหลายวันแล้ว” ชัชพูด “มันจะเอาไปเล่นละครพรุ่งนี้”

          “ดูสิ” มินทร์ส่ายหน้า “มันกลิ้งผ่านที่ไหนก็ดำไปหมด...มือข้าด้วย”

          เอกจ้องมองรอยเปื้อน “เป็นมิติชัดเจนมาก แต่เป็นความต่างที่อัปลักษณ์”

          โตมรกุมคางครุ่นคิด “หากลูกเหล็กเป็นดวงตาของคน ดวงตาที่เปื้อนแล้ว...มองออกไปยังทุกสิ่งทุกอย่าง”

          “หากถนนสีขาวเป็นโลกและสรรพสิ่ง” ชัชเสริมขึ้น “ไม่ใช่สิ...ต่อให้โลกแท้จริงเป็นสีขาว”

          ม่อนเดินลงเนินมาหยุดยืนมองเช่นเดียวกัน เขาจ้องหน้าเพื่อนทีละคนด้วยแววตาสำนึกผิด แล้วหันไปมองรอยเปื้อนบนถนน และมองลูกเหล็กหุ้มฟ้องน้ำซึ่งยังอุ้มหมึกสีดำ

          พวกเขาทั้งห้าคนจ้องหน้ากันและกัน ก้มมองพื้นถนนและรอยเปื้อน ชักสายตากลับ ต่างคนต่างนิ่งอยู่กับความคิดของตน

รายละเอียด

สารบัญ

จากผู้เขียน     

สีขาว  

สุธรรมสองศตวรรษ     

เหตุเกิดข้างถนน        

ใบหน้าและดวงตา       

อาณาจักรมายา

ละครคนเมือง             

มีดด้ามงา       

คำอธิษฐาน     

เหนือดวงตาที่ปิดสนิท  

หมอคุณธรรม  

หมาฝรั่ง        

เดือนฉายใต้อุโมงค์       

จากผู้เขียน

การเดินทางของช่างฝีมือ

 

ก้าวแรกที่ย่างเข้าสู่โรงงานทำรองท้า ทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องหน้าทำให้ผมสับสนและหวาดกลัว ผมเป็นเพียงเด็กหนุ่มบ้านนอกซึ่งเคยสวมรองเท้า ไม่เคยรู้ว่าแต่ละส่วนของรองเท้าประกอบขึ้นด้วยอะไรบ้าง

          ลงมือทำงานวันแรก นายจ้างเรียกอย่างประชดประชันว่า...ช่าง  ผมก้มหน้ามองต่ำด้วยความเหนียมอาย คำว่า “ช่าง” อยู่ห่างไกลเหลือเกิน อาจอยู่คนละโลกกับผม   และผมไม่มีวันไปถึงและไม่อาจเป็นเช่นนั้นได้

          เงอะงะไม่มั่นใจ หยิบจับอะไรก็มือสั่น กลัวผิดพลาด เกรงถูกช่างตัวจริงดุด่า

          ความรู้สึกนี้คล้ายกับตอนหัดเขียนเรื่องสั้น แม้มีเรื่องราวมากมายอยากจะบอกเล่า แต่ไม่อาจเอาออกมาได้ ไม่รู้จะเริ่มต้นลงท้ายอย่างไร สับสนกับวิธีการ หวาดกลัวต่อความล้มเหลว   ซ้ำยังเกรงว่าจะไม่เป็นเรื่องสั้น

          เขียนเสร็จส่งไปยังนิตยสาร  กลัวบรรณาธิการจะหัวเราะเยาะ  ได้ลงตีพิมพ์แล้วก็กลัวคนจะไม่อ่าน หรืออ่านแล้วจะตำหนิว่าเป็นเรื่องอ่อนเชิง ขาดความลุ่มลึก ไม่มีอะไรใหม่ และไม่ได้ให้ข้อคิดหรือความรื่นรมย์ เป็นเรื่องสั้นที่ขาดความสมบูรณ์ ไม่มีคุณค่า ไร้ทั้งพลังสร้างสรรค์และวรรณศิลป์

          เด็กฝึกงานถูกใช้ให้ทากาว วาดหนัง ลับมีดปาดโฟม เป็นลูกมือช่างหลายคนตามแต่จะถูกเรียกใช้ กระนั้นเมื่อเดินออกมาจากโรงงานคนภายนอกยังเรียกผมว่า...ช่าง...ช่างทำรองเท้า

          เช่นเดียวกับการเขียนหนังสือ ผมเคยอ่านผ่านตาหลายครั้งในหน้าตอบจดหมาย บรรณาธิการเรียกคนที่ส่งเรื่องสั้นไปให้พิจารณาแล้วไม่ผ่านว่า “นักเขียน”

          “ช่างรองเท้า” และ “นักเขียน”  ต่างนำความขัดเขินมาให้ผมพอๆ กันในระยะเริ่มต้น

          ช่างออกแบบ ช่างพื้น ช่างหนังหน้า แต่ละคนทำงานคล่องแคล่ว ไม่วิตกกังวลว่าจะผิดพลาด งานตรงหน้าเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย มือของพวกเขาเนรมิตรองเท้าแบบต่างๆ ออกมาได้ตามใจนึก เป็นรองเท้าที่พร้อมให้สวมใส่ และพร้อมที่จะไปวางรอผู้ซื้อในห้างสรรพสินค้า

          นักเขียนเรื่องสั้นเก่งๆ ผู้ประสบความสำเร็จก็ไม่ต่างกัน พวกเขาเป็นช่างฝีมือที่เขียนอย่างไม่กลัวผิดพลาดและวิตกกังวลว่ามันเป็นเรื่องสั้นหรือไม่ บางคนมีแบบแผนของตัวเอง เป็นต้นคิดนำทางคนอ่านๆ ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่า กว่านักเขียนเรื่องสั้นคนหนึ่งจะชำนาญเป็นช่างฝีมือต้องใช้เวลายาวนานเท่าใด ทุกคนที่เขียนเสร็จและได้ลงตีพิมพ์เป็นสิบเป็นร้อยเรื่อง มีผลงานรวมเล่มออกมา ล้วนเก่งอาจทั้งสิ้น

          กว่านักเขียนจะครองใจคนอ่าน ทั่วประเทศติดตามผลงานได้รับการยอมรับในวงกว้างว่าเป็นนักเขียนหรือช่างฝีมืออย่างแท้จริงไม่รู้ใช้เวลานานแค่ไหน และใช้ความพยายามฝึกฝนสักเท่าใด

          บางคำตบผมค้นพบจากโรงงานทำรองเท้า กว่าจะได้เป็นช่างเข้าหุ่น ช่างพื้น ช่างหนังหน้าและช่างออกแบบ แต่ละคนใช้ระยะเวลาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ พรสวรรค์ และความวิริยะอุตสาหะ

          แต่บางคำตอบจากแวดวงหนังสือไม่เป็นเช่นนั้น นักเขียนต้องใช้เวลาตลอดชีวิตสร้างสรรค์งาน บนถนนที่ทอดยาวไปสู่ความสำเร็จตัดผ่านอุปสรรค ความเพียรพยายาม และมันไม่มีวันสิ้นสุด

          วันหนึ่งผมถูกจับไปนั่งถักเปียหนัง หนังสามเส้นถักร้อยเป็นเปีย ดูเหมือนเป็นงานง่ายซึ่งแม้แต่เด็กอายุห้าหกขวบก็น่าจะทำได้ ครั้นลงมือจริงๆ กลับพบว่ามีความละเอียดอ่อนในแต่ละขั้นตอน  ต้องใช้สมาธิและฝีมือพอสมควร เปียหนังที่ผมถักโค้งงอ บิดเบี้ยว ลายถักไม่สม่ำเสมอ ผมถักเสร็จวางกองอยู่เป็นร้อยๆ เส้น แต่ถูกช่างคัดทิ้งไปกว่าครึ่งค่อน ใช้ได้เพียงสามสี่สิบเส้น ถูกหัวหน้าตำหนิมากๆ เข้าผมรู้สึกท้อแท้ อายเพื่อนๆ และชิงขังตัวเองที่เกิดมาด้อยความสามารถ

          โลกนี้ไม่มีอะไรง่าย งานแต่ละอย่างมีความยากลำบากแตกต่างกันออกไป เรื่องสั้นหลายสิบเรื่องที่ผมส่งไปยังนิตยสารเงียบหายไปเป็นส่วนใหญ่ ได้รับการตีพิมพ์เป็นบางเรื่อง ในจำนวนนั้นแทบทั้งหมดเป็นเรื่องสั้นที่พอใช้ได้เท่านั้น ยังมีความบกพร่องผิดพลาดและขาดความสมบูรณ์ หรืออาจเป็นเพราะข้อจำกัดบางอย่างของนิตยสารทำให้มันได้ลงตีพิมพ์ปรากฏต่อสายตาสาธารณชน

          บางครั้งรู้สึกอาย แต่หลายครั้งพยายามกระตุ้นเตือนตัวเองว่าต้องเรียนรู้และฝึกฝนต่อไป เรายังทำได้ไม่ดีหรือดีไม่พอในวันนี้ แต่เราจะทำได้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต

          ผมใช้เวลาอยู่หลายเดือนกว่าจะถักเปียหนังสามเส้นได้คล่องแคล่ว ริมสองข้างเป็นเส้นตรง ลายสม่ำเสมอ ทุกเส้นสมบูรณ์ไม่ถูกคัดทิ้ง นั่งถักอย่างมั่นใจเหมือนกับว่าผมเป็นนายของมัน

          หัวหน้ามอบงานใหม่ที่ยากยิ่งกว่า คราวนี้ผมถักเปียหนังแปดเส้น

 

อะไรคือเรื่องสั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าวิตกอีกต่อไป เรื่องสั้นแต่ละเรื่องมีคำตอบในตัวมันเอง มีพลังและความงดงามในตัวมันเอง มีความลงตัวที่สามารถสัมผัสด้วยความคิด ความรู้สึกในขณะอ่านหรือเมื่ออ่านจบลง ไม่จำเป็นที่เรื่องสั้นทุกเรื่องจะถอดแบบจากบทเรียนในวิชาการประพันธ์ นักเขียนสามารถสร้างแนวทางของตัวเอง ค้นคิดออกแบบขึ้นใหม่ ใช้กลวิธีหลากหลายนำเสนอ ทว่าเรื่องสั้นที่ดีพร้อมยังต้องหาคำตอบจากหลายๆ ด้าน ทั้งจากเสียงตอบรับของคนอ่าน และคุณค่าแท้จริงซึ่งสามารถพิสูจน์ด้วยกาลเวลา

          ผมเริ่มต้นเขียนนวนิยายอย่างกระท่อนกระแท่น เช่นเดียวกับการเริ่มต้นถักเปียหนังแปดเส้น แม้มีพื้นฐานการถักเปียสามเส้นมาก่อน แต่ก็ช่วยได้เพียงน้อยนิด ขอบริมยังไม่ตรง ลายไม่สม่ำเสมอ ถักเสร็จแล้วหลายเส้นถูกคัดทิ้งและยังถูกตำหนิจากนายช่างใหญ่

          นวนิยายเรื่องหนึ่งคือการเดินทางไกล หากนำตัวหนังสือทั้งหมดมาต่อกันคงเป็นระยะทางหลายสิบกิโลเมตร มันเป็นยอดเขาสูงตระหง่าน เป็นความมหัศจรรย์พันลึกซึ่งผู้มีอัจฉริยภาพเท่านั้นที่จะทำได้ ผมเริ่มต้นเหมือนเด็กโง่ก่อภูเขา อยากทำให้สูงใหญ่เพื่อดึงดูดสายตาคนเฝ้ามอง เพื่ออวดพลังและความอุตสาหะแห่งตน ครั้งทำเสร็จแล้วกลับไม่ใช่ภูเขา เป็นเพียงกองทรายที่บิดเบี้ยว

          ทำอย่างไรนวนิยายเรื่องหนึ่งจะสวยงามและเปี่ยมพลัง ครองใจผู้อ่าน ได้รับความชื่นชม ทำอย่างไรเปียหนังที่ผมถักจะมีข้อบกพร่องน้อยที่สุดหรือไม่มีเลย เมื่อประกอบกันเป็นรองเท้าก็จะกลายเป็นจุดเด่นให้ผู้เป็นเจ้าของมองซ้ำและนำไปอวดใครต่อใครได้อย่างมั่นใจ

          ผมใช้เวลาเกือบสองปีจึงได้เป็นช่าง ไม่เพียงนั่งถักเปีย แต่ทำรองเท้าได้ทุกส่วน ก่อประกอบด้วยตัวเอง แม้หลับตาก็ยังมองเห็นขั้นตอนต่างๆ ของมันอย่างละเอียด

          เริ่มต้นอย่างวิตกกังวล ครั้นชั่วโมงทำงานมากขึ้นก็เกิดความชำนาญและเข้าใจองค์ประกอบทุกส่วน งานทำให้ผมเพลิดเพลินใจจนตัดความวิตกกังวลออกไปได้จนหมดสิ้น

          สองปีสำหรับการขึ้นเป็นช่างรองเท้า แต่ผมไม่รู้จะใช้เวลานานเท่าใดสำหรับการไต่เต้าสู่ความเป็นนักเขียน ทว่าระยะเวลาไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป ถนนแห่งความเพียรพยายามทอดยาวเคียงข้างไปกับชีวิต

 

เรื่องสั้นรับใช้อะไร รับใช้ใคร สะท้อนอะไร บอกกล่าวอะไร ข้อกังวลในระยะเริ่มต้นเหล่านี้หมดไป เรื่องสั้นทำหน้าที่ของมันเช่นเดียวกับงานศิลปะแขนงอื่นๆ เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ทั้งหมด ไม่สามารถปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีของคนอ่านได้ทันท่วงที และไม่สามารถแก้ปัญหาสังคมได้อย่างฉับพลันโดยตัวของมันเอง

          นักเขียนเพียงแต่ทำหน้าที่สร้างงานอันเป็นที่รักอย่างดื่มด่ำ ความรื่นรมย์จากการเขียนย่อมเป็นสะพานทอดยาวไปสู่ความรื่นรมย์แห่งการอ่าน จากนั้นช่อดอกไม้ในอุทยานแห่งความดีงามก็จักผลิบานขึ้นทีละต้นๆ

          นักเขียนเล่าเรื่องราวที่อยากบอกเล่า นำเสนอความคิดอย่างที่ตัวเองอยากพูด ถ่ายทอดประสบการณ์ใหม่ๆ ของตัวเองออกมา เดินทางไปในชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มมากขึ้น

          ขอเพียงเรื่องสั้นมีความงาม ความหมาย พลังความคิด บอกเล่าอย่างเชื่อมั่นต่ออำนาจของถ้อยคำและพลังแห่งเรื่องราว เถิดทูนต่อการใช้ภาษา และสามารถเป็นแบบอย่างได้ มีแง่มุมทางศิลปะที่จรรโลงใจผู้อ่าน

          เรื่องสั้นคือภาพแสดงที่บอกเล่าเรื่องราว แม้มีความงดงามลงตัวอยู่แล้ว และมีสาส์นในใจของผู้เขียนที่ต้องการส่อถึงคนอ่านแต่คนอ่านย่อมมีอิสระในการตีความจากแง่มุมที่ตัวเองสัมผัส จากประสบการณ์การอ่าน ประสบการณ์ชีวิต ระสบการณ์จากสาขาอาชีพของตน ลึกตื้น กว้างไกลไพศาล ตามแต่วุฒิภาวะและสติปัญญา

          เรื่องสั้นเป็นงานศิลปะ และงานศิลปะเปิดกว้างต่อทุกมุมมองของผู้เสพเสมอ

 

ไม่ว่าเปียหนังสามเส้นหรือแปดเส้น ล้วนสามารถประกอบเป็นรองเท้าที่จะนำพาเราก้าวเดินสู่ความเป็นช่างฝีมือ และล้วนทำให้เราล้มเหลวตั้งแต่แรกเริ่มได้ทั้งสิ้นหากไม่มีใจรัก หากไม่ทุ่มเททั้งชีวิตและไร้ความเพียรพยายาม

          ผมไม่คาดหวังว่าตัวเองจะเป็นช่างฝีมือ ไม่คาดหวังแม้แต่ชื่อเสียงและเกียรติยศ ทั้งไม่กล้าคาดหวังว่างานของตนจะยืนยงคงทนต่อกาลเวลา ผมกล่อมเกลาจิตใจตัวเองด้วยงานเขียน เล่าเรื่องราวแห่งชีวิต ปลูกอักษรลงบนผืนกระดาษ  หวังว่ามันจะผลิบานเป็นความรื่นรมย์และความดีงามในหัวใจคนอ่าน

 

ด้วยจิตคารวะ

ประชาคม ลุนาชัย

ห้องพักริมคลองพระโขนง/พฤศจิกายน 2543


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (83 รายการ)

www.batorastore.com © 2024