แสงดาว ไอดิน อินเดีย (ชอนตะวัน) (EBOOK)

แสงดาว ไอดิน อินเดีย (ชอนตะวัน) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: แสงดาวไอดินอินเดีย
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 400.00 บาท 260.00 บาท
ประหยัด: 140.00 บาท ( 35.00% )

เนื้อหาบางส่วน

star.png1

 

 

ฝน...วี...

 

มือข้างขวาที่จับปากกาจรดอยู่กับกระดาษสีชมพูอ่อนหอมกรุ่นกลิ่นกุหลาบของชายหนุ่มค้างอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานานเขาถอนหายใจ ครั้งแล้วครั้งเล่า ความพยายามเรียงถ้อยร้อยคำให้เป็นเรื่องเป็นราวสำหรับคนซื้อปากกากับสมุดไดอารี่เล่มสีชมพูให้นั้นจำต้องถูกเค้นออกมา

‘ไม่รู้หละ ช่วงเวลาที่อยู่อินเดีย วี จะต้อง เขียนระบายความในใจที่พบเห็นให้ฝนได้รู้’

‘ฝนดูภาพถ่ายก็ได้นี่’ ปฐวีต่อรอง

‘ภาพถ่าย ฝนว่ามันดีสำหรับคนถ่าย คนที่ไปเที่ยวแล้วเห็นกับตาตัวเอง แต่ถ้าเป็นตัวหนังสือมันจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ไม่ได้ไปมากกว่า เขียนเถอะ ลองหัดเขียนดู วีลายมือสวย...ฝนอยากอ่าน นะ นะคะ’

‘ครับ’ คำพูดสั้นๆ ขณะรับไดอารี่กับปากกามานั้น มันมีผลทำให้เขาต้องมานั่งบื้อใบ้อยู่ตรงนี้...

แต่เอาเถอะ เพื่อคนที่เขารัก...เพื่อลูกชายหญิงที่จะเกิดมาในอนาคต เขาจะต้องพยายาม

ชายหนุ่มนั่งหลับตาพยายามนึกอยู่นาน จนกระทั่ง...

ฝนวี...วีคิดอะไรไม่ออกจริงๆ นะ แต่วีจะพยายามเพื่อฝนแล้วกัน

หมึกปากกาสีน้ำเงินเข้มจรดจ่ออยู่นาน...ความคิดล่องลอยกระจัดกระจาย...ต้องมีสักความรู้สึกซิน่า...

ปฐวีนึกถึงการสอบข้อเขียนในวิชาออกแบบโครงสร้าง,กำลังวัสดุ ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าสองชั่วโมงในรั้วมหาวิทยาลัย...เขายังหน้าดำคร่ำเคร่งทำมันส่งอาจารย์ได้เลย...แค่บันทึกความรู้สึกแค่นี้น่าจะจิ๊บจ๊อย

 

เอาเป็นว่า หลังจากที่เท้าวีแตะพื้นสนามบินแล้ว วีก็เริ่มงานอันหนักหน่วงอีกครั้งทีเดียว...อีกครั้งทีเดียว...เอ้อ นึกออกแล้ว...วีจะเล่าตั้งแต่ตอนที่วีมาจากพิษณุโลกดีกว่าไหมฝน...ถ้าเล่าเป็นลำดับขั้นตอน วีรู้สึกว่ามันง่ายกว่านะ...วีเริ่มแล้วนะ ให้ฝนตั้งใจอ่านอย่าแอบหลับเด็ดขาด...เอ...เครื่องชักเริ่มติดแล้วฝน...

 

เขียนว่าเครื่องติดแล้ว แต่ว่ามีเสียงเคาะประตู...ปฐวีเดินไปดึงประตูไม้เข้ามาหาตัว เป็นคุณน้าภานุมาศของเขา ใบหน้าของ คุณน้าบึ้งตึง “เซ็งๆ เบื่อมากๆ โดยเฉพาะป้า-หลานดารานั่น วีทำอะไร”

น้าสาวมองหน้าหลานชายที่ทำหน้าปั้นยากไม่ตอบคำถามแล้วเลี่ยงเข้าไปข้างในห้อง โยนกระเป๋าเป้สะพายสีดำใบใหญ่ลงบนเตียงของตนที่เต็มไปด้วยเอกสาร ถ้าจะล้มตัวลงนอนคงต้องเก็บเรียงอีกนาน หรือเมื่อเก็บเรียงแล้วกว่าจะหาเจอก็คงอีกนานเหมือนกัน

“พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า แล้ววีไปที่ในครัวนะ น้าบอกแม่ชีแม่ครัวแล้วว่า จะให้ทำอะไรบ้าง แล้วก็ดูยกของไปที่ห้องอาหาร”

น้าภานุมาศกอดอกสายตาครุ่นคิด ปฐวีเดาใจคุณน้าไม่ออก

“อาบน้ำหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้วครับ” ว่าพลางชายหนุ่มผมรองทรงสูงดูสุภาพจะเดินมายังเตียงนอนของตน...แต่ “งั้นวี ออกไปข้างนอกก่อน น้าของผลัดผ้าหน่อย”

ปฐวีที่อยู่ในชุดกางเกงผ้าฝ้ายเสื้อยืดคอกลมสีขาวคว้าหนังสือท่องเที่ยว ‘4 สังเวชนียสถาน’ เล่มกะทัดรัดติดมือออกมาด้วย...เมื่อเดินออกมาจากห้องพัก เขาสวมรองเท้าแตะสีดำราคา  ร้อยกว่าบาทเดิน ลัดเลาะหมู่อาคารหลังคาทรงไทยมายังจุดที่จอดรถบัส ซึ่งเป็นที่โล่งมีลานปูนและสวนดอกไม้ที่เคยเห็นในเมืองไทย อย่างดาวกระจาย ดาวเรือง บานชื่นและบานไม่รู้โรย ล้อมรอบหอระฆังและพระอุโบสถ

ด้วยเป็นปลายเดือนพฤศจิกายน ทำให้อากาศค่อนข้างเย็น ปฐวียัดหนังสือเล่มนั้นลงในกระเป๋ากางเกง นึกถึงเสื้อกันหนาวสีขาวที่แม่ซื้อให้ใหม่ มันพาดอยู่บนหัวเตียง

อดทนหนาวสักครึ่งชั่วโมง คุณน้าคงอาบน้ำเสร็จ

ปฐวีกอดอก เหม่อมองสถาปัตยกรรมของพระอุโบสถที่ดู คุ้นตา...คล้ายที่วัดเบญจบพิตร มีหน้าบันจัตุรมุขลวดลายไทย

ใจครุ่นคิดว่าจะนำภาพที่ได้เห็นกลับไปเล่าเรื่องให้ฝนรู้เรื่องต่ออย่างไรดี...

แล้วในสายตาของเขาก็พบกับร่างระหงที่มีใบหน้าไม่เหยียดชื่นเหมือนที่เคยคุ้นจากหน้าจอโทรทัศน์และตามนิตยสาร หญิงสาวเดินก้าวฉับๆ มุ่งตรงมา...เมื่อมาจนใกล้ ปฐวีอยากทักทายด้วยเดินทางมาร่วมคณะ แต่เขาไม่รู้จะเริ่มต้นด้วยคำว่าอะไร

“นี่...ดวงต้องการน้ำร้อน อยากชงอะไรกินหน่อย”          เจ้าหล่อนเป็นฝ่ายเริ่มก่อนอย่างไร้ทีท่าขัดเขิน

เขาหันซ้าย หันขวา ทำหน้าเลิ่กลั่ก...ประหม่าเมื่อผู้หญิง สวย บาดตาซึ่งอยู่ในชุดกางเกงแนบเนื้อสีขาวกับเสื้อยืดแขนยาวคอเต่าเนื้อดียืนสะบัดผมดำเป็นประกายเงางามอยู่ตรงหน้า

“คุยอยู่กับตัวเองนั่นแหละ” น้ำเสียงนั้นบอกให้รู้ว่าใจเริ่มเย็น แต่ดวงตานั้นบอกว่าข้างในยังร้อนรุ่มอยู่ดี ปฐวีชี้มาที่หน้าอกตัวเอง...

“ก็คุณภานุมาศบอกว่ามีอะไรให้เรียกใช้ตัวเองได้”

“ครับ ใช้ได้” ปฐวีรีบตอบ...พลางยกมือขึ้นมาเกาหัว เขาเองก็ไม่รู้อะไรในวัดไทยพุทธคยาแห่งนี้มากไปกว่าเจ้าหล่อน

“เอาไปชงอะไรหรือครับ”

“เนสวีต้านะซิ ให้อดมื้อเย็นแบบนี้ ดวงตายแน่ๆ ...มันหิว”

แท้จริงดวงรัศม์ไม่ได้หิวโหย แต่เป็นเพียงความอยากให้มีอะไรตกถึงท้อง แทนผลสมออบแห้งสีดำสามลูกที่ลีดเดอร์ทัวร์ให้นายปฐวีเดินแจกเมื่อตอนออกมาจากหมู่บ้านนางสุชาดา หล่อนกลืนไม่ลง แม้มันไม่ขม แต่มันก็หาได้มีรสชาติถูกปาก อยากจะขว้างทิ้งแต่คุณป้าบอกว่าให้เก็บไว้

 

ปฐวีเลี่ยงไปยังห้องอาหารที่คิดว่าน่าจะมีของที่หญิงสาวต้องการ...เขาพบกระติกน้ำร้อนตั้งอยู่ที่บนโต๊ะมุมห้อง ชายหนุ่มคว้า แก้วใสออกมาจากกระบะ กดน้ำร้อนลงไป ความร้อนกระจายสู่เนื้อแก้วใส ทำให้ต้องรีบวาง เขามองหาจานสักใบที่จะรองกันร้อนๆ ...แต่ก็หาไม่เจอ

“ได้ไหม” ร่างระหงหอมกรุ่นของดาราสาวระดับนางเอกแถวหน้าของเมืองไทย...เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ตัวเขา...ปฐวีละล้า  ละลัง...มือไม้เกะกะไปหมด

“ร้อนนี่” นิ้วเรียว ข้อนิ้วเรียบไม่มีรอยแตกบ่งบอกให้รู้ว่าหญิงสาวไม่เคยทำงานหนักมาก่อน...

“ส่งซองมาซิฮะ เดี๋ยวผมจะชงให้” ดวงรัศม์ยื่นซองอาหารเสริมไปให้เขา แสร้งให้ปลายนิ้วอ้อยอิ่งอยู่กับมือที่สั่นนิดๆ นั่นของเขา...สำหรับเธอ ทริปนี้ถ้าไม่มีนายปฐวี หลานชายของคุณภานุมาศ ลีดเดอร์ทัวร์ปากจัด เธอคงกร่อยยิ่งกว่านี้เป็นแน่

“วีรู้ไหมว่าน้าวีนิสัยแย่มากๆ” ดวงรัศม์เอ่ยชื่อเล่นของ ชายหนุ่มออกมา จึงดูเป็นกันเองมากขึ้น

“ฮะ”

“คนเรามีความศรัทธา ความอดทนไม่เหมือนกัน แล้วจะมาบังคับกันได้อย่างไร นี่นะ ถ้าดวงรู้ว่าไม่มีอะไรให้กินในตอนเย็น ดวงให้คุณป้าหอบเสบียงมาจากกรุงเทพฯ แล้ว...เฮ้ย แต่ว่าไป ป้าดวงเองนั่นแหละตัวดีเลย อยากดัดสันดานดวง หน็อยบอกกับเราว่าจะพาไปอินเดีย เราก็นึกว่า อัคราฟอร์ด ทัชมาฮาล ที่อยากไป ที่ไหน

ได้ทัวร์ไหว้พระ...อย่างดวงเนี่ยนะ มาไหว้พระ...นักข่าวรู้คงจิกกัดกัน

ตาย” ใบหน้าเรียวได้รูปเชิดรั้งขึ้นอย่างถือดี

“แล้ววีตัดสินใจมาได้อย่างไร ไม่ได้ทำงานทำการอะไรเหรอ”

สีหน้าของดาราสาวดูผ่อนคลาย แต่ถึงกระนั้นปฐวีก็ยังไม่กล้าสบตาหรือจ้องมองสรีระของเธอตรงๆ

“ผมมาช่วยคุณน้า...เป็นสต๊าฟทัวร์นะครับ เพิ่งเรียนจบรองานอยู่” มือของปฐวีฉีกซองมาเทผงข้างในใส่แก้ว หาช้อนไม่ได้ จึงหยิบแก้วอีกใบมาวางไว้ แล้วแข็งใจไม่กลัวร้อนหยิบแก้วที่มีเนสวีต้ากำลังละลายอยู่เทใส่ลงไป แล้วก็เทกลับไปกลับมา เป็นการคนอาหารเสริมให้ละลายกับน้ำร้อน ที่คนดูอยู่รู้สึกทึ่ง

“ฉลาดจังเลย แต่หน้าเด็กๆ แบบนี้จบคณะอะไรมา...แต่อย่าเพิ่งบอกนะ ขอทายก่อน” นิ้วเรียวถูกยกมาเคาะที่ตรงข้างสมอง...ผมของหญิงสาวดำเป็นเส้นตรง ปฐวีนึกถึงตอนที่หล่อนสะบัดผมเพื่อให้เห็นเป็นประกายเงางามในโทรทัศน์...วันนี้เขาอยากชะแง้ไปดูใกล้ๆ อยากเห็นว่ามันมีสปริงจริงๆ หรือเปล่า...เคยถามฝน...      ฝนทิพย์ บอกว่า...

‘เฟคทั้งนั้นแหละ ทั้งไดร์ ทั้งเป่า หนีบ โกรก ทุกๆ วันจะเงา

งามได้อย่างไร’

จริงๆ เขาไม่เคยสนใจผม แต่ว่าที่น่าสนใจในตัวดวงรัศม์ในหมู่เพื่อนฝูงนั่นก็คือ ‘หน้าอก’ ที่ดูคล้ายกับว่าเจ้าหล่อนแบกไว้เกินน้ำหนักของตัวเอง...

“บัญชีใช่ไหม” ปฐวีตกใจที่เจ้าหล่อนดึงมือข้างขวาของเขาขึ้นมา...

“ดูมือก่อน...นิ้วแบบนี้ ไม่ใช่แน่ๆ”

ปฐวีรีบชักมือกลับมาจับกันไว้มั่น...ดวงรัศม์คว้าแก้วที่คิดว่าน่าจะอุ่นแล้วยกจ่อริมฝีปาก...ดื่มไปได้เศษหนึ่งส่วนสี่ของน้ำที่มีอยู่ในแก้ว เธอชะงักมือออก...

“เอ หรือว่าเรียนวิชาครู เคร่งขรึมแบบนี้น่าใช่นะแบ่งหน่อย

ไหม หรือว่าแอบกินอะไรในห้องนอน เห็นว่ามีกล่องเสบียงมาเพียบเลยนี่” เจ้าหล่อนเปลี่ยนเรื่องเร็วจนปฐวีคิดตามไม่ทัน

“ไม่ฮะ ตามสะดวกเลย”

“อ๊ะ เอาหน่อยนะ ดวงกินคนเดียวไม่หมดหรอก...แค่อยาก ไม่ได้หิวโหยอะไร” เธอยื่นแก้วให้เขา...ปฐวีรับมาถือไว้...

“ดื่มเลย ดื่มให้หมดหรือว่ารังเกียจกัน”

“ไม่ฮะ ไม่รังเกียจ แต่คุณดวงพอหรือครับ ดื่มไปแค่นิดเดียวเอง”

“อยากกินข้าว” ดวงรัศม์หาเรื่องชวนคุย

“ดื่มซิ เร็วๆ” น้ำเสียงของดวงรัศม์คะยั้นคะยอ ปฐวีจำต้องยกแก้วกระดกน้ำสีน้ำตาลมีกากธัญพืชลงท้องตัวเอง...ก่อนจะนึกขึ้นมาได้...

คุณน้าบอกว่า เนสวีต้าก็กินไม่ได้ ถือว่าไม่ใช่น้ำปานะ ตายแล้ว...ศีลของเขาขาดเสียแต่วันแรกเสียแล้ว ตั้งใจจะทำให้ได้ เพราะดวงรัศม์คนเดียว

“เป็นอะไรสีหน้าไม่ดี” ดวงรัศม์เร็วต่อความรู้สึกเช่นกัน

“คุณน้าบอกว่า ดื่มไอ้นี่ไม่ได้ ไม่ใช่น้ำปานะ”

“อ้าว...ดื่มไปแล้ว...ขาดด้วยกันซิ” แม้ไม่ได้ตั้งใจรักษาศีล 8 เหมือนหมู่คณะ แต่ว่าดวงรัศม์ก็ไม่ได้นึกอยากขัดกับนโยบายส่วนรวม แต่เมื่อมันพลาดไปแล้ว เพราะคุณป้าก็คงไม่รู้เหมือนกัน ถ้ารู้ก็คงไม่ติดกระเป๋ามาด้วย ไม่ใช่ความผิด ดวงรัศม์จึงยักไหล่...

“แม่ดวง” ดวงรัศม์หันกลับไปที่ประตู...คุณป้าที่มีผมบ๊อบหน้าม้ามาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถม(รึเปล่า) ถลึงตาเข้าใส่เจ้าหล่อน ทำนองว่า ดึกดื่นค่อนคืนมายืนคุยกับชายหนุ่มในที่รโหฐานแบบนี้ได้อย่างไร

“ดวงหิวน้ำค่ะ” ดวงรัศม์รีบผละจากชายหนุ่มไปหาคุณป้า

“กลับห้องนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า มาตั้งนาน ป้าห่วงจนนอนไม่หลับ”

ดวงรัศม์รีบไปจูงคุณป้าผละออกไป แต่ก่อนจะลับตา     หญิงสาวก็หันมายักคิ้วหลิ่วตาแบบเล่นๆ ให้กับเขา ปฐวีหน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมา...เขาสูดลมหายใจ นึกถึงเพื่อนในรั้วมหาวิทยาลัย พวกมันจะดีใจแค่ไหนที่วันนี้เขาได้มายืนชิดพูดคุยกับ

‘…….’ ไม่อยากจะเอ่ยมาเลย มันหยาบคายมากๆ ...แต่ตัวจริงของเธอไม่ได้ดูร้ายหรืออึ๋มเกินพิกัดแบบในทีวีสักนิดเลย...

 

ปฐวีกลับไปถึงห้อง เคาะประตูสามครั้ง คุณน้าเปิดออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม...

“หายไปไหนมา”

“เดินเล่นครับ” เขาตอบแล้วไปนั่งลงที่เตียงนอนของตนเอง คุณน้าซึ่งอยู่ในชุดกางเกงผ้ายืดสีขาวเสื้อยืดคอกลมแขนยาว         สีเดียวกันกลับไปนั่งคุดคู้บนเตียงก้มมองเอกสารเหมือนเคย

“ผมนอนก่อนนะครับ” ปฐวีล้มตัวลงนอน ดึงผ้าห่มออกมาคลี่คลุมกายแล้วพลิกตัวตะแคงหันหลังให้คุณน้าภานุมาศ ซึ่งเป็นน้องสาวคนเดียวของแม่...ใจของเขาครุ่นคิดถึงฝนทิพย์ ยังติดค้างเรื่องที่ต้องเล่าลงในไดอารี่...ถ้าเขาปล่อยมันทิ้งไว้จนถึงพรุ่งนี้ก็จะกลายเป็นดินพอกหางหมู

ปฐวีพลิกตัวเป็นนอนคว่ำ ไฟฟ้าที่หัวเตียงยังสว่างอยู่ คุณน้าคงยังไม่นอนง่ายๆ เขาเอื้อมมือไปหยิบสมุดที่ฝนทิพย์ซื้อให้ซึ่งมีปากกาคั่นอยู่ออกมาวางตรงหน้า

“ยังไม่นอนอีก ทำอะไร”

“เขียนบันทึกครับ” เขาพูดเบาๆ โดยไม่ได้หันไปหาดูว่า   คุณน้าทำอะไร...ด้วยรู้หลานชายคงต้องการความเป็นส่วนตัวบ้าง คุณน้าจึงเงียบเสียงไป

 

ฝนครับ เมื่อกี้กำลังเครื่องติดแต่ว่ามีเหตุให้ เครื่องดับไปเสียก่อน วีขอเล่าตั้งแต่ ตอนที่วีนั่งรถมาจากพิษณุโลกแล้วกันนะ วีถึงกรุงเทพฯ ตอนตีสามแน่ะ แล้ววีก็นั่งรถแท็กซี่จากหมอชิตไปคอนโดของคุณน้าที่อยู่ย่านประตูน้ำ ที่นี่วีเคยมาตอนที่น้าเขยของวียังมีชีวิตอยู่กี่ปีแล้ว ตั้งแต่วีอยู่ ม. 3 มั้ง ตอนที่เรานั่งรถมาซื้อคอมพิวเตอร์ที่ห้างพันธุ์ทิพย์ตอนนั้นวีกับฝนอยู่ปี 4 ตอนนั้นวีก็ไม่ได้พาฝนแวะมาหาคุณน้า...สรุปว่าคุณน้าลงมารับวีที่ข้างล่างหลังจากที่วีต่อโทรศัพท์ขึ้นไปหา...ห้องน้ารกมากๆ (ตอนที่เขียนบันทึกอยู่นี้ เตียงของคุณน้าก็รกมากๆ เลย) ฝนคงไม่ชอบคุณน้ามาศแน่ๆ มีคนไม่ชอบน้ามาศเยอะเลยนะ แค่   วันเดียวเอง วีรู้สึกว่าลูกทัวร์รู้สึกอึดอัดกับคุณน้ามาศ วีว่าน้ามาศเพี้ยนนิดหน่อยนะฝน วีต้องเล่าให้แม่ฟังแล้วหละ...แต่แม่ก็ไม่ได้มาวุ่นวายกับชีวิตน้ามาศนานแล้วนะ...(นินทาระยะเผาขนเลยนะฝน) คงช่วยแก้อะไรไม่ได้หรอก

 

 วีง่วงนอนแล้ว ขอวีเล่าต่ออีกหน่อยนะ พอได้ระบายออกมาอย่างนี้ทำให้ความคิดถึงฝนคลายลงไปได้มากทีเดียว อยากให้ฝนมาด้วยกันจังเลย วีคงสนุกกว่านี้...เอ้า กลับไปที่ประตูน้ำก่อนนะ...ตื่นเช้ามา น้ามาศออกจากห้องไปแล้ว ที่ห้องน้ามาศมีหมาพันธุ์พุดเดิ้ลตัวหนึ่ง ตอนแรกวีนึกว่าลูกแกะโดนตัดขนไปทำเสื้อกันหนาวเสียอีก ที่ไหนได้ มันเป็นหมาที่ถูกเลี้ยงในห้องมืดมานาน...สงสารหมาเหมือนกันนะ มันอยู่ในกล่องทั้งวันทั้งคืน ถ้าน้ามาศไม่อยู่บ้าน เขาก็จะจ้างคนที่พักอยู่ในตึกเดียวกันเอาอาหารมาให้...จะว่ามันสบายก็คงไม่ใช่...วีว่ามันมีกรรมมากกว่านะ

ตอนสายๆ น้ามาศกลับเข้ามาพร้อมอาหารเช้าของวี เป็นโจ๊กกับผลไม้ หลังจากอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาเริ่มงาน...น้ามาศมีคอนโดสองห้องอยู่ติดกันเลย อีกห้องหนึ่งน้ามาศซื้อเสบียงกรังทั้งหมดที่จะใช้ในการเดินทางมาอินเดียมาเตรียมไว้ แต่ยังไม่ได้แพ็กใส่กล่องเลย...น้ามาศมีรายการอาหารในแต่ละวันที่อินเดีย วีนั่งอ่านแล้ววีงงสุดๆ แต่วีก็ทำหน้าเข้าใจไปอย่างนั้นแหละ...สรุปว่า วันนั้นทั้งวัน น้ามาศโยนนั่นโยนนี่ลงกล่องส่วนวีเขียนบันทึกในกระดาษว่ากล่องหมายเลขนี้มีอะไร แพ็กติดกาวมัดเชือก แล้วยกไปรอไว้นอกห้อง...ช่วงนั้นน้ามาศแกก็เล่าเรื่องราวที่วีต้องไปพบเจอที่อินเดียให้วีได้รับรู้คร่าวๆ แต่วีนึกอะไรไม่ออกหรอกฝน จนกระทั่งวันนี้ตอนที่เท้าแตะพื้นดินอินเดียนี่แหละ...

วีจะเล่าข้ามไปนะ เอาตอนเช้ามืดที่วีตื่นมาตั้งแต่ตีสามก่อนดีกว่าวุ่นวายน่าดูเลย น้ามาศจ้างรถกระบะมาขนของ     ยาม(รปภ.) กดลิฟท์ ใช้รถเข็นมาขนกล่องลงไปข้างล่าง เสร็จเรียบร้อย เรารีบบึ่งมาที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เป็นครั้งแรกเลยฝนที่วีได้มีโอกาสมาสนามบิน มันตื่นเต้นปนหวั่นใจจะทำเด๋อด๋า...แล้วความวุ่นวายโกลาหลก็เกิดขึ้น

วีงุนงงไปหมด ไม่รู้ใครเป็นใคร คณะไหนบ้าง น้ามาศให้วีคอยช่วยเช็คกระเป๋าของคนอื่นๆ ว่ามีมาคนละกี่ใบ แถมน้ามาศยังขู่ด้วยว่า หากใครเอากระเป๋ามาเกินกว่าที่ได้ตกลงไว้จะให้ขนกลับบ้านไปเลย แล้ว ตอนนั้นใครที่มาส่งมันจะอยู่รอขนละฝน...คนเริ่มไม่ชอบน้ามาศกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนะ วีว่าบางทีน้ำเสียงของน้ามาศมันดูบังคับจิตใจกันอย่างไรไม่รู้นะ

แต่ผู้ร่วมเดินทางบางคนก็เหลือเกินจริงๆ ทำไมบางคนเอามาแค่กระเป๋าใบใหญ่ใบเดียวได้ แต่บางคนเล่นหอบมาเต็มพิกัดเลย...ตกหนักวีนี่แหละ ต้องช่วยลากตอนที่ออกมาจากสนามบินคยา...สนามบินคยา ตลกมากๆ เลยฝน มันดูเหมือนอาคารร้างกลางทุ่งนา ทีแรกวีคิดว่าจะพลุกพล่านแบบดอนเมืองบ้านเรา แต่นี่เงียบเชียบ มีเจ้าหน้าที่นิดเดียว ต่อคิวกันนานมาก แถมพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย เจ้าหน้าที่ก็หน้าตาน่าเกรงขาม

...วีง่วงนอนมากขึ้นแล้วนะ ฝนก็รู้ว่าวีไม่อดทนกับการอดนอน สรุปเลยแล้วกัน เรานั่งรถบัสขนาด 39 ที่นั่งออกจากสนามบินมาที่ วัดไทยพุทธคยา พอมาถึงก็วุ่นวายจัดคนเข้าห้องพัก บางคนก็ลากกระเป๋าไม่ไหววีต้องช่วยลากไปส่ง (วี อิ่มใจนะตอนที่ช่วยเขา แต่ น้ามาศบอกว่าไม่จำเป็นต้องช่วยทุกคนหรอก)

 เมื่อห้องพักลงตัวแล้วก็ถึงมื้อกลางวัน มีกรุ๊ปทัวร์หลายคณะมาก (เขามาก่อนพวกเรานะ) ห้องอาหารแน่นไปหมดเลย แต่เราก็กินข้าวกันจนได้แหละ

ตอนบ่ายพระอาจารย์พาพวกเราไปสถานที่สำคัญแห่งแรก เจดีย์พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า...คนเยอะน่าดูเลยฝน ปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก อยากให้พ่อกับแม่มาเห็นจังเลย ทำไมตอนนั้นคิดถึงพ่อกับแม่ขึ้นมาได้ก็ไม่รู้...แต่ที่รู้ๆ วันนี้วีโทรกลับไปหาพ่อกับแม่มาแล้วนะ บอกว่าคิดถึงพ่อกับแม่จังเลย แม่ร้องไห้อีกบอกว่าคิดถึงวีเหมือนกัน...วีก็เลยรู้สึกว่าวันนี้วีโตขึ้นแล้วนะ ถ้าได้งานขึ้นมา ถ้าวีไม่ได้อยู่ที่พิษณุโลกเหมือนเดิม พ่อแม่คงรู้แล้วว่า จะต้องรู้สึกอย่างไร

วีไม่โทรหาฝน ฝนอย่าโกรธวีนะ ก็ฝนให้วีเขียนบันทึกนี่ วีก็เลยงมๆ เขียนอยู่นี่ไง เอ เราไปไหนต่ออีกนะ ไปบ้าน       นางสุชาดา แล้วก็เดินผ่านทุ่งนาไร่ผักคะน้าไปที่ต้นไทรที่       นางสุชาดาถือถาดไปถวายข้าวมธุปายาส หลังจากนั้นก็เดินผ่านเนินทรายผืนใหญ่ไปที่อุรุเวลาเสนา-นิคม ที่สามพี่น้องตระกูลกัสสะปะบำเพ็ญเพียรแล้วก็เดินวกกลับมาที่ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตรงจุดที่พระพุทธองค์ทรงลอยถาดทองคำ อธิษฐานว่าถ้าหากได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าในคืนนี้ขอให้บาตรลอยทวนกระแสน้ำ...

วีฟังอะไรเยอะแยะจากพระอาจารย์ที่นำมามากมายแต่วีไม่รู้อะไรมาก...วีเสียดายเหมือนกันนะ รู้อย่างนี้วีอ่านหนังสือพุทธประวัติมาสักเล่มก็ดีหรอก

ตอนเย็นวันนี้หลังจากที่พวกเราอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว พระอาจารย์ก็พาพวกเรากลับไปที่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์อีกรอบ ไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นกัน...วีพยายามสวดตามเขาให้ได้นะ ไหนๆ ก็ได้มาแล้ว อยากเก็บบุญไปให้มากที่สุด บางคนก็บอกว่าวีโชคดีที่ได้มาที่นี่ตั้งแต่อายุเท่านี้...บ้างก็ว่ามีบุญด้วย...ทั้งโชคดีและมีบุญ

 มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรที่วีเห็นเยอะแยะเชียว แต่วีเล่า  ไม่ถูก ดึกแล้ว นอนก่อน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า...คิดถึงฝนนะ...คิดถึงมากด้วย...รัก...วี

 

เสียงละหมาดังตั้งแต่ดวงตะวันยังไม่ขึ้นจากขอบฟ้าเสียงร้องจิ๊บจั๊บของนกกระจิบที่เกาะอยู่บนยอดไม้หลังตึกพักไม่ได้ช่วยปลุกร่างระหงที่นอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา มือบางแต่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาเขย่าเบาๆ ไปที่กองผ้าผืนนั้น “ตื่นได้แล้วดวงรัศม์”...

“ยังง่วงอยู่เลย จะรีบไปไหนละคะ” มีเสียงอู้อี้เล็ดลอดออกมา...

“จะรีบไปไหน คุณมาศนัดเจ็ดโมงครึ่งให้พร้อมกันที่ห้องอาหารนะ แปดโมงครึ่งจะต้องออกเดินทางกันต่อนะ”

“โอ๊ย ไม่ไหวหรอกค่ะป้าแวว ถ้าลุกตอนนี้ดวงตายแน่ๆ นอนครบแปดชั่วโมงที่ไหนกัน”...

“เมื่อคืนก็มัวไปคุยอยู่กับเด็กนั่นอยู่ทำไม...เร็วลุกๆ อย่าโอ้เอ้...จะเก็บกระเป๋า เดี๋ยวขนออกไปไม่ทันเขา” ผ้าห่มถูกดึงออกมาเหมือนเมื่อครั้งดวงรัศม์เป็นเด็กๆ

ใบหน้าได้รูปนั้นยังหลับตาพริ้ม ขนตาเป็นแพยาวทำให้รูปหน้านั้นน่ามองยิ่งขึ้น...

...ดวงรัศม์มาอยู่กับคุณป้าตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ตอนนั้นคุณพ่อของหล่อนย้ายไปประจำการอยู่ในจังหวัดชายแดนที่มีปัญหากับเพื่อนบ้าน และด้วยกลัวว่าลูกสาวคนโตของน้องชายจะได้รับอันตราย

ในฐานะพี่สาวที่ทำงานส่งเสียน้องชายจนได้ดี มียศ มีตำแหน่งในวงการสีกากี การเอ่ยปากขอร้องจึงหมายถึงการบังคับไปในตัว แม่ของดวงรัศม์ไม่เห็นด้วย เพราะถ้าลูกอยู่กับป้าตั้งแต่เด็ก คนเป็นแม่ก็จะหมดความสำคัญ แต่ว่าพ่อของดวงรัศม์ไม่สามารถขัดความต้องการของป้าแวว ด้วยรู้จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของพี่สาวใหญ่ที่

ไม่ยอมแต่งงานคนนี้

ความเห็นอกเห็นใจจึงเกิดขึ้น...

“เราค่อยทำลูกกันใหม่ ยกให้พี่แววเขาไป เขาจะได้อุ่นใจว่าแก่เฒ่าไปจะได้มีคนดูแล”

พ่อคิดอย่างนั้นก็ถูก แต่ดวงรัศม์หาได้เข้าใจ หล่อนคิดว่า พ่อกับแม่ทิ้งขว้างหล่อนไว้กับป้าเพียงเพราะหล่อนเป็นผู้หญิง เด็กผู้หญิงที่ไม่มีความสลักสำคัญอะไร

ดวงรัศม์เติบโตมากับกฎระเบียบต่างๆ ที่ป้าเนรมิตขึ้นมา เพื่อให้หล่อนเหมาะสมกับคำว่ากุลสตรีไทย แต่หล่อนก็พร้อม    แหกกฏอยู่เสมอ...เพราะคนที่ตั้งกฎนั้นไม่ใช่พ่อแม่บังเกิดเกล้า ไม่ใช่คนที่จะสามารถชี้เป็นชี้ตายกับหล่อนได้ ดวงรัศม์เป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันหล่อนก็สำนึกและเห็นใจว่าคนที่มอบความรักให้หล่อนนั้นทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับหล่อนมากน้อยแค่ไหน...ถ้าเทียบกันระหว่างหล่อนและน้องชายอีกสองคนที่พ่อแม่เลี้ยงดูเอง

          หล่อนถือว่าสุขสบายกว่าเป็นไหนๆ คุณป้าเป็นข้าราชการตำแหน่งสูง ด้วยเป็นคนมัธยัสถ์อดออม และได้สมบัติส่วนหนึ่งมาจาก คุณตาคุณยาย คุณป้านำมาลงทุนซื้อตึกแถวให้คนเช่า บางส่วนเก็บฝากธนาคารกินดอกเบี้ย ทำให้สมบัติของป้างอกเงยขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีเงินแล้ว นอกจากทำบุญตามกาล คุณป้ายังทุ่มลงมาเพื่อความสมบูรณ์พร้อมของหลานสาวเพียงคนเดียว...

ดวงรัศม์เรียนในโรงเรียนสตรีล้วนสัญชาติอังกฤษ หล่อนพูดภาษาอังกฤษได้อย่างดียิ่ง หลังเลิกเรียน นอกจากวิชาการ แล้วหล่อนต้องเรียน เต้นรำ ร้องเพลง ว่ายน้ำ สารพัดวิชาที่ใครๆ เขานิยมส่งบุตรหลานไปเรียนกัน ดวงรัศม์เป็นคนเข้ากับคนได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกันหล่อนก็ผละออกจากคนได้ง่ายๆ เช่นกัน

หล่อนมักปรารถนาที่หนึ่ง จึงทำให้ชีวิตของหล่อนต้องตะเกียกตะกายอยู่ตลอดเวลา...

 

เมื่อแซะหลานออกจากที่นอน ให้ลุกขึ้นไปอาบน้ำได้แล้ว คุณป้าแวว ก็รีบหยิบชุดกางเกงกับเสื้อสีขาวและชุดชั้นในมาวางไว้รอท่าบนเตียงนอน เมื่อดวงรัศม์ออกมา ด้วยผ้าพันกายผืนเดียว ครีมทาผิวจึงถูกละเลงทั่วตัวโดยเร็วไว นี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุก่อนการตัดสินใจซื้อทัวร์มาทริปนี้กับคณะพระอาจารย์บุญช่วย แววตาจึงต้องขอคุยกับคนจัด ทริปก่อน บอกเหตุผลส่วนตัวว่าไม่สามารถหลับนอนร่วมกับคนอื่นได้เพราะอะไร หลานของนางเป็นดารา ภาพที่ออกสู่สาธารณชนนั้น คือตัวอย่างของความดีงามทั้งหมด หากใครรู้ว่าต้องมาแซะหรือเอาอกเอาใจกันขนาดนี้ แล้วไปพูดปากต่อปาก ภาพของหลานสาวที่น่ารักก็จะกลายเป็นน่าหมั่นไส้ได้

กว่าดวงรัศม์จะมีวันนี้ได้ นางเองก็หมดไปไม่ใช่น้อย แต่วงการบันเทิงก็ทำให้หลานสาวที่เคยสดใสสมวัยเปลี่ยนไป ดวงรัศม์หยาบกร้านขึ้น...การแต่งเนื้อแต่งตัวที่ดูดีมีรสนิยมแบบเรียบๆ กลายเป็นเอ็กซ์อึ๋มเพื่อทำให้ตัวเองโดดเด่นอยู่ตลอดเวลา แม้พร่ำบอกแค่ไหน ว่ามันเป็นพิษเป็นภัยต่อตนเองทั้งโลกนี้และโลกหน้า แต่ดวงรัศม์หาได้เชื่อฟัง

“ถ้าคนอื่นตกนรกเพราะแต่งตัวโป๊...ก็คงไม่ใช่ดวงคนเดียวที่ ตกนรก...และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในนรกเพื่อนในวงการบันเทิงคงเยอะดี จะได้คุยกันรู้เรื่อง”

ดวงรัศม์ไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ชาติหน้า อย่างที่ป้าแววเชื่อ สุดหัวใจ อีกหนทางที่จะหยุดความแรงของดวงรัศม์ดาราเจ้าบทบาทเบอร์หนึ่งของช่องได้คือ ดินแดนพุทธภูมิ...

และแน่นอนว่า หากบอกตรงๆ นางก็จะไม่มีวันได้หลานสาว ตัวดีมาด้วยอย่างแน่นอน...

คิวที่ขอความร่วมมือจากแม่ผู้จัดการตัวดี ที่ดวงรัศม์ได้รู้คือ อินเดีย ทัชมาฮาล ราชสถาน หาใช่ 4 ตำบล.สังเวชนียสถาน

สังเวชนียสถาน...สถานที่ก่อให้เกิดความสลดสังเวชใจ น่าจะช่วยให้ดวงรัศม์คลายความทะเยอทะยานและดำเนินชีวิตอยู่บนทางสายกลางได้บ้าง

...นั่นคือความปรารถนาของคุณป้าแวว

รายละเอียด

กลิ่นอายความรักท่ามกลางความแตกต่างทั้งเรื่อง ฐานะ อายุ สถานภาพทางสังคมที่อบอวลไปด้วยความดีงามภายในจิตใจของคนสองคน ก่อเกิด บนเส้นทางแสวงบุญ สี่สังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

 
ปฐวี วิศวกรหนุ่มวัย 22 ปี รอเรียกเข้าทำงาน ต้องเดินทางไป ประเทศอินเดีย เพื่อช่วยน้าสาวทำหน้าที่ลีดเดอร์ทัวร์ แต่หัวใจของเขาก็ต้องมาหวั่นไหว เมื่อได้พบกับ ดวงรัศม์ ดาราเจ้าบทบาทผู้ร่วมทริปครั้งนี้
 
แม้ว่าทั้งสองคนพยายามที่จะปฏิเสธความต้องการของหัวใจตนเอง เพราะรับรู้ถึงความแตกต่างและปัญหาที่จะตามมา
 

..แต่สุดท้าย ความรักที่เกิดขึ้นทีละเล็กละน้อยท่ามกลางความเลื่อมใสศรัทธานี้ มันกลับกลายเป็นความเข้าอกเข้าใจกันและกัน จนยากจะลืมเลือน..

คำนำนักเขียน

เมื่อปี 2545 ประเทศไทยได้อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาจากประเทศจีน ครานั้นทำให้ผู้เขียนมีความสนใจเรื่องพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุเจดีย์ จนกระทั่งตั้งจิตไว้ว่า จะต้องเดินทางไปสักการะ พระธาตุเจดีย์ทั่วโลกให้ได้ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่เมื่อได้มีเจตนาไปแล้ว การกระทำเพื่อให้ถึงจุดหมายจึงได้เริ่มต้นขึ้น นั่นก็คือเริ่มต้นจาก พระธาตุเจดีย์ในประเทศไทย...ค่อยๆ เก็บไปทีละองค์ แต่ว่าทุกองค์ที่ได้ไปกราบนั้น ก็ได้ไปตั้งจิตไว้ว่า อยากไปตามรอยบาทพระบรมศาสดา ที่ประเทศอินเดีย ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และใช้เงินมากเกินวัยเกินฐานะของเด็กหนุ่มวัยยี่สิบกว่าๆ จนกระทั่งได้อธิษฐานแบบลองของว่า

ขอให้ได้ไปตามรอยบาทของพระศาสดาที่อินเดียเป็นอัศจรรย์ด้วยเทอญ

จะด้วยคำอธิษฐาน แรงปรารถนา หรือว่าบุญกุศลใดๆ มาส่งผล ทำให้ผู้เขียนได้ไปที่อินเดีย แบบอัศจรรย์ถึงสองครั้งสองครา

...ไปครั้งแรกเมื่อปี 2549 ก็คิดไว้ในใจว่า อยากเขียนนิยาย สักเรื่องที่ใช้ฉากสี่สังเวชนียสถาน แต่ว่าก็ไม่ได้เข้าไปลุมพินี ที่เนปาล เพราะว่าติดปัญหาทางการเมืองของประเทศเขา

          แต่ถึงอย่างไรก็เริ่มวางพล็อตและคิดชื่อเรื่อง ตอนนั้นคิดว่าจะใช้ชื่อเรื่องอะไรถึงจะทำให้คนอ่านทราบตั้งแต่อ่านชื่อเรื่องเลยว่าเรื่องนี้ใช้ฉากอินเดียนะ จนกระทั่งรู้สึกประทับใจกับชื่อนิยายของเพื่อนนักเขียนด้วยกันงานนั้นเริ่มต้นที่ชื่อ ‘แสงดาว’ แต่งานของเราต้องการคำลงท้ายที่มีชื่อว่า ‘อินเดีย’

 

 

 
 
 

 

 


คิดอยู่นาน จนกระทั่ง คิดจะตั้งชื่อ ‘แสงดาวที่อินเดีย’ แต่ถ้า ตั้งอย่างนั้น คงหมายถึงพระสงฆ์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในอินเดีย ซึ่งน่าจะเข้ากับ ชื่อเรื่อง แต่ว่าเรื่องที่ตนเองได้วางพล็อตไว้นั้น คอนเซ็ปไม่ใช่เรื่องของพระสงฆ์ที่ต้องหนักหนาสำหรับคนเขียนและคนอ่านแน่ๆ เราต้องการเขียนเพียง คนหนุ่มคนสาวคู่หนึ่งที่ไม่มีภูมิความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเลยสักนิด แต่ว่าทั้งคู่ต้องไปเจอกันที่นั่นด้วยเหตุบางอย่าง และเหตุนั้นทำให้ทั้งสองคนผูกพันกัน จนขนาดที่ว่าความสูงต่ำทางอายุและฐานะนั้นไม่สามารถกั้นความรักได้

แล้ววันหนึ่งผู้เขียนก็ได้นั่งรถจากนครสวรรค์เพื่อไปเมืองโบราณ สมุทรปราการ ระหว่างที่ก็นั่งรถไป ท่องอยู่ในใจว่า แสงดาว อินเดีย แสงดาว อินเดีย...และชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นมาตรงกลางสองชื่อนั่นก็คือความเป็นตัวตนของพระเอกที่ต่างจากนางเอกผู้เป็นดาราสูงส่งเป็นอย่างมาก...

          แสงดาว ไอดิน อินเดีย

พอชื่อนี้วาบขึ้นมา ความรู้สึกแบบว่า...ใช่เลย ก็ตามมาด้วย...นอกจากนั้นก็ยังรู้สึกตื้นตันใจและก็ปลาบปลื้มใจว่างานสืบสานอายุของพระพุทธศาสนาอีกชิ้นหนึ่งกำลังจะเกิดขึ้นด้วยฝีมือของเรา

จนกระทั่งความอัศจรรย์เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองปี 2550 พี่สาวใจดีคนหนึ่ง ที่ได้รู้จักกันเมื่อครั้งที่ได้เดินทางไปอินเดียครั้งแรก โทรมาชวนให้ไปช่วยทำงาน...แบบที่พระเอกในเรื่องนั้นทำ ตอนนั้นลังเลว่าจะลาออกจากงานประจำดีไหม แบบตอนนั้นตึงกับงานสอนหนังสือเหมือนกัน...แต่ว่าถ้าเลือกเป็นนักเขียนอย่างเดียว มีโอกาสไส้แห้งแน่ๆ แต่ในที่สุด...เมื่อมีช่องทางไปตามรอยพระบาทให้ครบทั้งสี่ที่อีกครั้ง กับเก็บข้อมูลเขียนนิยายที่อยากเขียนมากๆ ...จึงตัดสินใจลาออก แบบคิดในใจว่ากลับมา ไม่มีจะกินก็ช่าง...แต่ว่าลึกๆ ก็มั่นใจว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะด้วยเดชแห่งบุญคงไม่ทำให้อดอยาก ช่วงนั้นมี บุญกฐินตลอดเดือน ก็อธิษฐานว่า...

‘ให้มีบริษัทละครตัดสินใจซื้อนวนิยาย ‘ชิงชัง’ นามปากกา

‘จุฬามณี’ ไปสร้างละครทีเถอะ’ เหตุผล เพราะจะได้มีเงินไปทำบุญ กับกลับมาจะได้มีเงินประทังชีวิต...และก่อนจะเดินทางไปเพียงไม่กี่วัน ค่ายละคร บริษัทเอ็กแซ็กท์ ที่ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะสนใจงานแนวลูกทุ่ง พีเรียดจะติดต่อมาขอซื้อในวันนั้น ...เลยได้เงินก่อนไป กลับมามีเงินใช้ นั่งทำงานเขียนสบายๆ ตลอดปี 51...ไม่รู้จะเรียกว่าบุญหรือเปล่า?

          ไปแล้วกลับมาก็ยังเขียนไม่ได้ ไปเขียนเรื่องอื่น เพราะกลัวทำออกมาอย่างที่ตั้งใจไว้เสียสูงส่งไม่ได้ จนกระทั่งคิดว่า ถ้าไม่เริ่มก็ไม่รู้ปัญหาถ้าไม่เริ่มเรื่องก็ไม่จบในฤดูพรรษาของปี 2551 งานชิ้นนี้จึงเริ่มต้นขึ้นด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยศรัทธาและก็ตระหนักว่ารักต้องหวาน เอาใจตลาด แรกทีเดียวตั้งใจจะค่อยๆ คิดและทำไปให้ถึงสิ้นปี แต่ก็รวดเร็วกว่าที่ได้คิดไว้...จนกระทั่งได้นำไปโพสต์ไว้ในบล็อกแก๊งค์...

        -Thanks for the good story that you wrote. I insist that your writing are different from other people. Keep up the good work.

        -ขอบคุณอีกครั้งที่เขียนเรื่องดีๆ ให้ได้อ่าน ผมชอบเรื่องนี้มากนะครับ มีแง่คิดดีๆ มากมาย และเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาที่ไม่น่าเบื่ออีกด้วย ขอชมจากใจจริงว่าเก่งมากๆ ครับ

        -สนุกดีนะ ทำให้มองเห็นการใช้ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง ที่สามารถนำธรรมะมาปรับใช้ได้

          -เรื่องนี้ขอบอกว่าอ่านแล้วทำให้ความอยากไปอินเดียปะทุขึ้นมาอีก มีกลุ่มทัวร์ไหนแนะนำไหมคะ ดิฉันอยากไปมาก แรกๆ คิดว่าจะไปแบกเป้เอง แต่ยังไม่พร้อม เพราะต้องศึกษาเยอะ ช่วงนี้ไม่มีเวลามากนัก อ่านเรื่องของคุณแล้วรู้สึกว่าไม่ควรรอ (อีกต่อไปแล้ว) ค่ะ

-เรื่องนี้ทำให้ความฝันที่รันเคยอยากไปอินเดียมาตลอด กลับมาอีกครั้ง คุณเฟื่องเก่งจังค่ะที่สามารถนำเรื่องพุทธศาสนามาเขียนเป็นเรื่องในงานเขียนของคุณ ให้คนอ่านสามารถอ่านไปได้เรื่อยๆ แบบไม่น่าเบื่อ ได้ความบันเทิง ได้ความเข้าใจ ได้แนวทางแบบค่อยซึมซับฯลฯ

ครับเป็นกำลังใจเล็กๆ ที่ตอบกลับมา แต่ก็มีหลายเสียงที่แตกต่างออกไปทำนองว่า...กลัวศาสนา กลัวข้อมูลหนักๆ ที่ยังไม่อยากจะรู้ เพราะยังไม่แก่ตัวจนต้องคิดพึ่งศาสนา จนกระทั่งคนเขียนลังเลว่าจะเอาออกดีไหม มีแต่รักล้วนๆ ดีไหม สาระไม่ต้อง จนกระทั่งได้ไปไหว้พระที่วัดระฆังฯ ขณะทดท้อห่อเหี่ยวกับต้นฉบับ ก็ได้มองเห็นหนุ่มสาววัยรุ่นถือธูปเทียนทอง ดอกไม้ เดินกันไปมา...เอ้า...ใช่ว่าวัยรุ่นวุ่นรักจะไม่สนใจศาสนา พวกเขาสนใจ แต่ว่ามันยังไม่มีสื่อที่ทำให้เขาสนใจจนเข้าใจหรือเปล่า...ความปลาบปลื้มใจแล่นเข้ามา...เออ งานรักที่มีกลิ่นของพระพุทธศาสนา ที่ทำไปแล้ว มันดีแล้ว ถูกทางแล้ว...

จนกระทั่ง นำต้นฉบับไปให้อาจารย์ท่านหนึ่งที่เป็นนักอ่านนิยายมานาน ท่านก็บอกว่า ‘ฉันรู้สึกว่ามันจะได้พิมพ์รวมเล่มอย่างรวดเร็วเพราะมันมีมากกว่านิยายรักหวานซึ้ง’

จนกระทั่งสำนักพิมพ์ Simply books ได้พิจารณาและก็ได้ให้คำตอบรับอย่างรวดเร็วตามที่อาจารย์ท่านได้เอ่ยปากบอกไว้...

สุดท้ายขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ทำให้ผู้เขียนมี ‘วันดีดีที่อินเดีย’ จนได้

ขอบคุณครับ

ชอนตะวัน (จุฬามณี-เฟื่องนคร)


 


พื้นที่สปอย

 

การทำใจให้ดีเพื่อให้ถึงวันนั้น กับทำใจทุรนทุรายเพื่อให้ถึงวันนั้น..ใช่ซิ คนสามารถควบคุมหัวใจตัวเองได้ เขาจะใช้อะไรคุมใจไม่ให้ทุกข์...ใช่ ‘สติ’ หรือเปล่า"

นี่คือหนึ่งในความคิดของปฐวี ระหว่างที่เขาไปแสวงบุญ ณ สังเวชนียสถานสี่แห่ง ณ ที่นี้ นอกจากเขาจะได้เรียนรู้ถึงพุทธศาสนาที่ยั่งยืนมากว่าสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว เขายังได้เรียนรู้ถึงความรักที่เพิ่งก่อเกิดอีกด้วย ซึ่งรักครั้งนี้ของเขา ไม่ใช่เป็นรักครั้งแรก แต่เป็นความรักที่ทำให้เขาเรียนรู้ถึงความจริงในความคิดที่ว่ามาข้างต้นได้อย่างดี เหมือนกับคำพูดของหลวงพี่แอ (โชคดีไปที่ไม่ใช่เณรแอ) "ถ้าเราใจเย็น ปล่อยชีวิตให้ไปตามเวลาของมันเดี๋ยวมันก็ดีไปเอง ..”

เท่าที่อ่านมาจนจบ เราบอกตัวเองว่า คุณเฟื่องคนเดิมกลับมาแล้ว กลับมากับงานสร้างสรรค์ที่มีจุดยืนและเอกลักษณ์เฉพาะตัว "สร้างสรรค์แต่ไม่ซีเรียส" กับนวนิยาย "แสงดาว ไอดิน อินเดีย"

ยอมรับว่านวนิยายที่เป็นงานเกี่ยวกับศาสนา เป็นงานที่เขียนยากมาก จะเขียน จะเล่าอย่างไร นักอ่านถึงจะไม่วางมันลง หรือท้อเสียก่อนที่จะอ่านจนจบ เพราะคนส่วนใหญ่จะเบื่อ และมักคิดไปก่อนว่า ถ้ามีศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง นวนิยายเรื่องนั้นจะน่าเบื่อ และนึกไม่อยากอ่านขึ้นมาทันที

ต้องขอแย้งว่า สำหรับ "แสงดาว ไอดิน อินเดีย" นั้น อยู่นอก เหนือกฏเกณฑ์ที่ถูกกล่าวหามาทั้งหมด คุณเฟื่องทำให้เรื่องของศาสนาพุทธ น่าศึกษา ค้นคว้า อยากเรียนรู้เพิ่มเติมมากขึ้น โดยผ่านตัวละครเอกสองตัวคือ ปฐวี กับดวงรัศม์

ต้องบอกว่าพรหมลิขิตบันดาลให้คนทั้งสองมาพบกันได้ถูกที่ถูกเวลาถึงแม้ฝ่ายหญิงจะเป็นดาวที่อยู่สูงสุดสอย และฝ่ายชายจะต่ำค่าเพียงดินก็ตามแต่ด้วยทั้งสองเชื่อมั่นและศรัทธากับคำอธิษฐาน ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคาศักดิ์สิทธิ์ จึงทำให้เขาและเธอกล้าที่จะต่อสู้กับความรักที่มีฐานะเป็นอุปสรรคใหญ่ขวางกั้น

ถึงแม้ในเรื่องนี้พระเอกของเรา จะอ่อนวัยกว่านางเอก แต่ความคิดของเขาไม่ได้ด้อยตาม เขากล้าที่จะเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ    กล้าที่จะรอคอย ถึงแม้บางครั้งจะท้อกับจุดหมายที่มองแทบไม่เห็นแสงสว่างตรงปลายอุโมงค์ก็ตาม

ในขณะที่ ฝ่ายหญิงซึ่งเป็นดาวอยู่บนฟากฟ้า เธอรู้ตัวและมีสติกับความรักครั้งนี้อย่างดี ไม่ผลีผลามทำตามใจตน เอาความมีสติเข้ามาตัด สินใจในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับความรักเธอจึงยืนหยัดและรอคอยให้ฝ่ายชายได้มีโอกาสพิสูจน์ความรัก

ในขณะที่เธอเองก็โน้มลงดิน เมื่อความรักเดินทางมาถึงพร้อมกับเวลาของมัน ต้องบอกว่าคำพูดข้างบนที่ยกตัวอย่างมานั้น คุณเฟื่องนำมาใช้กับตัวละครทุกตัวได้อย่างแนบเนียน เนียนจนเราไม่รู้สึกว่า เราเองก็กำลังซึมซับคำพูดเหล่านั้นเข้าไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว สำหรับเราเองเดือนหน้าจะเดินทางไปอินเดียด้วยเช่นกัน เป็นการไปสักการะบูชา สังเวชนียสถานสี่แห่ง

การอ่าน "แสงดาว ไอดิน อินเดีย" ในวันนี้ ทำให้เราพร้อมที่จะเดินไปพบภาพความประทับใจ ความเต็มตื้นกับสิ่งที่เจ้าของเรื่องบรรยายไว้ และไม่นึกกลัวกับสภาพแวดล้อมที่จะไม่สุขสบายเหมือนบ้านเรา เพราะเรามีสิ่งหนึ่งที่ยึดเหนี่ยวในใจคือ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงพากเพียรพยายามหาหนทางแห่งการดับทุกข์นั้นจนเจอและทรงมุ่งมั่นเผยแผ่ศาสนา ให้ยั่งยืนตราบมาจนถึงทุกวันนี้

"นายแน่มาก !" ยกนิ้วให้ด้วย

สุดท้ายเหมือนเดิม นี่คือความคิดเห็นส่วนตัวที่มีต่อ "แสงดาว ไอดิน อินเดีย" หากท่านอ่านแล้วคิดเห็นเป็นอื่น ไม่ใช่ความผิดของท่าน และไม่ใช่ความผิดของข้าพเจ้าด้วยเช่นกันที่จะคิดเห็นดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

ขอพระคุ้มครองค่ะ

โมริสา/อรอร (นักเขียน)


สวัสดีค่ะน้องเฟื่อง

 

อ่านจบแล้วค่ะสำหรับ ‘แสงดาว ไอดิน อินเดีย’ ชอบเรื่องนี้มากค่ะ ให้ความคิดเรื่องชีวิตคู่ได้ดีมากๆ เอาเป็นว่าสำหรับแนวนี้(ศาสนา) ทั้งหมด 3 เรื่องที่ผ่านมา (ตะเกียงกลางพายุ,อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง, แสงดาว ไอดิน อินเดีย) พี่ชอบเรื่องนี้ที่สุด คือว่ามันเป็นแนวที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ และใช้ได้ในขณะที่เรามีคู่ครองอยู่นี่แหละ (พี่ถึงได้ชอบหนังสือธรรมะของหลวงพ่อฤษี เพราะท่านจะสอนเรื่องที่ทำให้เราปฏิบัติธรรมในขณะที่เรามีครอบครัวได้)

ถ้าพูดถึงเรื่อง  ...ตะเกียงกลางพายุ ... ก็จะออกแนวสำหรับคนที่คิดอ่านจะมีครอบครัวหรือผิดหวัง ในครอบครัวแล้วจะทำให้ไม่อยากมีครอบครัว แต่มุ่งไปทางสายตรงได้เลย

สำหรับเรื่อง ... อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง... ก็เป็นแนวเดียวกันคือว่า พยายามที่จะปฏิเสธการมีครอบครัวและต้องหักใจตัวเอง เพื่อให้เดินตามเส้นทางที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ว่ามันดีกว่า ถึงเราจะต้องฝืนทำ (เพราะการฝึกจิตมันก็คือการฝืนทำทั้งนั้น) แต่ก็เห็นผลในบั้นปลายว่าถ้าเราทำได้ เราต้องมีความสุขในบั้นปลายแน่นอน แต่สำหรับ ... แสงดาว ไอดิน อินเดีย.. พี่ว่าเรื่องนี้มันเปิดกว้างตรงที่มันเป็นนิยายรักที่ควบคู่ไปกับธรรมะ คือว่าคนที่มีรัก มีคนรัก มีสามี มีภรรยา ก็สามารถที่จะปฏิบัติตามได้ อีกอย่าง เหมือนกับเป็นการชี้ทางสว่างให้เลยค่ะ อย่างสมมติว่าพี่น่ะอ่านหนังสือธรรมะของหลวงพ่อท่านจะกล่าวและแนะนำลูกศิษย์แบบนี้ตลอด แต่มันก็เหมือนกับพออ่านๆแล้ว ซักพักก็ลืม และละเลย

แต่นี่น้องเฟื่องนำเสนอในรูปแบบนิยายรัก ที่มีความเศร้า สุข ซึ้งใจ ให้ได้อ่านมันก็เหมือนกระตุ้นให้พี่ต้องระลึกถึงและก็จดจำ คนเราบางทีมันต้องมีสื่อดีๆ ถึงจะเข้าใจง่าย และจำได้ง่าย เพราะเรามันเขลาปัญญาไอ้จะอ่านหรือฟังธรรมนิดเดียวน่ะ มันเป็นไปได้ยากมากกกกก

พูดถึงเรื่องของฝนทิพย์กะดาวเหนือ ทีแรกพี่อ่านแล้วก็นึกตำหนิสองคนนี้นะ ว่าใจเร็วด่วนได้ และมักง่าย ยิ่งดาวเหนือน่ะมักมากอีกต่างหาก แต่พออ่านจนจบแล้ว พี่ว่าน้องเฟื่องนำเสนอปัญหาอีกมุมได้ดีมาก ชอบตอนนี้ค่ะ “ฝนกับเขาคือเนื้อคู่กัน มันก็เลยมีเหตุให้ได้มาแต่งงานกัน ฝนกับวีไม่ใช่เนื้อคู่กันมันก็เลยมีเหตุให้เราต้องพรากจากกัน ฝนเกิดมาเพื่อเขานะ เหตุการณ์มันร้อยให้ฝนมาเจอะกับเขา แล้วมามีเหตุแบบนี้ อนาคตวีเชื่อว่าเขาก็จะง้อฝนสำเร็จ เมื่อรู้อนาคตอยู่แล้ว ปัจจุบันฝนจะมาเศร้าทำไม มีประโยชน์ไหม”

ฝนทิพย์นิ่งคิด ..ต้น.. ระหว่าง.. และปลายทาง..สุดท้ายเธอก็คงหนีเขาไม่พ้นจริงๆ และระหว่างทางเธอจะฟูมฟายไปทำไม.. ฝนทิพย์ขำกับวิธีคิดของเขา...พี่อ่านแล้วชอบมากมันทำให้ได้คิดว่าเรื่องทุกเรื่องย้ำว่าทุกเรื่องนะคะ ถ้าคนเรามีวิธีคิดให้มันง่ายๆ แบบนี้ เราและครอบครัวของเรารวมทั้งคนรอบตัวเราก็จะมีแต่ความสุข ไม่มีการแก่งแย่ง อิจฉาริษยากัน จะมีแต่กำลังใจและการให้อภัยกัน มันทำให้พี่คิดถึงครอบครัวตัวเอง และพี่สามารถจะนำไปใช้กับชีวิตประจำวันได้อีกด้วย ว่าควรจะใจเย็นไม่เกรี้ยวกราดถึงจะโมโหแค่ไหนก็ช่าง เพราะว่ายิ่งเราโมโหและทำสิ่งไม่ดีออกมาเราไม่ได้ทำร้ายคนรอบข้างแต่เราทำร้ายตัวเราเองด้วย

และในส่วนของตัวเรื่องที่กล่าวถึงการเที่ยวแทรกธรรมะอย่างนี้มันทำให้อ่านแล้วรู้สึกอยากไปอินเดีย อยากจะปฏิบัติตาม และทำให้คนอ่านที่ไม่ค่อยเข้าใจหรือรู้ซึ้งเรื่องธรรมะเข้าใจได้ง่ายขึ้น ทั้งเรื่องของดวงรัศม์และปฐวี อ่านแล้วทำให้นึกถึงการครองคู่ และก็อยากปฏิบัติตามเค้าให้ได้ค่ะ ว่าควรจะทำกิจวัตรประจำวันควบคู่ไปกับเรื่องธรรมได้ยังไง

ส่วนตัวพี่เองได้อ่านเรื่องนี้แล้วพี่ว่าบทบาทตัวละครทุกตัวมันเต็มไปหมด ไม่มีใครแสดงขาดหรือเกิน มันไม่รู้สึกว่าขาดบทบาทของคนนั้นหรือคนนี้ สำหรับคนอื่นไม่รู้นะ แต่ส่วนตัวพี่ว่าเรื่องนี้มันเต็มตื้นแล้วค่ะ อ่านแล้วให้ความรู้สึกที่ดี อาจจะเพราะพี่เข้าใจในหลักธรรมที่นำเสนอด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ พี่ก็เลยอาจจะคิดไม่เหมือนคนอื่น

รักค่ะ/พี่น้อง


สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล

39-aLp.png

 

 

ณ พระแท่นบรรทม หรือเตียงปรินิพพานนั้นเอง พระพุทธองค์ได้ทรงปรารถเรื่องราวต่างๆ หลายเรื่องกับพระอานนท์พุทธอุปัฎฐากรวมทั้งเรื่อง สังเวชนียสถานทั้ง ๔ ตำบล จากใน         มหาปรินิพพานสูตร พอสรุปได้ดังนี้

ครั้งนั้นพระอานนท์เถรเจ้าได้กราบทูลพระองค์ว่า ในกาลก่อนภิกษุทั้งหลายที่ได้แยกย้ายกันไปจำพรรษาอยู่ตามชนบทในทิศต่างๆ เมื่อสิ้นไตรมาศครบ ๓ เดือนตามวินัยนิยมหรืออกพรรษาแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายก็ย่อมจะเดินทางมาเฝ้าพระองค์เป็นอาจิณวัตร ก็เพื่อจะได้เห็นจะได้เข้าใกล้ จะได้อุปัฎฐากพระองค์ อันจะทำให้เกิดความเจริญทางจิต ก็มาบัดนี้ เมื่อกาลแห่งการล่วงไปแห่งพระองค์แล้ว ก็แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายก็จะไม่ได้เห็น จะไม่ได้นั่งใกล้          จะไม่ได้สากัจฉา(สนทนาธรรม) เหมือนกับสมัยที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอีกต่อไป

เมื่อพระอานนท์กราบทูลดังนี้แล้ว พระตถาคตเจ้าได้ทรงแสดงสถานที่ ๔ ตำบลว่าเป็นสิ่งที่ควรจะดู ควรจะได้เห็น ควรจะเกิดสังเวช (ความสลดใจกระตุ้นเตือนจิตใจให้คิดกระทำแต่สิ่งดีงาม) แก่กุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธา คือ

         ๑. สถานที่พระตถาคตเจ้าบังเกิดแล้วคือ ประสูติจาก      พระครรภ์มารดา ตำบลหนึ่งคืออุทยานลุมพินี

         ๒. สถานที่พระตถาคตเจ้าตรัสรู้ พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตำบลหนึ่งคือ ควงไม้โพธิ์ พุทธคยา

         ๓. สถานที่พระตถาคตเจ้าให้พระอนุตรธัมมจักเป็นไป หรือแสดงปฐมเทศนาตำบลหนึ่ง คือ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี (ปัจจุบันเรียก สารนาถ)

         ๔. สถานที่พระตถาคตเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วด้วย อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ตำบลหนึ่ง คือ สาลวโนทยาน เมือง         กุสินารา (ปัจจุบันเรียก กาเซีย) ให้เกิดความสังเวชของกุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธา

 

อนึ่ง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีศรัทธามายังสถานที่ ๔ ตำบลนี้ ด้วยมีความเชื่อว่า พระตถาคตเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้ว ณ สถานที่นี้ พระตถาคตเจ้าได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ณ สถานที่นี้ พระตถาคตเจ้าได้ให้พระอนุตรธัมมจักเป็นไปแล้ว ณ สถานที่นี้ และพระตถาคตเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทเสสนิพพานธาตุแล้ว ณ สถานที่นี้

          ดูก่อนอานนท์ ชนทั้งหลายเหล่าใด เจติยจาริกของพระตถาคตเจ้าทั้ง ๔ ตำบลนี้แล้ว จักเป็นคนเลื่อมใส เมื่อกระทำกาลกิริยา(ตาย)ลง ชนทั้งหลายเหล่านั้น จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

          สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความ ๔ ตำบลว่าเป็นที่ควรเห็น ควรดู ควรให้เกิดสังเวชของกุลบุตร กุลธิดา ผู้มีศรัทธาด้วยประการฉะนี้แล

          นี้เองเป็นที่มาของสังเวชนียสถาน ๔ แห่งในดินแดน     พุทธภูมิ ที่ชาวพุทธทั้งหลายสมควรอย่างยิ่งที่จะไปนมัสการ กราบไหว้สักการะสักครั้งหนึ่งในชีวิต

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (74 รายการ)

www.batorastore.com © 2025