ทรายพราวแสง (เพลงมีนา) (EBOOK)

ทรายพราวแสง (เพลงมีนา) (EBOOK)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: ทรายพราวแสง
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 139.00 บาท 34.75 บาท
ประหยัด: 104.25 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

 

‘เอานะ... คุณคิดชั่วโมงเท่าไหร่ละ’

‘บ้า! ทะลึ่ง! ลามก! อย่าเอาความคิดสกปรกมาตีราคาฉันนะ’

‘เอ้ย!คุณนั้นแหละคิดอกุศล ก็ผมบอกแล้วไงว่าจะจ่ายค่าลวงเวลาให้’ 

‘โยษิตา’ หญิงสาววัยยี่สิบสองปีบัณฑิตหมาดๆ ที่ตระเวนหางานทำด้วยความหวังที่จะดูแลยายและหลานสาวตัวน้อย ทว่าระหว่างที่ยังหางานประจำไม่ได้เธอทำงานพิเศษเป็นพนักงานกรอกแบบสอบถามและในวันนั้นเองเธอได้พบกับ ‘ฟีรูซ เรกิวลุส’ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเขาคือนานแบบหนุ่มสุดฮอตที่แสนจะเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจตัวเอง

ในชีวิตของ ‘ฟีรูซ เรกิวลุส’ ชายหนุ่มที่ใครต่อใครอิจฉาเพียบพร้อมไปทุกอย่างและเป็นลูกชายคนเล็กของตระกูลเรกิวลุส แต่ชีวิตครอบครัวที่แท้จริงกลับเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว เขามีพี่ชายต่างมารดา ‘ฮาคีม’ ที่สมบูรณ์แบบทุกอย่างจนถูกจับเปรียบเทียบเสมอ แม้กระทั่งกับสิริมา-พี่สาวที่เกิดจากแม่ที่เป็นคนรับใช้ทำให้แม่ของเขาปวดใจไม่น้อย ฟีรูซถูกเลี้ยงด้วยความตามใจจากคุณหญิงกาญจนาผู้เป็นแม่แท้ๆ แต่ความรักที่มากล้นนั้นทำให้เขาอึดอัดและกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์อย่างไม่รู้ตัว แล้วชีวิตเรื่อยเปื่อยของเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อเจอกับหญิงสาวดวงตากลมโตอย่างโยษิตา

เพราะฝีมือแม่ไม้มวยไทยของโยษิตาช่วยเอากระเป๋าสตางค์ของเกวลิน-คู่หมั้นของฮาคีมไว้ได้จากพวกโจรวิ่งราว แต่กลับถูกเกวลินเข้าใจผิดว่าเป็นพวกเดียวกับโจรนั่น! แต่ฮาคีมเชื่อใจในแววตาใส่ซื่อของโยษิตาและช่วยให้เธอมาทำงานที่บริษัทเดียวกับเขา ความใกล้ชิดสนิทสนมของโยษิตากับศรุติทำให้เกวลินไม่พอใจเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกัน ‘อเล็กซ์ แมคเกิล’ เพื่อนของฮาคีมมาเมืองไทยเพราะสนใจธุรกิจท่องเที่ยว แต่เนื่องจากฮาคีมวุ่นวายกับคู่หมั่นที่แสนจะเอาแต่ใจทำให้สิริมาต้องมาดูแลแทน แล้วความรอยยิ้มทะเล้นของ อเล็กซ์ ก็สามารถละลายหัวใจน้ำแข็งของสิริมาได้สำเร็จ

ฟีรูซ เรกิวลุสตั้งใจจะหาเรื่องแกล้งโยษิตาที่เคยทำเขาเสียหน้ามาก่อนโดยการให้เธอมาเป็นเลขาส่วนตัว โยษิตาไม่อยากตกงานจึงจำใจยอมรับข้อเสนอแม้ว่าจะต้องทนกับเจ้านายที่เอาแต่ใจและหาเรื่องเธอสารพัด  แต่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าสิ่งเหล่านั้นกลับผูกพันหัวใจสองดวงไว้อย่างไม่รู้ตัว แต่กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในใจเรียกว่า ‘ความรัก’ พวกเขาก็เกือบจะสูญเสียมันไปตลอดกาล.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 1

 

 

 

 

            แท็กซี่ยังไม่ทันจอดเทียบฟุตปาธหน้าสถานีหัวลำโพงได้สนิทดีนัก ร่างของหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบสองปีก็ถลาออกจากรถทันทีโดยไม่รอรับเงินถอนจากคนขับรถ เธอวิ่งฝ่าฝูงชนมากมายที่ล้วนต่างที่มาและต่างจุดหมายจะไปจนไปถึงห้องพิเศษที่มีเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟโทรศัพท์ติดต่อเธอไว้เมื่อเกือบครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา

            “พี่ตามาแล้ว!”

“ข้าวซอย!”

            โยษิตาเผลอตะโกนเรียกชื่อเด็กหญิงวัยสิบขวบที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สีฟ้าหม่น เด็กน้อยจอมยุ่งกระโดดลงจากเก้าอี้เข้ามาสวมกอดญาติผู้พี่อย่างคิดถึง เจ้าหน้าที่กระแอมไอสองสามครั้งก่อนเรียกโยษิตาไปตักเตือนที่ปล่อยให้เด็กหญิงวัยสิบขวบเดินทางมาคนเดียวเพียงลำพัง โดยการแอบซ่อนตัวในห้องน้ำของรถไฟตั้งแต่ลำปางจนมาถึงหัวลำโพง

            “ค่ะ…ค่ะ…จะไม่ไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแน่นอน”

            ข้าวซอยเงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวตัดกับสีผิวที่ดำเป็นเหนี่ยง  ช่างผิดกับคำพูดที่ว่าสาวเหนือจะผิวขาวสวย            เมื่อเคลียร์ปัญหากับเจ้าหน้าที่เรียบร้อยโยษิตาก็ได้ยินเสียงท้องตัวเองร้องโครกครากจนเจ้าน้องสาวตัวแสบหัวเราะ

            “พี่ตาเลี้ยงอะไรไว้ในท้องเหรอคะ”

            “สัตว์ประหลาดมั้ง!”  

หญิงสาวหันไปแยกเขี้ยวใส่ แต่ดูเหมือนเด็กจอมซนจะไร้ความกลัวเกรง  ก็นั่นซินะ! ถ้าขี้ขลาดคงไม่กล้าหนีออกจากบ้านมาถึงนี่ได้ โยษิตาได้แต่ถอนหายใจก่อนเดินจูงมือหลานเข้าไปหาอะไรกินนอกสถานีรถไฟ เมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้เธอกำลังช่วยคุณยายละเอียดกวาดหยากไย่ตามมุมบ้านแล้วจู่ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ของสถานีรถไฟ ให้มารับเด็กหญิงข้าวซอยที่แอบขึ้นรถไฟมากรุงเทพฯเพียงลำพัง เธอต้องตาลีตาเหลือกออกจากบ้านมาทั้งสภาพมอมแมมแบบนี้เพราะความเป็นห่วงน้องสาวตัวซน แต่พอมาเห็นแววทโมนเหมือนลูกลิงน้อยและวีรกรรมที่

สร้างขึ้นเธอก็ได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ

 

“พี่ตาโกรธหนูหรือจ๊ะ” ข้าวซอยถามเบาๆ แววตาสำนึกผิด

            “ไม่ได้โกรธแต่พี่ตาเป็นห่วง” โยษิตาใจอ่อนกับแววตาคู่นี้เสมอ เธอมองดูจานข้าวหมูแดงที่ว่างเปล่า เมื่อสัตว์ประหลาดในท้องไม่ส่งเสียงรบกวน เธอก็จ่ายเงินค่าอาหาร

“เรารีบกลับบ้านกันเถอะป่านนี้คุณยายคงรอแย่แล้ว”

            “คุณยายจะโกรธหนูไหมคะพี่ตา”   แววตาของเด็กหญิงวัยสิบขวบที่ดูเศร้าหม่นกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน        

            ‘แววตาแบบนี้ใครจะโกรธได้ลงนะ’

            หญิงสาวผ่อนลมหายใจเบาๆ แค่เห็นว่าน้องสาวตัวน้อยไม่มีร่องรอยบุบสลายตรงไหนก็โล่งใจแล้ว   นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกสาวของ ‘ป้าอำภา’ ผู้เป็นพี่สาวของมารดาเธอหนีออกจากบ้าน       มันกี่ครั้งกี่คราแล้วเธอก็ลืมนับมันไปแล้วข้าวซอยสะพายเป้สีชมพูขะมุกขะมอมเดินตามโยษิตาขึ้นรถแท็กซี่ ระหว่างทางเด็กน้อยมองทิวทัศน์รอบกายอย่างสนุกสนานไม่ได้มีแววสำนึกผิดเหลืออยู่เลย จนโยษิตาชักไม่แน่ใจว่าแววตาเศร้าๆ เมื่อครู่ของแท้หรือเทียม! 

             เพียงทั้งคู่ก้าวเท้าลงจากรถแท็กซี่   หญิงชราวัยหกสิบเจ็ดแทบจะถลาอ้าแขนรับขวัญหลานตัวน้อย บ้านไม้สองชั้นหลังเล็กอยู่เกือบท้ายซอยชุมชนสวนขวัญ          ก็มีสมาชิกเพิ่มเป็นเด็กหญิงที่แสนจะกล้าหาญหนีออกจากบ้านขึ้นรถไฟมาคนเดียวจากลำปางจนถึงหัวลำโพงได้อย่างปลอดภัย             แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของเจ้าหน้าที่รถไฟที่ต้องโทรศัพท์มาหา ‘โยษิตา’ พี่สาวของเด็กหญิงวัยสิบขวบให้มารับตัวหนูน้อยเจ้าปัญหา

หญิงสาวรู้สึกเกียจคร้านเกินกว่าจะหยิบไม้กวาดมาทำความสะอาดบ้านต่อ ไม่รู้ว่าเป็นลางบอกเหตุหรืออย่างไรที่จู่ๆ คุณยายก็นึกอยากทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ พอดีวันนี้เธอไม่ต้องไปทำงานพิเศษจึงได้อยู่ช่วยกวาดหยากไย่แต่ยังไม่ทันเสร็จดีบ้านหลังน้อยก็ได้ต้อนรับสมาชิกเพิ่ม

‘เด็กหญิงข้าวซอย’  กำลังเอร็ดอร่อยกับข้าวต้มผัดฝีมือคุณยายละเอียด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็กินข้าวหมูแดงจานโตไปแล้ว            โยษิตาเดินเลี่ยงเข้ามาโทรศัพท์ในบ้านต่อสายหาแม่ของข้าวซอย        นานหลายนาทีกว่าจะมีคนรับสาย 

“คุณป้าอำภาหรือคะ”

“เออ บ้านนี่ก็มีแต่ฉันนี่แหละ จะมาขายอะไร ประกันไม่ทำหรอกนะ ฉันไม่ยอมให้พวกแกเอาเงินฉันไปหมุนออกดอกกินสบายๆ หรอก”

“เอ่อ...คุณป้าคะ หนูตาเองค่ะ โยษิตา”       

“อ้าว! ยัยตาเหรอ แม่เป็นไร ตอนนี้ฉันไม่มีเงินหรอกนะ” โยษิตาอยากจะกรี๊ดใส่หูโทรศัพท์หรือไม่ก็ขว้างใส่ข้างฝาให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ไม่มีสักประโยคที่จะถามหาลูกสาวตัวเองเลยหรือว่าป่านนี้ก็ยังไม่รู้ว่าข้าวซอยหายออกจากบ้านไป

“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ” เธอพยายามกัดฟันทำใจเย็น ถ้าไม่คิดว่าป้าอำภาคือพี่สาวของแม่ที่ตายจากโลกนี้ไปแล้ว เธอคงว๊ากกลับไปบ้างแล้วล่ะ

“ข้าวซอยมาอยู่ที่บ้านตาแล้วค่ะ”

“เหรอ มันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ แกมารับมันเหรอ”

“เปล่าค่ะ” หญิงสาวอึ้ง แม่แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ “ข้าวซอยหนีออกจากบ้านขึ้นรถไฟจากลำปางมาหัวลำโพงคะ ตาเพิ่งไปรับมาจากสถานีรถไฟ ตอนนี้อยู่บ้านกับยายปลอดภัยดีค่ะ”

“ก็ดีแล้ว  ฝากดูมันหน่อยละกัน  แค่นี้ก่อนนะ ฉันยุ่ง”

ยังไม่ทันที่โยษิตาจะพูดอะไรต่อ โทรศัพท์ก็โดนตัดสัญญาณไปแล้ว หญิงสาวถือหูโทรศัพท์ค้าง  หงุดหงิดหัวเสียแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ และเป็นดังที่คุณยายคาดคิดไว้ว่าจะได้ยินน้ำเสียงเย็นชาจากปลายทาง จนอดนึกน้อยใจแทนไม่ได้

คุณ ‘อำภา’ แม่ของน้องข้าวซอยเป็นพี่สาวของคุณ ‘อำพร’ ซึ่งเป็นแม่ของโยษิตา เดิมนั้นบ้านหลังน้อยนี้อบอุ่นไปด้วยคุณพ่อไพศาล-คุณแม่อำพร ลูกสาวคนเดียวคือโยษิตาและคุณยายละเอียด        ส่วนคุณตาสง่าได้จากไปตั้งแต่โยษิตายังเล็ก แต่เมื่อสี่ปีที่แล้วรถยนต์คันหนึ่งที่แล่นแซงโค้งด้วยความเร็วจัดและความคึกคะนองของคนขับที่เมาสุราก็พรากลมหายใจของพ่อและแม่ของหญิงสาวไปอย่างไม่มีวันกลับ บ้านที่เคยอบอวลด้วยเสียงหัวเราะสดใสจึงหม่นไปในทันทีนานนับปีกว่าสภาพจิตใจของลูกสาวคนเดียวจะดีขึ้น          

กำลังใจที่ดีที่สุดในขณะนั้นก็คือมือเหี่ยวย่นที่ค่อยพยายามทำขนมไทยอร่อยๆ ให้เธอได้กินทุกๆ วัน ใช่! เธอไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว เธอยังมีคุณยายที่รักและจะอยู่กับเธอตราบจนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะหมดลมหายใจสุดท้ายก่อนกัน       

โชคดีที่พ่อทิ้งสมบัติให้เป็นบ้านหลังนี้และเงินประกันชีวิตของแม่ที่ทำให้เธอไม่ถึงขั้นลำบากมากมายนักและสามารถพยุงตัวเองจนเรียนมหาวิทยาลัยจนจบได้โดยไม่ต้องลาออกเสียก่อน   แต่ระหว่างที่เรียนอยู่โยษิตาก็ทำงานพิเศษสารพัดเท่าที่เวลาว่างหลังจากการเรียนจะเอื้ออำนวย เพราะอย่างน้อยที่สุดการทำงานทำให้เธอคลายความเศร้าในจิตใจลงได้บ้าง แต่ในทางตรงข้ามมันกลับทำให้โยษิตาเข้มแข็งจนดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน

ก็ใช่นะซิ! คนอื่นๆ เขาไม่ต้องปวดหัวกับค่าใช้จ่ายในบ้านนี่นะ! ถึงไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านแต่รายจ่ายอย่างอื่นก็มี! ทั้งค่าน้ำ,ค่าไฟ,ค่าโทรศัพท์แล้วค่ายาของยายละเอียดกับค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ อีก อาหารการกินในบ้านไม่ใช่แค่เฉพาะของสองยายหลานเท่านั้น ยังมีหมาๆ แมวๆ จรจัดที่ยายละเอียดชอบเอาอาหารไปให้ตามมุมถนน แถมตอนนี้มีมาเพิ่มอีกหนึ่งชีวิตค่าใช้จ่ายก็ต้องเพิ่มขึ้นอีกแน่ๆ หญิงสาวแอบถอนหายใจหนักๆ ขณะนั่งกดเครื่องคิดเลขในสมองคำนวณรายรับ-รายจ่ายของที่บ้าน โดยไม่ได้สนใจว่ายายละเอียดกับข้าวซอยกำลังทำอะไรอยู่ในห้องนั่งเล่น

โยษิตาเปิดหนังสือพิมพ์สมัครงานพลิกที่ละหน้าอย่างละเอียด            มีรอยดินสอวงล้อมกรอบข่าวประกาศที่น่าสนใจความฝันที่จะเป็นครูประถมดูจะเลือนลางเหลือเกิน ตอนนี้ไม่มีที่ไหนรับครูภาษาไทยเพิ่มทั้งของภาครัฐและเอกชน ถึงแม้ว่าเพิ่งจะเรียนจบได้แค่ไม่กี่เดือน เธอก็ต้องเร่งหางานประจำทำให้ได้ก่อนไม่มีเวลาเที่ยวเล่นสนุกเหมือนเพื่อนๆ คนอื่นๆ

            ตอนนี้ที่พอจะทำแก้ขัดไปก่อนคืองาน ‘วิจัยตลาด’ เรียกเสียสวยหรู แต่ถ้าจะให้รู้จักแบบที่เข้าใจทั่วไปก็คือ ‘กรอกแบบสอบถาม’ ซึ่งจะต้องค่อยไปถามลูกค้าซึ่งเป็นคนทั่วไปตามสถานที่ต่างๆ ตามที่บริษัทฯกำหนด ถามข้อมูลการใช้ผลิตภัณฑ์หรือพฤติกรรมผู้บริโภค    มันเป็นงานพิเศษที่เธอทำตั้งแต่เรียนปีสี่เทอมสุดท้ายจนมาถึงตอนนี้ก็สี่-ห้าเดือนเข้าไปแล้ว ถึงจะเป็นพิเศษแต่ก็เงินดีไม่น้อยหมายถึงว่าเธอต้อง ‘ขยัน’ ให้มากคุ้มค่าเงินด้วย

หรือว่า? มีอะไรก็ทำไปก่อน? อย่างที่คนอื่นๆ พูดกัน!

“พี่ตาคิ้วชนกันแล้วค่ะ”

“อะไรนะคะ…ข้าวซอยว่าอะไรนะ”

“หนูบอกว่าคิ้วพี่ตาขมวดมาชนกันแล้วค่ะ”  เด็กหญิงแสนซนถามอย่างใสซื่อ “เพราะข้าวซอยรึเปล่าคะ”

“ไม่ใช่หรอกจ๊ะ ข้าวซอยไปนอนดีกว่านะนอนพร้อมคุณยายให้คุณยายเล่านิทานให้ฟัง”

หญิงสาวหันไปหาคุณยายที่เดินตามเด็กหญิงตัวน้อยเข้ามา  ก่อนจะจับมือเล็กๆ จูงแขนเตรียมจะเข้านอน วันนี้เธอผจญภัยมาทั้งวัน เอ่อ…ทั้งคืนด้วยมั้ง!

“อย่าคิดอะไรมากเลยนะยัยตา…อะไรๆ มันไม่เลวร้ายนักหรอก ทุกอย่างมีหนทางของมันเสมอ”

“ค่ะ…คุณยาย”

หญิงสาวยิ้มบางๆ ให้คุณยายที่หลานตัวเล็กจูงแขนให้เข้าห้องนอนเตรียมฟังนิทานเรื่องโปรด นึกๆ ไปเธอเองอาจะโชคดีกว่าข้าวซอยด้วยซ้ำไป    เพราะข้าวซอยเป็นลูกติดจากสามีเก่าส่วนสามีคนใหม่ที่ทำให้คุณป้าอำภาต้องย้ายไปลงหลักปักฐานใหม่ถึงลำปางก็ดูท่าไม่ค่อยปลอดภัยสำหรับเด็กผู้หญิงที่กำลังโตวันโตคืนแบบนี้          เธอเองถึงจะสูญเสียพ่อและแม่ไปแต่ตลอดเวลาท่านทั้งสองก็ให้คำว่า ‘อบอุ่น’ กับชีวิตของเธออย่างเต็มที่ ผิดกับข้าวซอยที่มักจะถูกดุด่าเฆี่ยนตีเป็นประจำ เป็นเหตุให้หนีออกจากบ้านมาหาเธอนับครั้งไม่ถ้วน

แต่ฟังน้ำเสียงของป้าอำภาแล้วยิ่งไม่สบายใจ เหมือนกับไม่ต้องการตัวลูกสาวคนนี้แล้วจริงๆ หรือเบื่อหน่ายพฤติกรรมหนีออกจากบ้านของข้าวซอยที่รู้ว่าอย่างไรก็ปลอดภัยดีทุกครั้ง

เฮ้อ! ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว …โยษิตาสะบัดหน้าไปมาจนผมยาวที่ขมวดไว้เหนือท้ายทอยรุ่ยร่ายลงมาเคลียแก้ม           ดูหน้าเธอในกระจกซิ! อย่างกับยัยป้าอายุห้าสิบได้แล้วมั้ง! ทั้งๆ ที่ปีนี้เพิ่งจะยี่สิบสองเท่านั้นเอง แถมยังไม่ได้รับปริญญาอีกต่างหาก

“เหมี๊ยว…”

“เจ้าเหมียว”

หญิงสาวก้มมองดูที่ใต้โต๊ะทำงานมุมห้องนั่งเล่น แมวจรที่เคยให้อาหารเป็นประจำเดินเข้ามานอนในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้   

เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้มันโดนหมาเกเรที่ไหนไม่รู้รุมทำร้ายจนขนบริเวณหลังคอหายไปเป็นแถบๆ         แต่หลังจากดูแลรักษาอย่างดีโดยคุณยายละเอียดตอนนี้มันกลับมาน่ารักน่าอุ้ม เธออุ้มเจ้าแมวน้อยขี้ประจบขึ้นมานั่งบนตักแล้วลูบหลังมันเบาๆ ก่อนระบายยิ้มออกมาบนใบหน้ากลมมนได้สัดส่วน

“อะไรๆ มันคงไม่เลวร้ายนักหรอกนะ!ใช่ไหมเจ้าเหมียว”

เจ้าแมวร้องเหมียวๆ อย่างเอาใจ โยษิตากอดมันแรงๆ ทีหนึ่งก่อนปล่อยมันเป็นอิสระ เธอลุกขึ้นบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยขบที่เกาะร่างกายเธออยู่ก่อนเดินไปปิดประตูลงกลอนให้เรียบร้อยรวมทั้งหน้าต่างบ้านด้วย

ใช่! อะไรๆ มันไม่เลวร้ายนักหรอกนะ! ยัยโยษิตา!.

รายละเอียด

ชื่อหนังสือ	ทรายพราวแสง
ประเภท		นิยาย
ผู้แต่ง		เพลงมีนา
พิมพ์ครั้งสอง 2555	สำนักพิมพ์นกฮูก
พิมพ์ครั้งสอง 2560	ธารจันทร์สำนักพิมพ์

จำนวน 329 หน้า
ราคาปก 139 บาท
ราคาขาย 79 บาท

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (22 รายการ)

www.batorastore.com © 2024